“พูดมีเลศนัย”
“ผมได้กลับเข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ ตำแหน่งที่โรงแรม...”
อานิกออกชื่อโรงแรมใหญ่ริมแม่น้ำแห่งหนึ่งให้อุรวีทำตาโต แล้วหล่อนก็มีกิริยายินดีจนเห็นได้ชัด
“ดีซิ ที่นั่นมีห้องอาหารที่อาหารอร่อยเยอะ”
“เป็นงั้นไป ผมนึกว่าเพราะผมได้เข้ากรุงเทพฯ เสียอีก ที่ทำให้วีดีใจ”
เขาตัดพ้อ แล้วหลังจากนั้นระหว่างรออาหารมาเสิร์ฟ ก็เป็นการคุยกันเรื่องสารทุกข์สุกดิบต่างๆ แต่ก่อนจะได้อิ่มกับอาหาร อุรวีได้อิ่มกับคำหวานจากปากของอานิก จนหัวใจของหล่อนพลอยเบิกบานไปหมด
“ไปดิ้นต่อหน่อยดีไหม...จะได้ขยับแข้งขยับขา...ไม่อ้วนดีด้วย”
“ขอโทรฯ กลับบ้านก่อนนะ...เดี๋ยวคุณยายกับคุณป้าจะเป็นห่วง”
อานิกขอตัวไปเข้าห้องน้ำเมื่ออุรวีแยกไปโทรศัพท์ หล่อนแจ้งข่าวให้คุณยายได้รู้ก่อนว่าจะไปไหน แล้วจะกลับบ้านเวลาประมาณเท่าใด เผื่อว่าท่านจะได้ไม่ห่วง พอวางโทรศัพท์ลงหันกลับมา...ก็เกือบจะชนกับผู้ชายคนหนึ่งที่เดินเข้ามาด้วยท่าทางเหมือนจะใช้โทรศัพท์ด้วยเหมือนกัน
“ขอโทษครับ”
ได้ยินน้ำเสียงของเขา แต่ยังมองไม่เห็นหน้า อุรวีได้แต่อุทานอยู่ในใจว่า ผู้ชายคนนี้สูงจัง จนต้องแหงนหน้าขึ้นมอง แล้วพอเห็นดวงหน้านั้น หล่อนก็ไม่ได้แสดงความประหลาดใจออกมาแต่อย่างใด นอกจากเปิดยิ้มให้ แล้วกล่าวทักทายเขา
“ไปๆ มาๆ ก็ยังมาพบกันที่นี่อีกจนได้”
เขาไม่พูด มองดูหล่อนเฉยๆ ดูเขาเหมือนรูปสลักที่มั่นคง เฉยชา ปราศจากชีวิตจิตใจ ถึงจะเป็นหนุ่มหล่อ แต่ทำท่าแบบนี้ สำหรับอุรวีหล่อนก็รู้สึกเต็มกลืนอยู่เป็นอ้นมากเหมือนกัน
“ผมจะไปโทรศัพท์”
เขาบอก เสียงเบามากจนเกือบจะไม่ได้ยิน เพราะรอบๆ ตัว คือเสียงอึกทึกตามแบบร้านอาหาร อุรวียังยืนกอดอกเฉยๆ อยู่ เขาจึงบอกย้ำอีกหน
“เดี๋ยวผมจะต้องรีบไป หลีกทางให้ผมหน่อยได้ไหม”
นั่นแหละ หล่อนถึงเบี่ยงไหล่ให้เล็กน้อย แต่ก็ยังไม่ได้ขยับไปทางไหน ครั้นเห็นเขาปรายตามามองขณะหมุนหมายเลขโทรศัพท์ หล่อนก็บอกหน้าตาเฉย
“ฉันรอเพื่อนอยู่ อยากโทรฯ ก็โทรฯ ไปซิ ไม่ต้องกลัวว่าฉันจะแอบฟัง เพราะได้ยินอยู่แล้ว”
เขาสะอึกได้เหมือนกัน แต่มองเห็นหน้าอุรวีไม่ถนัดนัก เพราะหล่อนยืนหันข้างให้เขา
แต่เขาก็รู้ว่าอุรวีเงี่ยหูฟังทุกถ้อยคำที่เขาพูดอย่างหน้าตาเฉยเหมือนกัน ที่อัมพุพูดโทรศัพท์เป็นภาษาอังกฤษ แล้วทำให้อุรวีถึงกับตวัดสายตามามองเหมือนจะหมั่นไส้เต็มอก
เพราะอุรวีจับใจความได้ไม่หมด ภาษาอังกฤษสำหรับหล่อนนั้นไม่สู้จะสันทัดจัดเจนสักเท่าไหร่เลย ฟังได้เพียงผ่านๆ หู เท่านั้น แล้วใจของหล่อนก็ค่อนว่าเขาได้
...ดัดจริต...
