“เจ้าคิดว่าบ่นเสียงเบาแล้วข้าจะไม่ได้ยินหรืออย่างไร” เสี่ยวเปาพูดถามกับเมิ่งฮวา
“แหะๆ ข้าเปล่าพูดอะไรสักหน่อย” นางกล่าวออกมาอย่างแก้เก้อ
“หึ!”
“ข้าว่าข้าออกจากมิติแล้วดีกว่า~” พูดจบนางก็ออกจากมิติ ทำเป็นลืมเรื่องที่คุยกัน
3 เดือนผ่านไป…
ตอนนี้บ้านของเมิ่งฮวาก็เสร็จสิ้นลงไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เตรียมตัวที่จะต้องย้ายเข้าบ้านใหม่ของนางได้แล้ว แต่ด้วยความที่นางอาศัยอยู่กับท่านลุงท่านป้ามานานเลยทำให้นางแสดงอาการอาลัยอาวรณ์ออกมาเล็กน้อย
“ท่านลุงท่านป้า พวกท่านจะไม่ย้ายไปอยู่กับข้าจริงหรือเจ้าคะ” นางกล่าวถามออกมาด้วยใบหน้าเศร้าๆ
“อาเมิ่ง ลุงกับป้าอยู่บ้านหลังนี้มานานแล้ว ถึงตอนนี้ก็ไม่อยากจากบ้านหลังนี้ไปไหน” ท่านลุงเอ่ยออกมากับนาง
“จริงของตาแก่ บ้านหลังนี้สร้างด้วยน้ำพักน้ำแรงของพวกเราตั้งมากมายจะให้ตัดใจไปอยู่ที่อื่น ป้าก็คงจะทำไม่ได้เช่นเดียวกัน”
“แต่ว่า…”
ยังไม่ทันที่นางจะได้กล่าวพูดอะไรออกมาอีกท่านป้าก็รีบเอ่ยขึ้นมาก่อน
“อาเมิ่ง หากเจ้าคิดถึงก็แค่มาหาพวกข้า บ้านของเจ้าก็ไม่ได้ไกลจากบ้านนี้เท่าใดนักเจ้าก็เห็น” เมื่อได้ฟังคำที่ท่านป้ากล่าวก็คิดตาม
“ก็จริงอย่างที่ท่านป้ากล่าวมาเจ้าค่ะ แต่ว่าหากท่านลุงกับท่านป้ามีเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจอะไรต้องรีบบอกข้านะเจ้าคะ”
เมื่อทั้งสองคนได้ยินคำพูดของนางก็ยิ้มออกมาอย่างเอื้อเอ็นดู
“ได้ได้ หากมีเรื่องอะไรพวกเราจะรีบบอกเจ้าเป็นคนแรกเลย”
“ท่านลุงรับปากข้าแล้วนะเจ้าคะ”
“ได้ ลุงรับปาก” เขากล่าวพร้อมกับลูบหัวนางด้วยความเอ็นดูดั่งเช่นลูกหลาน
หลังจากวันที่คุยกันวันนั้นก็ผ่านมาเป็นเวลา 2 วันแล้ว ตอนนี้นางก็ย้ายมาอยู่บ้านใหม่ที่เพิ่งจะสร้างเสร็จแล้ว ถึงจะมีเหงามากที่ต้องอยู่คนเดียวแต่ก็ยังดีที่นางมีเสี่ยวเปาอยู่เป็นเพื่อนคอยคุยด้วยตลอดๆ
วันนี้เมิ่งฮวาคิดว่าจะไปตลาด เพื่อที่นางจะไปเดินดูเสื้อผ้า การเป็นอยู่ การขายของของคนยุคนี้เสียหน่อย ไหนๆ สวรรค์ก็ให้ชีวิตใหม่ที่ดีกับนางขนาดนี้ไม่ว่าจะรูปร่างผิวพรรณ หน้าตา หรือด้านทรัพย์สินเงินทอง และด้านอื่นๆ นางก็ล้วนเพรียบพร้อมทั้งนั้น…
และเนื่องจากที่ชาติที่แล้วที่นางจากมานางเหนื่อยมาทั้งชีวิต มาชาตินี้ที่มีมึกอย่างแล้วนางก็จะใช้ชีวิตแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเบื่อไปเลย แต่ยังไม่ทันที่นางจะได้คิดฝันหวานอะไรไปมากกว่านั้นเสียงเสี่ยวเปาก็เอ่ยขัดนางขึ้นมา
