บรรยากาศยามเย็นในมหาวิทยาลัยเต็มไปด้วยความคึกคัก นักศึกษาบางคนกำลังเดินกลับบ้าน บางคนกำลังพูดคุยกับเพื่อน ๆ หลังเลิกเรียน แต่ในมุมหนึ่งของลานจอดรถ โลกันต์นั่งอยู่ในรถสุดหรูของเขา สายตาจับจ้องไปยังหน้าจอโทรศัพท์มือถือเครื่องหนึ่ง
มือถือเครื่องนี้ไม่ใช่เครื่องหลักของเขา แต่มันเป็นเครื่องที่เขาใช้ติดต่อกับปานตะวันโดยเฉพาะ เพราะเขาไม่ต้องการให้ใครรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเธอ
โลกันต์ :
💬 “ลงมาที่ลานจอดรถหลังคณะ”
ข้อความถูกส่งออกไปอย่างรวดเร็ว เขารู้ดีว่าเธอจะทำตามคำสั่งโดยไม่มีข้อโต้แย้ง
ไม่นานนัก ร่างเล็กของปานตะวันก็ปรากฏขึ้น เธอเดินมาพร้อมกับพี่รหัส ชื่อ สงคราม
"ให้พี่ไปส่งไหมปาน กลับบ้านคนเดียวอันตรายนะ"
"ไม่เป็นไรค่ะ ปานกลับเองได้ ขอบคุณนะคะพี่คราม"
"งั้นคืนนี้พี่โทรหานะ จะคุยเรื่องค่ายกิจกรรม"
"ค่ะ แล้วเจอกันนะคะ"
โลกันต์เห็นเธอเดินมากับผู้ชายหน้าตาดี ทันทีที่เธอเข้ามาในรถ เขาหาเรื่องทะเลาะทันที
“ทำไมช้านัก?” โลกันต์เอ่ยทันที น้ำเสียงของเขาเย็นชาและแฝงความไม่พอใจ
“ปานขอโทษค่ะ...มีงานกลุ่มที่ต้องส่งในวันมะรืน เลยประชุมกันหลังเลิกเรียนนิดหน่อย” เธอพูดเบา ๆ ไม่กล้าสบตาเขา
“หึ งานกลุ่ม?” เขาเลิกคิ้ว ก่อนจะหันมามองเธอด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความดูแคลน “งานกลุ่ม หรือเธอตั้งใจจะเอ้อระเหยเพื่อที่จะได้มีเวลาอยู่กับไอ้หน้าหล่อนั่น”
“คุณหมายถึงใครคะ”
“...เธอนี่มันทำหน้าซื่อตาใสได้เนียนจริง ๆ”
“คุณกันต์...”
"เธอกะจะอ่อยผู้ชายทั้งมหาวิทยาลัยเลยหรือไง ในคณะ นอกคณะ ไม่ว่างไม่เว้น"
"ถ้าคุณหมายถึงผู้ชายที่เดินมาพร้อมกับปาน พี่เขาชื่อสงคราม เป็นพี่รหัสของปานค่ะ"
"ฉันไม่ได้อยากรู้ แต่เธอในฐานะที่อาศัยอยู่ในบ้านกฤษณะโยธิน เธอควรจะวางตัวให้ดี ไม่ใช่ทำตัวมั่วไม่เลือกแบบนี้!"
"คุณกันต์!"
“ฉันอุตส่าห์สละเวลามารับเธอ แต่เธอมัวแต่อ่อยผู้ชาย มันใช้ได้ที่ไหน คุณย่ารู้คงจะหัวใจวาย ส่งเสียให้เธอได้เรียนหนังสือ แต่เด็กที่ท่านให้การอุปถัมภ์กลับตั้งใจมาจับผู้ชาย”
“ปานไม่ได้ทำแบบนั้นนะคะ” เธอรีบปฏิเสธ แม้ในใจจะรู้ว่าเขาไม่เชื่อ
“เมื่อกลางวันก็ทีหนึ่ง อ่อยจนเพื่อนฉันมันสนใจเธอ เธอมันร้ายกว่าที่ฉันคิดไว้อีก ปานตะวัน” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความดูถูก
ปานตะวันนิ่งไป เธอรู้ดีว่าเขาหมายถึงใคร แต่ยังคงพยายามอธิบาย “ปานไม่ได้ตั้งใจอ่อยใครนะคะ คุณกันต์เข้าใจผิดแล้ว”
โลกันต์หัวเราะในลำคอ เสียงหัวเราะของเขาเต็มไปด้วยความดูถูก “เข้าใจผิด? อย่าคิดว่าฉันโง่ เธอคิดว่าฉันไม่เห็นสายตาที่ไอ้โรมมันมองเธอหรือไง?”
