เธอกลั้นยิ้มให้กับอาการของท่านลุงท่านป้าด้วยความขบขัน “ฮ่าฮ่าฮ่า อย่าเพิ่งทะเลาะกันสิเจ้าคะ เดี๋ยวข้าจะทำให้ทั้งท่านลุงท่านป้าได้กินเลย”
นางลี่รีบพยักหน้ารับด้วยความเชื่อฟัง “ได้ๆ ยายแก่อย่างข้าย่อมเชื่อเจ้าอยู่แล้วอาเมิ่ง!” ก่อนจะรีบหันมาตะหวาดใส่สามีด้วยท่าทีฉุนเฉียวกลบเกลื่อนความขัดเขินที่เผลอแสดงอาการมากจนเกินไป “รีบทำเข้าสิตาแก่ เดี๋ยวข้าจะตีเจ้าให้ตาย!”
เมื่อเห็นว่าผู้เป็นภรรยาตะคอกเสียงดังใส่ก็รีบหดคอลงด้วยความตกใจ แต่ก็เข้าใจนางดีว่านางคงไม่ได้ตั้งใจจะต่อว่าตนเองจริงๆ แต่อย่าเสียงดังใส่ข้านักได้หรือไม่มันตกใจจนแทบหัวใจวายเสียล่ะ!!!
“จ้ะจ้ะจ้ะ ข้าจะรีบทำเดี๋ยวนี้แหละจ้ะยายแก่…” ทั้งสามคนช่วยกันทำคนละไม้ละมือ สุดท้ายก็หมดเวลาไปอีกหนึ่งวันเสียแล้ว
“เดี๋ยวข้าจะรีบไปทำอาหารเย็นให้ก่อนนะเจ้าคะ ทำงานหนักกันมาทั้งวันแล้วต้องได้กินอาหารอร่อยๆเติมพลังเจ้าค่ะ!” คำพูดของนางทำให้คนมีอายุทั้งสองคนดวงตาเป็นประกายด้วยความหิวโหย
“อืมอืม เจ้ารีบไปทำอาหารเย็นเถอะอาเมิ่ง” นางลี่รีบโบกมือให้เธอเข้าไปทำอาหารอย่างรีบร้อน เธอเห็นแบบนั้นก็ไม่ได้นึกโกรธเคืองอะไรแต่รีบเดินเข้าห้องครัวไปทำอาหารทันที เพราะหากช้ากว่านี้ท่านลุงท่านป้าคงจะต้องหิวมากแน่ๆ
วันนี้เธอจะทำผัดกระเพราไข่เยี่ยวม้า หม่าโผ่วโตฟู ไก่ผัดถั่วลิสง และอย่างสุดท้ายที่เธอตัดสินใจจะทำก็คือหมูสามชั้นกลับกระทะนั่นเอง เมื่อเตรียมของเสร็จเรียบร้อยเธอก็เริ่มต้นลงมือทำทันที ซึ่งใช้เวลาเกือบ45นาที สุดท้ายตอนนี้อาหารหน้าตาน่ากินที่เธอทำเสร็จก็วางเรียงอยู่บนโต๊ะอาหารจนครบหมดแล้ว
“อะ อาเมิ่งนี่มันอาหารอะไรมากมายเนี่ย!” ชายแก่กวาดตามองอาหารที่วางเรียงละลานตาอยู่ตรงหน้าด้วยความยั่วน้ำลาย “อึก! ทำไมเจ้าถึงได้ทำอาหารมากมายขนาดนี้เล่า สิ้นเปลืองเนื้อเปล่าๆ!” เขากลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอด้วยความอยากอาหาร
“นั่นสิอาเมิ่ง จริงๆทำแค่อาหารง่ายๆให้ลุงกับป้าก็พอแล้ว ไม่เห็นจะต้อง…” ยังไม่ทันที่นางจะได้เอ่ยออกมาจนจบ เธอก็รีบเอ่ยขัดออกมาก่อน
