แชร์

บทที่ 7

ผู้เขียน: หรูซู่
เวินเสียงและเฉียนฮุ่ยหรูไม่เปิดโอกาสให้เวินหนานจื่อได้พักหายใจ ทั้งคู่ลากเธอขึ้นรถมุ่งหน้าไปที่ตระกูลกง โดยไม่ให้เวลาเธอได้สวมใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อยเสียด้วยซ้ำ

เวินหนานจื่อกระชับเสื้อคลุมตัวนอกแนบแน่น ศีรษะซึ่งยังคงหนักอึ้งและมึนงงเดี๋ยวก้มเดี๋ยวเงยด้วยความทรมาน เส้นผมที่ถูกตัดเปียกชุ่มด้วยคราบน้ำตาแนบติดใบหน้า

เฉียนฮุ่ยหรูสั่งให้คนส่งผลตรวจปลอมฉบับหนึ่งมาที่บ้านตระกูลเวิน ตลอดการเดินทางก็เอาแต่หารือกับเวินเสียงไม่หยุดปากว่าควรทำอย่างไรให้กงเฉินหลงเชื่อรายงานฉบับนี้ดี

เมื่อถึงตระกูลกง พ่อบ้านผู้อยู่หน้าประตูก็กวาดตามองพวกของเวินหนานจื่อทั้งสามคนพลางขมวดคิ้ว เขาไม่ได้เปิดประตูให้ในทันที แต่กลับเดินเข้าไปในตัวคฤหาสน์เพื่อเรียนให้กงเฉินทราบเรื่อง

กงเฉินวางแก้วไวน์ในมือลง กระตุกยิ้มมุมปาก “ให้เข้ามา”

เวินหนานจื่อถูกคุมตัวมาอยู่ตรงหน้ากงเฉินคล้ายเป็นตุ๊กตาผ้าเก่าขาดตัวหนึ่ง เธอยังไม่ทันยืนให้มั่นคง เฉียนฮุ่ยหรูก็ปรี่เข้าไปเตะข้อพับขาของเธอจนทรุดฮวบลงหัวเข่ากระแทกพื้น นั่งคุกเข่าต่อหน้ากงเฉินผู้ยืนตระหง่าน

กงเฉินยืนอยู่บนขั้นบันได รูปร่างที่สูงโปร่งอยู่แล้วยิ่งดูโดดเด่น มือข้างหนึ่งล้วงกระเป๋า อีกข้างคีบบุหรี่ นัยน์ตาเรียวยาวตวัดมอง แฝงแววชั่วร้ายและกลิ่นอายกดดันผู้คน

เฉียนฮุ่ยหรูเดินเข้าไปยิ้มหน้าระรื่น พลางดึงรายงานออกมา “คุณกงคะ พอดีหนานจื่อของเราตอนเด็กหัดขี่จักรยานเลยทำเยื่อตรงนั้นขาดไป นี่มีรายงานยืนยันด้วยนะคะ คุณเองก็ใช้งานไปแล้ว ถ้าไม่ยอมรับผิดชอบ จะให้หนานจื่อเอาหน้าไปไว้ที่ไหนคะ?”

เฉียนฮุ่ยหรูแสร้งทำเป็นลำบากใจ แต่ยามเอ่ยคำว่าใช้งานออกมา กลับกดเวินหนานจื่อให้ต่ำลงราวเป็นเพียงสิ่งของชิ้นหนึ่งเท่านั้น

เวินหนานจื่อนั่งคุกเข่าตัวสั่นเทาอยู่ตรงหน้ากงเฉิน ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมองเขา

แต่กงเฉินกลับหัวเราะออกมา เสียงหัวเราะเย้ยหยันดังก้องไปทั่วบันไดวน “งั้นเหรอ?”

เสียงฝีเท้าของกงเฉินดังใกล้เข้ามาจากเหนือศีรษะ เวินหนานจื่อจ้องมองเรียวขาที่ปรากฏขึ้นตรงหน้า ช่วงขาที่เหยียดตรงดันทรงกางเกงสแล็กสีดำจนเห็นรอยจีบคมกริบ

กงเฉินใช้ปลายนิ้วเรียวสองนิ้วเชยคางเวินหนานจื่อขึ้น

เวินหนานจื่อมองรอยยิ้มของเขาแล้ว ก็อดสั่นสะท้านไปทั้งร่างไม่ได้ ใบหน้าที่หล่อเหลาร้ายกาจนั้นมีรอยยิ้มก็จริง แต่ดวงตาคู่นั้นกลับคล้ายบรรจุพายุหิมะฤดูหนาวไว้ทั้งฤดู

เมื่อเวินเสียงเห็นเวินหนานจื่อเอาแต่นิ่งเงียบ ก็รีบถลันเข้ามาผลักเธอ “ทำไมยังไม่รีบขอร้องคุณกงอีก?”

