หลักจากเบสโพล่งประโยคขอคบหากับเรรันต์ออกมา แบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย โดยที่เธอไม่ทันตั้งตัว นอกจากมีปากกาที่หลุดจากง่ามนิ้วทั้งห้าแล้ว ยังมีปากที่อ้ากว้างค้างของเธอด้วยเธอถึงกับไปต่อไม่ถูกได้แต่นั่งอ้ำอึ้งอยู่อีกฝั่งของคนพูด เบสปั้นหน้าขอความเห็นใจสุดๆ เรียกคะแนนน่าสงสาร จากสายตาละห้อยนั้นของเขา
เพราะไม่อยากได้ยินคำปฏิเสธจากเธอเลย ในขณะหญิงสาวเหมือนจะใบ้กินไปแล้ว เธอเอาแต่หลบตา จนกระทั่งนานเกินไป ทำให้คนใจร้อนอย่างเบสทนรอไม่ไหว ต้องยื่นนิ้วชี้ตัวเองเข้าไปเกี่ยวนิ้วก้อยของเธอขึ้นมาเขย่า
" นะ รันต์นะ เบสชอบรันต์จริงๆ อย่าใจร้ายกับเบสเลย "
" แต่ว่า .."
" นะ ให้โอกาสเบสเถอะนะ "
" คือ.."
" นะ... "
เบสขัดคอเธอทุกทาง ดักทางเธอซะตันแบบนี้ ทำเอาสาวน้อยตาหวานถึงกับช่างใจ ตอนนี้เบสไม่ต่างกับเด็กน้อยขี้อ้อนร้องขอขนมเลย เธอมองหน้าเขาพร้อมครุ่นคิด สักพักนัยย์ต่ก็เกิดประกายขึ้นมา เสมือนนึกอะไรบางอย่างออก
...บางทีเบสอาจจะช่วยให้เธอลืมความรู้สึกดีๆที่มีต่อคิมหันต์ก็ได้ ...
ก่อนเม้มปากแน่นตัดสินใจพยักหน้า
" ก็ได้ "
เบสถึงกับอึ้งไปชั่วขณะ ไม่คิดเลยว่าจะได้ยินคำนี้
"จริงเหรอ จริงๆนะรันต์" เขย่ามือเธอรัวๆ " ฮ่ะๆๆ ขอบคุณนะ ขอบคุณ "
เขาดีใจจนออกนอกหน้า เผลอดึงมือเธอขึ้นมาจูบ
" เบส.. -///-"
ก่อนคนตาหวานจะชักมือกลับด้วยความเคอะเขิน เบิกตาโตใส่แกมตำหนิทันที
" เห้ย โทษที เบสดีใจมากไปหน่อย งั้นตอนกลับบ้านให้เบสไปส่งรันต์นะ "
" เราเอารถมา ตะกี้บอกไปแล้วนี่ "
" ทราบครับ เบสหมายถึงขับตามหลังรันต์ไปไง "
จบประโยคนี้ เรรันต์ถึงกับขมวดคิ้วอีกระลอก
"ไม่เอาดีกว่า เดี๋ยวนายแม่เห็นเราจะโดนเอ็ด "
" เบสอยู่ในรถ นายแม่รันต์จะเห็นด้วยเหรอ เบสขับผ่านไปก็ได้นี่ ไม่จอดหรอก นะ "
" เอ่อ.."
" นะๆ ได้มั้ย "
" อือ ก็ได้ "
เหมือนเคย สุดท้ายก็กลายเป็นเรรันต์ที่ต้องเป็นฝ่ายยอมในลูกตื้อของเขา
" งั้นไปยืมหนังสือเถอะ ก่อนที่ห้องสมุดจะปิด"
" อื้ม ^^"
..บ้านจรัญทิพย์...
