เมื่อเมิ่งฮวาขี่ม้ามาได้สักพักใหญ่นางก็ขี่มาถึงหน้าประตูเมืองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว นางกระโดดลงจากหลังม้าแล้วจูงม้าเดินไปต่อแถวเพื่อจะจ่ายเงินเข้าไปยังในเมือง
…
ต่อแถวไม่นานก็ถึงคิวของเมิ่งฮวา
“6 อีแปะ” ชายหนุ่มที่เป็นทหารคอยรักษาหน้าประตูเมืองเอ่ยกับเมิ่งฮวาออกมา
เมิ่งฮวาไม่ได้เอ่ยตอบอะไรออกไปแต่หยิบเงิน 6อีแปะออกมาจากถุงเงินแล้วยื่นให้แก่ชายหนุ่มคนนั้นไปทันที
“เชิญ เข้าไปได้” ชายหนุ่มเอ่ยหลังจากที่ได้รับเงินจากนางไปแล้ว
เมิ่งฮวาไม่ได้เอ่ยตอบอันใดออกมาทำเพียงแค่พยักหน้าออกมาพร้อมกับจูงม้าเข้าเขตตัวเมืองไปทันที เมื่อพ้นเขตผู้คนไปแล้วเมิ่งฮวาก็กระโดดขึ้นหลังม้าแล้วขี่ไปยังจวนเจ้าเมืองตามที่ชายหนุ่มขายร้านได้นัดแนะกับนางเอาไว้
จวนเจ้าเมือง
เมิ่งฮวาที่ขี่ม้าเข้ามาถึงจวนเจ้าเมืองแล้วนางก็กระโดลงจากหลังม้า พร้อมกับจูงม้าไปได้ต้นไม้ใหญ่ แล้วนำน้ำในกระบอกมาเทป้อนม้ารอชายหนุ่มมา… แต่เมิ่งฮวาที่ขี่ม้ามานานก็รู้สึกคอแห้งเช่นเดียวกันจึงได้หยิบกระบอกน้ำอีกกระบอกออกมาเปิดแล้วกระดกกิน
“พี่ฮวามานานหรือยังขอรับ? ” เสียงชายหนุ่มเอ่ยดังแว่วมา
เมิ่งฉวาที่กำลังจะเก็บกระบอกน้ำก็รีบเงยหน้ามอง
“อ้าวเสี่ยวจ้านมาแล้วรึ? ข้าเพิ่งมาเมื่อสักครู่เอง” เมิ่งฮวานางกล่าวตอบพร้อมกับเก็บกระบอกน้ำ
“ถ้าอย่างนั้นพวกเราเข้าไปในจวนกันเถิดขอรับ”
“เจ้าเดินนำข้าไปสิ” เมิ่งฮวาเอ่ยพร้อมกับผงกหัวให้ชายหนุ่มเดินนำออกไป
“ขอร๊าบ~” ชายหนุ่มกล่าวตอบเมิ่งฮวาออกมาอย่างกะล่อน พร้อมกับเดินนำออกไป
เมิ่งฮวาที่เห็นเช่นนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรออกไปอีก ทำเพียงแค่ส่ายหัวไปมาพร้อมกับเดินตามชายหนุ่มออกไป
.
