“เห็นเจ้าหลับสบายแบบนั้นจะให้ข้าปลุกเจ้าได้ยังไง”
“แต่แบบนั้นมันก็…” หญิงสาวหรี่ตาพลางเอ่ยดุเสียงกระเง้ากระงอด
“ได้ได้ คราวหน้าข้าจะปลุกเจ้าเอง” เขาตอบนางออกมาอย่างยอมแพ้ “แต่ตอนนี้ข้าว่าเรารีบไปกันเถอะเวลานี้พระอาทิตย์กำลังจะตกพอดี น่าจะงดงามไม่น้อย”
“อื้ม งั้นไปกันเถอะเจ้าค่ะ”
เธอเดินตามการจับจูงมือหนาของเขาอย่างใจเย็น พลางกวาดตามองธรรมชาติรอบกายอย่างตกตะลึง เพราะภาพบรรยากาศรอบๆตัวของเธอมันช่าง… งดงามเหมือนภาพวาดเลยจริงๆ!
เดินกันอยู่ครู่ใหญ่สุดท้ายบุรุษเบื้องหน้าเธอก็หยุดเดินเสียที
“ถึงแล้วล่ะ ลองมองดูสิ” ทันทีที่เขาเอ่ยจบ ก็เบี่ยงกายหลบให้เธอได้มองภาพที่อยู่เบื้องหน้า
ซึ่งภาพเบื้องหน้าที่เขาหลบให้เธอได้มองนั้นงดงามมากอย่างที่เขาได้พูดเอาไว้จริงๆ ลานดอกไม้ที่อยู่รอบๆกาย มีทั้งหมู่มวลดอกไม้ที่เบ่งบานทั้งยังผีเสื้อบินร่อนไปมา
อีกทั้งภาพพระอาทิตย์ที่กำลังใกล้จะตกดิน มีลมเย็นพัดผ่านยอดไม้ เงาไม้โยกไหวนำความเย็นโชยมาเป็นระรอก
“ชอบไหม? เจ้ารู้สึกยังไงบ้าง?” ถ้อยคำของเขาดึงความสนใจเธอไปได้ชะงัด
“ดี ดีมากเลยจริงๆ ข้าชอบมากเลยเจ้าค่ะ!”
ชายหนุ่มเอ่ยยิ้มๆ “ดีจริงๆที่เจ้าชอบ เอาไว้คราวหน้าข้าจะพาเจ้าไปที่แบบนี้อีก” เขาเงียบลงก่อนจะเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง “ฮวาเออร์ครั้งหน้าเจ้ายังอยากจะมากับข้าอีกหรือไม่?” ดวงตาคมเหลือบขึ้นมองขณะเอ่ยเบาๆ
“ข้าจะมา ก็ต่อเมื่อเจ้ายังอยากให้ข้ามาด้วย…”
“อย่างนั้นสินะ” มุมปากหนายกยิ้มขึ้นมาน้อยๆอย่างอารมณ์ดี
และหลังจากนั้นทั้งสองคนก็ไม่ได้เอ่ยอะไรกันออกมาอีกทำเพียงยืนนิ่งมองภาพบรรยากาศรอบกายอยู่ข้างๆกันอย่างเงียบๆ ทว่ากับไม่ทำให้คนทั้งคู่รู้สึกอึกอัดเลยแม้แต่น้อย
ระยะเวลาผ่านไปครู่ใหญ่ซึ่งตอนนี้พระอาทิตย์ได้ลาลับขอบฟ้าไปแล้ว ซึ่งตอนนี้บรรยากาศรอบๆกายของพวกเขาทั้งคู่นั้นมืดมิดไม่เหลือแม้แต่แสงไฟรอบๆกายเลย มีเพียงแสงของพระจันทร์ที่ช่วยส่องสว่างไปจนทั่วบริเวณ
“เราไปกันเถอะ เดี๋ยวเรายังต้องนั่งรถม้าเข้าบ้านกันอีก”
“เจ้าค่ะ”
เธอเปิดหน้าต่างมองภาพรอบๆทรงอย่างสนอกสนใจ เพราะภาพบริเวณถนนที่เธอใช้สัญจรผ่านตอนนี้นั้นช่างแปลกตามากจริงๆ
“น่าสนใจมากขนาดนั้นเลยเหรอ?” เขาถามเธอออกมาอย่างแปลกใจ
เธอหันกลับไปมองใบหน้าคมคายของเขา ก่อนจะตอบ “ก็… ค่ะ” เธอพยักหน้ารับเบาๆ ก่อนจะหันกลับไปสนใจบรรยากาศรอบข้างต่อ
เมื่อเดินทางกันมาถึงบ้านพักของโจวจางเหว่ยแล้ว เธอกับเขาก็แยกย้ายกันกลับเข้าบ้านพักไปเตรียมอาบน้ำนอนพักผ่อน
เธอนอนแช่น้ำอุ่นที่มีกลีบกุหลาบโปรยปรายอยู่อย่างละเมียดละมัย ก่อนจะลุกไปแต่งตัวเตรียมเข้านอน
ก๊อก! ก๊อก!
