“นัสทราบดีค่ะว่าคุณปราณต์เกลียดนัสแค่ไหน”
“เข้าใจซะใหม่นะนัสรินว่าผมไม่ได้เกลียดคุณ แต่ผมรังเกียจพฤติกรรมของคุณต่างหาก” ปราณต์ย้ำคำพูดตัวเองด้วยสีหน้าเฉยชา หากแต่ความหมายของมันจะต่างอะไรกันล่ะในความรู้สึกของนัสริน ในเมื่อไม่ว่าเขาจะรังเกียจหรือเกลียดมันก็ไม่ใช่ความรู้สึกในด้านดีเลยสักนิด
“เพราะอย่างนี้ไงคะ นัสเลยจะคืนอิสระให้คุณปราณต์ คุณปราณต์จะได้เริ่มต้นชีวิตใหม่”
“เหมือนที่คุณเองก็จะได้หาผัวใหม่เหมือนกันใช่ไหม”
เป็นอีกครั้งที่นัสรินอึ้งกับวาจาของปราณต์ เธอแค่คิดจะหย่ากับเขาเพื่อให้เขาเป็นอิสระ แต่ไม่เคยคิดจะหาใครมาแทนที่เขาอย่างที่เขากล่าวหาสักนิด ทว่าพูดไปมันก็คงเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ ในเมื่อปราณต์ปักใจรังเกียจเธอตั้งแต่แต่งงานกันแล้ว
“ตกลงคุณปราณต์จะหย่าหรือเปล่าคะ” นัสรินถามตรงๆ และไม่คิดจะต่อปากต่อคำใดๆ เพื่อให้ตัวเองต้องเจ็บปวดไปมากกว่านั้นอีก
“ก็ตามใจ อยากหย่าก็จะหย่าให้”
พูดแค่นั้น ปราณต์ก็ลุกพรวดพราดจากโต๊ะอาหารแล้วก้าวดุ่มๆ ออกไปยังโรงรถ นัสรินได้แต่เพียงยืนมองตามหลังร่างสูงนั้นไปด้วยสายตาเศร้าสร้อยและเจ็บปวด เธอไม่เคยทำอะไรถูกใจเขาเลย แม้แต่ตอนพูดเรื่องหย่า ที่เธอคาดว่าเขาน่าจะดีใจจนยิ้มแก้มปริ ทว่าเขาก็ยังคงทำมึนตึง ทำเสียงขุ่นเคืองเย็นชาใส่ และเดินหนีคล้ายไม่อยากมองหน้าเธออีกแม้แต่เสี้ยววินาที เหมือนกับเธอทำสิ่งที่ผิดร้ายแรงเหลือเกิน
หลังจากวันนั้นสถานการณ์ระหว่างเธอกับปราณต์ยิ่งดูเหมือนว่าจะย่ำแย่ลงไปกว่าเดิมอีก จากที่เคยพูดคุยกันบ้าง เขาก็แทบจะไม่คุย จากที่เคยกินอาหารที่เธอทำบ้าง เขาก็ไม่แตะ ยังดีที่ยอมใส่เสื้อผ้าที่เธอซักรีดไว้ให้ แม้มันจะไม่เนี้ยบนักก็ตาม เพราะเพิ่งจะทำเป็นจริงเป็นจังหลังจากแต่งงานกับเขา
ในที่สุดวันเวลาแห่งความอึดอัดและทุกข์ทรมานใจจากการได้อยู่ใกล้คนที่รัก แต่กลับไม่ได้รับแม้แต่ความใจดีหรือไมตรีตอบกลับมาสักนิด ก็เดินทางมาถึงใกล้วันสุดท้าย วันพรุ่งนี้คือวันครบรอบสามเดือนของการแต่งงาน และคือวันสุดท้ายของเขาและเธอด้วย นัสรินจำได้ว่าตัวเองน้ำตาซึมแทบจะทั้งวัน ดวงตาบวมแดงฝ้าฟางไปหมด เพราะในที่สุดชีวิตการแต่งงานก็พังครืนอย่างไม่เป็นท่า เธอนั่งเก็บของทุกชิ้นของตัวเองใส่กระเป๋าด้วยความเศร้าสร้อย แต่ก็จำต้องตัดใจ เพราะหลังจากหย่าแล้วก็คงไม่ได้อยู่ที่นี่อีก เธอตั้งใจว่าจะกลับกรุงเทพฯ เลย และจองตั๋วเครื่องบินเอาไว้เรียบร้อยแล้ว