ลำคอของเวินหนานจื่อแข็งเกร็ง น้ำเสียงแปลกแปร่งแฝงแรงสะอื้นขณะเอ่ย “ขอร้องล่ะค่ะ คุณกง ได้โปรด ให้ฉันอยู่ที่นี่ด้วยเถอะนะคะ”

กงเฉินหรี่ตาลง ชัดเจนว่าไม่พอใจกับคำขอโทษเพียงเท่านี้

กงเฉินยืดตัวขึ้น เดินกลับไปยืนบนขั้นบันได แล้วมองลงมาที่สมาชิกตระกูลเวินทั้งสามคนด้วยสายตาของผู้ที่อยู่เหนือกว่า

“จะคุกเข่าทั้งทีก็ให้มันน่าดูหน่อย ผมอยากรู้ว่าคนตระกูลเวินจะกล้าโขกหัวยอมรับผิดไหม”

รอยยิ้มประจบเอาใจของเวินเสียงและเฉียนฮุ่ยหรูแข็งค้างในทันใด แต่ก็ไม่กล้าขัดใจกงเฉิน ทำได้เพียงกดศีรษะของเวินหนานจื่อกระแทกลงไปบนพื้น

เวินหนานจื่อส่งเสียงอู้อี้ในลำคอ ฝ่ามือแนบพื้น ศีรษะโขกติดแผ่นกระเบื้อง แล้วหยดน้ำตาแห่งความน้อยใจก็ไหลร่วงลงมาในฉับพลัน

เฉียนฮุ่ยหรูหมั่นไส้ที่เวินหนานจื่อคอยปกป้องมารดามาตลอด สบโอกาสตอนอายุสิบเจ็ดปีก็อ้างว่าส่งไปเรียนต่อ ยัดเสื้อผ้าใส่กระเป๋าใบเดียวผลักไสเวินหนานจื่อไปต่างประเทศ ปล่อยให้ดิ้นรนหาทางรอดเอาเอง ตอนนั้นเวินหนานจื่อไม่ร้องไห้ เพราะกลัวว่าถ้าตัวเองล้มสักคน ก็จะไม่มีใครดูแลมารดา

ตระกูลเวินไม่เคยส่งเงินให้ใช้ เวินหนานจื่อจึงต้องทำงานพิเศษทั้งที่หิวโหยและหนาวเหน็บ แต่เธอก็ไม่เคยหลั่งน้ำตา

แม้แต่ตอนที่ถูกชายแปลกหน้าบนเครื่องบินล่วงเกินและข่มขืน เธอก็ยังกัดฟันวิ่งกลับมาที่บ้านตระกูลเวิน

แต่ในวินาทีนี้ เธอรู้สึกว่าสิ่งที่กดทับลงบนหัวไหล่ไม่ใช่ฝ่ามือสองคู่ แต่กลับเป็นคมมีดที่หมายมั่นเอาชีวิต

ถึงกระนั้น เธอก็ยังทำได้เพียงข่มเสียงสะอื้น วิงวอนขอร้องกงเฉิน “คุณกงคะ ฉันขอโทษ”

กงเฉินหลุบตามองเวินหนานจื่อแวบหนึ่ง ชะงักไปเล็กน้อย ก่อนแค่นหัวเราะออกมาเบา ๆ

“ในเมื่อตระกูลเวินยอมทำตัวเป็นหมาข้างถนนถึงขนาดนี้ ถ้าผมไม่รับไว้ก็คงจะดูใจดำเกินไปหน่อย”

เวินเสียงรีบยิ้มประจบ “คุณกงชอบก็ดีแล้วครับ งั้นเอกสารความร่วมมือนี้...”

เฉียนฮุ่ยหรูควักเอกสารยื่นส่งขึ้นไป

กงเฉินตวัดปากกาเซ็นชื่อ ก่อนรับตัวเวินหนานจื่อไว้

เวินเสียงและเฉียนฮุ่ยหรูระบายลมหายใจยาวแรงด้วยความโล่งอก กอดเอกสารแน่นรีบเผ่นกลับไปทันที

กงเฉินคลี่ยิ้มเย็นชา “หน้าโง่!”

