“คิกคิกคิก ท่านป้าอย่าไปแกล้งท่านลุงเลยเจ้าค่ะ ดูสิท่านลุงหน้าจ๋อยหมดแล้วนั่น” เธอหัวเราะคิกคัก พลางเอ่ยแซวท่านลุงออกมา
“หึหึหึ” นางลี่จูหลุดขำตามเด็กสาวตรงหน้า เมื่อได้เห็นท่าทางของผู้เป็นสามีแล้วก็ยิ่งหลุดขำหนักเข้าไปใหญ่
ลี่คุนหันซ้ายหันขวามองหลานสาว และนางลี่จูด้วยความตกใจ เพราะไม่คิดว่าตนเองจะโดนทั้งสองแกล้งเข้าเสียแล้ว เมื่อไม่รู้ว่าควรจะทำตัวอย่างไรดีก็รีบเดินหนีกลับเข้าห้องนอนทันที
“อ๊า ท่านลุงเดินหนีเข้าห้องไปแล้วเจ้าค่ะฮ่าๆ ท่านป้ารีบเข้าไปดูท่านลุงเถอะเจ้าค่ะ” หลังจากนั้นเธอก็แยกย้ายกับท่านป้าเพื่อพักผ่อน
ภายในห้องนอน
“นี่เสี่ยวเปา…” เธอทิ้งตัวนอนลงบนเตียงก่อนจะส่งเสียงเรียกเสี่ยวเปา
[อะไร? เจ้าเรียกข้าทำไมงั้นหรือ?]
“หลังจากนี้จะเกิดเหตุการณ์อะไรไม่ดีอีกหรือเปล่า แค่นี้ชาวบ้านก็ต่างหวาดกลัวกันหมดแล้ว…”
[เจ้าอย่าคิดมากไปเลย ทุกอย่างคือภัยพิบัติที่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็คงจะต้องปล่อยให้มันเกิด เจ้าไม่สามารถช่วยหรือแก้ไขได้ทุกเรื่องหรอกนะเมิ่งฮวา] เสี่ยวเปาเอ่ยออกมาเพื่อให้นางได้รู้ว่าไม่ว่าสิ่งใดที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้นางก็ไม่มีทางที่จะช่วยเหลือทุกคนบนโลกนี้ได้เสมอไป
“อืม” เธอเอ่ยตอบเสี่ยวเปาด้วยความหดหู่ใจ ก่อนจะค่อยๆหลับตาลงนอน
…
ตอนนี้เวลาก็ผ่านไป 2วันแล้วทว่าพายุก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงเลยสักนิด แต่ก็นับว่าความรุนแรงของมันนั้นเบาลงกว่าเมื่อ 2วันที่แล้วล่ะนะ และตอนนี้หน้ารั้วบ้านเธอก็มีชาวบ้านที่อพยพอยู่ไม่น้อย เพราะหน้าเรือนของผู้นำหมู่บ้านนั้นเต็มจนไม่สามารถให้ชาวบ้านไปอยู่อาศัยได้เพิ่มอีกแล้ว เธอจึงได้แต่ให้ท่านลุงกับชาวบ้านบางส่วนช่วยกันกางกระโจมหลังใหญ่เพื่อให้ชาวบ้านใช้เพื่อพักพิงอาศัยกันไปก่อน
“ท่านลุงจะออกไปไหนเจ้าคะ?” เธอเอ่ยถามท่านลุงเมื่อเห็นว่าท่านลุงหยิบเสื้อคลุมขึ้นมาสวมเสื้อใส่อีกชั้น
“ลุงว่าจะออกไปนั่งคุยกับพวกตาแก่ที่โจมด้านนอกน่ะนะ ถ้ายายแก่ถามหาลุงก็บอกนางแทนลุงด้วยเล่าอาเมิ่ง” ลี่คุนเอ่ยพลางสวมรองเท้า ก่อนจะค่อยๆหันหลังเดินออกจากบ้านไป
เธอหันหลังเดินกลับเข้าไปในห้องนั่งเล่นที่ท่านป้ากำลังนั่งเย็บเสื้อให้ท่านลุงอยู่ “อ้าวอาเมิ่ง แล้วตาแก่ไปไหนซะล่ะ?” นางลี่จูเงยหน้ามองพลางถามหาสามี
“ท่านลุงไปนั่งคุยกับสหายที่กระโจมด้านนอกน่ะเจ้าค่ะ”
