Masuk“รับเลี้ยงปะล้า เดี๋ยวเป็นน้องสาวให้ก็ได้” พี่ปายยกคิ้วเข้ม ๆ ขึ้นมองอย่างขำขันทันทีเมื่อฉันพูดจบ มีอะไรให้ขำเล่า พูดจริงนะเนี่ย!
“ดูก่อนว่ากินเยอะไหม เดี๋ยวเลี้ยงไม่ไหว” เขาว่าพร้อมกับดูเมนูที่พนักงานเอามาให้เมื่อครู่นี้ ส่วนฉันก็ชะเง้อมองไม่ต่างกัน
“หนูกินไม่เยอะหรอก สบายใจได้” ปากพูดแต่ตาก็เหล่มองเมนูไม่พัก
“เอาอะไร?” คงเห็นว่าฉันชะเง้อมองจนคอยาวเหมือนยีราฟก็เลยเลื่อนเมนูมาใกล้ฉัน ซึ่งเขาก็หันไปสั่งกับพนักงานภายในร้านแล้วนั่นแหละ ส่วนฉันที่กินอะไรแบบนี้ไม่เป็นก็ได้แต่ทำหน้าเซ็ง
“เอาแบบพี่ปายนั่นแหละ” มีแต่เมนูภาษาอังกฤษ ฉันก็ฟุตฟิตฟอไฟไม่ค่อยแข็งด้วย อ่านออกนะ แต่กลัวสะกดชื่อผิด
“ทำไมไม่เลือกอย่างอื่น อร่อยทุกเมนูนั่นแหละ” เขาพยักพเยิดหน้าไปที่เมนูอีกครั้ง เห็นแบบนั้นก็เลยส่ายหน้าไปมาเบา ๆ
“กินไม่เป็น” มันก็จริงที่ว่าตักใส่ปาก เคี้ยว ๆ แล้วก็กลืน แต่อาหารพวกนี้ต่อให้รสชาติอร่อยแค่ไหน ถ้ามันไม่ถูกปากก็ไปต่อไม่ได้อยู่ดี ฉันไม่อยากสั่งมาแล้วกินไม่หมด เสียดายของ แพงด้วย อาหารจานละพันอัพ วัตถุดิบมาจากดาวเคราะห์น้อยหรือไงก็ไม่รู้
“เดี๋ยวเลือกอร่อย ๆ ให้ก็ได้” พี่ปายพูดจบก็ไล่ชื่อเมนูอาหารให้พนักงานภายในร้านรับออเดอร์ ส่วนฉันก็มองอะไรไปเรื่อยเปื่อย เหมือนเด็กกะโปโลเข้าร้านอาหารแพง ๆ เลย แค่การแต่งตัวฉันก็เชยแล้วจริง ๆ เสื้อยืดสีขาว กางเกงยีนขาสั้นตัวโปรด รองเท้าผ้าใบธรรมดา กระเป๋าผ้าก็ร้อยเก้าเก้า แตกต่างจากพี่ปายมาก และแตกต่างจากลูกค้าภายในร้านมาก!
กินต้มอึ่งก็ดีอยู่แล้วตุ๋นเอ้ย...
“แล้วปกติที่บ้านกินอะไร” เขาพูดขึ้นเมื่อพนักงานเดินออกไปแล้ว
“บ้านหนูเหรอ” ชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง
“บ้านเฉิ่มนั่นแหละ”
“ก็กินธรรมดาทั่วไป” ไม่รู้ว่าทั่วไปของฉันกับพี่ปายจะเหมือนกันหรือเปล่า ก็เลยต้องเปลี่ยนใหม่ “ทั่วไปที่เห็นได้ตามท้องตลาด”
“แล้วอะไรอร่อย” เหมือนฉันเป็นสิ่งแปลกใหม่สำหรับพี่ปายยังไงก็ไม่รู้ เพราะสีหน้าเขาดูเหมือนตื่นเต้นที่ได้ซักถามยังไงยังงั้น
“ก็ตำปูปลาร้า แกงอ่อมหอย อ่อมมันปูใส่มะละกอ กุ้งเต้น ต้มอึ่ง หมกหน่อไม้ ประมาณนี้”
“ไม่รู้จักสักอย่างเลยกู แต่ส้มตำกูเคยกินนี่หว่า” เขาพึมพำกับตัวเอง “แล้วไอ้ต้มอะไรนะ ต้มอึ้ง?”
