“เสด็จพ่อ!!!”
น้ำเสียงเต็มเปี่ยมไปด้วยความสดใสร้องเรียกบุรุษผู้สูงศักดิ์เหนือผู้ใดในทันทีที่ก้าวเข้ามาในห้องทรงพระอักษร ก่อนที่ร่างเล็กจะวิ่งอย่างไม่รักษากิริยาเข้าไปเกาะแขนพระบิดา
ฮ่องเต้ไท่เสียนมิได้ขุ่นเคืองกับท่าทีของพระธิดาองค์โตแม้แต่น้อย กลับกันพระองค์กลับชื่นชอบท่าทีสดใสราวกับดวงตะวันที่เจิดจรัสเช่นนี้ของบุตรสาวมากกว่าท่าทีอ่อนช้อยเป็นไหน ๆ
“นึกอย่างไรมาหาพ่อถึงที่นี่เจ้าก้อนแป้ง”
“หนิงเอ๋อร์คิดถึงเสด็จพ่อเพคะ” ผู้อุตส่าห์ดั้นด้นมาถึงห้องทรงพระอักษรทั้งที่ไม่ได้มีรับสั่งเรียกหาเอ่ยอย่างออดอ้อนก่อนจะถูกอุ้มไปวางบนตักและหอมแก้วเสียฟอดใหญ่
“พ่อรู้เจ้ามิได้คิดถึงพ่อเพียงเท่านั้น แต่พ่อก็ยินดีที่เจ้าคิดถึง”
“เสด็จอาทรงฟ้องเสด็จพ่ออีกแล้วหรือเพคะ”
“เขาไม่ได้ฟ้อง เพียงเกริ่นให้พ่อฟังเท่านั้น” บุรุษสูงศักดิ์กล่าวแย้งให้พระอนุชาที่พระองค์มีรับสั่งให้เข้าเฝ้าก่อนหน้าที่บุตรสาวจะเข้ามา พระอนุชาองค์นี้ย่อมช่วยเหลือพูดให้องค์หญิงน้อยบ้างแล้วพระองค์จึงพอทราบเรื่องราวอยู่บ้าง
“ก้อนแป้งของพ่อไม่อยากไปงานเลี้ยงเช่นนั้นหรือ”
“หนิงเอ๋อร์ไม่ชอบงานเลี้ยงเพคะ ไปอารามซุยหลิงกับเสด็จย่าไท่เฟยได้บุญมากกว่าเพคะ”
“เจ้าจะไปอารามหรือลงไปเที่ยวเล่นกับพี่เหยียนของเจ้ากันแน่” บิดารู้ทันบุตร นั่นคือความจริง ในอดีตนางไปเพื่อเที่ยวเล่นกับพี่เหยียนจริง ๆ แต่คราวนี้...เพียงแค่ทำให้บิดาคิดเช่นนั้นเท่านั้น
“หนิงเอ๋อร์ย่อมไปขอพรให้เสด็จพ่อก่อน แล้วค่อยไปเที่ยวเล่นเพคะ...ให้หนิงเอ๋อร์ไปนะเพคะเสด็จพ่อ”
“นะเพคะ”
“พ่ออนุญาตก็ได้ แต่เจ้าต้องสัญญากับพ่อว่าจะระวังตัวให้ดี” ฮ่องเต้ไท่เสียนหรือจะทนต่อการออดอ้อนของพระธิดาพระองค์โตได้ องค์หญิงน้อยกอดพระบิดาในทันทีด้วยความดีใจ นั่นยิ่งทำให้บุรุษผู้ครองบัลลังก์พระหทัยเต้นแรง
เจ้าก้อนแป้งนุ่มนิ่มของเขาช่างน่ารักน่าเอ็นดูเสียจริง
แม้ได้รับอนุญาตเป็นที่เรียบร้อยแต่องค์หญิงใหญ่ก็ไม่ได้รีบร้อนออกจากห้องทรงพระอักษร นางอยู่เอาใจพระบิดาอีกกว่าชั่วยามจึงขอตัวกลับตำหนักเพราะยังมีสิ่งที่นางต้องเตรียมการอีกมาก
องค์หญิงใหญ่ทว่าตัวน้อยก้าวออกจากห้องทรงพระอักษรโดยมีองครักษ์ฟู่เสวียนคอยตามอารักขาตามรับสั่งของนายเหนือหัว หัวหน้าองครักษ์คนโปรดของฮ่องเต้ก้าวตามไม่เท่าไหร่องค์หญิงตัวน้อยก็หันมายื่นแขนให้