เมื่อเดินเข้ามาถึงพายในจวนเจ้าเมืองแล้ว เมิ่งฮวาก็เห็นว่าด้านหน้าของนางเป็นห้องขนาดใหญ่ที่มีชั้นเอกสารต่างๆ วางอยู่มากมาย แล้วก็มีโต๊ะทำงานส่วนด้านหลังโต๊ะทำงานก็มีชายชราคนหนึ่งนั่งรออยู่ก่อนแล้ว ส่วนอีกฝั่งตรงข้ามก็มีเก้าอี้ว่างวางไว้อยู่สองตัว เมื่อนางกวาดตาไปมาเพื่อสำรวจ
“คาระวะขอรับท่านเจ้าเมือง”
“คาระวะเจ้าค่ะท่านเจ้าเมือง”
“อืมๆ ไม่ต้องมากพิธีอันใดกันขนาดนั้น เชิญพวกเจ้านั่งลงกันก่อน”
เมิ่งฮวาที่กล่าวทักทายเสร็จก็มัวแต่คิดอะไรอยู่ แต่เมื่อได้ยินเสียงชายหนุ่มข้างตัวขยับเก้าอี้ออกมาก็เลยหันกลับมาสนใจเก้าอี้ตรงหน้าก่อนที่จะเอ่ยขอบคุณชายหนุ่มแล้วนั่งลง
“เชิญนั่งเก้าก่อนขอรับพี่ฮวา”
“ขอบใจเจ้ามากนะเสี่ยวจ้าน” เมิ่งฮวานางเอ่ยตอบออกมาพร้อมกับส่งยิ้มให้
เมื่อทั้งสองคนนั่งลงเรียบร้อยแล้ว บทสนทนาก็เริ่มขึ้นทันที
“แล้วที่มาวันนี้พวกเจ้ามาด้วยเรื่องอันใดกันเล่า? ” ท่านเจ้าเมืองกล่าวถาม
“พวกข้าจะมาทำสัญญาซื้อขายหน้าร้านน่ะขอรับท่านเจ้าเมือง”
“อ้อ… เตรียมเอกสารกันมาครบแล้วใช่หรือไม่? ” ท่านเจ้าเมืองเอ่ยถาม
“ครบแล้วขอรับ” เสี่ยวจ้านกล่าวตอบ
“ถ้าอย่างนั้นรอสักครู่ เดี๋ยวข้าจะไปหยิบหนังสือสัญญามาให้พวกเจ้า” ท่านเจ้าเมืองกล่าวพร้อมกับหยัดกายลุกขึ้นออกจากเก้าอี้ แล้วเดินออกไปทันที
เมิ่งฮวาที่มองสังเกตอะไรไปเรื่อยๆ เสี่ยวจ้านก็เอ่ยออกมา
“พี่ฮวา ตอนที่อยู่ในจวนแห่งนี้ข้าว่าท่านเก็บสายตาของท่านเอาไว้สักหน่อยเถิดขอรับ ไม่เช่นนั้นท่านเจ้าเมืองอาจจะเกิดไม่พอใจท่านเอาได้”
เมิ่งฮวาที่ชอบสังเกตเมื่อได้ยินคำเตือนของเสี่ยวจ้านก็รีบดึงสายตากลับมา พร้อมกับกล่าวตอบ
“อืม… ข้ารู้แล้ว ขอบใจเจ้ามาก”
.
หลังจากรอไม่นานท่านเจ้าเมืองก็เดินกลับมาแล้วนั่งลงที่เก้าอี้ตัวเดิมทันที
“อ่ะนี่ เอกสารซื้อขายของพวกเจ้า รีบประทับลายนิ้วมือของพวกเจ้าเข้าสิส่วนตรงพยานข้าจะเป็นคนประทับลายนิ้วมือให้พวกเจ้าทั้งสองคนเอง เอกสารมีทั้งหมด3ฉบับ ของพวกเจ้าคนละ1ฉบับ ส่วนข้าจะเก็บเอาไว้หนึ่งฉบับ”
เมื่อท่านเจ้าเมืองเอ่ยจบ เมิ่งฮวานางก็พยักหน้าออกมาอย่างรับรู้พร้อมกับหยิบเอกสารขึ้นมาอ่าน เมื่ออ่านจบแล้วเห็นว่าไม่มีอะไรผิดพลาดตรงไหนก็ทำการประทับลายนิ้วมือของตัวเองลงไปทันที