“ต้มอึ่งเถอะ”
“เออนั่นแหละ มันใช่ไอ้ตัวดำ ๆ ที่ลอยอยู่ในถ้วยแล้วเหยียดขาออกสี่ข้างไหม” แล้วฉันก็ต้องหัวเราะออกมาทันทีเมื่อพี่ปายพูดจบ เขาทำหน้าตลกจริง ๆ นะ พยายามอธิบายภาพประกอบ ซึ่งมันไม่ได้เข้ากับหน้าตาและท่าทางดิบเถื่อนของเขาเลย
พาคนเถื่อนมาขายขำแท้ ๆ
“นั่นแหละต้มอึ่ง อร่อยแบบนี้เลย” ว่าแล้วก็ยกนิ้วโป้งส่งไปให้เขา
“จริงเหรอวะ สงสัยต้องชวนไอ้คินไปหาซื้อมากินละ”
“ถ้าหนูกลับบ้านเดี๋ยวเอามาฝากก็ได้ ถ้าพี่หากินอยู่แถวนี้หนูกลัวมันจะมาจากคลองน้ำครำมันไม่สะอาด แต่บ้านหนูอยู่ต่างจังหวัดไง สัตว์พวกนี้อยู่ในไร่นา สะอาดเพราะอยู่กับธรรมชาติ”
“เออ ๆ เอามาฝากด้วยนะ เดี๋ยวให้เงินค่าหิ้วมา”
“โอเค” พยักหน้าหงึกหงักแล้วหยิบโทรศัพท์ออกมาเล่นเพื่อจบการสนทนา กดเข้าไปในแอพฯ ที่แต่งนิยายทิ้งไว้แล้วไล่อ่านคอมเมนต์ของนักอ่านที่ติดตามนิยายฉันไปเรื่อย ๆ ก็มีไม่เยอะหรอก แต่ก็พอได้อ่านนั่นแหละ
“ว่าแต่พี่ปายสั่งอะไรมาบ้างเหรอ” เสียงของฉันทำให้พี่ปายเงยหน้าจากโทรศัพท์มามองกัน
“ก็หลายอย่าง ไม่รู้ว่าเฉิ่มจะกินเป็นหรือเปล่า”
“ถ้าไม่เลี่ยนก็กินได้ หนูไม่ชอบกินอะไรเลี่ยน ๆ”
“ไม่ค่อยได้เข้าร้านอาหารแบบนี้?” ตาคมมองฉันสลับกับโทรศัพท์ที่อยู่ในมือ สงสัยจะคุยแชทกับแฟน แต่ก็ยังใจดีคุยกับฉัน
“หนูจะเอาเงินจากไหนมาเข้า อาหารจานละพัน กินได้ทั้งอาทิตย์เลยนะ” กว่าจะขายนิยายได้ให้ถึงห้าร้อย นั่งแต่งหลังขดหลังแข็ง ฉันไม่กล้าเสี่ยงใช้เงินเกินตัวหรอก
“งั้นวันนี้ก็กินให้เยอะ ๆ เลี้ยง”
“ป๋ามาก…” ฉันลากเสียงยาว
“สนใจมาเป็นเด็กป๋าไหมล่ะ” เขาพูดแค่นั้นก็ก้มหน้าลงมองโทรศัพท์ตามเดิม แค่นี้ก็รู้แล้วว่าคงไม่ได้จริงจังอะไร
“หนูก็สมัครเป็นน้องสาวพี่ปายอยู่ไง สนใจรับหนูเป็นน้องเปล่าล่ะ”
“น้องกับเด็กมันต่างกันนะเว้ยไอ้เฉิ่ม” แล้วเขาก็เก็บโทรศัพท์เมื่ออาหารมาเสิร์ฟแล้ว “เข้าใจความหมายไหม”