ฟู่เสวียนไม่มีบุตรสาวย่อมชื่นชอบเด็กผู้หญิง ยิ่งเป็นองค์หญิงเฉินอันหนิงที่เห็นมาตั้งแต่เล็กยิ่งให้รู้สึกเอ็นดูยิ่ง แล้วมีหรือจะปฏิเสธได้ ต่อให้ไม่มีตำแหน่งองค์หญิงเป็นเพียงเด็กชาวบ้าน เขาก็ไม่สามารถปฏิเสธได้จริง ๆ
ร่างเล็กถูกอุ้มขึ้นมาแนบอกในเวลาต่อมา หัวหน้าองครักษ์ฟู่เสวียนเดิมที่ก็เป็นบุรุษรูปงามเป็นที่ต้องตาของนางกำนันและคุณหนูในเมืองหลวงอยู่แล้วยามนี้ต่อให้อุ้มองค์หญิงเอาไว้ก็ยังไม่สามารถปกปิดความน่ามองได้...และยิ่งส่งให้น่ามองยิ่งขึ้นไปอีก
“นางกำนันมองท่านลุงฟู่ไม่วางตาเลย ท่านไม่สนใจพวกนางหรือ”
“สายตากระหม่อมมองเพียงแม่อาเยว่พะย่ะค่ะ” ตั้งแต่มีภรรยาฟู่เสวียนก็ไม่เคยมองผู้ใดนอกเหนือจากภรรยาผู้งดงาม แม้แต่พระสนมชายาที่ถูกกล่าวขานว่างดงามอันดับหนึ่ง ยังเป็นอันดับสองในสายตาขององครักษ์ผู้นี้ จนฮ่องเต้ยังเคยตรัสให้ฟังว่าคนแซ่ฟู่ผู้นี้หลงภรรยายิ่งนัก และนางก็เห็นด้วยอย่างยิ่ง
“ท่านลุงฟู่หลงภรรยาเกินไปแล้ว”
“บุรุษสกุลฟู่ขึ้นชื่อว่ารักภรรยามากมาตั้งแต่รุ่นสู่รุ่นพะย่ะค่ะ เรื่องเช่นนี้อยู่ในสายเลือด ไม่นับว่าเป็นเรื่องแปลก”
“เช่นนั้นโตขึ้นหนิงเอ๋อร์แต่งกับบุรุษตระกูลฟู่ จะได้เป็นที่รักของสามีเช่นท่านป้าฟู่”
“เช่นนั้นวันหน้ากระหม่อมต้องยกอาเยว่ให้องค์หญิงแล้ว...บุรุษตระกูลฟู่เหลือเพียงอาเยว่แล้ว” ฟู่เสวียนหัวเราะน้อย ๆ และก่อนจะกระซิบเสียงเบา “อย่าให้ฝ่าบาททราบนะพะย่ะค่ะว่ากระหม่อมกล่าวเช่นนี้ มิฉะนั้นอาเยว่แย่แน่”
“หนิงเอ๋อร์จะไม่ให้เสด็จพ่อรู้...ว่าโตขึ้นหนิงเอ๋อร์จะแต่งให้พี่เหยียน”
ฟู่เสวียนยิ้มขันไม่ได้กล่าวอันใดออกไป ด้วยไม่ได้คิดจริงจังว่าองค์หญิงผู้สูงศักดิ์จะแต่งให้บุตรชายของตน ชะตานางหงส์ขององค์หญิงไหนเลยจะหนีพ้น บุตรชายของเขาเป็นได้เพียงองครักษ์เท่านั้น
เฉินอันหนิงมองท่าทีนั้นอย่างเข้าใจ ก่อนจะขยับเข้าใกล้กับหัวหน้าองครักษ์คู่พระทัยฮ่องเต้ก่อนจะเอ่ยกระซิบโดยไม่ยอมให้นางกำนันที่อยู่ด้านหลังได้ยิน
ใบหน้าที่มักจะยิ้มอบอุ่นของฟู่เสวียนเปลี่ยนไปเล็กน้อยก่อนจะกลับมายิ้มอีกครั้งและเปลี่ยนทิศทางจากตำหนักองค์หญิงไปยังตำหนักที่เงียบสงบมาเนิ่นนาน...ตำหนักเซียนซือ
ตำหนักเซียนซือ ที่พำนักของหรงกุ้ยเฟยที่มิได้ต้อนรับผู้คนมาเนิ่นนาน บรรยากาศในตำหนักนับได้ว่าเงียบสงบ ทว่าหากก้าวเดินเข้าไปจนเกือบท้ายตำหนักสิ่งที่ได้กลับไม่ใช่ความเงียบสงบหากแต่เป็นเสียงหัวเราะสนุกสนานของเด็กเล็ก
เป็นองค์ชายสามเฉินอี้หลงที่วิ่งไล่จับอยู่กับนางกำนันโดยมีหรงกุ้ยเฟยนั่งปักผ้าทอดพระเนตรอยู่เป็นระยะนั่นเอง