หล่อนรอจนกระทั่งอานิกเดินมาหา จึงเกาะแขนเขาเอาไว้ พร้อมด้วยน้ำเสียงฉอเลาะที่ทำให้อัมพุเองก็ยังสะดุดหู
“แหม...นิกเข้าห้องน้ำนานจัง รู้ไหมว่าวีน่ะกำลังหูอื้อ...”
อานิกไม่เข้าใจ แต่อัมพุเข้าใจ และยังประหลาดใจไม่วายว่าทำไมอุรวีถึง ‘รวน’ หาเรื่องกับเขาถึงเพียงนี้ ก็เพิ่งได้เห็นหน้าและได้รับการแนะนำให้รู้จักกันเมื่อตอนเช้านี้เอง
“ทำไมล่ะ หรือว่าเอะอะกับเสียงดนตรี”
“เปล่าจ้ะ แต่วีไม่คุ้นกับลิ้นอ่อนๆ เหมือนลิ้นนกขุนทองของคนบางคน พูดภาษางี้ได้เกือบเหมือนเจ้าของภาษา แหม...ถ้าเป็นนกนะ คงจะเลี้ยงง่ายดีจัง ฝึกง่าย ลิ้นอ่อน...ไม่ต้องไปขูดลิ้นกันอีก”
อัมพุเกร็งขึ้นทั้งตัวทีเดียว แล้วก็พูดไม่ออก ทั้งที่เสียงปลายสายที่เขาสนทนาอยู่ด้วยจะดังมาเจื้อยแจ้วอยู่ก็ตามที ดวงตาของเขามองเลยไปประสานกับดวงตากลมๆ ของอุรวี ที่มองมาทางเขาเหมือนจะท้าทายอยู่แล้ว แววตาของหล่อนเหมือนจะบอกเขาว่า ที่หล่อนพูดมาทั้งหมดนั้นหมายถึงเขา
...แล้วนายจะทำไม...
เขาเองก็ผ่านชีวิตมามาก พานพบผู้หญิงมาก็ไม่น้อย ทั้งที่สวยและไม่สวย แต่อุรวีเป็นผู้หญิงที่มีรูปสมบัติพอจัดเข้าขั้นว่าสวย เสียอยู่ตรงที่เหมือนหล่อนขาดเสน่ห์ นั่นทำให้ความงามของหล่อนลดน้อยถอยลงไป
“ไปกันเถอะ...”
หล่อนเกาะแขนอานิกเดินออกไป แต่เสียงของหล่อนยังเข้ามากระทบหูเขาอยู่นั่นเอง
“วีต้องทำท่าเป็นฝาหรั่งเอาไว้มั่ง มันโก้เก๋ดี...จริงไหมจ๊ะ นิก อย่างเวลาเดินนี่ก็ต้องเดินกอดกัน...”