ทันทีที่เธอกำลังคิดว่าอยากจะเอนกายนอนลงไปบนเตียงก็ได้ยินเคาะประตูดังขึ้นมาเสียก่อน
“จางเหว่ย? มาหาข้าตอนนี้มีอะไรงั้นเหรอเจ้าคะ” เธอมองเขาอย่างฉงนใจ และแปลกใจ เพราะเธอเองก็ไม่คิดว่าเขาจะมาหาเธอตอนนี้
“ขอเข้าไปหน่อยได้ไหม?” เธอไม่ได้ตอบอะไร แต่เบี่ยงกายหลบให้เขาเดินเข้ามาในห้องนอนอย่างเงียบๆก่อนจะทำการปิดประตู
เมื่อเขานั่งลงบนปลายเตียง เธอก็ค่อยๆล้มตัวลงนั่งข้างๆที่ปลายเตียงข้างกายของเขา “…”
ร่างสูงไม่ได้พูดอะไรทำเพียงจ้องสตรีตรงหน้าที่มีรูปร่างเล็กแต่อวบอิ่ม ผมดำขลับ ใบหน้ากลมน่ารักน่าเอ็นดู แและดวงตากลมโตอย่างอ่อนโยน
ทว่ายิ่งจ้องมองสตรีตรงหน้านานมากเท่าไหร่เขาก็ยิ่งรู้สึกว่าอยากจะดึงนางเข้ามากอดแนบอกแน่นๆให้จมหายเข้ามาในร่างเขาได้ยิ่งดี!
“ตกลงว่าเจ้ามาหาข้าตอนนี้มีอะไรงั้นเหรอ? เอาแต่นั่งจ้องหน้าข้าแบบนี้ข้าก็เริ่มจะทำตัวไม่ถูกแล้วเหมือนกันนะเนี่ย” เธอเอ่ยต่อว่ากระปอดกระแปดออกมาอย่างไม่จริงจังเท่าไหร่นัก
“ข้ากลัวว่าเจ้าจะนอนไม่หลับ… คืนนี้ข้านอนกับเจ้าด้วยได้หรือเปล่า?”
เธอได้ยินคำถามที่ซื่อตรงของเขาก็แทบจะทำตัวไม่ถูก แต่ทว่าเธอก็ไม่ได้รู้สึกว่าอยากจะปฏิเสธบุรุษตรงหน้าเลยสักนิด
“อืม”
ทั้งสองคนนอนร่วมกันบนเตียงกว้างอย่างเงียบเชียบ ก่อนที่ชายหนุ่มจะยกศีรษะขึ้นมาเกยอยู่บนศีรษะเล็กของร่างบาง ก่อนจะค่อยๆโน้มตัวลงไปจูบและหอมเบาๆ
เธอเงยหน้ามองปลายคางของร่างสูง ก่อนจะค่อยแหงนหน้าขบเบาๆที่ลูกกระเดือกบนลำคอเขาอย่างยั่วยวน
เขาก้มใบหน้าคมคายลงมามองนางอย่างตกตะลึง ไม่คิดว่านางจะกล้ายั่วยวนเขาได้มากถึงขนาดนี้ “นี่… เจ้าคิดกำลังจะยั่วยวนข้าอยู่งั้นเหรอ?” เขากระซิบถามเบาๆก่อนจะกอดรัดร่างบอบบางให้เข้ามาประชิดแผ่นอกร้อนผ่าว
หลังผ่านเหตุการณ์สั่นคลอนชะตาทั้งหลายที่ปราสาทอู่หวัง และผ่านช่วงเวลาพักรักษาตัวอยู่ในจวนใหญ่ของโจวจางเหว่ย ในที่สุดนางก็สามารถฟื้นตัวคืนกำลังได้เกือบเต็มร้อย พลังลี้ลับจากเลือดมังกรในกายไม่ปรากฏอาการร้อนผ่าวอีกแล้ว เธอสัมผัสได้ว่าบัดนี้ตนไม่ต้องแบกรับภาระอันหนักอึ้งเช่นเดิมอีกต่อไปในเช้าวันแดดจัดที่มีเมฆลอยเรียงกันประปราย โจวจางเหว่ยได้จัดเตรียมรถม้าอย่างเรียบง่าย พาเมิ่งฮวาออกเดินทางกลับหมู่บ้านซานซี อันเป็นดินแดนเล็กๆที่เธอเคยใช้ชีวิตเรียบง่ายร่วมกับ ท่านลุงลี่คุน