แชร์

บทที่ 8

ผู้เขียน: หรูซู่
เวินหนานจื่อตื่นขึ้นในยามฟ้าสาง เหงื่อกาฬแตกพลั่กทั่วร่าง รู้สึกอ่อนเปลี้ยเพลียแรงไปทั้งตัว ลำคอแห้งผากระคายเคือง

เธอกวาดตามองไปรอบห้องเก็บของ ก่อนก้มมองผ้าห่มบนตัว ตรงหน้ามีน้ำหนึ่งแก้วและของกินวางอยู่ จึงรีบคว้าขนมปังในจานทรงกลมขึ้นมากัดกินโดยไม่ลังเล

เพราะเธอหิว หิวจนแทบทนไม่ไหวแล้ว

นับตั้งแต่ขึ้นเครื่องบินจนถึงตอนนี้ ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยสักนิด

แต่ขนมปังที่วางทิ้งไว้ข้ามคืนหมดสิ้นความนุ่มนิ่มทั้งแห้งและแข็ง เวลากลืนลงไปจึงให้ความรู้สึกราวกลืนใบมีดที่คอยกรีดผ่านลำคอซึ่งเจ็บระบมอยู่แล้ว

เวินหนานจื่อคว้าแก้วน้ำขึ้นมากระดกดื่ม ฝุ่นละอองบนพื้นฟุ้งกระจายขึ้นมาเป็นชั้น จนเธอต้องหรี่ตาลง

แสงอรุณจากหน้าต่างบานเล็กสาดส่องเข้ามา ฝุ่นผงในห้องเก็บของลอยล่องหนาตากระจายตัวอยู่ในลำแสงนั้น

เมื่อมองไปรอบกาย เวินหนานจื่อก็ยกมือขึ้นปิดปาก เพิ่งหวนนึกถึงสภาพความเป็นจริงของตนเอง เธอขยี้ดวงตาที่แสบพร่า พยายามสะกดกลั้นไม่ให้น้ำตาไหลริน

เวินหนานจื่อจ้องมองกระเป๋าเดินทางที่เฉียนฮุ่ยหรูให้ติดตัวมาตรงมุมห้อง คิดจะลุกเดินไปหา แต่หัวเข่ากลับอ่อนพับ ไร้ซึ่งเรี่ยวแรง ทำได้เพียงคลานเข้าไปหากระเป๋าเดินทางใบนั้น

กระเป๋าใบใหญ่ แต่ข้างในว่างเปล่า นอกจากเสื้อผ้าไม่กี่ชุด ก็มีเพียงพิณผีผาที่แม่ทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้าเท่านั้น

แม่ของเวินหนานจื่อเป็นกุลสตรีผู้เพียบพร้อม เก่งกาจทั้งการวาดภาพ คัดตัวอักษร รวมถึงเล่นพิณผีผา นิสัยอ่อนโยนดั่งสายธาร แต่ต้องมาแต่งงานกับผู้ชายหน้าไหว้หลังหลอก และพบเจอกับช่วงเวลาที่แสนรันทดตลอดชีวิต

เวินหนานจื่อกอดพิณผีผา นั่งแปะอยู่กับพื้น ลำแสงจากนอกหน้าต่างตกกระทบลงบนร่าง เธอหลุบตาลงราวตุ๊กตาไร้วิญญาณ ร่องรอยบาดแผลสีแดงสดจากการถูกทารุณดูโดดเด่น คล้ายกับว่าเธอพร้อมจะแหลกสลายกลายเป็นเศษธุลี และเลือนหายไปจากห้องนี้ได้ตลอดเวลา

งดงาม เรียบง่ายและบริสุทธิ์

เธอพึมพำ "แม่คะ หนูจะต้องช่วยแม่ให้ได้"

เสียงเคาะประตูพลันดังขึ้นสองครั้ง เวินหนานจื่อยังไม่ทันขานรับ สาวใช้ด้านนอกก็เปิดประตูเดินเข้ามา

สาวใช้ปรายตามองเธอด้วยความเหยียดหยาม ก่อนโยนไม้กวาดลงตรงหน้า "จัดการเก็บกวาดซะ บ้านตระกูลกงไม่เลี้ยงคนว่างงาน"

เวินหนานจื่อพยักหน้า

สาวใช้เหมือนนึกอะไรขึ้นได้ จึงกล่าวเสริม "ตอนเช้าคุณกงจะตื่นสิบโมง รับประทานอาหารตอนสิบเอ็ดโมง เธอทำอะไรก็ให้มันเบา ๆ หน่อย ถ้าทำคุณกงตื่นล่ะก็ รับรองเจอดีแน่!"