ระหว่างเบสขับรถตามมา เรรันต์กังวลตลอดทาง เธอกลัวคุณนายอารีย์จะรู้และเห็น เลยเอาแต่ชำเลืองมองผ่านกระจกหลัง ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว จนกระทั่งถึงที่หมาย เบสทำตามอย่างที่เขาว่าจริงๆ พอเธอเปิดไฟเลี้ยว เขาก็ขับเลยไปเลย
เรรันต์มาถึงฟ้าก็มืดค่ำแล้ว กิจวัตรประจำของเธอ ปกติเดินเข้าบ้านจะต้องแวะดื่มน้ำในครัวก่อนทุกครั้ง ถึงจะขึ้นไปอาบน้ำอาบท่าแล้วลงมาทานข้าว ไม่ว่าจะดึกแค่ไหนเป็นอันว่าคนใช้จะต้องเห็นเธอ และได้ทักทาย
ทว่า..วันนี้ไม่เหมือนเช่นเคย หญิงสาวกลับเลือกที่จะเดินผ่านห้องรับแขก ซึ่งในระหว่างเดินนั้น เธอไม่ทันสังเกต ว่าใครบางคนซึ่งนั่งรออยู่ก่อนแล้ว กำลังมองเธอ
และเหมือนจะเห็นตั้งแต่เธอเลี้ยวรถเข้ามาแล้ว แถมยังเห็นไปถึงรถที่ตามหลังเธอมาอีกด้วย!
รถคันทั่วไปหากผ่านหน้าบ้านจะไม่ชะลอ ไม่วกกลับมาเป็นรอบที่สอง ในระยะเวลาไล่เลี่ยกันเช่นนั้น
หญิงสาวเดินอาดๆเข้ามา ตั้งใจจะขึ้นห้องไปเคลียร์รายงาน แต่แล้วจังหวะที่เธอกำลังจะเดินขึ้นบันได กลับต้องชะงัก เพราะประโยคเรียบทุ้มนี้
" เรรันต์ " ที่เรียกเธออยู่ข้างหลัง
มันคือเสียงของใครสักคน ที่สัญชาตญาณเธอคุ้นเคย แต่ไม่เหมือนเก่า เรรันต์ยืนชะงักค้างเพียงอึดใจเดียว ก่อนจะหมุนตัวกลับไปอย่างไว
ไปเห็นร่างสูงเผยรอยยิ้มในวินาทีแรกให้เห็น แค่มุมปากเท่านั้น ด้วยท่วงท่านั่งชิลล์อยู่บนโซฟากับชุดดำทั้งชุด ทำเรรันต์ถึงกับอ้าปากค้าง วินิจฉัยหน้าของเขา กวาดมองไปทั่วทุกตารางนิ้ว เพื่อความมั่นใจ ก่อนจะเบิกตาโตโพลง
" สบายดีไหมคะ.."
เขาเลิกคิ้วถาม ไม่ทันจะจบคำด้วยซ้ำ เรรันต์ลืมตัว ทิ้งสัมภาระที่กอดอยู่ทุกชิ้น เพื่อถลาเข้าไปหา ก่อนจะทุ่มน้ำหนักตัวใส่เขาเต็มๆ
"พี่คิม!"
.