“โธ่… แค่นี้ไม่นับว่าสิ้นเปลืองหรอกเจ้าค่ะ ขอแค่ท่านลุงกับท่านป้าได้กินอาหารที่ดีก็นับว่ามากพอแล้ว ตอนนี้พวกท่านทั้งสองคนก็เปรียบเสมือนผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านของข้าข้าย่อมต้องดูแลให้ดีอยู่แล้ว พวกท่านอย่าได้คิดมากอีกเลยนะเจ้าคะ”
พวกเขาได้ยินเช่นนั้นก็ได้แต่กลืนคำพูดที่คิดจะพูดออกมาลงคอด้วยความตื้นตัน นางคิดกตัญญูต่อะวกเขาสองคนเช่นนี้แล้วพวกเขาจะทำลายน้ำใจของนางได้อย่างไรกัน? แค่พวกเขาสองคนรักและเอ็นดูนาง และคอยช่วยงานนางเป็นการตอบแทนก็คงจะเพียงพอกระมัง
“ได้ได้! เอาล่ะ ข้ากับตาแก่จะไม่พูดมากแล้ว รีบกินอาหารกันดีกว่าข้าเห็นแล้วอดใจแทบจะไม่ไหวแล้ว ฮ่าฮ่าฮ่า” เธอได้ยินดังนั้นก็หลุดขำตามออกมา
“อะอ่อยมาก! อ้าเอิดอาอาอุอูนอี้อังไอ่เอยอินอาอานอี่อีอดเอิดแอบอี้อาอ่อนเอย” ‘อร่อยมาก! ข้าเกิดมาจนอายุปูนนี้ยังไม่เคยกินอาหารที่มีรสเลิศแบบนี้มาก่อนเลย’ เขาสบถออกมายาวเหยียดด้วยความตะลึง อีกทั้งอาหารยังอัดแน่นอยู่ในปากจนฟังแทบไม่รู้เรื่อง
“กินให้หมดก่อนสิตาแก่! เจ้านี่มันเลอะเลือนจริงๆ” นางลี่ส่ายหัวให้ผู้เป็นสามีด้วยความเอือมระอา ก่อนจะค่อยไปตักอาหารเข้าปากด้วยความเอร็ดอร่อย
เธอยิ้มให้กับการกระทำของท่านลุงท่านป้า ก่อนขะหันกลับมากินอาหารของตนเองบ้างเสียที
…
เวลาผ่านล่วงเลยไปเรื่อยๆจนกระทั่งตอนนี้เธอ กับท่านลุงท่านป้าเตรียมเสบียงอาหารเก็บไว้ได้มากพอที่จะแบ่งปันให้พวกชาวบ้านได้แล้ว หากว่ามีใครที่เดือดร้อนหรือจะเป็นจริงๆน่ะนะ และเวลาก็เดินทางจนเริ่มเข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว
“ท่านป้า ท่านลุงสวมเสื้อหนาๆอีกหน่อยสิเจ้าคะเดี๋ยวก็ไม่สบายเอาหรอก อากาศข้างนอกหนาวเย็นยิ่งนัก”
แต่นางลี่ส่ายหัวตอบอย่างยิ้มๆ “ป้ากับตาแก่ก็มีเสื้อผ้าเพียงเท่านี้แหละอาเมิ่ง อีกอย่างอากาศแค่นี้ทำอะไรพวกข้าสองคนไม่ได้หรอก ที่ผ่านมาอากาศร้ายแรงกว่านี้ยิ่งนักข้าสองคนก็ยังผ่านกันมาได้…” นางพูดพลางนึกถึงเรื่องราวที่เคยผ่านพ้นกันมาด้วยความขมขื่น
เธอที่ได้ยินแบบนั้นก็อยากจะเคาะศีรษะตัวเองสักที ลืมไปได้อย่างไรว่าผู้คนยุคนี้ลำบากกันมากแค่ไหน จะมีเงินมากพอไปซื้อเสื้อผ้าหนาๆได้อย่างไรกัน?!