และท่านป้าลี่จูเสมอมาเมิ่งฮวามองเห็นทิวเขาคุ้นตาแต่ไกล ยิ่งใกล้ซานซีเท่าไรเธอยิ่งรู้สึกอบอุ่นในหัวใจ นึกถึงวันที่ยังใช้ชีวิตแบบคนธรรมดา ไม่ต้องพัวพันกับเลือดมังกรหรือการเมืองใดๆ เมื่อถึงทางเข้าหมู่บ้านเธอเห็นรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้าของโจวจางเหว่ย และสัมผัสได้ถึงสายลมเย็นๆที่พัดมาเหมือนยินดีต้อนรับการกลับมาของเธอเมื่อรถม้าวิ่งเข้าเขตบ้านลุงลี่คุน ท่านป้าลี่จูก็ปราดออกมาต้อนรับทันทีด้วยรอยยิ้มที่แสดงถึงความห่วงใย“อาเมิ่ง! เจ้าไม่เป็นอะไรแล้วใช่ไหม?” ท่านป้าลี่จูรีบเข้ามาจับมือเมิ่งฮวา ตรวจดูกันตั้งแต่หัวจรดเท้าราวกับหล
เสียงก้องสะท้อนในห้องมังกรใหญ่ยังคงโหมกระพือ เสาหินรอบข้างสั่นไหวราวกับจะถล่มลงทุกเมื่อ อานุภาพมหาศาลจากแกนมังกรแผ่กระจายเป็นวงกว้าง ทำให้อากาศสั่นระริกจนทุกคนที่อยู่ในห้องรู้สึกหายใจลำบากเมิ่งฮวายืนอยู่ตรงกลางวงแสงสีทองที่ปะทุจากจุดศูนย์กลางของแท่นบูชา เหงื่อและเลือดไหลอาบบนใบหน้าที่เธอไม่อาจรับรู้ถึงความเจ็บปวดได้อีก ในจิตใจเธอมีเสียงสองกระแสคอยก้องสลับไปมา‘หลอมรวม… เพื่อเป็นผู้ครองพลัง! หรือทำลาย… เพื่อยุติความวุ่นวาย!’เบื้องหน้าเธอคือรูปสลักมังกรที่ดูเหมือนมีชีวิต แผ่นโลหะหนาทึบบนอกรูปสลักเริ่มแตกออกเป็นเสี่ยงๆเผยให้เห็นแกนมังกรคล้ายลูกแก้วสีทองสะท้อนแสงในมือเมิ่งฮวา อำนาจโบราณจากยุคสมัยราชวงศ์เก่ากำลังตื่นขึ้นพร้อมแรงกดดันอันเกรี้ยวกราดขณะที่คลื่นพลังปกคลุมห้องมังกรอย่างหนักหน่วง เหล่ามือสังหารที่ยังมีสติอยู่ก็ต้องคุกเข่าหรือหมอบกับพื้น องครักษ์ของโจวจางเหว่ยที่ยังยืนก็แทบจะทรงตัวไม่อยู่ บางคนถูกแรงอัดดีดกระเด็นไปยังซอกกำแพงโจวจางเหว่ยตะเกียกตะกายลุกขึ้น มือกำกระบี่ที่สั่นระริก พยายามฝ่าคลื่นพลังเข้ามาหาเมิ่งฮวา“ฮวาเออร์!” เขาเรียกสุดเสียง แต่ถูกแรงอัดบีบจนขยับได้ยากเต็มที
แสงสีทองแห่งแกนมังกรที่ซ่อนอยู่ภายในร่างโลหะของมังกรส่องสว่างออกมาจากกลางแท่นบูชาอย่างน่าพิศวง บรรยากาศในห้องใต้ดินอันกว้างใหญ่ชวนให้รู้สึกถึงความเก่าแก่และพลังลี้ลับที่สั่งสมมานับศตวรรษเมิ่งฮวายืนนิ่งหัวใจเต้นระรัวเมื่อตระหนักว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าคือ‘หัวใจ’ของอู่หวังที่แท้จริง