งานมงคล... ประตูวิวาห์แสนจะฉุกละหุก ถูกจัดขึ้นในวันที่เหมาะสมที่สุด ต่างเป็นข่าวลั่นวงการนักธุรกิจอึกทึกครึกโครม เป็นบ่อเกิดความอับอายให้แก่คุณนายอารีย์ไม่น้อย ทว่า มันไม่ใช่การจำใจทำ แต่เกิดขึ้นมาด้วยความรักลูกและหลานล้วนๆ หล่อนไม่จำเป็นต้องใส่ใจหรือแคร์บุคคลอื่น ที่มีสถานะเป็นคนนอก ไม่ได้หาเงินให้หล่อนกินสักนิด " รัดไปไหมคะคุณหนู " เสียงเจิมเล็ดลอดออกมา สร้างรอยยิ้มตรงมุมปากคนยืนฟังอยู่ห่างๆ ทอดสายตามองไปยังเจ้าสาวตัวน้อยๆ ที่ไม่สมควรจะเป็นแม่คนด้วยซ้ำ แล้วกลั้นขำ " ฟู่ววว นี่ฉันควรจะดีใจหรือเสียใจดี " เรรันต์บ่นอุบ แม้จะถูกตราหน้าว่ามั่ว เป็นวงศ์ตระกูลฉายาสมพาลกินไก่วัด ทว่า หญิงใหญ่เสียงแหบเกินหวานอย่างเช่นคุณนายอารีย์น่ะหรือจะเดือดร้อน หล่อนคิดว่าดีซะอีก จะได้ไม่ต้องจัดกระบวนขันหมากไปขอใคร กินกันเองนี่แหละ ถือว่าดีไปอีกแบบ ขืนได้ลูกสะใภ้แย่ๆมา บ้านจะแตกน่าดู " เอาล่ะเรรันต์ เสร็จแล้วก็ออกไป แขกเรื่อมารอกันเพียบแล้ว นี่ฉันว่าฉันเปล่าเชิญใครนะ ทำไมถึงได้เยอะเกินคาด " ประโยคหลัง
‘ ไม่นะคะ พี่คิม‘ โพล่งเสียงแหลม พร้อมถลาเข้าไปกุมมือใหญ่ไว้ เปิดโอกาสให้คิมหันต์ดึงเธอเข้าไปกอดได้พอดี “ อ๊ะ! ” ล็อคตัวเธอซะแน่นหนา ให้สมกับความคิดถึง และทรมานที่เขานั้นเจอมา ทำเรรันต์ดิ้นไม่หลุด เพิ่งมารู้ว่าถูกหลอกให้พูด ก็ตอนที่คิมหันต์โกหกเธอ ก็ตอนเขาหอมหนักๆ ลงหลายฟอดตรงซอกคอ ฟอดดดด " คิดถึงจัง..." “ นี่ หยุดนะ! ” ตัดสินใจผลักออกไปอย่างแรง จนเขาผงะ ก่อนจะเหวี่ยงฝ่ามือเข้าไปเต็มๆหน้า เพี้ยะ! ชายหนุ่มชาวาบไปทั้งหน้า หันไปยังไงกลับนิ่งอยู่ในท่านั้น รอให้หายมึน หายอึ้งก่อน จึงจะหันกลับ “รันต์...” “ หนูไม่ชอบ! “ กลับมาเจอเสียงแข็งของหญิงสาว พร้อมหน้ายับยู่ยี่ เธอเบิกตาโพลงมองคนตรงข้ามด้วยความโกรธ ในขณะคิมหันต์นั้นตกใจ “ พี่แค่กอดเองนะรันต์ “ “ กอดที่ไหน ตะกี้พี่...” “ ทำไม... “ ทำท่าจะเถียง แต่ต้องมาชะงัก เพราะคิมหันต์แทรกด้วยเสียงที่สั่นกว่า “ ถึงเป็นแบบนี้ไปได้ล่ะ “ สีหน้าเข้าสลด ดวงตาสั่นเครือ เต็มไปด้