“เสด็จพี่หญิง” ทันทีที่ได้เห็นพี่หญิงพระองค์โตองค์ชายน้อยวัยสี่ขวบก็วิ่งเข้ามาใส่ในทันทีที่มองเห็น ฟู่เสวียนปล่อยองค์หญิงพระองค์โตลงและทอดสายตามองอย่างเงียบสงบทว่าในดวงตาคูนั้นก็มีความอ่อนโยนส่งให้องค์ชายน้อย
องค์ชายสามพุ่งเข้ามากอดร่างที่สูงกว่าเพียงนิดอย่างออดอ้อน เฉินอันหนิงระบายยิ้มกอดตอบน้องชายด้วยความคิดถึง
ในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตน้องชายผู้นี้ก็ยังคงรักคนอ่อนแอเช่นนางและพยายามช่วยเหลืออย่างเต็มที่ น่าเสียดายที่นางไม่อาจมีลมหายใจมองดูเขาปกครองแผ่นดินหรือแม้แต่ได้เห็นเขาสวมใส่อาภรณ์สีทองอร่ามลายมังกร
ส่วนในชาตินี้...นางก็ไม่มั่นใจว่าอยากให้เขาเป็นฮ่องเต้หรือไม่
หากเป็นไปได้นางไม่อยากให้เขาต้องแบกรับภาระใหญ่หลวงเลยสักนิด
หกเดือนต่อมา...ในที่สุดงานมงคลของกู้หลุนอันหนิงกงจู่อันเป็นที่รักของผู้คนและราชวงศ์ก็เกิดขึ้น ฟู่จื่อเหยียนในชุดสีแดงปักเย็บอย่างดีขี่ม้าคู่ใจนำหน้าแห่ขบวนเจ้าสาวอันยาวเหยียดด้วยสีหน้าเต็มเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มกว่าจะมีวันนี้ มิใช่ง่าย ๆ เลย แม้ว่าบิดาของเขาจะใช้หลายคำพูดทำให้ฮ่องเต้ไท่เสียนยินยอมให้เขาและบุตรสาวอันเป็นที่รักออกเรือนได้แต่เหล่าอ๋องมิใช่จะยินยอมง่าย ๆ แม้จะทำสิ่งใดเขาไม่ได้แต่ก็พยายามขัดขวางอย่างถึงที่สุดกว่าที่จะยินยอมให้พี่สาวได้ออกเรือน ก็ล่วงเลยมาถึงครึ่งปีทีเดียวฟู่จื่อเหยียนในตอนที่กลับมาต้าเฉินในฐานะบุตรชายคนโตของสกุลฟู่มิได้มีตำแหน่งใดนอกจากสถานะคุณชายฟู่ แต่ระยะเวลาหกเดือนจากคุณชายฟู่ก็ได้เปลี่ยนแปลงไป ผู้คนเรียกขานเขาว่าแม่ทัพฟู่ อันเนื่องมาจากแม้เหตุการณ์หลายอย่างจะเปลี่ยนไป แต่แคว้นฉีก็ยังดันทุรังจะตีต้าเฉิน เหล่าอ๋องต้องการยื้อเวลาไม่ให้พี่ใหญ่ของตนได้ออกเรือนเร็วเกินไป จึงเสนอให้เขาออกรบและกำราบแคว้นฉีเสียแม้การทำศึกกับฉีไม่ได้ยากเย็น แต่ก็กินเวลาไปหลายเดือน
เรื่องราวทุกสิ่งจบลงที่การแต่งตั้งหยางอ้ายฉิงเป็นหยางฮองเฮา ก่อนกำหนดพิธีอภิเษกสมรสในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้าเรื่องงานอภิเษกเป็นเรื่องภายใน ฮ่องเต้ไท่เสียนแม้เอ็นดูไห่ซุนหลิงดั่งบุตรชายแต่ก็ไม่อาจรั้งอยู่ต่อรอถึงงานอภิเษกได้ ครั่นจะเดินทางกลับก่อนแล้วค่อยมาก็ไม่ทันอย่างแน่นอน จึงได้แต่ตัดใจ ไม่รั้งอยู่กำหนดเดินทางกลับต้าเฉินจึงเป็นเช้าวันรุ่งขึ้น