เธอนิ่งเงียบ ไม่มีคำตอบใดที่สามารถพูดออกไปได้
“ฟังให้ดี” โลกันต์พูดต่อ น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความเฉียบคม
“ฉันไม่สนว่าไอ้โรมมันจะมองเธอยังไง ชอบหรือไม่ชอบ แต่ถ้ามันกล้าทักเธอ...เธอต้องเมินมัน ห้ามพูด ห้ามคุย ห้ามทำตัวเหมือนสนิทกัน ไม่อย่างนั้น เธอเจอดีแน่”
“คนที่คุณกันต์พูดถึง ปานไม่รู้จักเขาเลยนะคะ...ปานจะไปคิดอะไรกับเขาได้ยังไง” เธอพยายามอธิบาย
“ไม่คิด?” โลกันต์ตวัดสายตากลับมามองเธอ สายตาของเขาคมกริบเหมือนมีด “ไม่คิดก็ไม่ต้องพูด ไม่ต้องอธิบายอะไรทั้งนั้น ให้จำและทำในสิ่งที่ฉันพูดก็พอ”
น้ำเสียงของเขาเย็นยะเยือกราวกับน้ำแข็ง “คนใช้อย่างเธอ ไม่มีวันเหมาะสมกับคนอย่างฉัน หรือเพื่อนของฉัน อย่าทำอะไรให้มันเสียมาถึงฉัน เข้าใจไหม?”
คำพูดของเขาเหมือนตบหน้าปานตะวันซ้ำแล้วซ้ำเล่า เธอกัดริมฝีปากแน่น พยายามกลั้นน้ำตาที่เริ่มคลอเบ้า
“คุณกันต์...ปานไม่เคยคิดจะทำอะไรให้เสียชื่อเสียงคุณเลยนะคะ”
“หึ” เขาหัวเราะในลำคอ “ไม่เคยคิด? เธอกล้าพูดแบบนี้ได้ยังไง ทั้ง ๆ ที่เมื่อคืนเธอนอนให้ฉันเอา ครางชื่อฉันตลอดทั้งคืน แต่ตอนกลางวันกลับมานั่งทำตัวใสซื่อ เป็นเป้าสายตาของคนอื่น น่ารำคาญสิ้นดี”
ปานตะวันไม่พูดอะไร เธอก้มหน้าลงมองมือของตัวเองที่วางอยู่บนตักอย่างหมดหนทาง
“จำไว้นะ ปานตะวัน เธอไม่มีสิทธิ์ที่จะรู้จักกับเพื่อนของฉัน ไม่มีสิทธิ์ที่จะคบกับใครตราบใดที่เธอยังเป็นคนของบ้านกฤษณะโยธิน เข้าใจไหม?” โลกันต์พูดต่อด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด
เธอพยักหน้าเบา ๆ น้ำตาเริ่มไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว
“เข้าใจก็ดี จะได้ไม่ต้องมีปัญหาในอนาคต” เขาพูดก่อนจะสตาร์ทรถ และขับออกไปจากลานจอดรถ ทิ้งให้บรรยากาศในรถเต็มไปด้วยความเงียบงัน
ในใจของปานตะวันมีเพียงความเจ็บปวดที่ยากจะบรรยาย เธอรู้ดีว่าเขาไม่เคยเห็นค่าเธอ แต่คำพูดของเขากลับยิ่งทำให้เธอรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเพียงเศษเสี้ยวที่ไม่มีความหมายในชีวิตของเขาเลย...