เมื่อเผชิญกับคำเตือนของสาวใช้ เวินหนานจื่อก็นึกถึงกงเฉินผู้แผ่กลิ่นอายอันตรายและชั่วร้ายคนนั้น จึงอดตัวสั่นเทาขึ้นมาไม่ได้

สาวใช้กวาดตามองรอบห้องอีกครั้งก่อนจากไป มือข้างหนึ่งปิดจมูกและปาก อีกข้างโบกไล่ฝุ่นที่ฟุ้งกระจาย

เวินหนานจื่อยันกายลุกขึ้นอย่างยากลำบาก เนื้อตัวเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบฝุ่น ชัดเจนว่าที่นี่คงไม่เคยมีใครเข้ามาทำความสะอาดนานแล้ว

พอเปิดหน้าต่างบานเล็ก ลมหนาวจากด้านนอกก็พัดกรูเข้ามา ทำให้เธอสะดุ้งเฮือก

นอกหน้าต่างปลูกต้นอิงฮวา[1]และต้นส้มไว้ไม่น้อย กิ่งก้านของต้นอิงฮวาบางส่วนยื่นระมาที่ขอบหน้าต่างพอดี ยามลมพัดโชยมา ก็หอบเอากลิ่นหอมจาง ๆ และกลีบดอกไม้ลอยเข้ามาด้วย

เวินหนานจื่อหยิบกลีบดอกไม้ขึ้นมาสองกลีบ หันกายไปเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ที่สะอาดสะอ้าน สูดหายใจเข้าลึกและนำกระเป๋าเดินทางมาวางซ้อนกันไว้ตรงมุมห้องเพื่อใช้ต่างตู้เก็บของ เธอเช็ดทำความสะอาดมันถึงสามรอบกว่าจะวางพิณผีผาของตนลงไปอย่างระมัดระวัง

พื้นห้องที่เต็มไปด้วยฝุ่นเขรอะถูกขัดถูอยู่หลายรอบกว่าจะสะอาด เมื่อรื้อค้นลังเก่า ๆ ดูก็พบว่ามีเพียงลังเดียวที่มีผ้านวมขนเป็ดซึ่งยังไม่ได้แกะใช้อยู่ผืนหนึ่ง ส่วนที่เหลือล้วนเป็นข้าวของจิปาถะทั้งสิ้น

เวินหนานจื่อรู้สึกว่าตนเองยังคงมีโชคอยู่เล็กน้อย ขณะปูผ้านวมลงบนพื้นใช้แทนฟูก

จากนั้นเธอก็ล้มตัวลงนอน จมูกได้กลิ่นอับชื้นบางเบาจากผ้านวมขนเป็ด แต่เธอไม่สนใจอะไรอีก ร่างกายร้าวระบมราวจะแตกออกเป็นเสี่ยง ไม่อาจขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย

กระทั่งเมื่อประตูห้องถูกเคาะสามครั้ง เธอถึงได้ฝืนสังขารยันตัวลุกขึ้นไปเปิดประตูที่อยู่ห่างออกไปเพียงสองก้าว

ผู้ที่ยืนอยู่หน้าประตูคือพ่อบ้านตระกูลกง เขายังคงมีสีหน้าไร้อารมณ์เช่นเดิมขณะเดินเข้ามา ยัดผ้านวมกับเบาะรองนอนในมือใส่อ้อมแขนเธอ

เวินหนานจื่อลูบของในมือ มองเขาด้วยความซาบซึ้งใจ "ขอบคุณนะคะคุณพ่อบ้าน แล้วก็เรื่องเมื่อคืนด้วย..."