เมื่อมองดูเวินหนานจื่อที่ยังคงหมอบราบอยู่บนพื้น กงเฉินก็ก้มมองสิ่งที่เรียกว่าผลการตรวจในมือซึ่งเฉียนฮุ่ยหรูยัดมาให้ ก่อนฉีกมันเป็นเศษเล็กเศษน้อยแล้วโปรยลงบนแผ่นหลังบอบบางของเวินหนานจื่อ

“คิดว่าฉันจะโง่เหมือนคนตระกูลเวินของเธอหรือไง?”

ผลตรวจเยื่อพรหมจรรย์? หึ! เป็นแค่ของเหลือเดนยังต้องหาข้ออ้างอะไรมาอธิบายอีก?

กงเฉินจ้องเขม็งไปที่เวินหนานจื่อ แววตาฉายชัดถึงสองขั้วอารมณ์ ทั้งเกลียดชังเย็นเยียบ และเร่าร้อนไปด้วยความกระหายอยากลงทัณฑ์

“นี่คือทางที่เธอเลือกเองนะ”

เขาแค่นเสียงเย็นชา สั่งให้คนนำตัวเวินหนานจื่อเข้าไปในคฤหาสน์ “หาห้องให้อยู่ซะ”

เวินหนานจื่อยืนทรงตัวไม่ไหวแล้ว จึงถูกสาวใช้หิ้วปีกโยนเข้าไปในห้องเก็บของซึ่งเต็มไปด้วยข้าวของระเกะระกะ ยามร่างล้มลงฝุ่นผงก็ฟุ้งกระจาย

เธอหลับตาลง นึกอยากให้ตัวเองตาย ๆ ไปซะให้มันรู้แล้วรู้รอด

อาการครั่นเนื้อครั่นตัวสะบัดร้อนสะบัดหนาวทำให้เวินหนานจื่อต้องขดตัวงอ พลิกตัวไปมาบนพื้นสกปรกอุดมด้วยฝุ่นหนา และเมื่อชนเข้ากับกองสิ่งของจนพวกมันล้มลงมาทับ เธอก็ยิ่งหายใจไม่ออก

เสียงครางที่เล็ดลอดจากริมฝีปากดังขาดห้วง ต่อเนื่องยาวนานไปจนถึงช่วงกลางดึก

ในยามที่คนทั้งตระกูลกงแทบลืมเลือนการมีอยู่ของเวินหนานจื่อไปแล้ว ประตูห้องเก็บของก็แง้มออกเป็นช่องเล็ก ๆ

หลังจากนั้น เสียงฝีเท้าที่เร่งร้อนก็ก้าวเข้ามาด้านใน

ฝ่ามือที่หยาบกร้านเล็กน้อยแตะลงบนหน้าผากของเธอ ประคองร่างบอบบางให้พิงกับลังเก็บของ จากนั้นเวินหนานจื่อก็ถูกคลี่คลุมด้วยผ้าห่มผืนหนา

“น้ำ...” เวินหนานจื่อปรือตาขึ้นเล็กน้อย แต่กลับมองเห็นคนตรงหน้าไม่ชัดเจน

ยาเม็ดหนึ่งถูกยัดเข้ามาในปาก ตามด้วยน้ำอีกสองสามอึก เธอสำลักเล็กน้อยก่อนจะค่อย ๆ ดีขึ้น

“ขอบคุณค่ะ” สามคำนี้ต้องใช้แรงกายทั้งหมดที่เวินหนานจื่อมีทีเดียว พูดจบเธอก็ล้มตัวลงนอน กระชับผ้าห่มแน่นและผล็อยหลับไปด้วยความง่วงงุน

หางตาของเธอชื้นไปด้วยหยดน้ำตา ที่แท้ในตระกูลกงก็ยังมีคนดีหลงเหลืออยู่
อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • เพลิงแค้นพ่ายแรงพิศวาส   บทที่ 30