…เมื่อทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้วเมิ่งฮวานางก็หยิบถุงเงินที่เตรียมเอาไว้ขึ่นมาจ่ายให้แก่เสี่ยวจ้าน แล้วก็ไม่ลืมค่าน้ำชาให้ท่านเจ้าเมืองอีก 1ตำลึงทอง ท่านเจ้าเมืองที่เห็นเช่นนั้นก็พยักหน้าออกมาอย่างพึงพอใจก่อนที่จะยื่นเอกสาร2ฉบับให้แก่เมิ่งฮวากับเสี่ยวจ้านคนละ1ฉบับ แต่ของเมิ่งฮวาจะมีเอกสารร้านที่นางซื้อมาเพิ่มอีก1ฉบ้บ
“ถ้าอย่างนั้นพวกเราคงต้องขอตัวลาท่านเจ้าเมืองก่อนนะเจ้าคะ” เมิ่งฮวาเอ่ย
“อืม…”
หลังจากนั้นทั้งสองคนก็เดินออกจากจวนท่านเจ้าเมืองกันทันที
……
ด้านหน้าจวนเจ้าเมือง
“ถ้าไม่มีอันใดแล้วข้าคงต้องขอตัวลากลับจวนก่อนนะขอรับพี่ฮวา ท่านก็เดินทางปลอดภัยนะขอรับ” เสี่ยวจ้านกล่าว แต่ก็ไม่ลืมที่จะกล่าวอวยพรให้แก่นาง
“เจ้าเองก็เช่นกันนะ ถ้าอย่างนั้นแยกกันตรงนี่แหละ”
“ขอรับ”
เมื่อบทสนทนาจบลงทั้งสองคนก็แยกย้ายกันไปทันที เสี่ยวจ้านเดินขึ้นรถม้าออกไปทันที ส่วนเมิ่งฮวานางก็เดินกลับไปใต้ต้นไม้ใหญ่ แล้วจัดการแก้ปมเชือกที่มัดอยู่ออกแล้วจูงม้าออกมาพร้อมกับกระโดดขึ้นหลังม้าทันที ก่อนที่จะขี่ม้าออกมาจากจวนเจ้าเมืองเพื่อกลับไปยังหมู่บ้านซานซี
.
.
ผ่านไป 1 ชั่วยาม เมิ่งฮวานางก็ขี่ม้าเข้ามายังหมู่บ้านทันที แต่นางไม่ได้ขี่ม้าตรงกลับไปที่บ้านของตัวเองทันที นางขี่ม้ามุ่งหน้าตรงไปยังบ้านของท่านลุงกับท่านป้าเพื่อจะไปช่วยคนทั้งสองเก็บของสัมภาระเสียก่อน
บ้านตระกูลลี่
เมื่อมาถึงบ้านท่านลุงท่านป้าเป็นที่เรียบร้อยแล้วเมิ่งฮวานางก็กระโดดลงจากหลังม้าแล้วนำไปผูกใต้ต้นไม้อย่างเช่นทุกครั้งทันที ก่อนที่จะเดินมาเคาะประตูบ้าน
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
“ท่านลุง ท่านป้า ข้ากลับมาแล้วเจ้าค่ะ” เมิ่งฮวานางเคาะประตูเสร็จก็รีบตะโกนบอกทันที
ยืนรอไม่นานนางก็ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวภายในบ้าน ก่อนที่ประตูจะเปิดออก
“ทำไมมาไวนักเล่าอาเมิ่ง นี่เพิ่งยามเว่ย (13:00-14:59 น.) เอง ป้านึกว่าเจ้าจะมาเย็นกว่านี้เสียอีก “
“ข้าเสร็จธุระในตัวเมืองไวน่ะเจ้าค่ะท่านป้าก็เลยมาไว แล้วนี่พวกท่านเก็บกันเสร็จแล้วหรือเจ้าคะ? ”