“เข้าใจ” พยักหน้าหงึกหงักให้พี่ปายอีกครั้ง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อเพราะสมองตอนนี้โฟกัสอยู่แค่ของกินตรงหน้าเท่านั้น ต่อให้พี่ปายหล่อแค่ไหนก็ไม่มีผลกับฉันแล้วตอนนี้
“เอ้า น้ำลายยืดแล้ว” เสียงเข้มเอ่ยแซวขึ้นขำ ๆ ก็เลยเงยหน้ามองเขาตาแป๋ว
“กินเลยได้ไหม” ว่าแล้วก็ชี้ไปที่อาหาร
“ไม่ค่อยเห็นแก่กินเลยนะ” ถึงจะพูดค่อนขอด แต่ปากดันยิ้มให้ซะงั้น “กินเหอะ เดี๋ยวน้ำลายหยดใส่ร้านเขาอีก”
คนนะไม่ใช่หมาที่จะน้ำลายหยด…
แต่ก็ไม่เถียงเขาหรอก เพียงแค่นั่งกินเงียบ ๆ เท่านั้น ส่วนพี่ปายก็ไม่ได้พูดอะไรต่อเหมือนกัน เหมือนเขาจะมีเรื่องเครียดยังไงก็ไม่รู้ เพราะเห็นหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูไม่พักเลย แถมหัวคิ้วก็ยังขมวดอีกต่างหาก
รีบกินดีกว่า เผื่อพี่ปายมีเรื่องสำคัญ ฉันจะได้ไม่ต้องมานั่งเสียดายอาหารมื้อนี้
เวลาต่อมา
ฉันจ่ายเงินแล้วลงจากรถแท็กซี่เมื่อมาถึงคอนโดฯ แล้ว ที่จริงพี่ปายก็ว่าจะมาส่ง แต่ฉันเกรงใจเพราะเขาก็เลี้ยงข้าว ไหนจะพาไปอีก ก็เลยแยกย้ายทางใครทางมัน
แต่แล้วก็ต้องเบรกตัวไว้แล้วรีบหลบเข้ามุมทันทีเมื่อเห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็น แต่ด้วยความอยากรู้อยากเห็นก็เลยเสี่ยงตาน้อยแอบดู พูดง่าย ๆ ก็แอบมองนั่นแหละ และยิ่งมองก็ต้องเบิกตากว้าง ฉันจำได้เลยว่านั่นคือ ‘แฟนพี่ปาย’ ผู้หญิงคนนั้นกำลังกอดรัดฟัดเหวี่ยงกับผู้ชายคนหนึ่งอยู่หน้าห้องของเธอ และถ้าจำไม่ผิด ผู้ชายคนนั้นก็คือคนที่เดินสวนออกมาจากลิฟต์ตอนที่พวกฉันกำลังจะไปห้างฯ
พี่ปายโดนสวมเขาเหรอ?
แต่แล้วฉันก็ต้องเบิกตากว้างรอบสองเพราะจำได้แล้วว่าผู้หญิงคนนี้ทำไมถึงคุ้นหน้านัก เพราะฉันเคยเห็นเธอเดินควงแขนเข้าลิฟต์กับผู้ชายคนนี้แหละ ตอนนั้นฉันก็อยู่ในลิฟต์เหมือนกัน แต่ด้วยความแออัดก็เลยทำให้เธอมองไม่เห็นฉัน
ระหว่างพี่ปายกับผู้ชายคนนี้ ใครโดนสวมเขากันแน่?