    ยามเห็นพิณผีผาสุดรักถูกฟาดแตกหัก เวินหนานจื่อก็ตะลึงงันไปสามวินาที ทั้งร่างคล้ายถูกความตระหนกเข้าครอบงำจนทำอะไรไม่ถูกเวินหนานจื่อไม่แยแสความเจ็บปวดที่ข้อเท้าอีกต่อไป รีบหยัดกายลุกขึ้น แต่เมื่อทอดตามองพิณผีผาที่ถูกกงเฉินโยนทิ้งไว้บนพื้น ร่างกายก็พลันอ่อนระทวยทรุดฮวบลงคุกเข่า“ผีผาของฉัน! ผีผาของฉัน!” เธอพึมพำเสียงเครือราวคนเสียสติ ร่างกายสั่นเทาไปทั้งตัวเธอโผเข้าไปคว้าซากพิณที่แตกหักมากอดแนบอก พยายามประกอบมันเข้าด้วยกัน นิ้วมือดึงรั้งสายพิณ แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไร มันก็ไม่มีวันกลับคืนสู่สภาพเดิมได้อีกแล้วกระทั่งสายพิณเส้นสุดท้ายที่ยังสมบูรณ์อยู่พลันขาดเสียงดังเปรี๊ยะ บาดลึกลงไปในปลายนิ้วของเวินหนานจื่อ ก่อนจะรัดพันนิ้วของเธอเอาไว้ เลือดสดไหลทะลักออกมาจนปลายนิ้วแดงฉานแต่เธอกลับไม่รู้สึกเจ็บปวด ยังคงกอดพิณผีผาไว้แนบอก นั่งคอตกอย่างคนหมดอาลัยตายอยากเสียงสะอื้นไห้ฮือ ๆ ใกล้ระเบิดเต็มทีกงเฉินยืนตระหง่านอยู่ข้างกายเวินหนานจื่อ หลุบตามองหญิงสาวเบื้องล่าง ดวงตาคู่คมหรี่ลงเล็กน้อย ไม่ว่าเขาจะกระทำย่ำยีอย่างไร เวินหนานจื่อก็มักกัดฟันอดทนไม่ยอมหลั่งน้ำตา แต่เวลานี้เธอกลับร้องไห้ฟูมฟายเพี

  • เพลิงแค้นพ่ายแรงพิศวาส   บทที่ 29

    ลุงจงเปิดประตูห้อง พลางส่งสัญญาณให้เวินหนานจื่อเดินเข้าไปภายใต้แสงไฟสลัวที่ชวนให้รู้สึกคลุมเครือ กงเฉินนั่งอยู่บนโซฟาหนังสไตล์อเมริกัน โซฟาหนังทรงคลาสสิกที่ทอประกายมันวาวนั้น ยิ่งขับเน้นความเย้ายวนใจของกงเฉินให้ดูสูงศักดิ์และยากจะเอื้อมถึงมากขึ้นหญิงสาวที่อยู่ข้างกายเขานั้นงดงามหยาดเยิ้ม รูปร่างอวบอัดมีส่วนเว้าส่วนโค้งชวนมองบนโซฟาอีกตัวหนึ่งคือกู้เหยียนอี้ เขาดูราวกับไม่ได้อยู่ในโลกใบเดียวกับกงเฉิน ทั้งที่นั่งอยู่บนโซฟาหนังเนื้อดีเช่นเดียวกัน แต่เขากลับแผ่กลิ่นอายความหล่อเหลาที่ดูสงบเยือกเย็นออกมาเวินหนานจื่อยืนอยู่เบื้องหน้าพวกเขา กอดพิณผีผาในอ้อมอกไว้แน่นจนบดบังใบหน้าไปครึ่งหนึ่ง พร้อมกันนั้นก็ก้มศีรษะลงเล็กน้อยกู้เหยียนอี้รีบลุกขึ้น ก่อนลากเก้าอี้ตัวหนึ่งเดินเข้ามา "หนานจื่อ ขาคุณยังไม่หายดี นั่งคุยกันเถอะครับ"เวินหนานจื่อยังคงไม่กล้าขยับตัว เธอแอบชำเลืองมองกงเฉินแวบหนึ่ง เห็นเพียงแววตาของเขามืดมนลง แฝงความเย็นชายากอธิบายเธอไม่ยอมนั่ง แต่กลับถูกกู้เหยียนอี้กดไหล่บังคับให้นั่งลงจนได้หญิงสาวผู้นั้นปรายตามองเวินหนานจื่อ ขณะถามด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ "นี่ไปหานางคณิกามาจา