“อ่า… ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวข้าจะไปเอาเสื้อผ้าอุ่นๆออกมาใฟ้ท่านลุงกับท่านป้าได้ลองสวมใส่นะเจ้าคะ” เธอไม่ได้รอใฟ้ท่านป้าตอบอะไรรีบหันหลังเดินกลับเข้าห้องทันที
‘เสี่ยวเปาเจ้าว่าข้าจะเอาเสื้ออะไรออกไปให้ท่านลุง กับท่านป้าดีนะ?’ เธอนึกไม่ออกไม่รู้ว่าควรเอาเสื้อผ้าแบบไหนออกมาให้ท่านลุงกับท่านป้าดี เลยลองถามกับเสี่ยวเป่าดู
[เจ้าก็เลือกเสื้อผ้าสีเรียบๆสิ แต่ของลี่คุนข้าว่าเจ้าลองเอาเสื้อผ้าลายทหารให้เขาดูสิเขาคงน่าจะชอบนะ ดูเหมาะกับยุคสมัยนี้ดีด้วย]
เธอได้ยินแบบนั้นก็ปรบมือออกมาด้วยความดีใจ และเห็นด้วย ‘อ๊ะ!จริงด้วยสิ ข้านี้ซื้อบื้อจริงๆ ขอบใจเจ้ามากนะเสี่ยวเปา’
[ไม่เป็นไร แต่ข้าว่าเข้ารีบนำเสื้อผ้าออกไปให้ทั่งคู่เถอะ ป่านนี้ทั้งคู่คงจะยืนรอเก้อแล้วกระมัง]
‘จริงด้วย งั้นข้าไปก่อนนะเสี่ยวเปา’
[อืม…] หลังจากนั้นเธอก็รีบหอบ เสื้อผ้าและเสื้อกันหนาวกองใหญ่ออกไปให้ท่านลุงท่านป้าทันที
หลังผ่านเหตุการณ์สั่นคลอนชะตาทั้งหลายที่ปราสาทอู่หวัง และผ่านช่วงเวลาพักรักษาตัวอยู่ในจวนใหญ่ของโจวจางเหว่ย ในที่สุดนางก็สามารถฟื้นตัวคืนกำลังได้เกือบเต็มร้อย พลังลี้ลับจากเลือดมังกรในกายไม่ปรากฏอาการร้อนผ่าวอีกแล้ว เธอสัมผัสได้ว่าบัดนี้ตนไม่ต้องแบกรับภาระอันหนักอึ้งเช่นเดิมอีกต่อไปในเช้าวันแดดจัดที่มีเมฆลอยเรียงกันประปราย โจวจางเหว่ยได้จัดเตรียมรถม้าอย่างเรียบง่าย พาเมิ่งฮวาออกเดินทางกลับหมู่บ้านซานซี อันเป็นดินแดนเล็กๆที่เธอเคยใช้ชีวิตเรียบง่ายร่วมกับ ท่านลุงลี่คุน และท่านป้าลี่จูเสมอมาเมิ่งฮวามองเห็นทิวเขาคุ้นตาแต่ไกล ยิ่งใกล้ซานซีเท่าไรเธอยิ่งรู้สึกอบอุ่นในหัวใจ นึกถึงวันที่ยังใช้ชีวิตแบบคนธรรมดา ไม่ต้องพัวพันกับเลือดมังกรหรือการเมืองใดๆ เมื่อถึงทางเข้าหมู่บ้านเธอเห็นรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้าของโจวจางเหว่ย และสัมผัสได้ถึงสายลมเย็นๆที่พัดมาเหมือนยินดีต้อนรับการกลับมาของเธอเมื่อรถม้าวิ่งเข้าเขตบ้านลุงลี่คุน ท่านป้าลี่จูก็ปราดออกมาต้อนรับทันทีด้วยรอยยิ้มที่แสดงถึงความห่วงใย“อาเมิ่ง! เจ้าไม่เป็นอะไรแล้วใช่ไหม?” ท่านป้าลี่จูรีบเข้ามาจับมือเมิ่งฮวา ตรวจดูกันตั้งแต่หัวจรดเท้าราวกับหล
เสียงก้องสะท้อนในห้องมังกรใหญ่ยังคงโหมกระพือ เสาหินรอบข้างสั่นไหวราวกับจะถล่มลงทุกเมื่อ อานุภาพมหาศาลจากแกนมังกรแผ่กระจายเป็นวงกว้าง ทำให้อากาศสั่นระริกจนทุกคนที่อยู่ในห้องรู้สึกหายใจลำบากเมิ่งฮวายืนอยู่ตรงกลางวงแสงสีทองที่ปะทุจากจุดศูนย์กลางของแท่นบูชา เหงื่อและเลือดไหลอาบบนใบหน้าที่เธอไม่อาจรับรู้ถึงความเจ็บปวดได้อีก ในจิตใจเธอมีเสียงสองกระแสคอยก้องสลับไปมา‘หลอมรวม… เพื่อเป็นผู้ครองพลัง! หรือทำลาย… เพื่อยุติความวุ่นวาย!’