“เสร็จแล้วล่ะอาเมิ่ง มามา เข้าบ้านมาก่อน” ท่านป้าเอ่ยพร้อมกับหลีกทางให้นางเดินเข้าบ้าน เมิ่งฮวานางก็เดินเข้าบ้านมาทันที
เมิ่งฮวาที่เดินนำท่านป้าเข้าไปในตัวบ้านก็เห็นท่านลุงนั่งเก็บของอยู่ จึงได้เอ่ยทักท่านลุงออกมา
“ท่านลุงมีอันใดให้ข้าช่วยหรือไม่เจ้าคะ? ”
“ไม่ต้องๆ ลุงทำเองได้แค่นี้เองสบายมาก เจ้าไปนั่งคุยกับป้าของเจ้าเถิด” ท่านลุงเอ่ยพร้อมกับโบกมือไปมาเป็นเชิงว่าเป็นไร
“มามาอาเมิ่ง มานั่งคุยกับป้าดีกว่า ไม่ต้องไปสนใจตาแก่หรอก” ท่านป้าเอ่ยพร้อมกับกวักมือเรียก
“เจ้าค่ะท่านป้า” เมิ่งฮวาเอ่ยพร้อมกับหยัดกายลุกขึ้นเดินไปหาท่านป้า
เมื่อเดินมาถึงเมิ่งฮวานางก็นั่งลงข้างๆ ท่านป้า
“เป็นอย่างไรบ้างเล่าอาเมิ่ง วันนี้เข้าไปในตัวเมืองมา” ท่านป้าถามไถ่นางออกมาด้วยความห่วงใย
“ก็ไม่มีอันใดมากหรอกเจ้าค่ะท่านป้า วันนี้ข้าเพียงแค่ไปทำสัญญาซื้อขายหน้าร้านน่ะเจ้าค่ะ”
“หืม? ซื้อร้านอย่างนั้นรึ แล้วนี่เจ้าจะค้าขายสิ่งใดเล่า” ท่านป้าที่ได้ยินก็ทำท่าทางตกใจปนสนใจ
“ข้าก็คิดว่าจะเปิดร้านบะหมี่น่ะเจ้าค่ะท่านป้า ตอนนี้ก็ได้คนทำบะหมี่แล้ว เหลือเพียงแค่ปรับปรุงซ่อมแซมร้านเพิ่มอีกสักหน่อยก็คงจะเปิดได้แล้วเจ้าค่ะ”
หลังผ่านเหตุการณ์สั่นคลอนชะตาทั้งหลายที่ปราสาทอู่หวัง และผ่านช่วงเวลาพักรักษาตัวอยู่ในจวนใหญ่ของโจวจางเหว่ย ในที่สุดนางก็สามารถฟื้นตัวคืนกำลังได้เกือบเต็มร้อย พลังลี้ลับจากเลือดมังกรในกายไม่ปรากฏอาการร้อนผ่าวอีกแล้ว เธอสัมผัสได้ว่าบัดนี้ตนไม่ต้องแบกรับภาระอันหนักอึ้งเช่นเดิมอีกต่อไปในเช้าวันแดดจัดที่มีเมฆลอยเรียงกันประปราย โจวจางเหว่ยได้จัดเตรียมรถม้าอย่างเรียบง่าย พาเมิ่งฮวาออกเดินทางกลับหมู่บ้านซานซี อันเป็นดินแดนเล็กๆที่เธอเคยใช้ชีวิตเรียบง่ายร่วมกับ ท่านลุงลี่คุน และท่านป้าลี่จูเสมอมาเมิ่งฮวามองเห็นทิวเขาคุ้นตาแต่ไกล ยิ่งใกล้ซานซีเท่าไรเธอยิ่งรู้สึกอบอุ่นในหัวใจ นึกถึงวันที่ยังใช้ชีวิตแบบคนธรรมดา ไม่ต้องพัวพันกับเลือดมังกรหรือการเมืองใดๆ เมื่อถึงทางเข้าหมู่บ้านเธอเห็นรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้าของโจวจางเหว่ย และสัมผัสได้ถึงสายลมเย็นๆที่พัดมาเหมือนยินดีต้อนรับการกลับมาของเธอเมื่อรถม้าวิ่งเข้าเขตบ้านลุงลี่คุน ท่านป้าลี่จูก็ปราดออกมาต้อนรับทันทีด้วยรอยยิ้มที่แสดงถึงความห่วงใย“อาเมิ่ง! เจ้าไม่เป็นอะไรแล้วใช่ไหม?” ท่านป้าลี่จูรีบเข้ามาจับมือเมิ่งฮวา ตรวจดูกันตั้งแต่หัวจรดเท้าราวกับหล