ต้นกำเนิดแห่งอำนาจซึ่งเหล่ากบฏกำลังตามหามาโดยตลอดขณะที่เมิ่งฮวากำลังไล่สายตาสำรวจรูปสลักมังกรขนาดใหญ่ที่ดูเหมือนจะมีชิ้นส่วนโลหะพิเศษครอบอยู่เป็นเกล็ด การเต้นของเลือดในร่างกายเธอก็เร่งจังหวะไม่หยุดราวกับสายเลือดตอบสนองต่อบางสิ่งที่เปล่งพลังงานอยู่เบื้องหน้า“ฮวาเออร์…” โจวจางเหว่ยเรียกเธอเสียงเบา มือกำกระบี่ข้างกายแน่น เขามองสถานการณ์ด้วยความระแวดระวังเพราะอาจมีศัตรูโผล่มาได้ทุกเมื่อ “เจ้ารู้สึกไหมว่าพลังนี้กำลังเรียกหาเจ้า?”เมิ่งฮวาพยักหน้าเล็กน้อยสีหน้าสับสนแต่ก็เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น นางไม่ได้ตอบอะไรเพียงแต่ก้าวเข้าใกล้แท่นบูชามากขึ้นทีละนิดโดยมีโจวจางเหว่ยตามมาคุ้มกันไม่ห่างบริเวณโดยรอบแท่นบูชามีร่องรอยภาพสลักเก่าแก่บนกำแพงหินและพื้น บ้างเป็นรูปมนุษย์แต่งกายหรูหรายืนล้อมมังกร บ้างเป็นรูปผู้คนคุกเข่าบูชา
การต่อสู้ในโถงมังกรยังคงดุเดือด ดาบกระทบกันเสียงดังสนั่น เสียงเหล็กเสียดสีกันดังไปทั่วทุกมุมโถง บางครั้งสายตาของเมิ่งฮวาก็เหลือบไปเห็นบันไดลับที่เปิดลงไปยังส่วนลึกของปราสาท อาการบาดเจ็บจากการต่อสู้รุนแรงทำให้ความคิดของเธอพร่าเบลอ แต่เธอรู้ดีว่าถ้าไม่รีบตัดสินใจตอนนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นจะทำให้พวกเขาพลาดโอกาสสำคัญไปท่ามกลางการต่อสู้ที่รุนแรงนักฆ่าหลายคนเริ่มแยกตัวออกไป โดยมีท่าทางเหมือนจะเริ่มมีกลยุทธ์บางอย่าง การโจมตีของพวกมันแม่นยำและรวดเร็ว หลายครั้งที่เมิ่งฮวากับโจวจางเหว่ยต้องใช้กลยุทธ์หลบหลีกและโจมตีสวนกลับ หากพวกเขายังไม่สามารถหยุดยั้งพวกมันได้ กลุ่มของพวกเขาจะต้องถูกต้อนให้มุมในไม่ช้า“พวกมันกำลังพยายามล่อเราไปที่มุม!” เมิ่งฮวาตะโกนเตือน โจวจางเหว่ยหันไปมองเธอด้วยความเป็นห่วงแต่เขาก็ไม่มีเวลาพูดอะไร เพราะมือสังหารอีกคนพุ่งมาที่เขา โจวจางเหว่ยต้องหลบการโจมตีและสวนกลับด้วยกระบี่ในมือ“ข้าจะไม่ปล่อยให้พวกเจ้าหลบหนีไปได้แน่!” เขาตะโกนสั่งองครักษ์ที่ยืนข้างๆ พลางฟันกระบี่ของตนอย่างแม่นยำเสียงของดาบกระทบกันดังตึงตังจนหลายคนสะดุ้ง แต่ท่ามกลางความยุ่งเหยิงนั้น เมิ่งฮวามองเห็นช่องว่างระห