[แต่ข้าว่าเจ้าขี้เกียจมากกว่าน่ะสิ]
“ข้าไม่ได้ขี้เกียจเสียหน่อย เจ้าอย่ามาพูดจาปรักปรำข้านะ” นางกล่าวเถียงออกมาอย่างข้างๆ คูๆ
เสี่ยวเปาที่ไม่อยากจะเถียงกับนางก็เลยเอ่ยเปลี่ยนเรื่องคุย
[แล้วเจ้าจะเข้าเมืองใช่หรือไม่ เกวียนจะออกตอนยามเฉิน (07:00-08:59 น.) หากเจ้าจะไปก็รีบไปอาบน้ำแต่งตัวให้เรียบร้อยเสีย] เมื่อได้ยินคำพูดเสี่ยวเปาก็หันไปมองนาฬิกา
“จริงหรือ ถ้าอย่างนั้นข้าต้องรีบไปอาบน้ำแต่งตัวก่อน”
พูดจบนางก็รีบวิ่งจู้ดเข้าห้องน้ำไปทันที
…
เมื่ออาบน้ำแต่งตัวเสร็จเมิ่งฮวานางก็รีบออกจากมิติแล้วเดินไปยังจุดที่เกวียนวัวจอดรอคน แต่เมื่อเดินมาถึงก็เห็นว่ามีคนยืนรอกันอยู่ รวมถึงยัยป้าหน้าเหลี่ยมที่เคยมีปัญหากับนางเมื่อหลายเดือนก่อนด้วย
“อั้ยโย่ ไม่คิดว่าจะได้เห็นคุณหนูผู้ร่ำรวยมารอเกวียนวัวเป็นด้วย” เมื่อยัยป้าหันมาเห็นนางก็ไม่วายที่จะพูดค่อนแคะนาง แต่เมิ่งฮวาก็แสร้งทำเป็นหูทวนลมแล้วเมินไป แต่เหมือนจะยิ่งทำให้ยัยป้าโมโหขึ้นมา
“นี่! ข้าพูดด้วยเจ้าไม่ได้ยินหรือ!” นางกล่าวพูดเสียงดังจนผู้คนหันมามองพร้อมกัน
แต่นางก็หาได้สนใจไม่ นางยังคงเงียบ แต่อีกฝ่ายก็ยังคงหาเรื่องนางไม่หยุดหย่อน
“ทำเป็นคุณหนูผู้ดีตีนแดงไปเถิด หึ! กะอีแค่อดีตกระมัง ข้าก็อยากจะรู้นักว่าถ้าเงินหมดแล้วสภาพจะเป็นเช่นใด ยังจะกล้าหยิ่งยโสเช่นนี้อยู่หรือไม่” พูดจบนางก็สะบัดหน้าหนี
นางก็ยังคงเงียบต่อไป แต่ที่เงียบก็เพราะคุยกับเสี่ยวเปาทางจิตอยู่
[นี่เจ้าไม่คิดจะเถียงนางหน่อยหรืออย่างไร] เมื่อได้ยินคำพูดเสี่ยวเปานางก็เอ่ยตอบ
“ก็แค่หมาบ้าเห่า เจ้าจะให้ข้าไปเห่าตอบทำไมกัน? ข้าไม่ใช่หมาเสียหน่อย”
[แต่นางกำลังพูดถึงเจ้าเสียๆ หายๆ] เสี่ยวเปายังคงพูดอย่างไม่ยอมแพ้
“แล้วใช่เรื่องจริงหรือไม่เล่า มันก็แค่เรื่องที่ข้าแต่งขึ้นมาก็เท่านั้น ก็คงไม่แปลกที่จะมีคนคิดเช่นนี้ จริงหรือไม่? เจ้าก็เห็นว่าตอนนี้ข้าร่ำรวยเพียงใดและก็คงที่จะไม่มีวันลำบาก หรืออดอยากเสียด้วย”
[นั่นมันก็ใช่…]
“เพราะฉะนั้นเจ้าก็อย่าไปให้ค่าคนพวกนี้นักเลยน่า หากไม่มาจุ้นจ้าน วุ่นวายกับข้าจนเกินไปล่ะก็ …”
[ได้ ต่อไปข้าก็จะคอยเตือนสติเจ้าเอง] เมื่อได้ยินคำพูดของเสี่ยวเป่านางก็อดที่จะยิ้มไม่ได้
“ได้!”