@สามปีต่อมาหลังจากหยุดพักการเรียนเพื่อจัดการกับชีวิตและหัวใจของตัวเอง โลกันต์กลับมาเรียนต่อและคว้าปริญญาวิศวกรรมไฟฟ้าสำเร็จด้วยความมุ่งมั่น ไม่เพียงแค่นั้น เขายังเริ่มต้นธุรกิจด้านวิศวกรรมไฟฟ้า ที่ครอบคลุมการออกแบบและติดตั้งระบบพลังงานให้กับอาคารขนาดใหญ่และโรงงานอุตสาหกรรม“ไม่อยากเชื่อเลยว่าคนอย่างมึงจะมีวันนี้” กรุงโรมพูดขณะนั่งดื่มกาแฟด้วยกันที่บ้านพักริมทะเลของโลกันต์“เออ กูก็ไม่คิดเหมือนกัน แต่ถ้าไม่มีปานตะวันและลูก กูคงไม่ได้มายืนตรงนี้” โลกันต์ตอบพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน เขามองไปที่ปานตะวันซึ่งกำลังเล่นกับลูกชายวัยสองขวบและลูกสาววัยขวบเศษในสวนหน้าบ้าน“กูต้องขอบคุณพวกมึงด้วยนะ ทั้งกรุงโรม ทั้งยูโร ถ้าไม่มีพวกมึง กูคงไม่กล้ากลับมาแก้ไขชีวิตตัวเอง” โลกันต์พูดพลางตบไหล่เพื่อนรักทั้งสอง"ว่าแต่มึงเถอะช่วงนี้เป็นไง ราบรื่นดีไหม เห็นว่าตามจีบผู้หญิงอยู่นานแต่ก็ยังไม่ติดสักที ทำไมวะ" โลกันต์ถามกรุงโรมที่เป็นเพื่อนสนิท คนที่พร้อมลุยและยืนข้างโลกันต์เสมอมา ตอนนี้กลายเป็นเจ้าของธุรกิจด้านวิศวกรรมโยธาที่ประสบความสำเร็จ เขาดูแลโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ทั่วประเทศ แต่สิ่งที่น่าสนใจยิ่งกว่าคือความ
หลายเดือนหลังจากที่ชีวิตของโลกันต์และปานตะวันกลับเข้าสู่ความสงบ ปานตะวันได้เป็นแม่ที่สมบูรณ์แบบ และโลกันต์ก็กลายเป็นสามีที่แสนอบอุ่น แม้จะมีความขัดแย้งเล็กน้อยในบางครั้ง แต่พวกเขาก็เรียนรู้และเติบโตไปด้วยกัน ครั้งนี้พวกเขาตัดสินใจพาลูกทั้งสองคนกลับไปกราบคุณย่าที่บ้านกฤษณะโยธิน เพื่อขอโทษและขอบคุณสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างบ้านหลังใหญ่ที่เต็มไปด้วยความทรงจำ โลกันต์นำรถมาจอดที่หน้าบ้าน และปานตะวันอุ้มลูกสาวและลูกชายออกจากรถ เด็กน้อยทั้งสองยังคงดูน่ารักและไร้เดียงสา“เข้าไปกราบคุณย่ากันเถอะ” โลกันต์พูดเสียงเบา เขาจับมือปานตะวันไว้แน่น พร้อมกับยิ้มให้ลูกทั้งสองปานตะวันยิ้มตอบ ก่อนจะเดินเข้าไปในบ้านหลังใหญ่ที่เงียบสงบ รู้สึกเหมือนเวลากลับไปข้างหลัง กลิ่นหอมของต้นไม้และดอกไม้รอบบ้านทำให้เธอคิดถึงอดีตที่เคยหลบหนีไปในวันนั้นคุณย่าของโลกันต์ยืนรออยู่ที่ประตูบ้าน เธอสวมเสื้อผ้าไหมอย่างดี ดูสง่างาม แต่สายตาของเธอยังคงเต็มไปด้วยความอบอุ่น แม้เวลาจะผ่านไปนานนัยปี แต่ท่าทางที่ยืนอยู่ยังคงเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน“คุณย่า” โลกันต์เรียกเสียงเบา ก่อนจะก้มลงกราบที่เท้าของคุณย่าอย่างเคารพ“หลานกลับมาแล้ว” คุณ