พ่อบ้านปรายตามองเธอแวบหนึ่ง เวินหนานจื่อจึงรีบหยุดพูดทันที

เธอรู้ดีว่าต้องเป็นพ่อบ้านที่ช่วยเหลือเธอแน่ ๆ คนที่เอาเสื้อคลุมมาห่มให้ก่อนหน้านี้ก็คือเขา คนที่เอาน้ำเอายามาส่งให้เมื่อคืนก็คือเขาเช่นกัน

ความจริง พ่อบ้านที่ดูเคร่งขรึมผู้นี้ก็เป็นคนจิตใจดีคนหนึ่ง

"คุณพ่อบ้าน วางใจเถอะค่ะ ฉันจะไม่ทำให้คุณเดือดร้อนไปด้วย ฉันแค่อยากขอบคุณคุณเท่านั้นเอง" เธอรีบอธิบาย

พ่อบ้านส่ายหน้า ก้มดูเวลา "คุณกงสั่งให้คุณขึ้นไปหาในอีกห้านาที ไปที่ชั้นสองนะครับ ส่วนชั้นสามห้ามขึ้นไปเด็ดขาด"

เมื่อประตูถูกปิดลง เวินหนานจื่อก็กอดผ้านวมกับเบาะรองนอนในมือแน่น ทั้งที่มันหนานุ่มปานนั้น แต่กลับไม่มอบความอบอุ่นให้เธอแม้แต่น้อย ซึ่งก็เป็นเพราะชื่อของคุณกงที่ออกมาจากปากคุณพ่อบ้านนั่นเอง

แม้บอกว่าอีกห้านาที แต่เวินหนานจื่อกลับไม่กล้าชักช้าแม้แต่นาทีเดียว เธอวางของลงรีบออกจากห้อง ขึ้นไปยังชั้นสอง ร่างกายอ่อนแอเดินโซเซเร่งฝีเท้าไปในคฤหาสน์ตระกูลกงอันกว้างใหญ่

เธอต้องเดินวนอยู่ในระเบียงทางเดินซึ่งเหมือนเขาวงกตอยู่นานทีเดียว

สุดท้าย ก็เดินไปชนเข้ากับหญิงสาวที่โผล่ออกมาจากห้องหนึ่งโดยไม่ได้ตั้งใจ

หญิงสาวคนนั้นส่งเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอ ปัดชายกระโปรงบริเวณที่ถูกเวินหนานจื่อชน "ไม่มีตาหรือไง? ไม่อยากทำงานแล้วใช่ไหมห๊ะ?"

"ขอโทษค่ะ" เวินหนานจื่อรีบขออภัยทันที เพราะเธอไม่อาจมีเรื่องกับหญิงสาวคนนี้เด็ดขาด

เธอเคยเห็นผู้หญิงคนนี้มาก่อนตอนดูโทรทัศน์

โฆษณาน้ำหอมราคาแพงล้วนมีใบหน้าประดับรอยยิ้มของผู้หญิงคนนี้อยู่ทั้งนั้น

ผู้หญิงคนนี้คือดาราสาว เซียวหลาน

เซียวหลานมองเวินหนานจื่อแวบหนึ่ง สาวใช้ในบ้านตระกูลกงเธอเคยเห็นมาหมดแล้ว มีเพียงคนตรงหน้านี้ที่ดูขัดตาเหลือเกิน

เวินหนานจื่อรีบก้มหน้าลงยกมือเคาะประตูห้อง

เสียงทุ้มต่ำที่แฝงความไม่พอใจของกงเฉินดังลอดออกมาจากด้านใน "เข้ามา"

เวินหนานจื่อรู้สึกว่าสายตาของเซียวหลานไล่หลังเธอมาตลอดจวบจนก้าวพ้นประตูเข้าไปก็ไม่ต่างจากมีเข็มเล่มเล็ก ๆ ปักลงบนแผ่นหลัง ทำเอาเหงื่อกาฬผุดซึมทีเดียว

——————————————————

[1] ต้นอิงฮวา หมายถึงชื่อจีนของต้นซากุระ
อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • เพลิงแค้นพ่ายแรงพิศวาส   บทที่ 30