เสียงหัวเราะของหล่อนยังหวานวะแว่วอยู่ แต่กังวานเสียงที่หล่อนจงใจจะฝากเอาไว้ถึงเขานั้นมันค่อนข้างจะเย้ยหยัน จนอัมพุไม่เข้าใจว่าทำไมหล่อนถึงปฏิบัติแบบนี้กับเขาด้วย
เขาไปทำความเดือดร้อนอ้นใดให้กับหล่อนแน่
และเพราะอัมพุไม่ได้รู้ถึงเบื้องหลังอ้นสลับซับซ้อนของอุรวีกับอันธิกา
เขาเพียงแต่เป็นคนนอกที่พลัดหลงเข้ามาในกระแสของความชิงชัง ที่สองหญิงมีต่อกันเท่านั้น
“ขอให้อ้นไปทักทายญาติก่อนได้ไหม”
อันธิกาบอกเมื่อไขกุญแจรถได้แล้ว เพราะได้ยินเสียงแตรรถเรียกกระชั้น พร้อมกับเสียงเรียกชื่อหล่อน อัมพุมองตามไป แล้วก็ได้เห็นดวงหน้าของหญิงสาวที่โผล่ออกมา คิ้วเข้มหนาของเขาดึงเข้าหากันอย่างประหลาดใจ...อุรวีเป็นญาติของอันธิกาหรอกหรือนั่น...ชายหนุ่มมองไปเพียงแวบเดียวก็ไม่ได้แยแสอีก เปิดประตูเข้าไปนั่งรออันธิกาอยู่ในรถ
จนกระทั่งรถคันนั้นแล่นออกไปแล้ว อันธิกาเดินกลับมาที่รถ เปิดประตูขึ้นมานั่งหลังพวงมาลัย ท่าทางของหล่อนยังเป็นปกติ แต่การออกรถอย่างกระชากๆ อยู่สักหน่อย ก็ทำให้อัมพุปรายตามอง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา นอกจากปิดปากนิ่งเฉยเสีย เพราะถือว่าไม่ใช่กงการของเขาเลย
“รู้จักญาติของอ้นแล้วนี่คะ อุรวี...เขาเป็นนักดีไซน์ฝีมือเยี่ยมของบริษัท อีกหน่อยคุณก็ต้องทำงานประสานกับเขาเรื่องหนังสือ”
“คุณสุนิสาแนะนำให้รู้จักเมื่อเช้า”
“วีเขามีศักดิ์เป็นพี่...”
“ผมนึกว่าคุณอ้นเป็นลูกสาวคนเดียว”
“ค่ะ อ้นน่ะลูกคนเดียว...เขาน่ะแค่ศักดิ์เป็นพี่...จะว่าไงดีล่ะ...วีเขาใช้นามสกุลทางแม่ เขาไม่ยอมใช้นามสกุลของพ่อ เพราะเกลียดพ่อมาก วีเขาเป็นคนรุนแรง รักก็จี๋ เกลียดงี้น่าขนลุก...เป็นคนอาฆาตพยาบาท ก็ดูเถอะค่ะ ขนาดพ่อแท้ๆ เขายังคุมแค้นสารพัด นับประสากับคนอื่น...พ่อน่ะพยายามทำดีกับวีมาตลอด บริษัทนั่นน่ะ พ่อสร้างมันขึ้นมาเพื่อให้วีเขาได้ทำงานนะคะ...คุณไปทำงานที่นั่น ก็ควรจะได้รับรู้ข้างในเป็นยังไง”
“ผมก็ทำงานของผมไป ใครจะเป็นยังไงผมไม่สนใจหรอกครับ จะทำงานของผมให้ดีที่สุดเท่านั้น”