เวลาต่อมา…“โอ้ยเนาะ ว่าสิมาโรแมนติกจักนอย โซ่กะตก ห่าแดกมึงหนิ” ฉันบ่นไปทำไป ประเด็นคือตอนนี้กำลังใส่โซ่รถจักรยานอยู่ ปั่นยังไม่ครึ่งทางเลย โซ่ตกซะแล้ว“เดี๋ยวพี่ใส่ให้ มือเปื้อนหมดแล้ว” พี่ปายที่ยืนขำอยู่ข้างหลังพูดขึ้น คงจะขำที่ฉันบ่นเป็นภาษาอีสาน เพราะนาน ๆ ทีจะพูดให้ได้ยิน “เฉิ่มเอ้ย”“พี่ใส่เป็นเหรอ” หันไปมองพี่ปายงง ๆ“ใส่เป็น” เขาพยักหน้ารับแล้วทิ้งตัวนั่งลงข้างฉัน “ไปจับจักรยาน เดี๋ยวพี่ใส่เอง”“โอเค” ตอบรับแค่นั้นก็ลุกขึ้นยืน ชะเง้อมองพี่ปายใส่โซ่จักรยานด้วยความชำนาญ และเพียงไม่นานก็ใส่เสร็จ จักรยานกลับมาปั่นได้เหมือนเดิม“โห ไม่น่าเชื่อว่าจะใส่ได้”“เรื่องแค่นี้” เขากระโดดขึ้นจักรยานแล้วหันมาหาฉันอีกครั้ง “กลับบ้านไปล้างมือก่อน ค่อยออกมาใหม่”แล้วเราสองคนก็กลับบ้านไปล้างไม้ล้างมือ ไม่นานก็ปั่นออกมาอีกเหมือนเดิม ฉันชี้บอกทางไปเรื่อย ๆ ด้วยความที่บ้านติดทุ่งนาบรรยากาศก็เลยดี ไม่ค่อยมีคนพลุกพล่านด้วย“เคยเลี้ยงควายไหมเฉิ่ม” พี่ปายถามขึ้นพร้อมกับชะลอความเร็วของการปั่นลง คงจะเห็นควายเดินผ่านหน้าไปก็เลยถาม“ไม่เคยเลี้ยง” ฉันส่ายหน้าพัลวัน ยกมือขึ้นกอดรอบเอวพี่ปายแน่น “เคยเลี้ยงแต
บ้านต่างจังหวัด“ยายยยย หนูกลับมาแล้ว” ฉันวิ่งไปหายายที่กำลังยืนด้อม ๆ มอง ๆ อยู่หน้าบ้าน สีหน้าและท่าทางแสดงความสงสัยออกมาชัดเจนเมื่อเห็นรถพี่ปาย ดีนะที่เขาเอารถออดี้ทรงเก๋งมา ถ้าเอาซูเปอร์คาร์ลูกรักมา ป่านนี้ยายฉันคงเอาสากกะเบือโยนใส่แล้ว ข้อหาเสียงดัง“ยายกะว่าแม่นผู้ได๋ขับรถมาหา อีตุ๋นของยายนี่เอง” ยายรับฉันเข้าไปกอดพร้อมกับพูดออกมา “แล้วมานำไผหั่น”“พี่ปายแฟนหนูเอง” ว่าแล้วก็กวักพี่ปายที่ยืนอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลให้เดินเข้ามาหายาย “นี่ยายหนู สวยไหม เจ็ดสิบแล้วยังไม่แก่เลย”“สวัสดีครับ” พี่ปายยกมือไหว้ยายไม่ได้สนใจต่อคำพูดไปเรื่อยของฉัน“ไหว้พระ ๆ” ยายรับไหว้ในขณะที่กำลังมองพี่ปายอย่างพิจารณา “แมนแฟนหลานยายอิหลิติสู คือมาหล่อปานดาราแท้ ว่าแมนมาริโอ้”“หล่อบ่ยาย หนูเลือกมาอย่างดีเลยเด้หนิ” ไม่ได้เลือกหรอก เพราะความอยากลองเรื่องสิบแปดบวกล้วน ๆ ก็เลยตกกระไดพลอยโจนคบกับพี่ปายมาจนถึงทุกวันนี้ แต่ก็พูดหยอกยายไปอย่างนั้นเอง“หล่อ ๆ” ยายพยักหน้ารับ “ไป ๆ เข้าบ้าน”“พี่ปายไม่ต้องเกร็งนะ ยายหนูใจดีมาก ยายไม่โหด” ฉันผละตัวออกจากยายแล้วเดินเข้าไปหาพี่ปายที่ยืนนิ่ง ๆ เหมือนไม่ใช่พี่ปายที่ฉันรู้จัก