" ขวัญเอ๋ยขวัญมานะลูกนะ " เสียงคุณนายอารีย์ แม่บุญธรรมของเรรันต์เอื้อนขึ้น หลังออกจากโรงพยาบาล กลับมาพักฟื้นที่บ้าน ในขณะที่เธอนั่งอยู่บนรถเข็น โดยมีคิมหันต์เป็นคนดูแล " นายแม่.." เสียงเรียกน้อยๆของเธอ ทำหล่อนยิ้มฝืนเลื่อนมือลูบหัวลงมาลูบแก้ม ก่อนจะมองคนป่วยน้ำตาคลอ " เดี๋ยวก็หายแล้วลูก " "ฮึก.." ไม่ต่างกับเรรันต์เลยในตอนนี้ที่ปล่อยน้ำตาให้มันไหลลงมาแล้ว เธอไม่ได้เจ็บปวดเพราะเกิดอุบัติเหตุ แผลบนร่างกายไม่ได้ทำให้เธอเจ็บสักเท่าไหร่ แต่แผลในใจต่างหากที่มันอักเสบซะจนกลัดหนอง เรรันต์รู้สึกผิด ผิดเต็มๆที่ทำคนเป็นแม่เสียใจขนาดนี้ เธอรู้ สิ่งที่ได้มาอาจจะเป็นคำปลอบใจ แต่ขณะเดียวกันในใจลึกๆของคนพูดไม่ต่างกันเลยกับเธอ ยกมือขึ้นไหว้ แล้วบอกขอโทษ ในจังหวะที่นายแม่โน้มตัวลงมาพอดี " รันต์.." หล่อนบีบมือบางนั้นเบาๆ บอกเป็นนัยๆว่าไม่ได้โกรธ ก่อนจะดึงเข้ามากอด ซึ่งนั่นเปิดโอกาสให้เรรันต์ที่สะอื้นไห้อยู่แล้ว ปล่อยโฮอย่างเต็มที่ " ฮือๆๆ ฮือ.." ร้องไห้สะอึกสะอื้นไม่ต่าง
ฝั่งด้านของคิมหันต์ตอนรู้ข่าว เขาเปล่าหึงหวงที่รู้ว่าเพื่อนสนิทกินน้ำใต้ศอกกันอย่างนั้น ไม่ได้ถือว่าเป็นของเหลือ เพราะไม่อยากดูถูกใคร แค่นึกไม่ถึงมากกว่าว่าคนอย่างสิงขรน่ะหรือจะทำมันจริง ปกติเขาเป็นคนเลือกมาก แต่พอได้ยินเหตุผลประมาณว่า เขานั้นมีน้ำใจอยากจะช่วยเพื่อน หวังกำจัดหล่อน ชายหนุ่มเลยไม่ติดใจอะไรอีก ในขณะคิมหันต์เปล่าคิดว่ามันจะสมควร ไม่ใช่ว่าจะไม่สนับสนุน เพียงแต่อีกใจนึงของเขา เขานึกสงสาร เห็นใจเพราะนี่ไม่ใช่วิสัยโดยตรง การทำแบบนี้มันดูหน้าตัวเมีย ทว่า เมื่อหันมาเห็นคนนอนนิ่ง ไม่ไหวติงอยู่ ทำชายหนุ่มแทบสะอึก จุกจนพูดไม่ออก ใช่ กับสิ่งที่ภรรยาเขาเจอล่ะ ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่กี่เดือน เธอยังอยู่ในคราบน้องสาวเขา แต่กลับต้องมาหมดอนาคตนับตั้งแต่เขานั้นกลับมา มันยุติธรรมแล้วหรือ? 15.00น. ร่างสูงยืนตระหง่านอยู่หน้าห้องในโรงพยาบาลด้วยความหมดแรง วันนี้เหยียบเข้ามาวันที่สิบสองแล้ว ภรรยาตัวน้อยๆของเขายังไม่มีทีท่าว่าจะฟื้น สองสามวันมานี้ เขารู้สึกเหงา และอ้างว้างเหลือเกิน กับเข็มนาฬิกาที่เดินไปเรื่อยๆ เชื่องช้าซะเหมือนแทบจะคลาน มันทำเขาไ
