“โอ้ เช่นนั้นหรือ เป็นอย่างนั้นก็ดีนัก” ท่านป้ากล่าวออกมาอย่างยินดีกัลการที่จะเริ่มต้นกับการทำมาค้าขายของตนเอง
“ใช่เจ้าค่ะท่านป้า หากว่าร้านบะหมี่ของข้าเปิดอย่างเป็นทางการแล้วข้าจะเชิญท่านลุงกับท่านป้าไปวันเปิดร้านของข้าอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ!”
“ไม่ต้องหรอกๆ จะให้ยายแก่อย่างข้ากับตาแก่ไปทำอันใดกันเล่าไม่แน่หากมีคนเห็นพวกข้าทั้งสองแล้วอาจจะทำให้ไม่อยากเข้าร้านของเจ้าก็ได้หนา” ท่านป้าเอ่ยออกมาอย่างจะห้ามความคิดของนาง
“ท่านป้าอย่าคิดเช่นนั้นสิเจ้าคะ อย่างไรข้าก็ไม่ปล่อยให้ท่านลุงกับท่านป้าต้องไปแล้วขายขี้หน้าผู้ใดแน่นอนเจ้าค่ะ”
“ยายแก่ เจ้าก็อย่าไปเถียงกับอาเมิ่งนักเลย สิ่งไหนที่นางว่าดีมันก็ย่อมต้องออกมาดีอยู่แล้ว” ท่านลุงที่กำลังก้มหน้าก้มตาเก็บของอยู่ ก็ตะโกนตักเตือนภรรยาออกมาอย่างห้ามไม่อยู่
“เฮ้อ… ยายแก่อย่างข้าจะไปพูดอันใดได้เล่า ถ้าอย่างนั้นข้าก็ต้องแล้วแต่เจ้าเถิด” ท่านป้าเอ่ยตอบออกมาอย่างแง่งอนที่ผู้เป็นสามีกล่าวดุนาง
“โถ่ ท่านป้าเจ้าขา ท่านอย่าได้แง่งอนท่านลุงไปเลยเจ้าค่ะ ข้าเชื่อว่าอย่างไรท่านลุงก็ย่อมต้องคิดเผื่อท่านป้าอยู่แล้ว จริงหรือไม่เจ้าคะท่านลุง? ”
“ถูกต้องแล้วอาเมิ่ง เจ้าก็อย่างอนข้าไปเลยหน่า ข้าไม่อยากให้เจ้ากังวลกับเรื่องในอนาคตจนเกินไปนักนะยายแก่ ตอนนี้เจ้าควรจะทำปัจจุบันให้ดีกันก่อนเถิด” ท่านลุงเอ่ยออกมาอย่างเตือนสติท่านป้า แม้แต่นางที่ได้ยินคำพูดของท่านลุงก็ยังได้คิดไปด้วยเช่นเดียวกัน
“เอาล่ะๆ ข้ายอมแล้ว ไม่เถียงกับพวกเจ้าแล้ว เถียงกับพวกเจ้าไปอย่างไรข้าก็ไม่ชนะอยู่แล้วนี่” ท่านป้าบ่นพร้อมกับลุกหนีไปหาท่านลุง “มาตาแก่มีอันใดให้ข้าช่วยทำหรือไม่? ”
“อั้ยโย่ว! ไม่มีๆ ข้าทำเสร็จหมดแล้ว” ท่านลุงเอ่ยตอบพร้อมกับมัดถุงกระสอบป่านสุดท้ายเสร็จเรียบร้อยดี
เมิ่งฮวาที่เห็นว่าท่านลุงเก็บทุกอย่างเสร็จแล้วจึงได้เอ่ยออกมาว่า
“ถ้าหากท่านลุงกับท่านป้าเก็บทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยดีแล้ว อย่างนั้นพวกเราไปบ้านของข้าเลยดีหรือไม่เจ้าคะ? ” เมิ่งฮวาเดินมาหาท่านลุงท่านป้าแล้วกล่าวถามออกมา พร้อมกับสะบัดมือทีเดียวเพื่อเก็บถุงกระสอบป่านทั้งหมดเข้ามิติ
ท่านลุงท่านป้าที่เห็นก็ต่างพากันตกใจ แต่พอตั้งสติก็เอ่ยตอบคำถามของเมิ่งฮวาออกมา
“ในเมื่อไม่มีอันใดแล้วเช่นนั้นก็เอาตามที่เจ้าว่าเถิดอาเมิ่ง” ท่านลุงเอ่ยตอบ ส่วนท่านป้าไม่ได้เอ่ยตอบอันใดออกมาทำเพียงแค่พยักหน้าออกมาอย่างเห็นด้วยกันกับท่านลุง