    ยามเห็นพิณผีผาสุดรักถูกฟาดแตกหัก เวินหนานจื่อก็ตะลึงงันไปสามวินาที ทั้งร่างคล้ายถูกความตระหนกเข้าครอบงำจนทำอะไรไม่ถูกเวินหนานจื่อไม่แยแสความเจ็บปวดที่ข้อเท้าอีกต่อไป รีบหยัดกายลุกขึ้น แต่เมื่อทอดตามองพิณผีผาที่ถูกกงเฉินโยนทิ้งไว้บนพื้น ร่างกายก็พลันอ่อนระทวยทรุดฮวบลงคุกเข่า“ผีผาของฉัน! ผีผาของฉัน!” เธอพึมพำเสียงเครือราวคนเสียสติ ร่างกายสั่นเทาไปทั้งตัวเธอโผเข้าไปคว้าซากพิณที่แตกหักมากอดแนบอก พยายามประกอบมันเข้าด้วยกัน นิ้วมือดึงรั้งสายพิณ แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไร มันก็ไม่มีวันกลับคืนสู่สภาพเดิมได้อีกแล้วกระทั่งสายพิณเส้นสุดท้ายที่ยังสมบูรณ์อยู่พลันขาดเสียงดังเปรี๊ยะ บาดลึกลงไปในปลายนิ้วของเวินหนานจื่อ ก่อนจะรัดพันนิ้วของเธอเอาไว้ เลือดสดไหลทะลักออกมาจนปลายนิ้วแดงฉานแต่เธอกลับไม่รู้สึกเจ็บปวด ยังคงกอดพิณผีผาไว้แนบอก นั่งคอตกอย่างคนหมดอาลัยตายอยากเสียงสะอื้นไห้ฮือ ๆ ใกล้ระเบิดเต็มทีกงเฉินยืนตระหง่านอยู่ข้างกายเวินหนานจื่อ หลุบตามองหญิงสาวเบื้องล่าง ดวงตาคู่คมหรี่ลงเล็กน้อย ไม่ว่าเขาจะกระทำย่ำยีอย่างไร เวินหนานจื่อก็มักกัดฟันอดทนไม่ยอมหลั่งน้ำตา แต่เวลานี้เธอกลับร้องไห้ฟูมฟายเพี

  • เพลิงแค้นพ่ายแรงพิศวาส   บทที่ 29

    ลุงจงเปิดประตูห้อง พลางส่งสัญญาณให้เวินหนานจื่อเดินเข้าไปภายใต้แสงไฟสลัวที่ชวนให้รู้สึกคลุมเครือ กงเฉินนั่งอยู่บนโซฟาหนังสไตล์อเมริกัน โซฟาหนังทรงคลาสสิกที่ทอประกายมันวาวนั้น ยิ่งขับเน้นความเย้ายวนใจของกงเฉินให้ดูสูงศักดิ์และยากจะเอื้อมถึงมากขึ้นหญิงสาวที่อยู่ข้างกายเขานั้นงดงามหยาดเยิ้ม รูปร่างอวบอัดมีส่วนเว้าส่วนโค้งชวนมองบนโซฟาอีกตัวหนึ่งคือกู้เหยียนอี้ เขาดูราวกับไม่ได้อยู่ในโลกใบเดียวกับกงเฉิน ทั้งที่นั่งอยู่บนโซฟาหนังเนื้อดีเช่นเดียวกัน แต่เขากลับแผ่กลิ่นอายความหล่อเหลาที่ดูสงบเยือกเย็นออกมาเวินหนานจื่อยืนอยู่เบื้องหน้าพวกเขา กอดพิณผีผาในอ้อมอกไว้แน่นจนบดบังใบหน้าไปครึ่งหนึ่ง พร้อมกันนั้นก็ก้มศีรษะลงเล็กน้อยกู้เหยียนอี้รีบลุกขึ้น ก่อนลากเก้าอี้ตัวหนึ่งเดินเข้ามา "หนานจื่อ ขาคุณยังไม่หายดี นั่งคุยกันเถอะครับ"เวินหนานจื่อยังคงไม่กล้าขยับตัว เธอแอบชำเลืองมองกงเฉินแวบหนึ่ง เห็นเพียงแววตาของเขามืดมนลง แฝงความเย็นชายากอธิบายเธอไม่ยอมนั่ง แต่กลับถูกกู้เหยียนอี้กดไหล่บังคับให้นั่งลงจนได้หญิงสาวผู้นั้นปรายตามองเวินหนานจื่อ ขณะถามด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ "นี่ไปหานางคณิกามาจา