บรรยากาศในบ้านอย่างเงียบสงบ แต่ภายในห้องนั่งเล่นกลับเต็มไปด้วยความวุ่นวาย โลกันต์กำลังวุ่นอยู่กับการจัดเก้าอี้ โซฟา และหมอนหลายใบตามคำสั่งของปานตะวัน ซึ่งนั่งอยู่บนโซฟาโดยมีท้องที่เริ่มโตจนใกล้คลอด“คุณกันต์ หมอนตรงนั้นวางไม่ถูกค่ะ ขยับไปอีกนิด!”“ตรงไหนครับ?” โลกันต์หันไปถามพร้อมกับเหงื่อตก“ซ้ายค่ะ! ไม่สิ...ขวาอีกนิด!” ปานตะวันบอกอย่างละเอียด จนโลกันต์ต้องถอนหายใจ“คุณก็พูดให้ชัดหน่อยสิครับ ผมหมุนไปหมุนมาเหมือนหมากลิ้งหลายรอบแล้วนะ”“อ๋อ ถ้าหมา ยังไม่เหมือนค่ะ เพราะหมาน่าจะคล่องกว่านี้!”คำพูดนั้นทำเอาโลกันต์กลอกตา แต่ก็ไม่ได้เถียงอะไรต่อ เขาจัดหมอนตามที่เธอบอกจนกระทั่งเธอพยักหน้าพอใจ“ดีค่ะ คราวนี้ช่วยหยิบผลไม้มาให้ปานด้วยนะคะ อยากได้แอปเปิลกับองุ่น”“ครับ คุณผู้หญิง นั่งรออสักครู่นะครับ” โลกันต์ตอบเสียงเหนื่อย แต่ในแววตากลับมีความอ่อนโยน เขายิ้มออกมาอย่างคนที่มีความสุข เอ็นดูเมียรักที่กำลังแกล้งเขาในขณะที่โลกันต์กำลังเดินเข้าครัว เสียงเห่าของเจ้าด่างกับเจ้าดำ สุนัขที่เลี้ยงไว้เฝ้าบ้าน ก็ดังขึ้น ปานตะวันหันไปมองทันที เจ้าดื้อสองตัวกำลังวิ่งเล่นไล่กัดกันรอบโซฟา“ด่าง,ดำ หยุดวิ่งเดี
@ บรรยากาศวันหยุดโลกันต์เดินลงมาจากห้องนอนด้วยอาการงัวเงียหลังจากนอนดึกเมื่อคืน เขายืดเส้นยืดสายเล็กน้อยก่อนจะมองไปที่ห้องครัว กลิ่นหอมของอาหารเช้าลอยมาตามลม ทำให้เขารู้ทันทีว่าปานตะวันกำลังทำอะไรสักอย่าง“วันนี้อารมณ์ดีจัง” โลกันต์พึมพำกับตัวเอง พร้อมกับเดินตรงไปหาเธอ ปานตะวันเมียสุดที่รักของเขาปานตะวันยืนหันหลังอยู่ เธอสวมผ้ากันเปื้อนลายดอกไม้ที่เขาเพิ่งซื้อให้เมื่อเดือนก่อน“เช้านี้มีอะไรให้ผมกินบ้างครับคุณแม่บ้าน?” โลกันต์ถามเสียงหยอกปานตะวันหันมายิ้มให้เล็กน้อย แต่ไม่ตอบคำถาม เธอเพียงแค่ชี้ไปที่โต๊ะอาหารซึ่งมีจานอาหารเช้าจัดเรียงไว้อย่างสวยงาม“วันนี้ของคุณพิเศษหน่อยนะคะ ปานตั้งใจทำให้คุณเองกับมือเลย” ปานตะวันพูดน้ำเสียงร่าเริงผิดปกติ โลกันต์เลิกคิ้วเล็กน้อย รู้สึกว่ามีอะไรแปลกๆ แต่ก็ไม่ได้คิดมาก“ขอบคุณครับที่รัก”เขานั่งลงแล้วหยิบส้อมขึ้นมาเตรียมกิน ทันทีที่เขาตักไข่คนเข้าปาก โลกันต์ต้องหยุดนิ่งไปชั่วขณะ ความเผ็ดร้อนพุ่งขึ้นมาจากลิ้นจนทำให้เขาตาเบิกกว้าง“แค่กๆ!” โลกันต์สำลักน้ำตาแทบไหล “นี่มันอะไรกัน! มันเผ็ดมากเลยนะปาน”ปานตะวันหัวเราะคิกคักก่อนจะยื่นแก้วน้ำให้เขา “ปานแค่ใ