เสียงก้องสะท้อนในห้องมังกรใหญ่ยังคงโหมกระพือ เสาหินรอบข้างสั่นไหวราวกับจะถล่มลงทุกเมื่อ อานุภาพมหาศาลจากแกนมังกรแผ่กระจายเป็นวงกว้าง ทำให้อากาศสั่นระริกจนทุกคนที่อยู่ในห้องรู้สึกหายใจลำบากเมิ่งฮวายืนอยู่ตรงกลางวงแสงสีทองที่ปะทุจากจุดศูนย์กลางของแท่นบูชา เหงื่อและเลือดไหลอาบบนใบหน้าที่เธอไม่อาจรับรู้ถึงความเจ็บปวดได้อีก ในจิตใจเธอมีเสียงสองกระแสคอยก้องสลับไปมา‘หลอมรวม… เพื่อเป็นผู้ครองพลัง! หรือทำลาย… เพื่อยุติความวุ่นวาย!’เบื้องหน้าเธอคือรูปสลักมังกรที่ดูเหมือนมีชีวิต แผ่นโลหะหนาทึบบนอกรูปสลักเริ่มแตกออกเป็นเสี่ยงๆเผยให้เห็นแกนมังกรคล้ายลูกแก้วสีทองสะท้อนแสงในมือเมิ่งฮวา อำนาจโบราณจากยุคสมัยราชวงศ์เก่ากำลังตื่นขึ้นพร้อมแรงกดดันอันเกรี้ยวกราดขณะที่คลื่นพลังปกคลุมห้องมังกรอย่างหนักหน่วง เหล่ามือสังหารที่ยังมีสติอยู่ก็ต้องคุกเข่าหรือหมอบกับพื้น องครักษ์ของโจวจางเหว่ยที่ยังยืนก็แทบจะทรงตัวไม่อยู่ บางคนถูกแรงอัดดีดกระเด็นไปยังซอกกำแพงโจวจางเหว่ยตะเกียกตะกายลุกขึ้น มือกำกระบี่ที่สั่นระริก พยายามฝ่าคลื่นพลังเข้ามาหาเมิ่งฮวา“ฮวาเออร์!” เขาเรียกสุดเสียง แต่ถูกแรงอัดบีบจนขยับได้ยากเต็มที
แสงสีทองแห่งแกนมังกรที่ซ่อนอยู่ภายในร่างโลหะของมังกรส่องสว่างออกมาจากกลางแท่นบูชาอย่างน่าพิศวง บรรยากาศในห้องใต้ดินอันกว้างใหญ่ชวนให้รู้สึกถึงความเก่าแก่และพลังลี้ลับที่สั่งสมมานับศตวรรษเมิ่งฮวายืนนิ่งหัวใจเต้นระรัวเมื่อตระหนักว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าคือ‘หัวใจ’ของอู่หวังที่แท้จริง ต้นกำเนิดแห่งอำนาจซึ่งเหล่ากบฏกำลังตามหามาโดยตลอดขณะที่เมิ่งฮวากำลังไล่สายตาสำรวจรูปสลักมังกรขนาดใหญ่ที่ดูเหมือนจะมีชิ้นส่วนโลหะพิเศษครอบอยู่เป็นเกล็ด การเต้นของเลือดในร่างกายเธอก็เร่งจังหวะไม่หยุดราวกับสายเลือดตอบสนองต่อบางสิ่งที่เปล่งพลังงานอยู่เบื้องหน้า“ฮวาเออร์…” โจวจางเหว่ยเรียกเธอเสียงเบา มือกำกระบี่ข้างกายแน่น เขามองสถานการณ์ด้วยความระแวดระวังเพราะอาจมีศัตรูโผล่มาได้ทุกเมื่อ “เจ้ารู้สึกไหมว่าพลังนี้กำลังเรียกหาเจ้า?”