  • เพลิงแค้นพ่ายแรงพิศวาส   บทที่ 28

    สุ้มเสียงอ่อนโยนของกู้เหยียนอี้ดังขึ้นเหนือศีรษะเวินหนานจื่อเงยหน้าขึ้น พบว่าสเต๊กในจานของกงเฉินหายไปหลายชิ้น จึงทอดสายตามองกงเฉินเป็นทำนองขอความเห็นกงเฉินกระตุกยิ้มร้ายกาจ พลางจิบไวน์แดงอึกหนึ่ง "นี่เธอจะฟังคำสั่งเขาเหรอ?"เวินหนานจื่อส่ายหน้า "ฉันไม่หิวค่ะ"เธอก้มหน้าลงด้วยความหวาดกลัว ไม่กล้าคิดต่อต้าน เพราะเคยเกือบจะถูกกงเฉินผู้เกรี้ยวกราดกดร่างลงกับโต๊ะอาหารตัวนี้เพื่อย่ำยีศักดิ์ศรีมาแล้ว"กงเฉิน!" กู้เหยียนอี้ขึ้นเสียง ก่อนหันมาพูดกับเธอ "หนานจื่อ คุณไม่ต้องกลัวเขาหรอก กินเถอะ"แต่กงเฉินกลับจ้องมองด้วยสายตาคล้ายหยั่งเชิง คาดคิดว่าเธอคงไม่กล้าเคลื่อนไหวสุดท้าย เวินหนานจื่อก็ยังคงว่านอนสอนง่ายไม่ได้แตะต้องอาหารแม้แต่คำเดียว ได้แต่กลืนความหิวโหยทั้งหมดลงท้องไปพร้อมกับน้ำลายอึกแล้วอึกเล่าภายใต้สายตาของลุงจง เธอปรนนิบัติกงเฉินอย่างระมัดระวังตั้งแต่อาหารเรียกน้ำย่อยไปจนถึงของหวาน โดยที่ตัวเองไม่มีของกินตกถึงท้องเลยสักคำเดียวกงเฉินยอมรับการปรนนิบัตินั้น แต่แววเย้ยหยันในดวงตากลับไม่ลดน้อยลง ราวกับเห็นว่าการเอาอกเอาใจของเธอเป็นเรื่องตลกสิ้นดีเมื่อกลับมาถึงห้อง เวินหนานจื่อ

  • เพลิงแค้นพ่ายแรงพิศวาส   บทที่ 27

    เมื่อถึงเวลาอาหารค่ำ ลุงจงก็มาเคาะประตูห้องของเวินหนานจื่อ พอเปิดเข้าไปก็เห็นเธอกำลังลากขาที่หนักอึ้ง คุกเข่าจัดเก็บข้าวของในห้องอันคับแคบ"คุณหนูเวินครับ คุณกงเชิญไปรับประทานอาหารครับ""รับประทานอาหาร?" เวินหนานจื่อเบิกตาโต รีบส่ายหน้าปฏิเสธ "นะ...หนูไม่หิวค่ะ ไม่กินดีกว่า"เธอแสดงความหวาดกลัวที่มีต่อกงเฉินออกมาโดยไม่ซ่อนเร้นแต่ลุงจงกลับย่อตัวลงนั่งยอง ๆ ตรงหน้าเวินหนานจื่อด้วยความระมัดระวัง พลางหาอะไรมารองขาของเธอไว้เพื่อให้รู้สึกสบายขึ้นเท่าที่จะทำได้"คุณหนูเวินครับ คุณแต่งงานเข้ามาแล้ว นี่คือความจริงนะครับ"เวินหนานจื่อเข้าใจดี ตนเองถูกคนตระกูลเวินขายเข้ามา แต่เธอก็ไม่อยากจะยอมรับเรื่องนี้สักเท่าไหร่ลุงจงกล่าวต่อ "แม้แต่สิงโตยังต้องลูบขนให้ถูกทาง นิสัยคนเราก็เหมือนกันครับ ยิ่งคุณต่อต้าน ยิ่งไปกระตุกหนวดเสือ ท้ายที่สุดคนที่จะเจ็บตัวก็คือคุณเอง"เวินหนานจื่อมองลุงจงด้วยสีหน้าเหมือนเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจลุงจงเผยรอยยิ้มที่หาได้ยากยิ่งออกมา "คุณหนูเวิน คุณยังมีส่วนที่แตกต่างจากคนอื่นอยู่นะครับ อีกอย่าง อย่าลืมเหตุผลของการที่คุณแต่งเข้าตระกูลกงด้วยสิครับ"เหตุผลงั้นหรือ? เป็น