“อ้อ” นางลี่จูพยักหน้ารับเบาๆ ก่อนจะก้มลงไปเย็บเสื้อให้ผู้เป็นสามีต่อ
***
และในช่วงฤดูหนาวตลอดระยะเวลา 2-3เดือนที่ผ่านมานี้เธอก็ทำเหมือนเดิมทุกๆอย่าง และยังคงทำอาหารแจกจ่ายพวกชาวบ้านอยู่เสมอๆ อาจจะมีเบื่อหน่ายบ้างที่ไม่สามารถออกไปไหนได้ แต่ก็นับว่าผ่านพ้นไปได้ด้วยดี
“อาเมิ่งรีบมานั่งกินข้าวเถอะ แล้วนี่ตาแก่ยังไม่มาอีกเหรอเนี่ย?” นางลี่จูบ่นกระปอดกระแปดออกมาพลางส่งเสียงเอ่ยเรียกผู้เป็นสามีทันทีที่ตั้งโต๊ะอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว “ตาแก่! รีบมากินข้าวเช้าเร็วเข้าสิ เดี๋ยวจะต้องออกไปช่วยพวกชาวบ้านซ่อมแซมบ้านอีกไม่ใช่หรือไง?”
เมื่อได้ยินเสียงตะโกนเรียก ลี่คุนก็รีบเดินออกมานั่งลงกินข้าวทันที
“นี่ตาแก่ ไปช่วยงานพวกชาวบ้านก็อย่าหักโหมจนเกินไปเล่า! เดี๋ยวจะได้รับบาดเจ็บเอาอายุปูนนี้แล้วด้วย” นางลี่จูบ่นออกมายาวเหยียด แน่หากใครฟังดูดีๆก็จะรู้ว่านางห่วงใยผู้เป็นสามีมากกว่า
ลี่คุนพยักหน้ารับอย่างระรัว “รู้แล้วน่ายายแก่”
“รู้แล้วก็ดี”
เธอผลิยิ้มทันทีที่ได้ยินคนแก่ทั้งสองคนโต้ตอบกัน แม้จะดูเหมือนโต้เถียงกันแต่ก็ดูเป็นห่วงกันและกันเสียมากกว่า
“เดี๋ยวตอนกลางวันข้าจะเอาอาหารไปให้นะเจ้าคะท่านลุง ท่านลุงจะได้ไม่ต้องเดินกลับมากินอาหารที่บ้าน”
“ได้ได้ ขอบใจมากนะอาเมิ่ง” ลี่คุนพยักหน้ารับหงึกๆหงักๆ
“รบกวนอาเมิ่งแล้ว เดี๋ยวป้าทำอาหารกลางวันเสร็จแล้วเจ้าค่อยนำไปให้ท่านลุงก็แล้วกันนะ”
ทว่าเธอสั่นหัวตอบ “ไม่เป็นไรเจ้าค่ะเรื่องแค่นี้เอง ไม่นับว่าเป็นการรบกวนอะไรหรอก”
“อืม ลุงว่าเรารีบกินข้าวกันต่อดีกว่า” หลังจากนั้นพวกเธอก็เริ่มหันกลับมากินิาหารตรงหน้ากันต่ออย่างเอร็ดอร่อย ก่อนที่ท่านลุงจะแยกย้ายออกไปช่วยงานพวกชาวบ้าน
“ท่านลุงระมัดระวังตัว และดูแลตัวเองด้วยนะเจ้าคะ เดี๋ยวกลางวันข้าจะเอาอาหารไปให้”
“ได้ได้ อาเมิ่งของเราดีจริงๆ งั้นลุงไปก่อนนะ” ลี่คุนลูบหัวหลานสาวตรงหน้าด้วยความรักและเอ็นดู ก่อนจะหันหลังเดินออกไปจากบ้านเพื่อช่วยงานชาวบ้าน