“ถ้าอย่างนั้นก็ไปกันเถิดเจ้าค่ะ ท่านลุงอย่าลืมปิดล็อกประตูบ้านให้ดีนะเจ้าคะ” เมื่อเดินใกล้จะออกมาจากตัวบ้านเมิ่งฮวานางก็เอ่ยเตือนออกมา
“เอาล่ะ ลุงรู้แล้วๆ ”
หลังจากที่ออกมาจากตัวบ้านดินกันเรียบร้อยแล้ว ทั้งสองคนก็ยืนรอท่านลุงปิดล็อกประตูบ้าน จนเสร็จเรียบร้อยจึงได้เตรียมจะเดินกันออกไปทันที…
“เดี๋ยวข้าขอไปแก้มัดม้าใต้ต้นไม้ใหญ่ตรงนั้นสักครู่นะเจ้าคะ” พูดจบเมิ่งฮวานางก็รีบวิ่งไปยังใต้ต้นไม้ใหญ่เพื่อแก้มัดม้าแล้วเดินจูงม้ามายังที่ท่านลุงกับท่านป้ารออยู่ทันที
ท่านลุงที่เห็นม้าก็ทำตาโตออกมาอย่างชื่นชม
“มะ…ม้าของเจ้างามนัก ข้าไม่เคยเห็นม้าที่สง่า แล้วก็งดงามเช่นนี้มาก่อนเลย…” ท่านลุงกล่าวชมม้านิลโลหิตของนางออกมาอย่างชื่นชม
ม้านิลโลหิตของนางที่ได้ดื่มกินน้ำวารีสวรรค์ของนางเป็นประจำทุกวันทำให้มันฉลาดแล้วก็สามารถฟังรู้เรื่อง เมื่อได้ยินคำพูดที่ท่านลุงกล่าวชมมันออกมา มันก็ถึงกับแสดงท่าทางเชิดหน้าอย่างเหนือชั้น ม้าที่เจ้าเคยเห็นจะมาสู้ม้านิลโลหิตผู้งดงามอย่างข้าได้อย่างไรกัน หึ! แล้วก็หันหน้าหนีท่านลุงไปทันที …ส่วนเมิ่งฮวาที่เห็นเช่นนั้นก็ถึงกับกรอกตา ก่อนจะเอ่ยออกมา
“ข้าว่าพวกเรารีบเดินไปบ้านกันเถิดเจ้าค่ะ เอาไว้ถึงบ้านแล้วท่านลุงค่อยไปดูมันใกล้ๆ ก็แล้วกันนะเจ้าคะ”
“โอ้! ได้ได้ ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็รีบไปบ้านเจ้ากันเถิด” ท่านลุงกล่าวตอบออกมาอย่างตื่นเต้น
หลังจากนั้นก็เดินกันไปยังทางบ้านของเมิ่งฮวาทันที แต่อย่างไรก็ยังต้องเดินผ่านบ้านของผู้คนในหมู่บ้านทำให้ชาวบ้านบางกลุ่มที่เห็นต่างก็กล่าวถามออกมาอย่างไม่เกรงใจ
“อ้าวนางลี่ นี่พวกเจ้าจะไปที่ใดกันเล่านั่น” หญิงกลางคนในหมู่บ้านผู้หนึ่งเอ่ยถามออกมาอย่างสงสัยใคร่รู้
“อ้อ… ข้ากับตาแก่ก็จะไปอยู่กับหลานสาวของข้าน่ะสิ อาเมิ่งนางกลัวว่าหน้าหนาวหากปล่อยให้ข้ากับตาแก่อยู่ที่บ้านหลังนั้นจะเป็นอันตรายน่ะ” นางเอ่ยตอบออกอย่างจีบปากจีบคอ จนผู้คนบางกลุ่มก็ยังรู้สึกอิจฉาในบุญวาสนาของคนทั้งคู่
“อั้ยโย่ว! ข้าล่ะอิจฉาพวกเจ้าทั้งสองคนจริงจริ๊ง หน้าหนาวปีนี้ก็คงจะไม่ต้องมาดิ้นรนทรมานอย่างที่เคยเป็นเหมือนกับพวกเราอีกแล้ว เห้อ… ได้ไปอยู่บ้านหลังใหญ่หลังโต ทั้งได้กินอิ่มนอนอุ่น”