“เก็บแล้วออกไปข้างนอก ไอ้คินมันซื้อของกินมาเยอะ” ปายยอมลุกออกจากเมียตัวน้อยของตัวเอง ไม่ลืมที่จะดึงแขนเธอขึ้นตาม“พี่คินมาเหรอ?”“อือ อยู่ข้างนอก”“งั้นขอเก็บของแป๊บ เดี๋ยวตามออกไป” พอได้ยินคำว่า ‘ของกิน’ หูก็ผึ่งทันที ดวงตากลมโตวาววับเหมือนกำลังถูกใจกับอะไรสักอย่าง ตาคมมองเมียตัวเองอยู่อึดใจก็เดินออกไปหาเพื่อนที่อยู่ข้างนอก ไม่อยากอยู่นานเพราะกลัวอดใจไม่ไหว เห็นไข่ตุ๋นทีไร เขาของขึ้นทุกที“ที่จริงมึงไม่ต้องมาดูแลกูก็ได้นะ” คินละสายตาจากโทรศัพท์มามองเพื่อน “กูจะคิดว่าที่นี่คือห้องของกูเอง”“หน้าด้านฉิบหาย” ปายหยิบของกินขึ้นมาถือแล้วเดินเข้าไปในครัว จัดแจงอาหารใส่จานแล้วเอามาวางต่อหน้าคิน คนที่เล่นโทรศัพท์อยู่นั้นเงยหน้ามองทันที“เสิร์ฟกู?”“เปล่า” เจ้าของห้องส่ายหน้า “เอามาเสิร์ฟเมีย เดี๋ยวเมียออกมา”“หลงเมียฉิบหาย”“ไม่เถียง” เพราะเถียงไปก็ไม่มีประโยชน์ สิ่งที่คินพูดมันก็คือเรื่องจริง ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าผู้ชายที่ตัวโตแบบเขาจะมาเสียรู้ให้ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ตัวเล็กมากจริง ๆ แถมยังเป็นเด็กอายุยี่สิบเท่านั้น ไม่ใช่ผู้หญิงจัดจ้าน แต่งตัวบ้าน ๆ แถมยังใส่แว่นตาหนาเตอะ แต่เขาก็หลงรักจริง ๆ
ช่วงปิดภาคเรียน“กลับไปเยี่ยมยายหรือย้ายบ้าน?” ปายมองเมียตัวน้อยที่กำลังเก็บเสื้อผ้าทั้งตู้ออกมาพับด้วยความสงสัย ตอนนี้ไข่ตุ๋นปิดภาคเรียนปีที่สองแล้ว ส่วนปายก็จบปีสี่เรียบร้อย แต่ก็ยังคิดอยู่ว่าจะต่อโทหรือเปล่า ตอนนี้กำลังอยู่ในช่วงตัดสินใจ“ก็เยี่ยมยายไง”“ไม่ขนช่วยนะ เยอะขนาดนั้น” เพียงเท่านั้นหน้ากลม ๆ ก็บูดเบี้ยวทันที หน้าเริ่มงอง้ำเหมือนกำลังจะงอน “เอาไปแค่สิบชุดก็พอ”“เผื่อลงไร่ลงนาไง ก็ต้องเอาไปเยอะ ๆ สิ”“ตามใจ แต่พี่ไม่ขนช่วยนะ”“ขนช่วยหน่อย” ไข่ตุ๋นละมือจากการเก็บพับผ้า เดินเข้าไปหาปายที่นั่งมองเธอนิ่ง ๆ อยู่ปลายเตียง คนตัวเล็กทิ้งตัวนั่งลงบนตักแกร่งเหมือนที่ชอบทำ ซบหน้าลงที่อกกว้างอย่างออดอ้อน“ทำไมนับวันยิ่งอ้อนวะ” แม้ปากจะพูดแบบนั้นแต่ก็ยอมยกแขนโอบกอดเอวเล็กไว้ พูดได้เต็มปากเลยว่าตอนนี้เขาหลงเมียจนโงหัวไม่ขึ้นจริง ๆ แค่เห็นตากลม ๆ แก้มป่อง ๆ ก็อดใจไม่ไหวแล้ว รู้สึกเหมือนตกหลุมรักไอ้เฉิ่มของตัวเองทุกวันอยากขอบคุณทับทิมมากที่ทำแบบนั้นกับเขา เพราะถ้าเธอไม่ทำแบบนั้น ก็คงไม่ได้มารักกับไอ้เฉิ่มแบบนี้“ไม่ดีเหรอ หนูอ้อนเยอะ ๆ พี่ปายจะได้รักหนูเยอะ ๆ ไง”“แค่นี้ก็รักไม่รู้จะรักย