@ยามเย็นที่หมู่บ้านชายฝั่งทะเลแสงอาทิตย์สีส้มอ่อนกำลังลาลับขอบฟ้า ลำแสงบางเบาสาดกระทบผืนทะเลที่กว้างไกลจนกลายเป็นสีทองระยิบระยับ เสียงคลื่นกระทบชายฝั่งดังเป็นจังหวะอ่อนโยน ท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบสงบของหมู่บ้านชายฝั่งเล็กๆ โลกันต์ กรุงโรม และยูโร เดินทางกลับมายังหมู่บ้านชายฝั่งทะเลพร้อมกับกรุงโรมและยูโร สองเพื่อนรักที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาตลอดทาง ตลอดการเดินทางเสียงล้อเล่นของสองคนนั้นช่วยทำให้บรรยากาศไม่เงียบเหงาๆระหว่างที่รถจอดตรงถนนลูกรังใกล้กับบ้านไม้เก่าของปานตะวัน โลกันต์นั่งนิ่งอยู่ที่เบาะคนขับ ดวงตาจ้องมองไปที่บ้านตรงหน้า สภาพบ้านที่ล้อมรอบด้วยต้นมะพร้าวและสวนเล็กๆ ดูเรียบง่ายและอบอุ่นในสายตาของเขา แต่ในใจกลับเต็มไปด้วยความตื่นเต้น หัวใจเต้นรัวราวกับจะหลุดออกมาจากร่าง“ในที่สุดมึงก็ได้กลับมาเจอเมียแล้วนะโลกันต์” กรุงโรมพูดพลางหัวเราะเบาๆ“จำได้ไหมว่าเมื่อก่อนมึงปากเก่งขนาดไหน? เก่งจนเขาหนีไป เก่งจนทำให้มึงนั่งหอนเป็นหมาไม่ทีบ้าน”ยูโรเสริมทันที “เออ ตอนนั้นนะ หัวสูงเป็นหมาไม่ติดดิน แถมยังทำตัวเป็นเจ้านายเขาตลอด หาเรื่องเขาสารพัด...แล้วดูตอนนี้ดิ หมาวัดยังดูดีกว่ามึงอีก”โลกันต
@หลายสัปดาห์ต่อมาโลกันต์ไม่เคยคิดว่าการให้ “เวลา” กับปานตะวันจะกลายเป็นบทเรียนสำคัญในชีวิตของเขา เขาเรียนรู้ที่จะปล่อยวางและใช้ช่วงเวลานั้นเพื่อปรับปรุงตัวเอง แม้จะไม่ได้พบปานตะวันบ่อยนักในช่วงเดือนที่ผ่านมา แต่เขาก็ไม่เคยหยุดพยายามที่จะส่งผ่านความตั้งใจดีไปให้เธอปานตะวันใช้เวลานั้นทบทวนสิ่งต่างๆ อย่างหนัก เธอพยายามแยกแยะความรู้สึกของตัวเองว่าเป็นความรัก ความโกรธ หรือแค่ความกลัวที่จะเริ่มต้นใหม่อีกครั้งคืนหนึ่ง ปานตะวันนั่งอยู่ริมชายหาดลำพัง เธอทอดสายตามองดวงดาวที่สะท้อนบนผืนน้ำ ในใจมีคำถามมากมายที่ยังไม่ได้คำตอบ เสียงฝีเท้าดังแผ่วเบา เธอไม่ต้องหันไปดูก็รู้ว่าเป็นใคร“เธออยากอยู่คนเดียวหรือเปล่า?” โลกันต์ถามอย่างสุภาพ เขายืนนิ่งไม่กล้าเข้าไปใกล้“นั่งสิ” เธอตอบเรียบๆ โดยไม่หันมามองโลกันต์นั่งลงข้างๆ เธอ แต่เว้นระยะห่างเล็กน้อยเพื่อไม่ให้เธออึดอัด“วันนี้ทะเลดูสงบดีนะ” โลกันต์พูดเพื่อทำลายความเงียบ“ใช่...” ปานตะวันตอบสั้นๆทั้งคู่เงียบไปอีกพักใหญ่ โลกันต์หันไปมองใบหน้าของปานตะวันที่ดูนิ่งสงบ เขาอยากถามหลายอย่าง แต่ก็เลือกที่จะรอให้เธอเป็นฝ่ายเริ่มก่อน“ฉันไม่รู้ว่าฉันควรทำยังไง”