หลังจากนั้นนางก็ขึ้นมานั่งบนเกวียนวัว เมื่อเกวียนวัวเริ่มขยับแล้วก็หันมาสนใจธรรมชาติด้านข้างแทน…
หลังผ่านเหตุการณ์สั่นคลอนชะตาทั้งหลายที่ปราสาทอู่หวัง และผ่านช่วงเวลาพักรักษาตัวอยู่ในจวนใหญ่ของโจวจางเหว่ย ในที่สุดนางก็สามารถฟื้นตัวคืนกำลังได้เกือบเต็มร้อย พลังลี้ลับจากเลือดมังกรในกายไม่ปรากฏอาการร้อนผ่าวอีกแล้ว เธอสัมผัสได้ว่าบัดนี้ตนไม่ต้องแบกรับภาระอันหนักอึ้งเช่นเดิมอีกต่อไปในเช้าวันแดดจัดที่มีเมฆลอยเรียงกันประปราย โจวจางเหว่ยได้จัดเตรียมรถม้าอย่างเรียบง่าย พาเมิ่งฮวาออกเดินทางกลับหมู่บ้านซานซี อันเป็นดินแดนเล็กๆที่เธอเคยใช้ชีวิตเรียบง่ายร่วมกับ ท่านลุงลี่คุน และท่านป้าลี่จูเสมอมาเมิ่งฮวามองเห็นทิวเขาคุ้นตาแต่ไกล ยิ่งใกล้ซานซีเท่าไรเธอยิ่งรู้สึกอบอุ่นในหัวใจ นึกถึงวันที่ยังใช้ชีวิตแบบคนธรรมดา ไม่ต้องพัวพันกับเลือดมังกรหรือการเมืองใดๆ เมื่อถึงทางเข้าหมู่บ้านเธอเห็นรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้าของโจวจางเหว่ย และสัมผัสได้ถึงสายลมเย็นๆที่พัดมาเหมือนยินดีต้อนรับการกลับมาของเธอเมื่อรถม้าวิ่งเข้าเขตบ้านลุงลี่คุน ท่านป้าลี่จูก็ปราดออกมาต้อนรับทันทีด้วยรอยยิ้มที่แสดงถึงความห่วงใย“อาเมิ่ง! เจ้าไม่เป็นอะไรแล้วใช่ไหม?” ท่านป้าลี่จูรีบเข้ามาจับมือเมิ่งฮวา ตรวจดูกันตั้งแต่หัวจรดเท้าราวกับหล
เสียงก้องสะท้อนในห้องมังกรใหญ่ยังคงโหมกระพือ เสาหินรอบข้างสั่นไหวราวกับจะถล่มลงทุกเมื่อ อานุภาพมหาศาลจากแกนมังกรแผ่กระจายเป็นวงกว้าง ทำให้อากาศสั่นระริกจนทุกคนที่อยู่ในห้องรู้สึกหายใจลำบากเมิ่งฮวายืนอยู่ตรงกลางวงแสงสีทองที่ปะทุจากจุดศูนย์กลางของแท่นบูชา เหงื่อและเลือดไหลอาบบนใบหน้าที่เธอไม่อาจรับรู้ถึงความเจ็บปวดได้อีก ในจิตใจเธอมีเสียงสองกระแสคอยก้องสลับไปมา‘หลอมรวม… เพื่อเป็นผู้ครองพลัง! หรือทำลาย… เพื่อยุติความวุ่นวาย!’เบื้องหน้าเธอคือรูปสลักมังกรที่ดูเหมือนมีชีวิต แผ่นโลหะหนาทึบบนอกรูปสลักเริ่มแตกออกเป็นเสี่ยงๆเผยให้เห็นแกนมังกรคล้ายลูกแก้วสีทองสะท้อนแสงในมือเมิ่งฮวา อำนาจโบราณจากยุคสมัยราชวงศ์เก่ากำลังตื่นขึ้นพร้อมแรงกดดันอันเกรี้ยวกราดขณะที่คลื่นพลังปกคลุมห้องมังกรอย่างหนักหน่วง เหล่ามือสังหารที่ยังมีสติอยู่ก็ต้องคุกเข่าหรือหมอบกับพื้น องครักษ์ของโจวจางเหว่ยที่ยังยืนก็แทบจะทรงตัวไม่อยู่ บางคนถูกแรงอัดดีดกระเด็นไปยังซอกกำแพงโจวจางเหว่ยตะเกียกตะกายลุกขึ้น มือกำกระบี่ที่สั่นระริก พยายามฝ่าคลื่นพลังเข้ามาหาเมิ่งฮวา“ฮวาเออร์!” เขาเรียกสุดเสียง แต่ถูกแรงอัดบีบจนขยับได้ยากเต็มที