หลังผ่านเหตุการณ์สั่นคลอนชะตาทั้งหลายที่ปราสาทอู่หวัง และผ่านช่วงเวลาพักรักษาตัวอยู่ในจวนใหญ่ของโจวจางเหว่ย ในที่สุดนางก็สามารถฟื้นตัวคืนกำลังได้เกือบเต็มร้อย พลังลี้ลับจากเลือดมังกรในกายไม่ปรากฏอาการร้อนผ่าวอีกแล้ว เธอสัมผัสได้ว่าบัดนี้ตนไม่ต้องแบกรับภาระอันหนักอึ้งเช่นเดิมอีกต่อไปในเช้าวันแดดจัดที่มีเมฆลอยเรียงกันประปราย โจวจางเหว่ยได้จัดเตรียมรถม้าอย่างเรียบง่าย พาเมิ่งฮวาออกเดินทางกลับหมู่บ้านซานซี อันเป็นดินแดนเล็กๆที่เธอเคยใช้ชีวิตเรียบง่ายร่วมกับ ท่านลุงลี่คุน และท่านป้าลี่จูเสมอมาเมิ่งฮวามองเห็นทิวเขาคุ้นตาแต่ไกล ยิ่งใกล้ซานซีเท่าไรเธอยิ่งรู้สึกอบอุ่นในหัวใจ นึกถึงวันที่ยังใช้ชีวิตแบบคนธรรมดา ไม่ต้องพัวพันกับเลือดมังกรหรือการเมืองใดๆ เมื่อถึงทางเข้าหมู่บ้านเธอเห็นรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้าของโจวจางเหว่ย และสัมผัสได้ถึงสายลมเย็นๆที่พัดมาเหมือนยินดีต้อนรับการกลับมาของเธอเมื่อรถม้าวิ่งเข้าเขตบ้านลุงลี่คุน ท่านป้าลี่จูก็ปราดออกมาต้อนรับทันทีด้วยรอยยิ้มที่แสดงถึงความห่วงใย“อาเมิ่ง! เจ้าไม่เป็นอะไรแล้วใช่ไหม?” ท่านป้าลี่จูรีบเข้ามาจับมือเมิ่งฮวา ตรวจดูกันตั้งแต่หัวจรดเท้าราวกับหล
เสียงก้องสะท้อนในห้องมังกรใหญ่ยังคงโหมกระพือ เสาหินรอบข้างสั่นไหวราวกับจะถล่มลงทุกเมื่อ อานุภาพมหาศาลจากแกนมังกรแผ่กระจายเป็นวงกว้าง ทำให้อากาศสั่นระริกจนทุกคนที่อยู่ในห้องรู้สึกหายใจลำบากเมิ่งฮวายืนอยู่ตรงกลางวงแสงสีทองที่ปะทุจากจุดศูนย์กลางของแท่นบูชา เหงื่อและเลือดไหลอาบบนใบหน้าที่เธอไม่อาจรับรู้ถึงความเจ็บปวดได้อีก ในจิตใจเธอมีเสียงสองกระแสคอยก้องสลับไปมา‘หลอมรวม… เพื่อเป็นผู้ครองพลัง! หรือทำลาย… เพื่อยุติความวุ่นวาย!’เบื้องหน้าเธอคือรูปสลักมังกรที่ดูเหมือนมีชีวิต แผ่นโลหะหนาทึบบนอกรูปสลักเริ่มแตกออกเป็นเสี่ยงๆเผยให้เห็นแกนมังกรคล้ายลูกแก้วสีทองสะท้อนแสงในมือเมิ่งฮวา อำนาจโบราณจากยุคสมัยราชวงศ์เก่ากำลังตื่นขึ้นพร้อมแรงกดดันอันเกรี้ยวกราดขณะที่คลื่นพลังปกคลุมห้องมังกรอย่างหนักหน่วง เหล่ามือสังหารที่ยังมีสติอยู่ก็ต้องคุกเข่าหรือหมอบกับพื้น องครักษ์ของโจวจางเหว่ยที่ยังยืนก็แทบจะทรงตัวไม่อยู่ บางคนถูกแรงอัดดีดกระเด็นไปยังซอกกำแพงโจวจางเหว่ยตะเกียกตะกายลุกขึ้น มือกำกระบี่ที่สั่นระริก พยายามฝ่าคลื่นพลังเข้ามาหาเมิ่งฮวา“ฮวาเออร์!” เขาเรียกสุดเสียง แต่ถูกแรงอัดบีบจนขยับได้ยากเต็มที