วันนั้นเธอไม่ได้หลบหน้าปราณต์ด้วยการหนีขึ้นห้องตัวเองก่อนเหมือนเช่นทุกวัน แต่นั่งรอเขาอยู่ที่โซฟาตัวยาวในห้องโถงชั้นล่าง ซึ่งถ้าปราณต์เดินเข้ามาในบ้านเขาก็ต้องเห็นเธอ ที่รอก็เพราะจะเตือนเขาว่า พรุ่งนี้เป็นวันครบรอบแต่งงานสามเดือนและถึงกำหนดวันหย่าที่เธอเคยบอกเขาไว้ เธอไม่คิดว่าปราณต์จะจำได้ เพราะเขาไม่ได้ให้ความสำคัญกับวันแต่งงานแม้แต่น้อย ดังนั้นนี่จึงเป็นครั้งสุดท้ายที่เธอจะได้ทำหน้าที่ภรรยา ภรรยาซึ่งต้องอยู่รอเตือนสามีว่า พรุ่งนี้คือวันที่เขากับเธอต้องไปหย่ากันตามที่เขาต้องการแล้ว
เวลาแห่งการรอคอยมันเนิ่นนานเสมอ จากช่วงหัวค่ำเริ่มล่วงเลยสู่ยามดึก จนตอนนี้สี่ทุ่มแล้ว หากทว่านัสรินยังไม่ได้ยินเสียงรถของปราณต์แล่นมาเช่นทุกวัน ปกติเขากลับบ้านไม่เคยเกินสามทุ่ม แล้วนี่คืนนี้เขาหายไปไหน หรือว่าคนไข้ที่คลินิกเยอะ หรือถูกโรงพยาบาลเรียกตัวฉุกเฉิน
จากที่นั่งรอ ตอนนี้ร่างบางลุกขึ้นและเดินไปชะเง้อมองที่หน้าบ้าน ลมข้างนอกพัดค่อนข้างแรง ฟ้ามืดครึ้มและมีแสงสีเหลืองแลบแปล๊บๆ อยู่ถี่ๆ คล้ายกับว่าอีกไม่นานจะมีฝนเทกระหน่ำลง เมื่อบรรยากาศภายนอกเป็นเช่นนั้น เธอจึงพาตัวเองกลับเข้าไปรอข้างในบ้านเหมือนเดิม ไม่นานฝนก็ตกลงมาเสียงดังพรำๆ พร้อมกับความเย็นฉ่ำชวนให้นึกถึงเตียงนอนนุ่มๆ อุ่นๆ แต่เธอก็ยังฝืนนั่งรอปราณต์ต่อไป จนที่สุดตาก็ปรือปรอยและเผลอหลับไปอย่างไม่รู้ตัว
เสียงรถแล่นเข้ามาจอดหน้าบ้านที่ดังขึ้นพร้อมกับเสียงฟ้าร้องดังครืนๆ ทำให้เธอสะดุ้งตื่นอีกครั้ง และอีกไม่กี่นาทีหลังจากนั้น คนที่เธอรอก็เดินเข้ามา
สภาพของปราณต์ทำให้นัสรินแปลกใจไม่น้อย ผมเผ้าของเขายุ่งเหยิง ดวงตาแดงก่ำ เสื้อเชิ้ตถูกดึงออกมานอกกางเกง แขนเสื้อพับขึ้นจนถึงข้อศอก เมื่อร่างสูงเดินใกล้เข้ามา กลิ่นแอลกอฮอล์ก็โชยคลุ้งมาเตะจมูก ทำให้เธอรู้ว่าเขาไปดื่มมา คงฉลองให้ความโสดที่จะได้รับในวันพรุ่งนี้กระมัง