“ก็อย่างว่าละนะ วาสนาผู้ใดก็วาสนาผู้นั้น…” นางลี่เอ่ยตอบหญิงชาวบ้านคนนั้นออกมา จนผู้คนได้ฟังถึงกับพูดไม่ได้เถียงไม่ออกกันเลยทีเดียว “ถ้าพวกเจ้าไม่มีอันใดจะถามไถ่แล้วอย่างนั้นพวกข้าคงต้องขอตัวก่อน ไปกันเถิดตาแก่ อาเมิ่ง”
“อืม” ท่านลุงที่ได้ยินก็กล่าวตอบออกมาในลำคอ พร้อมกับเดินนำออกไป
“เจ้าค่ะท่านป้า…”
ให้หลังทั้งสามคนไปแล้ว หญิงชาวบ้านผู้นั้นก็ยังไม่จบกับเรื่องที่สนทนาเมื่อสักครู่ อดไม่ได้ที่จะพูดออกมาอย่างกระแนะกระแหน
“จิ๊! ก็แค่บังเอิญช่วยลูกหลายคนร่ำคนรวยผู้หนึ่งเท่านั้น ฮึ้ย! ทำไมไม่เป็นข้ากันนะ” นางอดไม่ได้ที่จะบ่นออกมาอย่างอิจฉาในวาสนาของคนทั้งสอง
“นี่นางโจวเจ้าก็อย่าฝันหวานนักเลย ยังไม่รีบกลับบ้านไปช่วยยายโม่วอีก ข้าเห็นนางตะโกนด่าเจ้าเอ็ดตะโลไปเก้าบ้านแปดบ้านแล้วกระมัง” ชายกลางคนที่ไม่ได้สนใจเรื่องของผู้อื่นมากนัก แต่ก็อดไม่ได้ที่เอ่ยพูดออกมา
นางโจวที่ได้ยินว่านางโม่งกำลังตะโกนด่านางก็ถึงกับทำท่าหลุกหลิกกริ้งกรอกตาไปมาอย่างครุ่นคิดว่าจะหาทางรอดยัยแก่นี่อย่างไร เพราะหากนางโต้เถียงออกไปดีไม่ดีคงได้ถูกนางทุบตีกลับมาอีกเป็นแน่…
…
ตัดภาพกลับมาที่เมิ่งฮวา
หลังจากที่เดินเข้ามาภายในตัวบ้านกันเรียบร้อยแล้ว เมิ่งฮวานางก็นำม้าไปเข้าคอกแล้วเทน้ำให้อาหารมันทันที ก่อนที่จะพาท่านท่านลุงกับท่านป้าเดินไปยังห้องนอนของตัวเองกันทันที
“นี่เจ้าค่ะ ห้องนอนของท่านลุงกับท่านป้า ส่วนอันนี้จะเป็นห้องน้ำห้องส้วมนะเจ้าคะ เชิญท่านลุงกับท่านป้าจัดของแล้วก็พักผ่อนกันตามสบาย เดี๋ยวข้าจะไปเตรียมทำอาหารมื้อเย็นรอ หากเสร็จแล้วข้าจะมาเรียกนะเจ้าคะ …อ้อ หากท่านลุงจะไปดูเจ้าเสี่ยวเทาก็ไปได้เลยนะเจ้าคะ”
“หืม? เจ้าเสี่ยวเทา…” ท่านลุงเอ่ยออกมาอย่างสงสัย
“อ้อ ก็เจ้าม้าตัวนั้นนั่นแหลเเจ้าค่ะ ข้าตั้งชื่อให้มันว่า เสี่ยวเทา” เมิ่งฮวานางอธิบายตอบท่านลุบออกไป
“โอ้ เป็นเช่นนั้น ได้ได้ ขอบใจเจ้ามากนะอาเมิ่ง”
“เจ้าค่ะ”
เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรแล้ว เมิ่งฮวานางก็เดินออกจากห้องนอนของท่านลุงท่านป้ามายังห้องครัวเพื่อจะเตรียมทำอาหารมื้อเย็นทันที… ซึ่งวันนี้เมิ่งฮวานางก็ตัดสินใจว่านางจะทำอาหารมื้อเย็นที่ไม่หนักท้องจนเกินไปซึ่งก็เป็นอาหารง่ายๆ นั่นก็คือ ต้มจืดเต้าหู้ไข่สาหร่าย แล้วก็ไข่เจียวหมูสับ แล้วก็ผัดพริกแกงกินกับข้าวสวยร้อนๆ อีกหนึ่งอย่างก็เพียงพอแล้ว
