คำพูดนั้นทำให้แววตาของเซี่ยจื่อยวนเปลี่ยนไปทันที เขาวางถ้วยเหล้าลงอย่างไม่สนใจคำพูดของนาง จากนั้นลุกขึ้นยืนอย่างกระฉับกระเฉงราวกับฉีดเลือดไก่เข้าเส้นเลือด“ใช่แล้ว…หลี่หลันฮวา ตอนนี้นางกับลูกคงกำลังถูกชาวบ้านรุมล้อมสรรเสริญกันอยู่แน่ แล้วข้าที่เป็นสามีจะปล่อยให้พวกนางรับหน้ากันตามลำพังได้อย่างไร”ชายวัยกลางคนหรี่ตาลงเล็กน้อย แววเจ้าเล่ห์ฉายชัดเต็มใบหน้า ภายในหัวคิดแต่เรื่องของผลประโยชน์ที่ตนควรได้รับ ทั้งที่เมื่อก่อนตัวเขาไม่เคยไยดีพวกนางแม่ลูกแม้เพียงนิด“สามีหรือ!!...ท่านหย่าขาดจากนางแล้ว ยังจะเป็นสามีอันใดอีก ลืมตาตื่นได้แล้วเซี่ยจื่อยวน” แม่หม้ายหม่าสะบัดเสียงกร้าวทว่าเขาไม่สนใจสิ่งที่นางเอ่ยเลยสักนิด อย่างไรสายเลือดของเขายังคงไหลเวียนอยู่ในกายพวกเขา แล้วทีนี้ยังจะกล้าปฏิเสธได้หรือ หากเขาไปโวยวายต่อหน้าผู้คน เด็กคนนั้นจะยังมีหน้าอยู่ได้อย่างไร“หึ...ต่อให้มิได้เป็นสามี อย่างไรข้าก็ยังเป็นบิดาผู้ให้กำเนิดอยู่ดี หากข้าปรากฏตัวต่อหน้าชาวบ้าน...ย่อมไม่มีใครกล้าดูแคลน”เขาหยุดไปเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยเรื่องที่น่ารังเกียจออกมา“แต่ว่าจะอย่างไรครอบครัวอยู่พร้อมหน้าก็น่าจะดูดีกว่า ถึงเวลาที่
“ท่านแม่...แล้วท่านคิดอย่างไรกับท่านลุงเซี่ยเจ้าคะ ท่าน...ชอบบุรุษผู้นั้นหรือไม่”คำถามเมื่อครู่ทำให้นางถึงกับชะงักงัน ใบหน้าที่บัดนี้กลับมาสดใสเปล่งปลั่งแต้มสีแดงเรื่ออย่างปกปิดไม่มิด นางเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยเบาๆ ราวกับกลัวบุตรสาวของตนจะโกรธ“แม่...ไม่ได้คิดอะไรกับเขา...ลุงใหญ่เซี่ยฉางเยี่ยนเป็นเพียงผู้มีพระคุณช่วยชีวิต อีกอย่างหัวใจของแม่…มีเพียงพวกเจ้าพี่น้องเท่านั้น”เซี่ยชิงหลีเม้มริมฝีปากแน่น นางพยักหน้าช้าๆ แล้วเอื้อมมือไปจับมือของมารดาแน่น“ท่านแม่...ข้าไม่ได้คิดจะโกรธหรือต่อว่าอะไรท่านแม้แต่น้อย ข้าแค่อยากรู้ว่า…ในใจของท่านคิดอย่างไรก็เท่านั้น”หลี่หลันฮวาหันมาสบตาบุตรสาว ก่อนจะยกยิ้มบางๆ พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นไหว“เลิกคิดเรื่องเหลวไหลได้แล้ว ในช่วงชีวิตนี้…สิ่งที่แม่ห่วงใยที่สุดก็คือพวกลูกทั้งสามคน”หญิงสาวเหลือบมองดวงตาที่ดูเศร้าสร้อยของมารดาสั่นไหววูบหนึ่ง หากนางมองไม่ผิดท่านแม่ของนางกำลังปิดบังเรื่องบางอย่างเอาไว้หลายวันต่อมาในเช้าวันหนึ่ง ยามเมื่อแสงอาทิตย์สาดส่องลงบนลานหลังเรือนตระกูลหลี่ สถานที่แห่งนั้นคือลานฝึกต่อสู้ที่เซี่ยชิงหลีสร้างเอาไว้ให้หลี่เยว่หยางห