“อ้นบอกเอาไว้ เผื่อว่าวีจะตั้งแง่เอากับคุณมั่ง...เขาขวางคนง่ายเกินไป เอาเถอะค่ะ เราพูดเรื่องของเรากันดีกว่า เก็บเรื่องของวีเค้าไปก่อน เพราะไม่เกี่ยวกับเรา”
แต่อันธิกาก็ไม่ได้รู้สักนิดว่า ที่หล่อนบอกกล่าวเอาไว้นั้น ไม่ได้หายหกตกหล่นไปจากความทรงจำของอัมพุเอาเสียเลย
อัมพุยอมรับว่าเขาออกจะใจดำเกินไปสักหน่อย เมื่ออันธิกามาส่งเขาที่ห้องพักแล้วเขาทำเฉยเมย เหมือนไม่รู้ว่าที่จริงแล้ว หล่อนอยากจะให้เขาออกปากเชื้อเชิญเข้ามาในห้อง แม้จะเป็นเพียงช่วงสั้นๆ สักห้านาที ก็เชื่อได้ว่าหล่อนคงจะปีติยินดีในการจะเข้ามาอย่างแน่นอน
ที่เขาทำก็คือรีบร้อนบอกลาในคืนนี้ด้วยเสียงนุ่มนวล อย่างน้อยเขาก็ยังระวังความรู้สึกของอันธิกา รู้ว่ามีบางจุดในตัวหล่อนที่เปราะบางเสียเหลือเกิน แล้วเขาก็รู้อีกด้วยนั่นแหละว่า มีหนี้บุญคุณที่เขายังไม่ได้ชดใช้ต่อหล่อน
“ขอบคุณมากครับ คุณอ้น ที่พาไปกินข้าว แล้วมาส่ง”
อันธิกาสะกดกลั้นความผิดหวังเอาไว้อย่างยากเย็นเป็นอ้นมาก ดูเหมือนว่าหล่อนจะได้ลงทุนลงแรงไปเป็นอ้นมากกับผู้ชายคนนี้ แต่ยังไม่มีสิ่งตอบสนองน่าพึงพอใจเอาเสียเลย หญิงสาวยังยิ้มแย้มเป็นอ้นดี ตอบแกมด้วยเสียงหัวเราะๆ ว่า
“คุณท่าจะง่วงแย่แล้ว ดูตาซิ...”
“ยายอ้นหายไปอีกแล้วละค่ะ”คุณอาร์มกลับเข้ามาถึงบ้านในตอนตีหนึ่ง มีกลิ่นหอมบางอย่างติดตามเสื้อผ้าของเขามาด้วย แต่คุณนพมาศก็ไม่ได้เอามาจับผิดมากมายนัก เขาอาจจะไปกับเพื่อนฝูงในแวดวงธุรกิจของเขา แล้วไปลงเอยในที่ที่มีเหล้าขาย มีหญิงบริการ เธอเองก็ป้อนให้เขาอีกไม่ได้แล้วในเรื่องทำนองนั้น ตราบใดที่เขาไม่ได้เอาผู้หญิงคนไหนมาเลี้ยงเป็นตัวตน ตราบนั้นเธอก็มองข้ามเรื่องแบบนี้ไปได้เหมือนกัน“ไปดิ้นอยู่มั้ง”เขารูดเนกไทออก กลับมาจากบ้านของสุนิสาในสภาพที่เหมือนเพิ่งออกไปจากบ้าน แต่คุณนพมาศก็จะไม่รู้เด็ดขาดว่ามาจากบ้านของสุนิสา“เธคยังไม่เลิกนี่ ยายอ้นแกก็ไปอยู่บ่อยๆ” เขาไม่เห็นเป็นเรื่องแปลก เมื่อตอนค่ำที่เห็นอันธิกาอยู่บ้านนั่นตะหากถึงเป็นเรื่องแปลกมาก “เดี๋ยวพอเธคเลิก ร้านข้าวต้มปิด ก็พอดีได้เวลากลับมานอน”“แกมีอะไรแปลกๆ”ด้วยความเป็นแม่ เธอห่วงลูกมากกว่าเขา คุณนพมาศยังไม่ได้นอน แม้เวลาจะเข้าไปตีสามแล้ว สามีของเธอนอนหลับไปเรียบร้อยแล้ว เธอยังตื่นอยู่ ลืมตาโพลงอยู่บนเตียง จนกระทั่งได้ยินเสียงรถของอันธิกาแล่นเข้ามาในบ้าน เธอก็ลุกขึ้นสวมรองเท้าแตะที่ถอดวางเอาไว้บนพรมเล็กหน้าเตียง เปิดประตูห้องอย่างแผ