“ยังไม่นอนอีกเหรอ” เขาถามอย่างห่างเหินเย็นชาเช่นเดิม ทว่าน้ำเสียงอ้อแอ้ผิดปกติ สายตาที่มองมานั้นก็มีนัยแปลกๆ ทำให้นัสรินรู้สึกหวาดหวั่นอย่างบอกไม่ถูก
“นี่คุณปราณต์ดื่มมาเหรอคะ”
“ใช่...ผมดื่มมา ว่าแต่คุณทำไมยังอยู่นี่ ปกติหนีขึ้นห้องแล้วไม่ใช่เหรอ”
“นัสก็แค่จะอยู่รอเตือนคุณปราณต์เรื่องหย่าพรุ่งนี้น่ะค่ะ กลัวว่าคุณปราณต์จะลืม แต่เห็นแบบนี้คุณปราณต์คงไม่ลืม น่าจะไปฉลองเตรียมโสดมาด้วยซ้ำ คุณปราณต์คงจะดีใจมากที่กำลังจะได้เป็นอิสระจากนัส” ไม่รู้ว่าเพราะอะไร นัสรินก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน ทำไมถึงได้พูดจาประชดประชันเขาเช่นนั้น ทั้งๆ ที่ปกติเธอไม่แม้แต่จะกล้าต่อปากต่อคำกับปราณต์ด้วยซ้ำ
“ก็คงไม่ต่างอะไรกันละมั้ง ไม่อย่างนั้นคุณคงไม่นั่งถ่างตารอบอกผมอยู่แบบนี้หรอก”
“นัสก็แค่กลัวคุณปราณต์จะลืม”
“กลัวผมลืม หรือกลัวจะไม่ได้หย่ากับผมกันแน่” ถามเสร็จก็ตามมาด้วยเสียงหัวเราะเบาๆ ในลำคอคล้ายกับเยาะหยันอยู่ในที ทำให้นัสรินรู้สึกได้ดีถึงความรู้สึกที่แฝงมากับน้ำเสียงนั้น
“คุณปราณต์คิดว่านัสอยากหย่านักเหรอคะ มันน่าดีใจนักหรือไงกับสถานะแม่หม้ายทั้งที่อายุแค่นี้” นัสรินตัดพ้อต่อวาจาที่ช่างร้ายกาจและเยาะเย้ยถากถางของเขา
“ไม่รู้สิ ผู้หญิงอย่างคุณมันเดายาก เป็นประเภทหน้าใสใจคด เห็นท่าทางติ๋มๆ ไม่มีพิษมีภัย แต่ซ่อนความเห็นแก่ตัวเอาไว้ตั้งมากโข ใครจะรู้ว่าที่ทำหน้าเศร้าอยู่นี่ก็แค่แสดงละคร ความจริงแล้วก็อยากหย่าจนตัวสั่น”
บทที่ 89เสียงกริ่งหน้าบ้านที่ดังขึ้นอย่างถี่รัว ทำให้ร่างสูงใหญ่ที่กำลังนอนกอดตระกองภรรยาสาวอยู่ในอ้อมแขนอย่างมีความสุขต้องยันกายลุกขึ้น พลางมุ่นคิ้วเข้าหากันอย่างสงสัย “เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ ใครมากดกริ่งแบบนี้” นัสรินถามสามีอย่างพลอยตกใจไปด้วย เพราะตั้งแต่อยู่บ้านหลังนี้มาไม่เคยมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นมาก่อน “เดี๋ยวผมไปดูก่อน นัสรออยู่นี่นะ” ปราณต์เดินออกไปชะเง้อดูที่ระเบียง แสงที่สาดสะท้อนมาจากไฟหน้าบ้าน ทำให้เขาเห็นได้ชัดว่าคนกดเป็นใคร หนำซ้ำคนกดยังส่งเสียงร้องเรียกเขาราวกับกำลังมีเรื่องร้อนใจสุดๆ อีกต่างหาก“พี่ปราณต์! พี่ปราณต์!”