ความเงียบงันที่ปกคลุมอุโมงค์หินถูกแทนที่ด้วยเสียง ครืด… ครืด… ที่ดังสะท้อนก้องจนเสียดหู เมิ่งฮวาและโจวจางเหว่ย ยืนประจันหน้ากับเงาดำขนาดใหญ่ที่ขวางอยู่ตรงส่วนปลายทางเดิน โดยมีองครักษ์อีกสองนายจับอาวุธเตรียมพร้อมในท่าทีตื่นตัวพอแสงคบไฟสาดส่องไปใกล้ขึ้นเรื่อยๆก็ปรากฏให้เห็นเงาร่างเหมือน “รูปสลักมังกร” ขนาดใหญ่หินแกะสลักที่ลำตัวยาวเลื้อยไปตามผนัง มีส่วนหัวโผล่พ้นขึ้นจากพื้นหินชนิดที่เห็นฟันแหลมคมรางๆ ดวงตาของมันเป็นอัญมณีสีเขียวเข้มสะท้อนแสงไฟพราวระยับ จนดูราวกับมันกำลังจ้องมองพวกเขาอยู่จริงๆเมิ่งฮวารู้สึกถึงเลือดในกายสูบฉีดเร็วขึ้น สัญชาตญาณบางอย่างร้องเตือนว่าสิ่งนี้มิใช่เพียงรูปสลักธรรมดา เหมือนมีพลังลี้ลับแผ่ออกมาจากตัวมัน“นายท่าน… นี่มัน… เคลื่อนไหวได้หรือขอรับ?” องครักษ์คนหนึ่งถามเสียงเบาหวิว มือกำกระบี่ไว้จนข้อขาวโจวจางเหว่ยไม่ตอบ เขาก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าวโดยที่ยังไม่ลดกระบี่ เสียงหินเสียดสีกันดังครืดอีกครั้ง ขณะเดียวกันรูปสลักมังกรก็ขยับคอไปด้านข้างช้าๆก่อให้เกิดความรู้สึกขนลุกพิลึก“รูปสลักนี้มีกลไกด้านใน… หรืออาจเป็นกับดักที่ใช้แรงคนหมุน?” เขาพึมพำ แต่ความสงสัยกลับเร้าใจขึ
ท่ามกลางกลิ่นอับชื้นและความเยียบเย็นของห้องหิน ขบวนของเมิ่งฮวาและโจวจางเหว่ยตัดสินใจหยุดพักชั่วคราวเพื่อฟื้นแรงและประเมินสถานการณ์ โดยมีองครักษ์สองนายผลัดกันออกไปยืนเฝ้าที่ปากอุโมงค์เพื่อป้องกันมือสังหารศัตรูที่อาจกลับมาได้ทุกเมื่อเมิ่งฮวานั่งพิงกำแพงที่ขรุขระ หายใจผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อยหลังจากผ่านการต่อสู้อันบีบคั้น เหลือบมองสมาชิกในขบวนที่ได้รับบาดเจ็บก็กำลังนั่งพักผ่อนเช่นกัน บางคนก็หลับตาปลดปล่อยความตรึงเครียดโดยมีอาวุธวางข้างตัวไม่ห่าง“ทุกคนเหนื่อยกันมาก…” โจวจางเหว่ยเอ่ยเสียงเบา ดวงตาเข้มทอแววห่วงใย “แต่เรายังต้องก้าวต่อไป หากพ้นคืนนี้แล้วเดินไปอีกไม่ไกลก็อาจถึงใจกลางอู่หวัง”เมิ่งฮวาพยักหน้ารับ เธอเองก็รับรู้ถึงแรงดึงดูดบางอย่างที่ลึกลงไปในภูเขานี้ คล้ายกับว่ามันรอให้เธอมาค้นพบมานานแสนนาน“นายท่าน!” องครักษ์คนหนึ่งที่เดินตรวจลึกเข้าไปในอุโมงค์ร้องเรียกเบาๆ สะท้อนเสียงมาไกล ราวกับค้นพบอะไรบางอย่างโจวจางเหว่ยและเมิ่งฮวาลุกขึ้นทันที นำองครักษ์บางส่วนถือคบไฟตามเข้าไปยังโพรงแคบภายในห้องต่อไปในโพรงนั้น… พื้นหินเรียบแต่ผนังสองข้างกลับคดเคี้ยวด้วยลวดลายสลักเป็นรูปคนและสัตว์ในท่าทางแป