แสงสีทองแห่งแกนมังกรที่ซ่อนอยู่ภายในร่างโลหะของมังกรส่องสว่างออกมาจากกลางแท่นบูชาอย่างน่าพิศวง บรรยากาศในห้องใต้ดินอันกว้างใหญ่ชวนให้รู้สึกถึงความเก่าแก่และพลังลี้ลับที่สั่งสมมานับศตวรรษเมิ่งฮวายืนนิ่งหัวใจเต้นระรัวเมื่อตระหนักว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าคือ‘หัวใจ’ของอู่หวังที่แท้จริง ต้นกำเนิดแห่งอำนาจซึ่งเหล่ากบฏกำลังตามหามาโดยตลอดขณะที่เมิ่งฮวากำลังไล่สายตาสำรวจรูปสลักมังกรขนาดใหญ่ที่ดูเหมือนจะมีชิ้นส่วนโลหะพิเศษครอบอยู่เป็นเกล็ด การเต้นของเลือดในร่างกายเธอก็เร่งจังหวะไม่หยุดราวกับสายเลือดตอบสนองต่อบางสิ่งที่เปล่งพลังงานอยู่เบื้องหน้า“ฮวาเออร์…” โจวจางเหว่ยเรียกเธอเสียงเบา มือกำกระบี่ข้างกายแน่น เขามองสถานการณ์ด้วยความระแวดระวังเพราะอาจมีศัตรูโผล่มาได้ทุกเมื่อ “เจ้ารู้สึกไหมว่าพลังนี้กำลังเรียกหาเจ้า?”เมิ่งฮวาพยักหน้าเล็กน้อยสีหน้าสับสนแต่ก็เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น นางไม่ได้ตอบอะไรเพียงแต่ก้าวเข้าใกล้แท่นบูชามากขึ้นทีละนิดโดยมีโจวจางเหว่ยตามมาคุ้มกันไม่ห่างบริเวณโดยรอบแท่นบูชามีร่องรอยภาพสลักเก่าแก่บนกำแพงหินและพื้น บ้างเป็นรูปมนุษย์แต่งกายหรูหรายืนล้อมมังกร บ้างเป็นรูปผู้คนคุกเข่าบูชา
การต่อสู้ในโถงมังกรยังคงดุเดือด ดาบกระทบกันเสียงดังสนั่น เสียงเหล็กเสียดสีกันดังไปทั่วทุกมุมโถง บางครั้งสายตาของเมิ่งฮวาก็เหลือบไปเห็นบันไดลับที่เปิดลงไปยังส่วนลึกของปราสาท อาการบาดเจ็บจากการต่อสู้รุนแรงทำให้ความคิดของเธอพร่าเบลอ แต่เธอรู้ดีว่าถ้าไม่รีบตัดสินใจตอนนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นจะทำให้พวกเขาพลาดโอกาสสำคัญไปท่ามกลางการต่อสู้ที่รุนแรงนักฆ่าหลายคนเริ่มแยกตัวออกไป โดยมีท่าทางเหมือนจะเริ่มมีกลยุทธ์บางอย่าง การโจมตีของพวกมันแม่นยำและรวดเร็ว หลายครั้งที่เมิ่งฮวากับโจวจางเหว่ยต้องใช้กลยุทธ์หลบหลีกและโจมตีสวนกลับ หากพวกเขายังไม่สามารถหยุดยั้งพวกมันได้ กลุ่มของพวกเขาจะต้องถูกต้อนให้มุมในไม่ช้า“พวกมันกำลังพยายามล่อเราไปที่มุม!” เมิ่งฮวาตะโกนเตือน โจวจางเหว่ยหันไปมองเธอด้วยความเป็นห่วงแต่เขาก็ไม่มีเวลาพูดอะไร เพราะมือสังหารอีกคนพุ่งมาที่เขา โจวจางเหว่ยต้องหลบการโจมตีและสวนกลับด้วยกระบี่ในมือ“ข้าจะไม่ปล่อยให้พวกเจ้าหลบหนีไปได้แน่!” เขาตะโกนสั่งองครักษ์ที่ยืนข้างๆ พลางฟันกระบี่ของตนอย่างแม่นยำเสียงของดาบกระทบกันดังตึงตังจนหลายคนสะดุ้ง แต่ท่ามกลางความยุ่งเหยิงนั้น เมิ่งฮวามองเห็นช่องว่างระห