ร่างสูงกลับเข้าห้อง แล้วบอกภรรยาที่นั่งรออยู่บนเตียง เพื่อให้เธอคลายความกังวลว่าคนที่กำลังกดกริ่งหน้าบ้านและส่งเสียงเรียกเขาอยู่นั้นเป็นใคร“ตะวันน่ะ”บอกเสร็จปราณต์ก็ออกจากห้อง โดยมีนัสรินก้าวตามลงไป ทั้งสองเดินออกไปยังหน้าบ้านด้วยกัน และปราณต์ก็กดกุญแจรีโมตเปิดประตูรั้วให้รังสิมันต์“มีอะไรตะวัน”“พี่ปราณต์ต้องช่วยผมนะ เด็กคนนั้นโดนแก้วบาดมือ เลือดไหลเยอะมาก ตอนนี้เด็กนั่นอยู่ในรถผม” รังสิมันต์ไม่ได้เอ่ยชื่อของจันทริกาออ
บทที่ 88แสงไฟสีเหลืองอมส้มที่ส่องสว่างทั่วอาณาบริเวณของบ้านเดี่ยวสองชั้นหลังใหญ่ ยิ่งทำให้บ้านซึ่งถูกออกแบบและปลูกสร้างอย่างมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ดูโดดเด่นสวยสะดุดตามากยิ่งขึ้นในยามค่ำคืนเช่นนี้ หากแต่ภายใต้ความสว่างไสวและสวยงามที่ห้อมล้อมบ้านหลังใหญ่ในยามนี้ คนเป็นเจ้าของกลับกำลังอยู่ในห้วงของอารมณ์ซึ่งสวนทางกับบรรยากาศอันแสนสวยงามของบ้านโดยสิ้นเชิง เพราะถูกครอบงำด้วยความโมโหต่อ ‘เด็กในปกครอง’ ที่หายตัวไปตั้งแต่ตอนบ่าย และป่านนี้แล้วก็ยังไม่กลับมาร่างสูงลุกขึ้นเดินไปมาสลับกับมาทรุดตัวลงนั่งบนโซฟา ซึ่งความหนานุ่มสมราคาของมันกลับไม่ได้ทำให้ความเดือดพล่านในอารมณ์ของรังสิมันต์ลดลงเลยแม้แต่นิด มือใหญ่สมสัดส่วนกับรูปร่างเอื้อมไปหยิบขวดวิสกี้ราคาแพงระยับมาเทลงบนแก้ว ก่อนจะกระดกน้ำสีอำพันนั้นลงไปในลำคอพรวดเดียวหมด จากนั้นก็กระแทกแก้วลงกับโต๊ะเพื่อระบายอารมณ์ โดยมี ‘เมสซี่’ แมวพันธุ์แร็กดอลล์ตัวโปรดนั่งอยู่บนโซฟาข้างๆ บ่อยครั้งที่ตาสีฟ้าของมันเหลือบมองเจ้านายตัวเอง และลุกขึ้นมาคลอเคลีย ตามประสาแมวขี้เล่น แต่พอรู้ว่าเจ้านายกำลังอารมณ์ไม่ดี มันก็กลับไปนั่งที่ของมันแล้วหมอบลงเงียบๆ อย่างไม่กล้าก
บทที่ 87“นั่งด้วยกันมั้ย” ปราณต์เอ่ยชวน“ไม่ดีกว่าครับ ไม่อยากเป็นก้างขวางคอคนที่กำลังอยู่ข้าวใหม่ปลามัน” รังสิมันต์ปฏิเสธก่อนจะหันไปทางกวินภพเพื่อหาพวก “จริงมั้ยวะอิสร์”“แกมันก็ชอบหาเรื่องกวนตีนชาวบ้านไปทั่ว” กวินภพไม่ได้เออออแต่พูดขัดคอขึ้นมาซะงั้น“เฮ้ย...