เมิ่งฮวาพยักหน้าเล็กน้อยสีหน้าสับสนแต่ก็เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น นางไม่ได้ตอบอะไรเพียงแต่ก้าวเข้าใกล้แท่นบูชามากขึ้นทีละนิดโดยมีโจวจางเหว่ยตามมาคุ้มกันไม่ห่างบริเวณโดยรอบแท่นบูชามีร่องรอยภาพสลักเก่าแก่บนกำแพงหินและพื้น บ้างเป็นรูปมนุษย์แต่งกายหรูหรายืนล้อมมังกร บ้างเป็นรูปผู้คนคุกเข่าบูชา
การต่อสู้ในโถงมังกรยังคงดุเดือด ดาบกระทบกันเสียงดังสนั่น เสียงเหล็กเสียดสีกันดังไปทั่วทุกมุมโถง บางครั้งสายตาของเมิ่งฮวาก็เหลือบไปเห็นบันไดลับที่เปิดลงไปยังส่วนลึกของปราสาท อาการบาดเจ็บจากการต่อสู้รุนแรงทำให้ความคิดของเธอพร่าเบลอ แต่เธอรู้ดีว่าถ้าไม่รีบตัดสินใจตอนนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นจะทำให้พวกเขาพลาดโอกาสสำคัญไปท่ามกลางการต่อสู้ที่รุนแรงนักฆ่าหลายคนเริ่มแยกตัวออกไป โดยมีท่าทางเหมือนจะเริ่มมีกลยุทธ์บางอย่าง การโจมตีของพวกมันแม่นยำและรวดเร็ว หลายครั้งที่เมิ่งฮวากับโจวจางเหว่ยต้องใช้กลยุทธ์หลบหลีกและโจมตีสวนกลับ หากพวกเขายังไม่สามารถหยุดยั้งพวกมันได้ กลุ่มของพวกเขาจะต้องถูกต้อนให้มุมในไม่ช้า“พวกมันกำลังพยายามล่อเราไปที่มุม!” เมิ่งฮวาตะโกนเตือน โจวจางเหว่ยหันไปมองเธอด้วยความเป็นห่วงแต่เขาก็ไม่มีเวลาพูดอะไร เพราะมือสังหารอีกคนพุ่งมาที่เขา โจวจางเหว่ยต้องหลบการโจมตีและสวนกลับด้วยกระบี่ในมือ“ข้าจะไม่ปล่อยให้พวกเจ้าหลบหนีไปได้แน่!” เขาตะโกนสั่งองครักษ์ที่ยืนข้างๆ พลางฟันกระบี่ของตนอย่างแม่นยำเสียงของดาบกระทบกันดังตึงตังจนหลายคนสะดุ้ง แต่ท่ามกลางความยุ่งเหยิงนั้น เมิ่งฮวามองเห็นช่องว่างระห