หลังเสร็จการประชุมฮ่องเต้และฮองเฮาบอกลาคนเป็นดุจบุตรชายและขอตัวกลับตำหนักรับรองไปแล้ว เหลือเพียงเฉินอันหนิงและจิวหูที่ยังอยู่รับน้ำชากับฮ่องเต้ซุนหลิงและว่าที่ฮองเฮา วันนี้เองที่เฉินอันหนิงได้พูดคุยกับหยางอ้ายฉิงอีกครั้ง ทั้งคู่เข้ากันได้ดีเมื่อได้พูดคุยขอโทษขอโพยที่ต่างล่วงเกินกันในวันแรกที่เจอก่อนที่เฉินอันหนิงจะกล่าวขออภัยที่ไม่อาจอยู่ร่วมงานอภิเษกได้“ขออภัยพี่ใหญ่จิว และคุณหนูหยาง ที่มิอาจอยู่ร่วมงานอภิเษกได้”“อย่าได้คิดมาก ข้ามิใช่คนคิดเล็กคิดน้อย” จิวหลิงพูดแล้วก็ยกยิ้มและเอายคล้ายจะแกล้งเย้า “แต่งานของเจ้ากับเขา ช่วยเผื่อเวลาให้
“เห็นได้ชัดว่าท่านยังโง่งมอยู่ ท่านจะป้อนยาล้ำค่าที่มีเพียงหกเม็ดให้พี่ใหญ่ได้อย่างไรกัน นั่นคือของสำคัญของท่านนะ” เป็นเฉินไป๋เสวี่ยที่มาห้ามเอาไว้ ในขณะที่สถานการณ์รอบข้างคลี่คลายลงได้แล้วด้วยฝีมือของหานอ๋องและเหล่าองครักษ์ร่วมมือกับคนของพรรคเมฆาสุริยันต์เฉินไป๋เสวี่ยส่ายหน้าพร้อมกับกำข้อมือของผู้เป็นศิษย์สำนักเดียวกันเอาไว้แน่น ไม่ยอมปล่อยให้จิวหูได้ทำตามใจ เขาเป็นศิษย์หมอเทวดาย่อมรู้ว่ายาลูกกลอนในมือของอีกฝ่ายนั้นเป็นยาล้ำค่าที่สามารถรักษาคนที่อาการสาหัสให้ฟื้นคืนได้ ทว่าสิ่งนั้นมีเพียงน้อยนิด หลายปีก่อนเจ้าสำนักโอวหยางเหวินหลงปรุงยาขึ้นมาได้หกเม็ด เก็บเอาไว้เองหนึ่งเม็ดและมอบให้กับลูกศิษย์ทั้งห้าคนละเม็ดและไม่คิดจะปรุงเพิ่มอีก หวังให้ศิษย์ใช้ยานี้เมื่อถึงคราวคับขันแต่คราวคับขันนั้นมิใช่ให้ใช้กับผู้อื่น...คนผู้นี้ไม่รักชีวิตถึงขั้นจะแลกเพื่อพี่สาวของเขาเชียวหรือ หากวันหน้าเป็นอันใดไปจะทำอย่างไรเล่า“ยานี้ไม่สำคัญอันใด ถ้าไม่มีนาง ต่อให้ต้องแลกกับโลกใบนี้เพื่อนาง ข้าก็จะแลก” ไม่มีสิ่งใดม
รถม้าเคลื่อนไปแล้ว แต่ชายหนุ่มยังคงยืนนิ่งอยู่ ไม่ได้เข้าไปภายในตำหนักรับรอง และไม่ได้จากไปที่ใดมิใช่เพราะลังเลอันใดอีก แต่เพราะกำลังขบคิดกับคำของอาจารย์ สิ่งที่อาจารย์ตักเตือนเขาและเหล่าเศิษย์พี่น้องไม่เคยไม่เชื่อ ด้วยว่าอาจารย์ไม่เคยมองสิ่งใดผิดพออาจารย์เอ่ยเช่นนี้ เขาก็ชักสังหรณ์ใจไม่ดีเสียแล้ว“อะ พี่ใหญ่” ไม่ทันจะได้คิดสิ่งใดมากไปกว่านั้นเสียงเรียกจากด้านหลังก็ดังขึ้น“เหยาเหยา” จิวหูส่งเสียงให้น้องสาวที่ส่งเสียงเรียกก่อนจะได้เห็นว่าด้านหลังของฟู่จื่อเหยายังมีเฉินอันหนิง เฉินลี่หลิน และอ๋องทั้งสอง กับฟู่จื่อหมิงและฟู่จื่อหลิงอยู่ด้วย“จะออกไปที่ใดกัน”“หอเมฆาเจ้าค่ะ พี่ใหญ่ก็ไปด้วยกันนะเจ้าคะเหยาเหยาอยากอยู่กับพี่ใหญ่” ฟู่จื่อเหยามิได้ชักชวนแต่ดึงแขนผู้เป็นพี่ให้เดินตามเหล่าเชื้อพระวงศ์ทั้งสี่ที่เดินนำไปก่อนแล้ว นั่นย่อมหมายถึงนางไม่เปิดโอกาสให้จิวหูได้ปฏิเสธ บุรุษผู้ไม่มีสิ่งใดให้ต้องลังเลอีกก้าวตามไปด้วยโดยไร้คำใดโต้แย้ง