แสงสีทองแห่งแกนมังกรที่ซ่อนอยู่ภายในร่างโลหะของมังกรส่องสว่างออกมาจากกลางแท่นบูชาอย่างน่าพิศวง บรรยากาศในห้องใต้ดินอันกว้างใหญ่ชวนให้รู้สึกถึงความเก่าแก่และพลังลี้ลับที่สั่งสมมานับศตวรรษเมิ่งฮวายืนนิ่งหัวใจเต้นระรัวเมื่อตระหนักว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าคือ‘หัวใจ’ของอู่หวังที่แท้จริง ต้นกำเนิดแห่งอำนาจซึ่งเหล่ากบฏกำลังตามหามาโดยตลอดขณะที่เมิ่งฮวากำลังไล่สายตาสำรวจรูปสลักมังกรขนาดใหญ่ที่ดูเหมือนจะมีชิ้นส่วนโลหะพิเศษครอบอยู่เป็นเกล็ด การเต้นของเลือดในร่างกายเธอก็เร่งจังหวะไม่หยุดราวกับสายเลือดตอบสนองต่อบางสิ่งที่เปล่งพลังงานอยู่เบื้องหน้า“ฮวาเออร์…” โจวจางเหว่ยเรียกเธอเสียงเบา มือกำกระบี่ข้างกายแน่น เขามองสถานการณ์ด้วยความระแวดระวังเพราะอาจมีศัตรูโผล่มาได้ทุกเมื่อ “เจ้ารู้สึกไหมว่าพลังนี้กำลังเรียกหาเจ้า?”เมิ่งฮวาพยักหน้าเล็กน้อยสีหน้าสับสนแต่ก็เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น นางไม่ได้ตอบอะไรเพียงแต่ก้าวเข้าใกล้แท่นบูชามากขึ้นทีละนิดโดยมีโจวจางเหว่ยตามมาคุ้มกันไม่ห่างบริเวณโดยรอบแท่นบูชามีร่องรอยภาพสลักเก่าแก่บนกำแพงหินและพื้น บ้างเป็นรูปมนุษย์แต่งกายหรูหรายืนล้อมมังกร บ้างเป็นรูปผู้คนคุกเข่าบูชา
การต่อสู้ในโถงมังกรยังคงดุเดือด ดาบกระทบกันเสียงดังสนั่น เสียงเหล็กเสียดสีกันดังไปทั่วทุกมุมโถง บางครั้งสายตาของเมิ่งฮวาก็เหลือบไปเห็นบันไดลับที่เปิดลงไปยังส่วนลึกของปราสาท อาการบาดเจ็บจากการต่อสู้รุนแรงทำให้ความคิดของเธอพร่าเบลอ แต่เธอรู้ดีว่าถ้าไม่รีบตัดสินใจตอนนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นจะทำให้พวกเขาพลาดโอกาสสำคัญไปท่ามกลางการต่อสู้ที่รุนแรงนักฆ่าหลายคนเริ่มแยกตัวออกไป โดยมีท่าทางเหมือนจะเริ่มมีกลยุทธ์บางอย่าง การโจมตีของพวกมันแม่นยำและรวดเร็ว หลายครั้งที่เมิ่งฮวากับโจวจางเหว่ยต้องใช้กลยุทธ์หลบหลีกและโจมตีสวนกลับ หากพวกเขายังไม่สามารถหยุดยั้งพวกมันได้ กลุ่มของพวกเขาจะต้องถูกต้อนให้มุมในไม่ช้า“พวกมันกำลังพยายามล่อเราไปที่มุม!” เมิ่งฮวาตะโกนเตือน โจวจางเหว่ยหันไปมองเธอด้วยความเป็นห่วงแต่เขาก็ไม่มีเวลาพูดอะไร เพราะมือสังหารอีกคนพุ่งมาที่เขา โจวจางเหว่ยต้องหลบการโจมตีและสวนกลับด้วยกระบี่ในมือ“ข้าจะไม่ปล่อยให้พวกเจ้าหลบหนีไปได้แน่!” เขาตะโกนสั่งองครักษ์ที่ยืนข้างๆ พลางฟันกระบี่ของตนอย่างแม่นยำเสียงของดาบกระทบกันดังตึงตังจนหลายคนสะดุ้ง แต่ท่ามกลางความยุ่งเหยิงนั้น เมิ่งฮวามองเห็นช่องว่างระห