ความเงียบงันที่ปกคลุมอุโมงค์หินถูกแทนที่ด้วยเสียง ครืด… ครืด… ที่ดังสะท้อนก้องจนเสียดหู เมิ่งฮวาและโจวจางเหว่ย ยืนประจันหน้ากับเงาดำขนาดใหญ่ที่ขวางอยู่ตรงส่วนปลายทางเดิน โดยมีองครักษ์อีกสองนายจับอาวุธเตรียมพร้อมในท่าทีตื่นตัวพอแสงคบไฟสาดส่องไปใกล้ขึ้นเรื่อยๆก็ปรากฏให้เห็นเงาร่างเหมือน “รูปสลักมังกร” ขนาดใหญ่หินแกะสลักที่ลำตัวยาวเลื้อยไปตามผนัง มีส่วนหัวโผล่พ้นขึ้นจากพื้นหินชนิดที่เห็นฟันแหลมคมรางๆ ดวงตาของมันเป็นอัญมณีสีเขียวเข้มสะท้อนแสงไฟพราวระยับ จนดูราวกับมันกำลังจ้องมองพวกเขาอยู่จริงๆเมิ่งฮวารู้สึกถึงเลือดในกายสูบฉีดเร็วขึ้น สัญชาตญาณบางอย่างร้องเตือนว่าสิ่งนี้มิใช่เพียงรูปสลักธรรมดา เหมือนมีพลังลี้ลับแผ่ออกมาจากตัวมัน“นายท่าน… นี่มัน… เคลื่อนไหวได้หรือขอรับ?” องครักษ์คนหนึ่งถามเสียงเบาหวิว มือกำกระบี่ไว้จนข้อขาวโจวจางเหว่ยไม่ตอบ เขาก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าวโดยที่ยังไม่ลดกระบี่ เสียงหินเสียดสีกันดังครืดอีกครั้ง ขณะเดียวกันรูปสลักมังกรก็ขยับคอไปด้านข้างช้าๆก่อให้เกิดความรู้สึกขนลุกพิลึก“รูปสลักนี้มีกลไกด้านใน… หรืออาจเป็นกับดักที่ใช้แรงคนหมุน?” เขาพึมพำ แต่ความสงสัยกลับเร้าใจขึ
ท่ามกลางกลิ่นอับชื้นและความเยียบเย็นของห้องหิน ขบวนของเมิ่งฮวาและโจวจางเหว่ยตัดสินใจหยุดพักชั่วคราวเพื่อฟื้นแรงและประเมินสถานการณ์ โดยมีองครักษ์สองนายผลัดกันออกไปยืนเฝ้าที่ปากอุโมงค์เพื่อป้องกันมือสังหารศัตรูที่อาจกลับมาได้ทุกเมื่อเมิ่งฮวานั่งพิงกำแพงที่ขรุขระ หายใจผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อยหลังจากผ่านการต่อสู้อันบีบคั้น เหลือบมองสมาชิกในขบวนที่ได้รับบาดเจ็บก็กำลังนั่งพักผ่อนเช่นกัน บางคนก็หลับตาปลดปล่อยความตรึงเครียดโดยมีอาวุธวางข้างตัวไม่ห่าง“ทุกคนเหนื่อยกันมาก…” โจวจางเหว่ยเอ่ยเสียงเบา ดวงตาเข้มทอแววห่วงใย “แต่เรายังต้องก้าวต่อไป หากพ้นคืนนี้แล้วเดินไปอีกไม่ไกลก็อาจถึงใจกลางอู่หวัง”เมิ่งฮวาพยักหน้ารับ เธอเองก็รับรู้ถึงแรงดึงดูดบางอย่างที่ลึกลงไปในภูเขานี้ คล้ายกับว่ามันรอให้เธอมาค้นพบมานานแสนนาน“นายท่าน!” องครักษ์คนหนึ่งที่เดินตรวจลึกเข้าไปในอุโมงค์ร้องเรียกเบาๆ สะท้อนเสียงมาไกล ราวกับค้นพบอะไรบางอย่างโจวจางเหว่ยและเมิ่งฮวาลุกขึ้นทันที นำองครักษ์บางส่วนถือคบไฟตามเข้าไปยังโพรงแคบภายในห้องต่อไปในโพรงนั้น… พื้นหินเรียบแต่ผนังสองข้างกลับคดเคี้ยวด้วยลวดลายสลักเป็นรูปคนและสัตว์ในท่าทางแป