เฉินอันหนิงเป็นฝ่ายก้าวนำบุรุษหน้ากากออกไปด้านนอกก่อนจะนำเขาไปยังสวนด้านหลังซึ่งเงียบสงบ แค่เพียงหยุดเดินบทสนทนาก็เริ่มต้นขึ้นจากฝ่ายของผู้หยั่งรู้ฟ้าดินในทันที“เขายังสบายดีได้ ย่อมเพราะชะตาของท่านยังปลอดภัย”“หมายความว่าอย่างไรหรือเจ้าคะ?”“เจ้าสามจะอยู่รอดปลอดภัยหรือไม่ขึ้นอยู่ที่ชะตาของท่าน”คำบอกเล่าของคนตรงหน้ามิได้แตกต่างจากหนิงอันมากนัก ทว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นเรื่องรองในใจของนาง เฉินอันอันหนิงมองสบตาคู่คมกริบก่อนจะสอบถามออกไปโดยตรง “ท่านพอจะบอกได้หรือไม่ ว่าเหตุใดข้าจึงได้รับโอกาส”“ต้าเฉินมีมังกรและหงส์เพลิงพิทักษ์อยู่ เรื่องนี้ข้าคงไม่ต้องบอกท่านกระมัง”ตำนานมังกรและหงส์พิทักษ์ต้าเฉิน ผู้คนทั้งต้าเฉินล้วนเคยได้ยิน ยิ่งมีตำนานว่าราชวงค์คือลูกหลานของมังกรและหงผู้พิทักษ์ นางย่อมได้ยินมาตั้งแต่เด็ก ๆ ในชาติก่อนแล้ว เฉินอันหนิงไม่ได้มีคำถามใด ๆ นางพยักหน้าให้เท่านั้นอีกฝ่ายก็บอกเล่าต่อ “ยามใดที่ต้าเฉินลุกเป็นไ
“เมื่อก่อนข้าคิดว่าฮวาเอ๋อร์จะรักกับฟู่เสวียน แต่นางกลับเลือกหยวนจิ้ง ชะตาของคนเราช่างแปลกนัก” ฮ่องเต้ไท่เสียนที่ผายมือเชิญแขกผู้มาเยือนให้ไปนั่งเอ่ยก่อนจะหัวเราะอย่างขบขันขึ้นมาและพูดต่อถึงโชคชะตาที่เล่นตลก “ส่วนฟู่เสวียน ไปตกหลุมรักบุตรสาวเซียนทวนจนถึงขั้นขโทยบุตรสาวผู้อื่นกลับบ้าน”“ห๊า ท่านพ่อ...ท่านแม่เป็นถึงบุตรสาวเซียนทวนเชียวหรือเจ้าคะ” ฟู่จื่อเหยาแทรกขึ้นก่อนมองบิดาด้วยความสงสัย ทั้งยังหันไปสะกิดพี่สาวบุตรธรรมเพื่อบอกเล่า “พี่หญิง ท่านแม่เป็นบุตรสาวเซียนทวนล่ะ”“บิดาเจ้ายังไม่ได้ตอบเลย” เฉินลี่หลินแทรกขึ้นบ้างแต่สายตาก็บ่งบอกว่าสนใจเรื่องนี้เช่นกันด้วยอายุนาง ในยามเด็กนางย่อมทันฟู่ฮูหยินที่ผู้คนกล่าวว่างดงามเป็นที่ต้องตาของบุรุษ และรับรู้เพียงแค่นั้นมาโดยตลอด...เรื่องที่ว่าฟู่ฮูหยินเป็นบุตรสาวเซียนทวนแห่งสำนักเฟยผิง นั่นย่อมน่าสนใจไม่เพียงแค่เฉินลี่หลินที่สนใจ เฉินอันหนิงเองก็คิดไม่ต่างกันและนั่นทำให้สายตาแทบทุกคู่มองไปยังฟู่เสวี