แกเป็นนักธุรกิจพันล้านนะเว้ยอิสร์ พูดคำหยาบกวนตงกวนตีนแบบนี้ได้ไง เสียภาพพจน์นักธุรกิจหนุ่มหล่อมาดเนี๊ยบหมด”“แกมันบ้าว่ะตะวัน” หนุ่มกรุงเทพฯ ส่ายหน้ายิ้มๆ กับความเจ้าคารมและช่างกวนอารมณ์ชาวบ้านของรังสิมันต์“พี่ก็ว่างั้นละอิสร์”“เฮ้อ...ตอนแรกว่าจะไม่อยู่เป็นก้างขวางคอ เปลี่ยนใจดีกว่านั่งกับพี่ปราณต์เลยแล้วกัน” รังสิมันต์แกล้งกวนอารมณ์พี่ชายต่อ ด้วยการจะขยับเข้าไปนั่งลงบนเก้าอี้ตัวที่ว่างอยู่ แต่ยังไม่ทันได้นั่งนัสรินซึ่งไปเข้าห้องน้ำก็กลับมาเสียก่อน ทำให้ทั้งสองหนุ่มต้องหันไปทักทายกับหญิงสาวตามมารยาท“สวัสดีครับพี่สะใภ้” รังสิมันต์ทักทายขึ้นก่อนอย่างขี้เล่น ทำให้คนถูกทักเหวอแกมอายนิดๆ เพราะไม่ค่อยคุ้นกับคำเรียกแบบนั้นสักเท่าไหร่“สวัสดีค่ะ” เสียงหวานเอ่ยทักทายพร้อมกับยกมือขึ้นไหว้ เพราะประเมินว่าทั้งสองน่าจะอายุมากกว่าตน“ตะวั
บทที่ 86“แน่นอนสิที่รัก ถ้าไม่รู้ใจคุณแล้วผมจะเป็นผัวคุณได้ยังไง ว่าไงจะบอกหรือเปล่าว่าหมายถึงใคร”“นัสหมายถึงหมอเมย์ค่ะ” ในที่สุดนัสรินก็ยอมรับว่าเธอต้องการจะถามเขาว่าเคยพาเมธาวีมาที่นี่หรือไม่“ถ้าบอกว่าเคยล่ะ”“ก็ไม่แปลกใจค่ะ” ปากว่าไม่แปลกใจ หน้าก็ยังดูยิ้ม แต่แววตาและน้ำเสียงนั้นแปร่งไปจนฟังได้ชัด“คราวนี้จะยอมรับได้หรือยังหือว่าคุณหึงผมกับเมย์” คุณหมอผู้ลองใจเมียเริ่มต้อนให้เธอยอมรับความจริงกับเขาเสียที“ยอมรับก็ได้”“ทำไมถึงจำเพาะเจาะจงว่าเป็นเมย์”“ไม่รู้สิคะ อาจเป็นเพราะว่านัสเคยเห็นกับตาว่าคุณกับหมอเมย์สนิทสนมกันแค่ไหนมั้ง”“ผมไม่ได้คิดอะไรกับเมย์เกินกว่าน้องสาว สาบานได้เลย แต่ผมก็ดีใจนะที่รู้ว่าทำให้คุณหึง”“วันที่นัสไปตรวจที่คลินิกว่าท้องหรือเปล่า นัสเจอหมอเมย์ด้วยค่ะ เธอบอกว่าเธอเลิกกับคุณปราณต์แล้ว”“หือ...เลิกกัน?” ปราณต์เลิกคิ้วเข้มขึ้น “ฟังอะไรผิดหรือเปล่านัส”“เธอบอกแบบนั้นจริงๆ นะคะ แต่มาบอกทีหลังว่าเลิกหวังในตัวคุณแล้ว เพราะคุณรักคนอื่นอยู่” นัสรินเล่าให้ฟังตามความจริง พลางคิดถึงเหตุการณ์และสีหน้าของเมธาวีในวันนั้นอย่างจำได้แม่น“ขนาดเมย์ยังรู้ว่าผมรักใคร แล้วทำไม