  • เพลิงแค้นพ่ายแรงพิศวาส   บทที่ 28

    สุ้มเสียงอ่อนโยนของกู้เหยียนอี้ดังขึ้นเหนือศีรษะเวินหนานจื่อเงยหน้าขึ้น พบว่าสเต๊กในจานของกงเฉินหายไปหลายชิ้น จึงทอดสายตามองกงเฉินเป็นทำนองขอความเห็นกงเฉินกระตุกยิ้มร้ายกาจ พลางจิบไวน์แดงอึกหนึ่ง "นี่เธอจะฟังคำสั่งเขาเหรอ?"เวินหนานจื่อส่ายหน้า "ฉันไม่หิวค่ะ"เธอก้มหน้าลงด้วยความหวาดกลัว ไม่กล้าคิดต่อต้าน เพราะเคยเกือบจะถูกกงเฉินผู้เกรี้ยวกราดกดร่างลงกับโต๊ะอาหารตัวนี้เพื่อย่ำยีศักดิ์ศรีมาแล้ว"กงเฉิน!" กู้เหยียนอี้ขึ้นเสียง ก่อนหันมาพูดกับเธอ "หนานจื่อ คุณไม่ต้องกลัวเขาหรอก กินเถอะ"แต่กงเฉินกลับจ้องมองด้วยสายตาคล้ายหยั่งเชิง คาดคิดว่าเธอคงไม่กล้าเคลื่อนไหวสุดท้าย เวินหนานจื่อก็ยังคงว่านอนสอนง่ายไม่ได้แตะต้องอาหารแม้แต่คำเดียว ได้แต่กลืนความหิวโหยทั้งหมดลงท้องไปพร้อมกับน้ำลายอึกแล้วอึกเล่าภายใต้สายตาของลุงจง เธอปรนนิบัติกงเฉินอย่างระมัดระวังตั้งแต่อาหารเรียกน้ำย่อยไปจนถึงของหวาน โดยที่ตัวเองไม่มีของกินตกถึงท้องเลยสักคำเดียวกงเฉินยอมรับการปรนนิบัตินั้น แต่แววเย้ยหยันในดวงตากลับไม่ลดน้อยลง ราวกับเห็นว่าการเอาอกเอาใจของเธอเป็นเรื่องตลกสิ้นดีเมื่อกลับมาถึงห้อง เวินหนานจื่อ

  • เพลิงแค้นพ่ายแรงพิศวาส   บทที่ 27

    เมื่อถึงเวลาอาหารค่ำ ลุงจงก็มาเคาะประตูห้องของเวินหนานจื่อ พอเปิดเข้าไปก็เห็นเธอกำลังลากขาที่หนักอึ้ง คุกเข่าจัดเก็บข้าวของในห้องอันคับแคบ"คุณหนูเวินครับ คุณกงเชิญไปรับประทานอาหารครับ""รับประทานอาหาร?" เวินหนานจื่อเบิกตาโต รีบส่ายหน้าปฏิเสธ "นะ...หนูไม่หิวค่ะ ไม่กินดีกว่า"เธอแสดงความหวาดกลัวที่มีต่อกงเฉินออกมาโดยไม่ซ่อนเร้นแต่ลุงจงกลับย่อตัวลงนั่งยอง ๆ ตรงหน้าเวินหนานจื่อด้วยความระมัดระวัง พลางหาอะไรมารองขาของเธอไว้เพื่อให้รู้สึกสบายขึ้นเท่าที่จะทำได้"คุณหนูเวินครับ คุณแต่งงานเข้ามาแล้ว นี่คือความจริงนะครับ"เวินหนานจื่อเข้าใจดี ตนเองถูกคนตระกูลเวินขายเข้ามา แต่เธอก็ไม่อยากจะยอมรับเรื่องนี้สักเท่าไหร่ลุงจงกล่าวต่อ "แม้แต่สิงโตยังต้องลูบขนให้ถูกทาง นิสัยคนเราก็เหมือนกันครับ ยิ่งคุณต่อต้าน ยิ่งไปกระตุกหนวดเสือ ท้ายที่สุดคนที่จะเจ็บตัวก็คือคุณเอง"เวินหนานจื่อมองลุงจงด้วยสีหน้าเหมือนเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจลุงจงเผยรอยยิ้มที่หาได้ยากยิ่งออกมา "คุณหนูเวิน คุณยังมีส่วนที่แตกต่างจากคนอื่นอยู่นะครับ อีกอย่าง อย่าลืมเหตุผลของการที่คุณแต่งเข้าตระกูลกงด้วยสิครับ"เหตุผลงั้นหรือ? เป็น