ความเงียบงันที่ปกคลุมอุโมงค์หินถูกแทนที่ด้วยเสียง ครืด… ครืด… ที่ดังสะท้อนก้องจนเสียดหู เมิ่งฮวาและโจวจางเหว่ย ยืนประจันหน้ากับเงาดำขนาดใหญ่ที่ขวางอยู่ตรงส่วนปลายทางเดิน โดยมีองครักษ์อีกสองนายจับอาวุธเตรียมพร้อมในท่าทีตื่นตัวพอแสงคบไฟสาดส่องไปใกล้ขึ้นเรื่อยๆก็ปรากฏให้เห็นเงาร่างเหมือน “รูปสลักมังกร” ขนาดใหญ่หินแกะสลักที่ลำตัวยาวเลื้อยไปตามผนัง มีส่วนหัวโผล่พ้นขึ้นจากพื้นหินชนิดที่เห็นฟันแหลมคมรางๆ ดวงตาของมันเป็นอัญมณีสีเขียวเข้มสะท้อนแสงไฟพราวระยับ จนดูราวกับมันกำลังจ้องมองพวกเขาอยู่จริงๆเมิ่งฮวารู้สึกถึงเลือดในกายสูบฉีดเร็วขึ้น สัญชาตญาณบางอย่างร้องเตือนว่าสิ่งนี้มิใช่เพียงรูปสลักธรรมดา เหมือนมีพลังลี้ลับแผ่ออกมาจากตัวมัน“นายท่าน… นี่มัน… เคลื่อนไหวได้หรือขอรับ?” องครักษ์คนหนึ่งถามเสียงเบาหวิว มือกำกระบี่ไว้จนข้อขาวโจวจางเหว่ยไม่ตอบ เขาก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าวโดยที่ยังไม่ลดกระบี่ เสียงหินเสียดสีกันดังครืดอีกครั้ง ขณะเดียวกันรูปสลักมังกรก็ขยับคอไปด้านข้างช้าๆก่อให้เกิดความรู้สึกขนลุกพิลึก“รูปสลักนี้มีกลไกด้านใน… หรืออาจเป็นกับดักที่ใช้แรงคนหมุน?” เขาพึมพำ แต่ความสงสัยกลับเร้าใจขึ
ท่ามกลางกลิ่นอับชื้นและความเยียบเย็นของห้องหิน ขบวนของเมิ่งฮวาและโจวจางเหว่ยตัดสินใจหยุดพักชั่วคราวเพื่อฟื้นแรงและประเมินสถานการณ์ โดยมีองครักษ์สองนายผลัดกันออกไปยืนเฝ้าที่ปากอุโมงค์เพื่อป้องกันมือสังหารศัตรูที่อาจกลับมาได้ทุกเมื่อเมิ่งฮวานั่งพิงกำแพงที่ขรุขระ หายใจผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อยหลังจากผ่านการต่อสู้อันบีบคั้น เหลือบมองสมาชิกในขบวนที่ได้รับบาดเจ็บก็กำลังนั่งพักผ่อนเช่นกัน บางคนก็หลับตาปลดปล่อยความตรึงเครียดโดยมีอาวุธวางข้างตัวไม่ห่าง“ทุกคนเหนื่อยกันมาก…” โจวจางเหว่ยเอ่ยเสียงเบา ดวงตาเข้มทอแววห่วงใย “แต่เรายังต้องก้าวต่อไป หากพ้นคืนนี้แล้วเดินไปอีกไม่ไกลก็อาจถึงใจกลางอู่หวัง”เมิ่งฮวาพยักหน้ารับ เธอเองก็รับรู้ถึงแรงดึงดูดบางอย่างที่ลึกลงไปในภูเขานี้ คล้ายกับว่ามันรอให้เธอมาค้นพบมานานแสนนาน“นายท่าน!” องครักษ์คนหนึ่งที่เดินตรวจลึกเข้าไปในอุโมงค์ร้องเรียกเบาๆ สะท้อนเสียงมาไกล ราวกับค้นพบอะไรบางอย่างโจวจางเหว่ยและเมิ่งฮวาลุกขึ้นทันที นำองครักษ์บางส่วนถือคบไฟตามเข้าไปยังโพรงแคบภายในห้องต่อไปในโพรงนั้น… พื้นหินเรียบแต่ผนังสองข้างกลับคดเคี้ยวด้วยลวดลายสลักเป็นรูปคนและสัตว์ในท่าทางแป