หลังผ่านเหตุการณ์สั่นคลอนชะตาทั้งหลายที่ปราสาทอู่หวัง และผ่านช่วงเวลาพักรักษาตัวอยู่ในจวนใหญ่ของโจวจางเหว่ย ในที่สุดนางก็สามารถฟื้นตัวคืนกำลังได้เกือบเต็มร้อย พลังลี้ลับจากเลือดมังกรในกายไม่ปรากฏอาการร้อนผ่าวอีกแล้ว เธอสัมผัสได้ว่าบัดนี้ตนไม่ต้องแบกรับภาระอันหนักอึ้งเช่นเดิมอีกต่อไปในเช้าวันแดดจัดที่มีเมฆลอยเรียงกันประปราย โจวจางเหว่ยได้จัดเตรียมรถม้าอย่างเรียบง่าย พาเมิ่งฮวาออกเดินทางกลับหมู่บ้านซานซี อันเป็นดินแดนเล็กๆที่เธอเคยใช้ชีวิตเรียบง่ายร่วมกับ ท่านลุงลี่คุน และท่านป้าลี่จูเสมอมาเมิ่งฮวามองเห็นทิวเขาคุ้นตาแต่ไกล ยิ่งใกล้ซานซีเท่าไรเธอยิ่งรู้สึกอบอุ่นในหัวใจ นึกถึงวันที่ยังใช้ชีวิตแบบคนธรรมดา ไม่ต้องพัวพันกับเลือดมังกรหรือการเมืองใดๆ เมื่อถึงทางเข้าหมู่บ้านเธอเห็นรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้าของโจวจางเหว่ย และสัมผัสได้ถึงสายลมเย็นๆที่พัดมาเหมือนยินดีต้อนรับการกลับมาของเธอเมื่อรถม้าวิ่งเข้าเขตบ้านลุงลี่คุน ท่านป้าลี่จูก็ปราดออกมาต้อนรับทันทีด้วยรอยยิ้มที่แสดงถึงความห่วงใย“อาเมิ่ง! เจ้าไม่เป็นอะไรแล้วใช่ไหม?” ท่านป้าลี่จูรีบเข้ามาจับมือเมิ่งฮวา ตรวจดูกันตั้งแต่หัวจรดเท้าราวกับหล
เสียงก้องสะท้อนในห้องมังกรใหญ่ยังคงโหมกระพือ เสาหินรอบข้างสั่นไหวราวกับจะถล่มลงทุกเมื่อ อานุภาพมหาศาลจากแกนมังกรแผ่กระจายเป็นวงกว้าง ทำให้อากาศสั่นระริกจนทุกคนที่อยู่ในห้องรู้สึกหายใจลำบากเมิ่งฮวายืนอยู่ตรงกลางวงแสงสีทองที่ปะทุจากจุดศูนย์กลางของแท่นบูชา เหงื่อและเลือดไหลอาบบนใบหน้าที่เธอไม่อาจรับรู้ถึงความเจ็บปวดได้อีก ในจิตใจเธอมีเสียงสองกระแสคอยก้องสลับไปมา‘หลอมรวม… เพื่อเป็นผู้ครองพลัง! หรือทำลาย… เพื่อยุติความวุ่นวาย!’เบื้องหน้าเธอคือรูปสลักมังกรที่ดูเหมือนมีชีวิต แผ่นโลหะหนาทึบบนอกรูปสลักเริ่มแตกออกเป็นเสี่ยงๆเผยให้เห็นแกนมังกรคล้ายลูกแก้วสีทองสะท้อนแสงในมือเมิ่งฮวา อำนาจโบราณจากยุคสมัยราชวงศ์เก่ากำลังตื่นขึ้นพร้อมแรงกดดันอันเกรี้ยวกราดขณะที่คลื่นพลังปกคลุมห้องมังกรอย่างหนักหน่วง เหล่ามือสังหารที่ยังมีสติอยู่ก็ต้องคุกเข่าหรือหมอบกับพื้น องครักษ์ของโจวจางเหว่ยที่ยังยืนก็แทบจะทรงตัวไม่อยู่ บางคนถูกแรงอัดดีดกระเด็นไปยังซอกกำแพงโจวจางเหว่ยตะเกียกตะกายลุกขึ้น มือกำกระบี่ที่สั่นระริก พยายามฝ่าคลื่นพลังเข้ามาหาเมิ่งฮวา“ฮวาเออร์!” เขาเรียกสุดเสียง แต่ถูกแรงอัดบีบจนขยับได้ยากเต็มที