ทุกคนต่างตะลึงงันชายวัยกลางคนเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำปนความรู้สึกผิด ทว่าเมื่อหันไปเห็นสองคนที่ไม่ควรอยู่ที่นี่ แววตาของเซี่ยฉางเยี่ยนก็ชะงักไปทันทีเขาจ้องนิ่งไปยังชายชราที่เดินเคียงข้างผู้เฒ่าหลี่ ภายในอกบัดนี้หัวใจเต้นกระหน่ำจนแทบทะลุออกมา ร่างทั้งร่างเหมือนถูกสายฟ้าฟาดกลางวันแสกๆ“นั่น...!!”ขาสองข้างที่เคยยืนอย่างมั่นคงบัดนี้ทำท่าจะทรุดลงไปเสียให้ได้ ชายชราในชุดธรรมดาใบหน้าเปื้อนยิ้ม มองมาที่เขาด้วยเช่นกัน และอีกคนคือชายหนุ่มที่มีท่าทางเหมือนเด็กน้อย กำลังคลอเคลียอยู่ข้างกายหลานสาวของตนเหตุใดผู้สูงศักดิ์แห่งวังหลวงทั้งสองถึงได้มาอยู่ที่นี่!“ไท่ซ่างหวง! และ...องค์รัชทายาท!”เซี่ยฉางเยี่ยนทำท่าจะคุกเข่าลงตามสัญชาตญาณของผู้ที่อยู่ใต้พระบัญชา ผู้เฒ่าเมิ่งหรือไท่ซ่างหวงรีบก้าวเข้าประชิดเขาทันที แม้สีหน้าของชายชรายังคงแย้มยิ้ม ทว่าแววตากลับกำลังบีบบังคับไม่ให้เขาแสดงพิรุธใดออกมา“โอ้!!...แม่ทัพเซี่ยนี่เอง ไม่ได้พบกันนานท่านมาทำอันใดในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้หรือ”ผู้เฒ่าเมิ่งขยิบตาส่งสัญญาณให้แม่ทัพใหญ่แห่งค่ายเกราะดำ เพื่อให้เขาตามน้ำไปก่อน“จงจำไว้ วันนี้ไม่มีไท่ซ่างหวง ไม่มีองค์
เอ่ยจบเขาก็ลุกขึ้น ไม่เหลือแม้แต่แววตาแห่งความเมตตาให้กับคนตรงหน้าเสียงชาวบ้านที่มุงดูต่างยังคงเงียบงัน ทว่าภายในใจของพวกเขาต่างก็เริ่มสงสัยว่า แท้จริงแล้วในอดีตมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ หรือเรื่องราวที่พวกเขาเคยได้ยินมามันเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้นหลังจากเสียงฝีเท้าโกรธเกรี้ยวของเซี่ยฉางเยี่ยนเดินออกจากลานหน้าเรือนแม่หม้ายหม่าเงียบหายไป เขากระโดดขึ้นหลังม้าแล้วเร่งควบตรงดิ่งไปยังหมู่บ้านสือโถวโดยไม่หยุดพักแววตาคมกริบดำมืดขึ้น เมื่อยามที่นึกถึงสิ่งที่นางต้องประสบในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มือข้างหนึ่งกำเข้าหากันแน่นจนเส้นเลือดปูดโปน คำบอกเล่าจากปากของชาวบ้าน...แววตาที่ต้องทนทุกข์ของหลี่ หลันฮวา รอยแผลในใจที่นางต้องเก็บไว้มาตลอด...ทั้งหมดมันย้อนกลับมาตีกันในหัว“เจ้าต้องอดทนอยู่กับการถูกดูหมิ่น ถูกกล่าวหาเป็นหญิงไร้ค่าถูกคนตระกูลเซี่ยทำร้ายทั้งที่เจ้า...ไม่เคยทำเรื่องใดผิดต่อพวกเขาเลย!”ม้าตัวพ่วงพีถูกควบเข้าสู่หมู่บ้านสือโถวอย่างรวดเร็ว เสียงแส้กระทบหลังม้าดังขึ้นเป็นครั้งสุดท้าย เซี่ยฉางเยี่ยนกระโดดลงมาทันทีก่อนจะเคาะประตูใหญ่หน้าเรือนเสียงดังปึง! ปึง! ปึง!เสียงเคาะประตูไม้บานใหญ่ของเรือ