อันธิกาวางหูลง สีหน้าของหล่อนกระด้าง แล้วหล่อนก็ทนอยู่ไม่ได้ ลุกจากบนเตียงนอนไปเปิดตู้เสื้อผ้า หยิบเสื้อผ้าออกมา แล้วลงมือแต่งตัวอย่างรวดเร็ว“อ้น จะไปไหน”“จะออกไปข้างนอกค่ะ”หล่อนวิ่งออกไป ทิ้งให้คุณนพมาศมองตามด้วยความห่วงใย ก็เป็นเช่นนี้ทุกครั้งที่อันธิกาออกไปจากบ้านในยามค่ำคืน ไม่ใช่เป็นแต่เพียงครั้งนี้เท่านั้น แต่คราวนี้ความห่วงใยมีมาก เพราะผู้ชายคนนั้น...ผู้ชายที่คุณนพมาศไม่พึงปรารถนาเอาเสียเลย เพราะข่าวลือของเขาออกมาในทางเสื่อมเสียมากกว่าในทางดีคุณอาร์มก็ไม่อยู่เสียด้วย ไม่รู้จะหันไปพูดกับใคร นอกจากผุดลุกผุดนั่งอยู่ตลอดเวลา ว่าป่านนี้อันธิกาจะเตลิดไปหานายคนนั้นหรือไม่ เห็นทีเธอจะต้องจัดการทำอะไรบางอย่างเสียแล้ว แทนที่จะมองดูอยู่เฉยๆคุณนพมาศไม่ได้เห็นว่าอันธิกาทำอะไรไปบ้าง เมื่อออกมาจากบ้านแล้ว และหากเห็นคงจะตระหนกตกใจเสียเป็นแน่...เสียงเคาะประตูห้องรัวๆ ค่อยๆ ดังขึ้นเรื่อยๆ จนเขาต้องรีบออกมาจากห้องน้ำ...ทั้งที่เนื้อตัวมีแต่เพียงผ้าขนหนูพันกายเอาไว้เพียงผืนเดียว แง้มประตูออกดูก่อนว่าใคร แต่ยังไม่ได้ปลดโซ่ออก แล้วชายหนุ่มก็ผงะกลับ เมื่อเห็นเป็นอันธิกา...หล่อนมาทำไมในเวลาป่านน
หนุ่มใหญ่ร่างสูงผิวคล้ำ มีรอยยิ้มรื่นเริงประดับอยู่บนใบหน้า ใต้เรียวหนวดบางๆ ที่ขลิบเอาไว้เป็นระเบียบ เขาส่งมือมาก่อนด้วยความเคยชิน แล้วก็ชะงักเมื่ออุรวียกมือไหว้ ได้ยินแต่เสียงหัวเราะฮ่าๆ ชอบอกชอบใจ“โทษที ผมลืมไป” เขารับไหว้ พูดด้วยเสียงดังฟังชัด อายุของเขาคงจะมากกว่าอัมพุ...แต่เรื่องนี้หล่อนก็ไม่อยากเดา เพราะอุรวีเดาอายุของใครไม่เคยถูกเลยสักหน“ที่นี่มีแต่แขกฝรั่ง นานๆ ทีจะได้ต้อนรับแขกคนไทย...คุณคนนี้หรือเปล่าที่ว่าไปตามตัวนายจากโน่น ให้กลับมาทำงานที่นี่”เขาคงคิดว่าหล่อนเป็นอันธิกา หญิงสาวไม่พูดอะไร แต่อัมพุเป็นคนอธิบายเสียเอง ต่อความเข้าใจผิดที่ว่านั่น“พี่สาวคุณอันธิกา...”