แสงสีทองแห่งแกนมังกรที่ซ่อนอยู่ภายในร่างโลหะของมังกรส่องสว่างออกมาจากกลางแท่นบูชาอย่างน่าพิศวง บรรยากาศในห้องใต้ดินอันกว้างใหญ่ชวนให้รู้สึกถึงความเก่าแก่และพลังลี้ลับที่สั่งสมมานับศตวรรษเมิ่งฮวายืนนิ่งหัวใจเต้นระรัวเมื่อตระหนักว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าคือ‘หัวใจ’ของอู่หวังที่แท้จริง ต้นกำเนิดแห่งอำนาจซึ่งเหล่ากบฏกำลังตามหามาโดยตลอดขณะที่เมิ่งฮวากำลังไล่สายตาสำรวจรูปสลักมังกรขนาดใหญ่ที่ดูเหมือนจะมีชิ้นส่วนโลหะพิเศษครอบอยู่เป็นเกล็ด การเต้นของเลือดในร่างกายเธอก็เร่งจังหวะไม่หยุดราวกับสายเลือดตอบสนองต่อบางสิ่งที่เปล่งพลังงานอยู่เบื้องหน้า“ฮวาเออร์…” โจวจางเหว่ยเรียกเธอเสียงเบา มือกำกระบี่ข้างกายแน่น เขามองสถานการณ์ด้วยความระแวดระวังเพราะอาจมีศัตรูโผล่มาได้ทุกเมื่อ “เจ้ารู้สึกไหมว่าพลังนี้กำลังเรียกหาเจ้า?”เมิ่งฮวาพยักหน้าเล็กน้อยสีหน้าสับสนแต่ก็เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น นางไม่ได้ตอบอะไรเพียงแต่ก้าวเข้าใกล้แท่นบูชามากขึ้นทีละนิดโดยมีโจวจางเหว่ยตามมาคุ้มกันไม่ห่างบริเวณโดยรอบแท่นบูชามีร่องรอยภาพสลักเก่าแก่บนกำแพงหินและพื้น บ้างเป็นรูปมนุษย์แต่งกายหรูหรายืนล้อมมังกร บ้างเป็นรูปผู้คนคุกเข่าบูชา
การต่อสู้ในโถงมังกรยังคงดุเดือด ดาบกระทบกันเสียงดังสนั่น เสียงเหล็กเสียดสีกันดังไปทั่วทุกมุมโถง บางครั้งสายตาของเมิ่งฮวาก็เหลือบไปเห็นบันไดลับที่เปิดลงไปยังส่วนลึกของปราสาท อาการบาดเจ็บจากการต่อสู้รุนแรงทำให้ความคิดของเธอพร่าเบลอ แต่เธอรู้ดีว่าถ้าไม่รีบตัดสินใจตอนนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นจะทำให้พวกเขาพลาดโอกาสสำคัญไปท่ามกลางการต่อสู้ที่รุนแรงนักฆ่าหลายคนเริ่มแยกตัวออกไป โดยมีท่าทางเหมือนจะเริ่มมีกลยุทธ์บางอย่าง การโจมตีของพวกมันแม่นยำและรวดเร็ว หลายครั้งที่เมิ่งฮวากับโจวจางเหว่ยต้องใช้กลยุทธ์หลบหลีกและโจมตีสวนกลับ หากพวกเขายังไม่สามารถหยุดยั้งพวกมันได้ กลุ่มของพวกเขาจะต้องถูกต้อนให้มุมในไม่ช้า“พวกมันกำลังพยายามล่อเราไปที่มุม!” เมิ่งฮวาตะโกนเตือน โจวจางเหว่ยหันไปมองเธอด้วยความเป็นห่วงแต่เขาก็ไม่มีเวลาพูดอะไร เพราะมือสังหารอีกคนพุ่งมาที่เขา โจวจางเหว่ยต้องหลบการโจมตีและสวนกลับด้วยกระบี่ในมือ“ข้าจะไม่ปล่อยให้พวกเจ้าหลบหนีไปได้แน่!” เขาตะโกนสั่งองครักษ์ที่ยืนข้างๆ พลางฟันกระบี่ของตนอย่างแม่นยำเสียงของดาบกระทบกันดังตึงตังจนหลายคนสะดุ้ง แต่ท่ามกลางความยุ่งเหยิงนั้น เมิ่งฮวามองเห็นช่องว่างระห