เวลาต่อมาสิบนาทีหรือสิบชั่วโมงก็ไม่รู้ ลืมตาขึ้นมาอีกทีก็มืดแล้ว บอกให้ปลุกก็ไม่ยอมปลุก แถมยังหนีไปสังสรรค์อีกนะ ทิ้งให้ฉันนอนน้ำลายยืดอยู่คนเดียว“เมียมึงหน้ายุ่งมาแล้วไอ้ปาย” พี่เดย์พยักพเยิดหน้ามาที่ฉันที่กำลังมุ่งตรงไปที่กลุ่มเหล้า ทุกสายตาจับจ้องมาทางนี้นิดหน่อยก็หันกลับไปโฟกัสแก้วเหล้าตัวเองเหมือนเดิม“โดนแน่มึง”“ทำไมไม่ใส่เสื้อแขนยาวมาด้วย อากาศมันเย็น” แต่พี่ปายก็ไม่ได้สนใจคำเพื่อนอยู่ดี เขาอ้าแขนออกรอรับร่างฉันให้นั่งลงที่ตักแกร่ง ซึ่งฉันก็ยอมทำตาม“ทำไมไม่ปลุกหนูล่ะ” ไม่ลืมที่จะว้ากใส่เขา“เห็นนอนเพลิน ไม่อยากปลุก” สองแขนกระชับอ้อมกอดแน่น เหมือนกำลังจะง้อทางอ้อมยังไงก็ไม่รู้“เฮียบอกมันแล้ว แต่มันบอกน้องใช้พลังงานเยอะ ต้องนอนพักผ่อน เฮียก็เลยไม่พูดอะไรต่อ” เฮียกปรากพูดออกมาด้วยสีหน้าเอือมระอาไม่ต่างจากคนอื่นที่มองพี่ปายแบบเหม็น ๆ แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นที่ทำให้ฉันหุบปากเงียบหรอก ประเด็นก็คือพี่ปายบอกคนอื่นว่า ‘ฉันใช้พลังงานเยอะ’ นี่สิ จะเกินไปไหม!!“มา ๆ เล่นเกมกันดีกว่า” พี่ได๋คงเห็นสีหน้าที่ไม่ค่อยดีของฉันก็พูดขึ้น เธอเอาขวดมาวางไว้กลางวงพร้อมกับเคลียร์อาหารออก “เกมง่าย ๆ ข
“พี่ปาย…” ฉันกดเล็บเท้าลงกับแผ่นหลังกว้างเมื่ออีกคนกำลังละเลงจุดอ่อนไหวของฉันด้วยลิ้น และเป็นการละเลงที่ยาวนานมาก ละเลงแบบไม่พักเลยเชื่อไหมว่าหลังจากที่พี่ปายบอกว่าจะพาฉันเข้าห้อง เขาก็ทำจริง ๆ และเมื่อเข้ามาแล้วก็จับฉันยัดใส่ห้องน้ำไม่พูดไม่จา อุ้มร่างเล็ก ๆ ของฉันให้นั่งบนชักโครก ส่วนเขาก็ทิ้งตัวนั่งลงบนพื้น ยกขาสองข้างวางบนไหล่กว้างแล้วก็ทำอย่างที่เห็นปรนเปรอกันด้วยลิ้น…“อ๊ะ” ความรู้สึกดีที่โคตรทรมานตีแล่นเข้ามาจนต้องเงยหน้าปล่อยเสียงร้องครวญครางออกมาไม่ขาดสาย ลมหายใจสะดุดครั้งแล้วครั้งเล่า เรียวขาสั่นจนไม่รู้จะสั่นยังไง ฉันไม่สามารถอธิบายความรู้สึกตอนนี้ได้ รู้แค่ว่ามันเป็นความรู้สึกที่ดีมาก ๆ แต่ก็ทรมานมากเช่นกัน ทรมานมาก ๆ เลย“อื้อ…”“อยากได้กี่นิ้ว” เขาถอนปากออกแล้วถามกันเสียงพร่า สอดนิ้วเข้ามาในช่องคับแน่นแล้วแยงเข้าออกไปมา เหมือนกำลังจะเล่นกับน้ำรักที่มันกำลังไหลเยิ้มเพราะความใคร่ยังไงก็ไม่รู้“อยากได้ไอ้นั่น”“ยังไม่ให้ เอานิ้วก่อน” พูดแค่นั้นก็กดหน้าลงไปดูดดึงกับติ่งเกสรกลางร่าง จากตอนแรกที่สอดเข้ามาหนึ่งนิ้ว ตอนนี้แปรเปลี่ยนเป็นสองนิ้วแล้วเรียบร้อย แยงความนิ่มถูไถกับโพ