  • เพลิงแค้นพ่ายแรงพิศวาส   บทที่ 26

    ลุงจงสงวนท่าที เหลือบมองสาวใช้ผู้มีสีหน้าริษยาแวบหนึ่ง ไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ "เดี๋ยวผมจะไปเรียนถามคุณกงให้นะครับ"สาวใช้ได้ยินดังนั้นก็แค่นเสียงดูถูก ในเมื่อกงเฉินโยนเวินหนานจื่อไปไว้ในห้องเก็บของแล้ว นั่นก็เท่ากับปล่อยเธอไปตามยถากรรมแล้วไม่ใช่หรือ จะมาแยแสอะไรกับเธออีก? คิดได้ดังนี้จิตใจที่ร้อนรุ่มด้วยความริษยาก็พลันสงบลงเมื่อกู้เหยียนอี้สบตามองลุงจง ก็เข้าใจสถานการณ์ทั้งหมด จึงเพียงยิ้มไม่พูดอะไรลุงจงชี้ไปทางชั้นสาม "คุณกงขึ้นไปพักผ่อนบนชั้นสามแล้วครับ คุณหมอกู้ขึ้นไปหาได้เลย"กู้เหยียนอี้พยักหน้ารับ ก่อนหมุนตัวเดินขึ้นไปบนชั้นสามพื้นที่ชั้นสามถือเป็นเขตหวงห้ามในบ้านตระกูลกง แต่ความจริงมันเป็นเพียงห้องนอนของกงเฉินเท่านั้นนี่คือสถานที่ซึ่งกงเฉินใช้เผชิญหน้ากับฝันร้ายอันตามหลอกหลอนเขามานานหลายปี ภายในห้องว่างเปล่าไร้สิ่งของตกแต่ง ผนังสีขาวโพลนสะอาดตาปราศจากมลทิน มีเพียงเตียงสี่เสาสีดำทะมึน กับเก้าอี้นวมสองตัวและโต๊ะเล็ก ๆ ตั้งอยู่ริมหน้าต่างเท่านั้นกู้เหยียนอี้เคาะประตูสามครั้ง ก็เปิดประตูเดินเข้าไป เห็นกงเฉินกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้นวม มือข้างหนึ่งถือแก้วไวน์แดง ทอดสายตาผ่า

  • เพลิงแค้นพ่ายแรงพิศวาส   บทที่ 25

    กู้เหยียนอี้กับเวินหนานจื่อไม่ได้พูดคุยอะไรกันมากนัก เมื่อตรวจดูจนแน่ใจแล้วว่าอาการบาดเจ็บที่ขาของเธอไม่เป็นอะไร กู้เหยียนอี้ก็ลุกขึ้นเดินออกจากห้องไปเมื่อไม่มีใครแล้ว เวินหนานจื่อก็รีบหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเธอลองกดโทรหาแม่ แต่เสียงสัญญาณดังอยู่นานสองนาน ก็ยังคงไม่มีคนรับสายเช่นเดิมการที่ไม่ทราบเลยว่ามารดาเป็นตายร้ายดีอย่างไร ทำให้จิตใจของเธอไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ความหวาดกลัวจึงเริ่มเกาะกุมจิตใจอย่างช่วยไม่ได้จากนั้นเวินหนานจื่อก็นึกถึงโจวจิน ชายหนุ่มที่เธอเคยคิดว่าจะได้ใช้เวลาอยู่ร่วมกันไปชั่วชีวิตในเมื่อกงเฉินล่วงรู้ถึงการมีอยู่ของโจวจินแล้ว โจวจินจะเป็นอะไรไปอีกคนหรือเปล่า?คิดดังนั้น เธอจึงรีบกดโทรหาโจวจินทันทีเธอรักและผูกพันกับโจวจินมาตลอด ช่วงเวลาที่อยู่ในตระกูลเวิน ก็ได้โจวจินคอยปลอบโยนและปกป้องคุ้มครอง แม้วันนี้จะถูกบีบให้ต้องแยกทาง แต่เธอก็ไม่อยากให้โจวจินต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วยในใจเฝ้าภาวนาขอให้โจวจินรีบรับสายไว ๆ ขอแค่ได้ยินเสียงเขา เธอก็จะวางใจ หนำซ้ำยังแอบหวังลึก ๆ ว่าเสียงของเขาจะช่วยปลอบประโลมจิตใจเธอได้เหมือนดั่งวันวานเมื่อมีคนรับสาย เวินหนานจื่อก็รีบก

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status