แม้จะผ่านไปสิบกว่าปี... แต่ใบหน้าหล่อเหลาของเขายังคงแทบไม่เปลี่ยนไปจากในความทรงจำ คิ้วเข้มรับกับดวงตาเรียวยาวที่เคยเปี่ยมด้วยความมุ่งมั่น จมูกโด่งเป็นสันและริมฝีปากบางที่เคย...ตอนนั้นเขาคือชายหนุ่มผู้หนึ่ง วันนี้เขาคือชายวัยกลางคนที่ดูสุขุม นิ่งสงบ และมีร่องรอยของประสบการณ์ชีวิตมากขึ้นแต่สำหรับเขา... แม้นางจะสวมเสื้อผ้าธรรมดา แม้เส้นผมจะถูกรวบขึ้นเรียบร้อย แม้รอบดวงตาจะมีริ้วรอยจางๆ ทว่านางไม่เปลี่ยนไปจากความทรงจำของตนเลยแม้เพียงนิด“...หลี่หลันฮวา”ชายผู้นั้นเอ่ยชื่อของนางเสียงเบาสิบกว่าปีที่แล้ว เขาจากบ้านเพื่อเข้าร่วมกองทัพที่ชายแดนด้วยหัวใจที่คิดว่าจะสามารถทิ้งทุกอย่างไว้เบื้องหลังรวมถึง...นางที่แต่งงานกับน้องชายบัดนี้ใบหน้าอันสงบของนางมีรอยยิ้มอ่อนแสงในยามตอบรับถุงเงิน เสียงนุ่มของนางขณะเอ่ยขอบคุณ...ทุกอย่างได้ย้อนคืนมาทั้งหมด ความจริงเขาไม่เคยลืมนางเลย และไม่เคยลืมว่า...ครั้งหนึ่งเคยเกือบได้เป็นผู้ที่ยืนเคียงข้างนางเซี่ยฉางเยี่ยนยืนมองสตรีตรงหน้านิ่งๆ ขณะยื่นถุงเงินคืนให้ และทันทีที่นิ้วของทั้งสองแตะกันเบาๆ ภายในใจของเขาก็ระเบิดความรู้สึกเก่าให้กลับปะทุขึ้นอย่างช้าๆ“เจ้า..
หลี่หลันฮวากลับนั่งอย่างสง่างามเหมือนเช่นทุกวัน มือเรียวคีบขนมเปี๊ยะคำเล็กอย่างใจเย็น จิบชาเบาๆ พลางพยักหน้าให้บุตรสาวทั้งสองลองชิมเป็ดอบที่นางสั่งมาน้ำเสียง ท่าที แววตา ไม่มีแม้แต่น้อยของความซึมเศร้า ราวกับ...สายลมเย็นเมื่อครู่ไม่เคยพัดผ่านหลังอาหารยามบ่าย เซี่ยชิงหลีเดินเคียงข้างมารดากลับไปยังเกวียน หญิงสาวเงียบอยู่นานก่อนจะกลั้นใจถามขณะเดินผ่านใต้เงาไม้ริมทาง“ท่านแม่… ท่านไม่รู้สึกอะไรเลยหรือเจ้าคะ เมื่อครู่…”หลี่หลันฮวาชะงักเพียงเล็กน้อย ก่อนจะหันมายิ้มบางๆ ให้บุตรสาว“แม่เคยรู้สึก…เมื่อนานมาแล้ว”นางตอบเสียงเรียบทว่าแฝงไว้ด้วยแววอ่อนโยน“แต่วันนี้แม่มีลูก มีเป่าเอ๋อ มีอาเหิง มีพี่ชายของลูกที่กำลังพยายามอยู่ที่เมืองฮุ่ยโจว มีบ้านที่แสนอบอุ่น มีสบู่ที่หอมอบอวล มีทุกสิ่งที่หลายคนทั้งชีวิตต่างก็ฝันหา”นางยกมือขึ้นจับมือของเซี่ยชิงหลีอย่างอ่อนโยน“เขา...เป็นเพียงอดีต เป็นเพียงฝันร้ายที่ผ่านเข้ามา จึงไม่มีเหตุผลใดให้ต้องหยิบขึ้นมาจดจำ”เซี่ยชิงหลีรู้สึกเหมือนมีบางอย่างอุ่นวาบขึ้นกลางอก ความกังวลที่เกาะกุมหัวใจตลอดทั้งวัน สลายหายไปราวกับสายหมอกยามเช้าเมื่อเจอแสงแดดอ่อน“เจ้าสบายใจได