เมา... ศักยภาพของมันคืออะไรใครพอจะเข้าใจถึงความหมายตรงนี้บ้าง?? สำหรับคนทั่วไป อาจจะมองว่ามันทำให้ขาดสติ ทำอะไรสักอย่างออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่ในความคิดส่วนตัวอย่างแอดมินสกั้งคนเขียนเรื่อง จะบอกให้รู้เลยตรงนี้ว่า.. ประเด็นสำคัญหลักของคนเมาไม่ได้อยู่น้ำเมา แต่มันอยู่ที่ตัวบุคคล คนที่ดื่มเข้าไป บางคนไม่ได้แย่ เมาคือการปล่อยโอกาสให้สันดานไม่ดีในจิตใต้สำนึกของคนกินนั้นออกมามากกว่า ดุจแพรววาตอนนี้ ที่ต่อให้เมารึไม่ ความเป็นเธอก็ยังคงเป็นเธอ ควงจริตยังไงไว้ข้างในก็ยังคงมีมันอยู่อย่างนั้น ถึงรู้อยู่แก่ใจว่าหล่อนนั้นผิด ผิดตั้งแต่เดินเข้ามาในชีวิตของคิมหันต์เพราะจุดประสงค์บางอย่างที่ไม่ใช่ความรัก หล่อนก็ยังไม่แคร์ สำนึกผิดอยู่ตรงไหนในความคิดหล่อน...คงไม่มี อันที่จริงหล่อนควรจะหายไปจากชีวิตของคิมหันต์ตั้งแต่แรกแล้วด้วยซ้ำ ไม่ควรจะกลับมาให้เห็นหน้านับตั้งแต่เขาจับได้ คิมหันต์ทำตามข้อตกลงกับหล่อนอย่างถี่ถ้วนไม่มีข้อบกพร่องด้วยเงินห้าล้านบาท ทว่า..ทำไมยังไม่พอ หล่อนยังหวนคืนกลับมาใหม่ เพื่อยั่วยวนเขา
คำจากปากหมอ ที่ว่าเรรันต์นั้นพ้นขีดอันตราย ปลอดภัยหายห่วงแล้ว ทำทุกคนซึ่งเฝ้าคอยแต่เข้าใจแค่ครึ่งเดียว ใช่อยู่ว่าเธอไม่ตาย แต่ทำไมยังไม่ฟื้น นี่ก็ผ่านมาจะเข้าวันที่สิบแล้ว หญิงสาวไม่มีทีท่าว่าจะลืมตาขึ้นมาเลย ความวิตกกังวลมาตกอยู่ที่คิมหันต์ เขาจะต้องทรมานแค่ไหน หากวันนึงไม่มีเธอ เขาเอาแต่โทษตัวเขาเอง กับการเจ็บตัวที่เรรันต์นั้นได้รับ กร่นด่าในใจสารพัด เฝ้าภาวนาให้เธอนั้นฟื้น เพื่อที่วันนั้นเขาจะได้กลับไปแก้ตัวเองใหม่ ทิ้งสันดานไม่ดี ผวนกลับมาดูแลเธอเต็มที่ ให้สมกับสิ่งที่เธอคู่ควร ...ซึ่งในฐานะภรรยาไม่ใช่น้องสาว.... ทุกๆภาพ ทุกๆเหตุการณ์ มันทำให้เขาเจ็บปวด หากย้อนเวลากลับไปได้ เขาจะไม่ทำมันเลย รู้ว่ามันสาย รู้ว่าเพ้อฝัน และรู้ว่าเขานั้นผิด...พูดคำนี้ใครได้ยิน ก็คงมีแต่คนสมน้ำหน้า เหยียบย้ำซ้ำเติม ทว่า มันไม่มีความคิดไหนอีกแล้ว ที่จะเยียวยาจิตใจ นอกไปจากการสำนึกผิด และโทษตัวเองแบบนี้ สิบวันที่ผ่าน ใช่ว่าเขาจะกินอิ่มนอนหลับ คิมหันต์เครียดแทบจะอยู่บ้านไม่ติด ไม่ใช่ว่าคุณนายอารีย์เอาแต่ด่า ไม่ใช่หล่อนเอาแต่บึ้งตึงใส่