“ตามสบายนะครับ...อาหารจานนี้...” เขาแนะนำคล่องแคล่วสมกับเป็นเจ้าของ และยังเป็นพ่อครัวด้วยตัวเองอีกด้วย “แล้วตามด้วยจานนี้...รับรองครับว่าอร่อยมาก...ผมลงมือปรุงเอง...อัมพุ...จะลองฝีมืออีกไหม...” อีกฝ่ายเชิญชวน ก่อนจะบอกอุรวีว่า “อัมพุมีฝีมือเหมือนกันนะครับ เขาเคยไปฝึกวิทยายุทธ์ ใหม่ๆ ก็ทนกลืน พอนานเข้ามันก็ใช้ได้”“อย่าเลย จะพลอยเสียเครดิตร้านไปเปล่าๆ พาคุณวีมาชิม...แล้ววันหน้าจะได้มาเป็นลูกค้าประจำ”“เชิญนะคร
อันธิกาไปใช้โทรศัพท์อีกห้องหนึ่ง ต่อสายไปหาอัมพุก่อนโอเปอเรเตอร์บอกว่าไม่มีคนรับสาย แปลว่าอัมพุยังไม่กลับมา แล้วพอโทรฯ ไปบ้านอุรวี หญิงสาวก็ยังไม่กลับบ้านเหมือนกัน หล่อนหงุดหงิดจนอยากจะยกโทรศัพท์ขึ้นทุ่มทิ้ง“โทรฯ หาใคร”คุณนพมาศเดินเข้ามา หล่อนได้ยินเสียงรถยนต์แล่นออกจากบ้าน มันเป็นปกติธรรมดา บางทีคุณอาร์มก็จะไปตรวจงานของเขา กว่าเขาจะตั้งมั่นขึ้นมาได้ เขามีความขยันเป็นแรงผลักดัน แล้วก็ไม่ปล่อยงานทุกชิ้นผ่านไปโดยไม่ได้ตรวจสอบจากเขาอีก โดยที่คุณนพมาศกับอันธิกาไม่รู้เหมือนๆ กันว่า นี่คือคืนวันศุกร์ คืนที่เขาจะต้องแวะไปหาสุนิสา หลังจากตระเวนไปเรื่องงานของเขาแล้ว...แต่เขาไม่เคยค้าง...ไม่เคยทำให้ทางบ้านจับได้ว่า เขามีบ้านเล็ก“อัมพุค่ะ”หล่อนบอกอย่างเปิดเผย หงุดหงิดหันรีหันขวางอยู่พักหนึ่ง อันธิกาถึงเรียกสาวใช้ขึ้นไปหยิบบุหรี่มาให้ คุณนพมาศไม่ได้ท้วงติง แต่ก็มองอย่างไม่ชอบใจสักเท่าไหร่“วันนี้ไม่เจอเขาหรอกรึ”“เจอน่ะเจอค่ะ...แต่ตอนเย็นไม่ได้เจอ...นี่เขาไปไหนก็ไม่รู้” หล่อนเงยหน้าขึ้นพ่นควันบุหรี่ลอยตามกันออกมาเป็นสาย... ”อ้นกำลังคิดอยู่ว่าเขาจะมีที่ไปที่ไหนอีก”“ทำเหมือนเขาไม่มีที่ไป นี่แ