บทที่ 85ปราณต์เป็นฝ่ายขยับมาถือกระเป๋าสะพายของภรรยาที่วางอยู่บนโต๊ะ พร้อมกับโอบเอวเล็กที่ตอนนี้ขยายขึ้นเล็กน้อย ทำให้นัสรินซึ่งยังงงอยู่เล็กน้อยเพราะไม่คิดว่าคนทั้งสองจะรู้จักกันต้องขยับตาม แต่ก็ไม่ลืมที่จะร่ำลาหมอพัทธระตามมารยาทอันดี “ขอบคุณคุณหมอมากนะคะ เดี๋ยววันหลังนัสจะเตรียมสัญญามาให้เซ็น วันนี้นัสขอตัวก่อน” “ครับคุณนัสริน แล้วพบกันครับ” หญิงสาวยกมือขึ้นไหว้ จากนั้นก็ก้าวตามสามีออกไปขึ้นรถ ปราณต์เดินเงียบๆ แต่ยิ้มในหน้า ซึ่งจากประสบการณ์ที่อยู่ด้วยกันมาพักหนึ่ง ทำให้นัสรินพอจะรู้ว่าเวลาที่ปราณต์เป็นแบบนี้นั่นคือเขากำลังอยู่ในภาวะอารมณ์ดีแบบสุดๆ “ยิ้มอะไรนักหนาคะ พอใจมากหรือไง” นัสรินถามคนที่ซ่อนยิ้มในหน้าอย่างอดไม่ได้ จากสายตาและวาจาที่ฟังดูนุ่มละมุนผิดปกติของหมอพัทธระเมื่อครู่นี้ เธอก็พอจะรู้ว่าเขาคิดยังไงกับสามีของตน “ก็พอใจสิ” “แล้วเป็นไงคะ หมอพัทธระหล่ออย่างที่นัสบอกหรือเปล่า” “หล่อ...แต่ที่ฟังดูน้ำเสียงของนัสเหมือนกำลังหึงผมอยู่นะ อย่าหึงเลยน่า ผมชอบผู้หญิง” คราวน
บทที่ 84วันนี้เป็นวันครบรอบสามเดือนที่บริษัทส่งตัวนัสรินมาทำงานที่เชียงใหม่พอดี ซึ่งตามกำหนดเดิมเธอจะต้องกลับไปทำงานที่กรุงเทพฯ และมีตัวแทนจากบริษัทคนใหม่มาทำงานแทนเธอ แต่จนป่านนี้ทางบริษัทก็ยังไม่ส่งใครมา แถมเธอยังต้องทำงานที่นี่ต่อ ซึ่งคราวนี้ดูเหมือนจะไม่ใช่ทำชั่วคราวแล้ว หากแต่ต้องประจำอยู่ที่นี่อย่างถาวรนัสรินยังจำวันที่ตัวเองโทร.ไปแจ้งข่าวกับกิตติ ว่าเธอประสงค์จะลาออกจากงาน ตอนนั้นหัวหน้าของเธอดูเป็นเดือดเป็นร้อนมาก เพราะยังหาคนที่ทำงานเก่งอย่างเธอมาแทนยังไม่ได้ แต่เมื่อรู้ว่านัสรินจะลาออกไปแต่งงาน และอยู่ที่เชียงใหม่กับสามี กิตติก็ขอร้องให้เธอทำงานให้ต่อ โดยเสนอจะเพิ่มเงินเดือนให้ สุดท้ายนัสรินก็จำต้องรับปาก โดยไม่ต้องเพิ่มเงินเดือนให้เธอ ความจริงเธอไม่ได้อยากลาออกเลยสักนิด แต่ที่ต้องบอกหัวหน้าไปเช่นนั้น ก็เพราะปราณต์ขอร้องแกมบังคับ และเมื่อเขาได้รู้ว่าเธอตัดสินใจจะทำงานต่อ หมอหน้าหล่อก็งอนไปหลายวันเหมือนกันนัสรินออกมาจากออฟฟิศก่อนเวลาเลิกเงิน เพราะมีนัดกับลูกค้าซึ่งเป็นหมอของโรงพยาบาลเอกชน เรียวปากอิ่มคลี่ยิ้มออกมาบางๆ ก่อนจะเอ่ยปากขอตัวกับหมอหนุ่มที่ตัวเองกำลังคุยงานด้วยอย