ความเงียบงันที่ปกคลุมอุโมงค์หินถูกแทนที่ด้วยเสียง ครืด… ครืด… ที่ดังสะท้อนก้องจนเสียดหู เมิ่งฮวาและโจวจางเหว่ย ยืนประจันหน้ากับเงาดำขนาดใหญ่ที่ขวางอยู่ตรงส่วนปลายทางเดิน โดยมีองครักษ์อีกสองนายจับอาวุธเตรียมพร้อมในท่าทีตื่นตัวพอแสงคบไฟสาดส่องไปใกล้ขึ้นเรื่อยๆก็ปรากฏให้เห็นเงาร่างเหมือน “รูปสลักมังกร” ขนาดใหญ่หินแกะสลักที่ลำตัวยาวเลื้อยไปตามผนัง มีส่วนหัวโผล่พ้นขึ้นจากพื้นหินชนิดที่เห็นฟันแหลมคมรางๆ ดวงตาของมันเป็นอัญมณีสีเขียวเข้มสะท้อนแสงไฟพราวระยับ จนดูราวกับมันกำลังจ้องมองพวกเขาอยู่จริงๆเมิ่งฮวารู้สึกถึงเลือดในกายสูบฉีดเร็วขึ้น สัญชาตญาณบางอย่างร้องเตือนว่าสิ่งนี้มิใช่เพียงรูปสลักธรรมดา เหมือนมีพลังลี้ลับแผ่ออกมาจากตัวมัน“นายท่าน… นี่มัน… เคลื่อนไหวได้หรือขอรับ?” องครักษ์คนหนึ่งถามเสียงเบาหวิว มือกำกระบี่ไว้จนข้อขาวโจวจางเหว่ยไม่ตอบ เขาก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าวโดยที่ยังไม่ลดกระบี่ เสียงหินเสียดสีกันดังครืดอีกครั้ง ขณะเดียวกันรูปสลักมังกรก็ขยับคอไปด้านข้างช้าๆก่อให้เกิดความรู้สึกขนลุกพิลึก“รูปสลักนี้มีกลไกด้านใน… หรืออาจเป็นกับดักที่ใช้แรงคนหมุน?” เขาพึมพำ แต่ความสงสัยกลับเร้าใจขึ
ท่ามกลางกลิ่นอับชื้นและความเยียบเย็นของห้องหิน ขบวนของเมิ่งฮวาและโจวจางเหว่ยตัดสินใจหยุดพักชั่วคราวเพื่อฟื้นแรงและประเมินสถานการณ์ โดยมีองครักษ์สองนายผลัดกันออกไปยืนเฝ้าที่ปากอุโมงค์เพื่อป้องกันมือสังหารศัตรูที่อาจกลับมาได้ทุกเมื่อเมิ่งฮวานั่งพิงกำแพงที่ขรุขระ หายใจผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อยหลังจากผ่านการต่อสู้อันบีบคั้น เหลือบมองสมาชิกในขบวนที่ได้รับบาดเจ็บก็กำลังนั่งพักผ่อนเช่นกัน บางคนก็หลับตาปลดปล่อยความตรึงเครียดโดยมีอาวุธวางข้างตัวไม่ห่าง“ทุกคนเหนื่อยกันมาก…” โจวจางเหว่ยเอ่ยเสียงเบา ดวงตาเข้มทอแววห่วงใย “แต่เรายังต้องก้าวต่อไป หากพ้นคืนนี้แล้วเดินไปอีกไม่ไกลก็อาจถึงใจกลางอู่หวัง”เมิ่งฮวาพยักหน้ารับ เธอเองก็รับรู้ถึงแรงดึงดูดบางอย่างที่ลึกลงไปในภูเขานี้ คล้ายกับว่ามันรอให้เธอมาค้นพบมานานแสนนาน“นายท่าน!” องครักษ์คนหนึ่งที่เดินตรวจลึกเข้าไปในอุโมงค์ร้องเรียกเบาๆ สะท้อนเสียงมาไกล ราวกับค้นพบอะไรบางอย่างโจวจางเหว่ยและเมิ่งฮวาลุกขึ้นทันที นำองครักษ์บางส่วนถือคบไฟตามเข้าไปยังโพรงแคบภายในห้องต่อไปในโพรงนั้น… พื้นหินเรียบแต่ผนังสองข้างกลับคดเคี้ยวด้วยลวดลายสลักเป็นรูปคนและสัตว์ในท่าทางแป