เบื้องหน้าเธอคือรูปสลักมังกรที่ดูเหมือนมีชีวิต แผ่นโลหะหนาทึบบนอกรูปสลักเริ่มแตกออกเป็นเสี่ยงๆเผยให้เห็นแกนมังกรคล้ายลูกแก้วสีทองสะท้อนแสงในมือเมิ่งฮวา อำนาจโบราณจากยุคสมัยราชวงศ์เก่ากำลังตื่นขึ้นพร้อมแรงกดดันอันเกรี้ยวกราดขณะที่คลื่นพลังปกคลุมห้องมังกรอย่างหนักหน่วง เหล่ามือสังหารที่ยังมีสติอยู่ก็ต้องคุกเข่าหรือหมอบกับพื้น องครักษ์ของโจวจางเหว่ยที่ยังยืนก็แทบจะทรงตัวไม่อยู่ บางคนถูกแรงอัดดีดกระเด็นไปยังซอกกำแพงโจวจางเหว่ยตะเกียกตะกายลุกขึ้น มือกำกระบี่ที่สั่นระริก พยายามฝ่าคลื่นพลังเข้ามาหาเมิ่งฮวา“ฮวาเออร์!” เขาเรียกสุดเสียง แต่ถูกแรงอัดบีบจนขยับได้ยากเต็มที
แสงสีทองแห่งแกนมังกรที่ซ่อนอยู่ภายในร่างโลหะของมังกรส่องสว่างออกมาจากกลางแท่นบูชาอย่างน่าพิศวง บรรยากาศในห้องใต้ดินอันกว้างใหญ่ชวนให้รู้สึกถึงความเก่าแก่และพลังลี้ลับที่สั่งสมมานับศตวรรษเมิ่งฮวายืนนิ่งหัวใจเต้นระรัวเมื่อตระหนักว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าคือ‘หัวใจ’ของอู่หวังที่แท้จริง ต้นกำเนิดแห่งอำนาจซึ่งเหล่ากบฏกำลังตามหามาโดยตลอดขณะที่เมิ่งฮวากำลังไล่สายตาสำรวจรูปสลักมังกรขนาดใหญ่ที่ดูเหมือนจะมีชิ้นส่วนโลหะพิเศษครอบอยู่เป็นเกล็ด การเต้นของเลือดในร่างกายเธอก็เร่งจังหวะไม่หยุดราวกับสายเลือดตอบสนองต่อบางสิ่งที่เปล่งพลังงานอยู่เบื้องหน้า“ฮวาเออร์…” โจวจางเหว่ยเรียกเธอเสียงเบา มือกำกระบี่ข้างกายแน่น เขามองสถานการณ์ด้วยความระแวดระวังเพราะอาจมีศัตรูโผล่มาได้ทุกเมื่อ “เจ้ารู้สึกไหมว่าพลังนี้กำลังเรียกหาเจ้า?”เมิ่งฮวาพยักหน้าเล็กน้อยสีหน้าสับสนแต่ก็เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น นางไม่ได้ตอบอะไรเพียงแต่ก้าวเข้าใกล้แท่นบูชามากขึ้นทีละนิดโดยมีโจวจางเหว่ยตามมาคุ้มกันไม่ห่างบริเวณโดยรอบแท่นบูชามีร่องรอยภาพสลักเก่าแก่บนกำแพงหินและพื้น บ้างเป็นรูปมนุษย์แต่งกายหรูหรายืนล้อมมังกร บ้างเป็นรูปผู้คนคุกเข่าบูชา
การต่อสู้ในโถงมังกรยังคงดุเดือด ดาบกระทบกันเสียงดังสนั่น เสียงเหล็กเสียดสีกันดังไปทั่วทุกมุมโถง บางครั้งสายตาของเมิ่งฮวาก็เหลือบไปเห็นบันไดลับที่เปิดลงไปยังส่วนลึกของปราสาท อาการบาดเจ็บจากการต่อสู้รุนแรงทำให้ความคิดของเธอพร่าเบลอ แต่เธอรู้ดีว่าถ้าไม่รีบตัดสินใจตอนนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นจะทำให้พวกเขาพลาดโอกาสสำคัญไปท่ามกลางการต่อสู้ที่รุนแรงนักฆ่าหลายคนเริ่มแยกตัวออกไป โดยมีท่าทางเหมือนจะเริ่มมีกลยุทธ์บางอย่าง การโจมตีของพวกมันแม่นยำและรวดเร็ว หลายครั้งที่เมิ่งฮวากับโจวจางเหว่ยต้องใช้กลยุทธ์หลบหลีกและโจมตีสวนกลับ หากพวกเขายังไม่สามารถหยุดยั้งพวกมันได้ กลุ่มของพวกเขาจะต้องถูกต้อนให้มุมในไม่ช้า“พวกมันกำลังพยายามล่อเราไปที่มุม!” เมิ่งฮวาตะโกนเตือน โจวจางเหว่ยหันไปมองเธอด้วยความเป็นห่วงแต่เขาก็ไม่มีเวลาพูดอะไร เพราะมือสังหารอีกคนพุ่งมาที่เขา โจวจางเหว่ยต้องหลบการโจมตีและสวนกลับด้วยกระบี่ในมือ“ข้าจะไม่ปล่อยให้พวกเจ้าหลบหนีไปได้แน่!” เขาตะโกนสั่งองครักษ์ที่ยืนข้างๆ พลางฟันกระบี่ของตนอย่างแม่นยำเสียงของดาบกระทบกันดังตึงตังจนหลายคนสะดุ้ง แต่ท่ามกลางความยุ่งเหยิงนั้น เมิ่งฮวามองเห็นช่องว่างระห