อุรวีออกจากห้องก็เกือบจะหกโมง สำนักงานทั้งหมดต้องปิดไฟแล้ว มีแสงไฟลอดออกมาจากใต้พื้นห้องของฝ่ายศิลป์คนใหม่...ตอนแรกหญิงสาวหลงเข้าใจว่าเป็นเพราะเขาลืมปิดไฟ แต่เมื่อเปิดประตูเข้าไป หล่อนก็ให้ฉงนฉงายเต็มที่เมื่อเห็นเขากำลังง่วนอยู่กับงาน“ขอโทษ...”หล่อนบอกแล้วถอยออกมาโดยเร็ว ใครจะคิดว่าเขายังอยู่ อุรวีไม่อยากต่อปากต่อคำกับเขามากนัก ชังน้ำหน้าเมื่อเช้ายังไม่หาย ที่เขากล้าหาญพอจะเตือนว่าหล่อนทำตัวไม่ถูก เขาไม่มีสิทธิ์ขนาดนั้น หล่อนงับประตูห้องปิดอย่างแผ่วเบา แทบจะไม่มีเสียงอัมพุวางงานในมือลง แล้วโดยไวเท่ากับความคิดที่ผ่านแวบเข้ามา เขาลุกมาแล้วก้าวยาวๆ มาเปิดประตู ชะโงกตัวมากกว่าครึ่ง เพื่อเรียกหล่อนไว้“คุณวี...”น้ำเสียงของเขาสนิทสนม เหมือนรู้จักมักคุ้นมาเนิ่นนาน หล่อนไม่ใช่คนถือตัวก็จริง แต่รู้สึกแปลกๆ หู“ผมจะเลี้ยง...” เขาตะโกนบอกตามมาอีก“เนื่องในโอกาสอะไร”เขาก็ไม่รู้เหมือนกัน ชายหนุ่มหาโอกาสไม่ได้ แต่อุรวีหาคำตอบได้ด้วยตัวของหล่อนเอง“คงจะกลัวติดค้างมื้อเช้านี้มั้ง...ก็ได้...จะได้ไม่มาติดค้างกัน...ฉันจะไปรอข้างล่าง”แล้วหล่อนก็ลงมา รอได้ไม่ถึงห้านาที เขาก็ลงมา แล้วพอเขาขึ้นรถ อุรว
อันธิกาอึ้งไปเล็กน้อย“ถ้างั้น...อ้นก็ควรจะไปขอร้องวีเขาอีกใช่ไหมคะ ตกแต่งห้องให้อ้นหน่อย จะได้แจ๋วบ้าง”เขารู้ว่าหล่อนประชด แต่ก็ทำไม่รู้ไม่ชี้เสีย“ไปนะคะ...แป๊บเดียวเอง”หล่อนเข้ามาฉุดเขาให้ลุกขึ้น แล้วควงแขนออกมาด้วยกัน คุณอาร์มมองเห็นเข้าพอดี เขาเพิ่งออกจากห้องของสุนิสา...เห็นเข้าก็ได้แต่ยืนมอง ก่อนจะเบือนหน้ากลับไปหาคนในห้อง บอกเสียงไม่ดังมากนัก“ผมอยากให้ช่วยดูๆ ให้หน่อย...ยายอ้นกับอัมพุ...รายงานผมด้วยทุกระยะนะว่าเกี่ยวข้องกันแค่ไหน ผมอยากให้งานเป็นงาน ไม่มีเรื่องอื่นเข้ามาพัวพัน”สุนิสารับคำ งานกับเรื่องอื่น คุณอาร์มพยายามจะแยกจากกัน เพราะฉะนั้น ความสัมพันธ์ของหล่อนกับเขา จึงเป็นเรื่องแยกจากกันเด็ดขาด เมื่อหล่อนทำงานอยู่ในออฟฟิศนี้ เมื่ออยู่บ้าน...นั่นจึงจะเป็นอีกรูปแบบหนึ่ง ไม่มีใครรู้เลยว่าสุนิสาก็เป็นภรรยาอีกคนของเขาเป็นมาหลายปีแล้ว ในสภาพเมียน้อย บ้านหนึ่งหลัง รถยนต์หนึ่งคัน คือสิ่งที่หล่อนได้รับแล้วก็พอใจ โดยไม่เรียกร้องอ้นใดอีก หล่อนจะต้อนรับคุณอาร์มที่บ้าน เพียงอาทิตย์ละสองวัน คือวันอังคารกับวันศุกร์...นอกนั้นหล่อนจะเป็นตัวของตัวเอง สุนิสารู้ว่ามันไม่สึกหรอแต่อย่างใด แ