ความเงียบงันที่ปกคลุมอุโมงค์หินถูกแทนที่ด้วยเสียง ครืด… ครืด… ที่ดังสะท้อนก้องจนเสียดหู เมิ่งฮวาและโจวจางเหว่ย ยืนประจันหน้ากับเงาดำขนาดใหญ่ที่ขวางอยู่ตรงส่วนปลายทางเดิน โดยมีองครักษ์อีกสองนายจับอาวุธเตรียมพร้อมในท่าทีตื่นตัวพอแสงคบไฟสาดส่องไปใกล้ขึ้นเรื่อยๆก็ปรากฏให้เห็นเงาร่างเหมือน “รูปสลักมังกร” ขนาดใหญ่หินแกะสลักที่ลำตัวยาวเลื้อยไปตามผนัง มีส่วนหัวโผล่พ้นขึ้นจากพื้นหินชนิดที่เห็นฟันแหลมคมรางๆ ดวงตาของมันเป็นอัญมณีสีเขียวเข้มสะท้อนแสงไฟพราวระยับ จนดูราวกับมันกำลังจ้องมองพวกเขาอยู่จริงๆเมิ่งฮวารู้สึกถึงเลือดในกายสูบฉีดเร็วขึ้น สัญชาตญาณบางอย่างร้องเตือนว่าสิ่งนี้มิใช่เพียงรูปสลักธรรมดา เหมือนมีพลังลี้ลับแผ่ออกมาจากตัวมัน“นายท่าน… นี่มัน… เคลื่อนไหวได้หรือขอรับ?” องครักษ์คนหนึ่งถามเสียงเบาหวิว มือกำกระบี่ไว้จนข้อขาวโจวจางเหว่ยไม่ตอบ เขาก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าวโดยที่ยังไม่ลดกระบี่ เสียงหินเสียดสีกันดังครืดอีกครั้ง ขณะเดียวกันรูปสลักมังกรก็ขยับคอไปด้านข้างช้าๆก่อให้เกิดความรู้สึกขนลุกพิลึก“รูปสลักนี้มีกลไกด้านใน… หรืออาจเป็นกับดักที่ใช้แรงคนหมุน?” เขาพึมพำ แต่ความสงสัยกลับเร้าใจขึ
ท่ามกลางกลิ่นอับชื้นและความเยียบเย็นของห้องหิน ขบวนของเมิ่งฮวาและโจวจางเหว่ยตัดสินใจหยุดพักชั่วคราวเพื่อฟื้นแรงและประเมินสถานการณ์ โดยมีองครักษ์สองนายผลัดกันออกไปยืนเฝ้าที่ปากอุโมงค์เพื่อป้องกันมือสังหารศัตรูที่อาจกลับมาได้ทุกเมื่อเมิ่งฮวานั่งพิงกำแพงที่ขรุขระ หายใจผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อยหลังจากผ่านการต่อสู้อันบีบคั้น เหลือบมองสมาชิกในขบวนที่ได้รับบาดเจ็บก็กำลังนั่งพักผ่อนเช่นกัน บางคนก็หลับตาปลดปล่อยความตรึงเครียดโดยมีอาวุธวางข้างตัวไม่ห่าง“ทุกคนเหนื่อยกันมาก…” โจวจางเหว่ยเอ่ยเสียงเบา ดวงตาเข้มทอแววห่วงใย “แต่เรายังต้องก้าวต่อไป หากพ้นคืนนี้แล้วเดินไปอีกไม่ไกลก็อาจถึงใจกลางอู่หวัง”เมิ่งฮวาพยักหน้ารับ เธอเองก็รับรู้ถึงแรงดึงดูดบางอย่างที่ลึกลงไปในภูเขานี้ คล้ายกับว่ามันรอให้เธอมาค้นพบมานานแสนนาน“นายท่าน!” องครักษ์คนหนึ่งที่เดินตรวจลึกเข้าไปในอุโมงค์ร้องเรียกเบาๆ สะท้อนเสียงมาไกล ราวกับค้นพบอะไรบางอย่างโจวจางเหว่ยและเมิ่งฮวาลุกขึ้นทันที นำองครักษ์บางส่วนถือคบไฟตามเข้าไปยังโพรงแคบภายในห้องต่อไปในโพรงนั้น… พื้นหินเรียบแต่ผนังสองข้างกลับคดเคี้ยวด้วยลวดลายสลักเป็นรูปคนและสัตว์ในท่าทางแป