ความเงียบงันที่ปกคลุมอุโมงค์หินถูกแทนที่ด้วยเสียง ครืด… ครืด… ที่ดังสะท้อนก้องจนเสียดหู เมิ่งฮวาและโจวจางเหว่ย ยืนประจันหน้ากับเงาดำขนาดใหญ่ที่ขวางอยู่ตรงส่วนปลายทางเดิน โดยมีองครักษ์อีกสองนายจับอาวุธเตรียมพร้อมในท่าทีตื่นตัวพอแสงคบไฟสาดส่องไปใกล้ขึ้นเรื่อยๆก็ปรากฏให้เห็นเงาร่างเหมือน “รูปสลักมังกร” ขนาดใหญ่หินแกะสลักที่ลำตัวยาวเลื้อยไปตามผนัง มีส่วนหัวโผล่พ้นขึ้นจากพื้นหินชนิดที่เห็นฟันแหลมคมรางๆ ดวงตาของมันเป็นอัญมณีสีเขียวเข้มสะท้อนแสงไฟพราวระยับ จนดูราวกับมันกำลังจ้องมองพวกเขาอยู่จริงๆเมิ่งฮวารู้สึกถึงเลือดในกายสูบฉีดเร็วขึ้น สัญชาตญาณบางอย่างร้องเตือนว่าสิ่งนี้มิใช่เพียงรูปสลักธรรมดา เหมือนมีพลังลี้ลับแผ่ออกมาจากตัวมัน“นายท่าน… นี่มัน… เคลื่อนไหวได้หรือขอรับ?” องครักษ์คนหนึ่งถามเสียงเบาหวิว มือกำกระบี่ไว้จนข้อขาวโจวจางเหว่ยไม่ตอบ เขาก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าวโดยที่ยังไม่ลดกระบี่ เสียงหินเสียดสีกันดังครืดอีกครั้ง ขณะเดียวกันรูปสลักมังกรก็ขยับคอไปด้านข้างช้าๆก่อให้เกิดความรู้สึกขนลุกพิลึก“รูปสลักนี้มีกลไกด้านใน… หรืออาจเป็นกับดักที่ใช้แรงคนหมุน?” เขาพึมพำ แต่ความสงสัยกลับเร้าใจขึ
ท่ามกลางกลิ่นอับชื้นและความเยียบเย็นของห้องหิน ขบวนของเมิ่งฮวาและโจวจางเหว่ยตัดสินใจหยุดพักชั่วคราวเพื่อฟื้นแรงและประเมินสถานการณ์ โดยมีองครักษ์สองนายผลัดกันออกไปยืนเฝ้าที่ปากอุโมงค์เพื่อป้องกันมือสังหารศัตรูที่อาจกลับมาได้ทุกเมื่อเมิ่งฮวานั่งพิงกำแพงที่ขรุขระ หายใจผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อยหลังจากผ่านการต่อสู้อันบีบคั้น เหลือบมองสมาชิกในขบวนที่ได้รับบาดเจ็บก็กำลังนั่งพักผ่อนเช่นกัน บางคนก็หลับตาปลดปล่อยความตรึงเครียดโดยมีอาวุธวางข้างตัวไม่ห่าง“ทุกคนเหนื่อยกันมาก…” โจวจางเหว่ยเอ่ยเสียงเบา ดวงตาเข้มทอแววห่วงใย “แต่เรายังต้องก้าวต่อไป หากพ้นคืนนี้แล้วเดินไปอีกไม่ไกลก็อาจถึงใจกลางอู่หวัง”เมิ่งฮวาพยักหน้ารับ เธอเองก็รับรู้ถึงแรงดึงดูดบางอย่างที่ลึกลงไปในภูเขานี้ คล้ายกับว่ามันรอให้เธอมาค้นพบมานานแสนนาน“นายท่าน!” องครักษ์คนหนึ่งที่เดินตรวจลึกเข้าไปในอุโมงค์ร้องเรียกเบาๆ สะท้อนเสียงมาไกล ราวกับค้นพบอะไรบางอย่างโจวจางเหว่ยและเมิ่งฮวาลุกขึ้นทันที นำองครักษ์บางส่วนถือคบไฟตามเข้าไปยังโพรงแคบภายในห้องต่อไปในโพรงนั้น… พื้นหินเรียบแต่ผนังสองข้างกลับคดเคี้ยวด้วยลวดลายสลักเป็นรูปคนและสัตว์ในท่าทางแป