  • เพลิงแค้นพ่ายแรงพิศวาส   บทที่ 26

    ลุงจงสงวนท่าที เหลือบมองสาวใช้ผู้มีสีหน้าริษยาแวบหนึ่ง ไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ "เดี๋ยวผมจะไปเรียนถามคุณกงให้นะครับ"สาวใช้ได้ยินดังนั้นก็แค่นเสียงดูถูก ในเมื่อกงเฉินโยนเวินหนานจื่อไปไว้ในห้องเก็บของแล้ว นั่นก็เท่ากับปล่อยเธอไปตามยถากรรมแล้วไม่ใช่หรือ จะมาแยแสอะไรกับเธออีก? คิดได้ดังนี้จิตใจที่ร้อนรุ่มด้วยความริษยาก็พลันสงบลงเมื่อกู้เหยียนอี้สบตามองลุงจง ก็เข้าใจสถานการณ์ทั้งหมด จึงเพียงยิ้มไม่พูดอะไรลุงจงชี้ไปทางชั้นสาม "คุณกงขึ้นไปพักผ่อนบนชั้นสามแล้วครับ คุณหมอกู้ขึ้นไปหาได้เลย"กู้เหยียนอี้พยักหน้ารับ ก่อนหมุนตัวเดินขึ้นไปบนชั้นสามพื้นที่ชั้นสามถือเป็นเขตหวงห้ามในบ้านตระกูลกง แต่ความจริงมันเป็นเพียงห้องนอนของกงเฉินเท่านั้นนี่คือสถานที่ซึ่งกงเฉินใช้เผชิญหน้ากับฝันร้ายอันตามหลอกหลอนเขามานานหลายปี ภายในห้องว่างเปล่าไร้สิ่งของตกแต่ง ผนังสีขาวโพลนสะอาดตาปราศจากมลทิน มีเพียงเตียงสี่เสาสีดำทะมึน กับเก้าอี้นวมสองตัวและโต๊ะเล็ก ๆ ตั้งอยู่ริมหน้าต่างเท่านั้นกู้เหยียนอี้เคาะประตูสามครั้ง ก็เปิดประตูเดินเข้าไป เห็นกงเฉินกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้นวม มือข้างหนึ่งถือแก้วไวน์แดง ทอดสายตาผ่า

  • เพลิงแค้นพ่ายแรงพิศวาส   บทที่ 25

    กู้เหยียนอี้กับเวินหนานจื่อไม่ได้พูดคุยอะไรกันมากนัก เมื่อตรวจดูจนแน่ใจแล้วว่าอาการบาดเจ็บที่ขาของเธอไม่เป็นอะไร กู้เหยียนอี้ก็ลุกขึ้นเดินออกจากห้องไปเมื่อไม่มีใครแล้ว เวินหนานจื่อก็รีบหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเธอลองกดโทรหาแม่ แต่เสียงสัญญาณดังอยู่นานสองนาน ก็ยังคงไม่มีคนรับสายเช่นเดิมการที่ไม่ทราบเลยว่ามารดาเป็นตายร้ายดีอย่างไร ทำให้จิตใจของเธอไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ความหวาดกลัวจึงเริ่มเกาะกุมจิตใจอย่างช่วยไม่ได้จากนั้นเวินหนานจื่อก็นึกถึงโจวจิน ชายหนุ่มที่เธอเคยคิดว่าจะได้ใช้เวลาอยู่ร่วมกันไปชั่วชีวิตในเมื่อกงเฉินล่วงรู้ถึงการมีอยู่ของโจวจินแล้ว โจวจินจะเป็นอะไรไปอีกคนหรือเปล่า?คิดดังนั้น เธอจึงรีบกดโทรหาโจวจินทันทีเธอรักและผูกพันกับโจวจินมาตลอด ช่วงเวลาที่อยู่ในตระกูลเวิน ก็ได้โจวจินคอยปลอบโยนและปกป้องคุ้มครอง แม้วันนี้จะถูกบีบให้ต้องแยกทาง แต่เธอก็ไม่อยากให้โจวจินต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วยในใจเฝ้าภาวนาขอให้โจวจินรีบรับสายไว ๆ ขอแค่ได้ยินเสียงเขา เธอก็จะวางใจ หนำซ้ำยังแอบหวังลึก ๆ ว่าเสียงของเขาจะช่วยปลอบประโลมจิตใจเธอได้เหมือนดั่งวันวานเมื่อมีคนรับสาย เวินหนานจื่อก็รีบก

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status