ทั้งคืน...ทั้งคืนที่อิงวรานั่งหลังพิงเตียงแล้วทอดมองออกไปยังด้านนอกห้องบนคอนโดฯ หรูโดยไม่สามารถข่มตาหลับลงได้ เธอเอาแต่ร้องไห้อยู่อย่างนั้นซ้ำ ๆ จนขอบตาบวมช้ำ
นับจากสายสุดท้ายที่เธอตัดทิ้งไปเขาก็ไม่ได้โทรมาหาอีกเลย ไม่มีคำขอโทษใด ๆ ให้ได้ยินหรือแม้แต่พิมพ์มาให้รู้สึกดีขึ้นเลย
เธอลุกขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัวเพื่อกลับไปทำงานอีกครั้งถึงแม้ว่าร่างกายจะอ่อนเพลียและหัวใจจะบอบช้ำก็ตาม เธอต้องแยกเรื่องส่วนตัวและเรื่องงานออกจากกัน
เกือบสายอิงวราพาตัวเองมาถึงที่ทำงานด้วยสภาพอิดโรย เธอไม่ได้สนใจสายตาของพนักงานด้วยกันว่าจะมองเธออย่างไร และวางตัวไม่เหมาะสมกับการเป็นเมียของประธานบริษัทเพราะต่อไปก็คงไม่ใช่แล้ว
“คุณอิงคะ ทำไมสภาพเหมือนคนไม่ได้นอนแบบนี้ล่ะคะ”
“ก็ไม่ได้นอนจริง ๆ มาดักรออยู่หน้าห้องมีอะไรหรือเปล่า”
“นุดีไม่มีหรอกค่ะ แต่คนที่มีน่าจะนั่งรออยู่ในห้องแถมตอนนี้ยังทำหน้ายักษ์จนทุกคนไม่กล้าสบตาเลยค่ะ” นุดีรีบมารายงานเมื่อเห็นว่าอิงวราเดินออกจากลิฟต์มา
ไม่บอกก็รู้ว่าใครมารอเจอเธอ เพราะก่อนออกมาเธอเห็นเขากดโทรหาตั้งหลายสายแต่เธอก็ยังคงจะเลือกไม่รับสายเหมือนเดิม
ประตูเปิดออกพร้อมกับร่างอ้วนท้วนเดินเข้ามาด้วยสีหน้าเรียบตึง จากการกดตัดสายทิ้งเมื่อเช้า เขาไม่รอช้าให้เธอเดินเข้ามายังโต๊ะทำงานขายาวรีบก้าวเขาไปขวางทางเอาไว้
“หลบค่ะ อิงมีงานที่จะต้องทำให้เสร็จ”
“ผมขอสิบนาที เรามีเรื่องต้องคุยกัน”
“ถ้าเป็นเรื่องหย่าไม่ต้องเสียเวลาคุย คุณนัดวันและสถานที่มาได้เลยฉันพร้อมไปเซ็นให้อยู่แล้ว”
คำว่า ‘หย่า’ ทำเอาทั้งห้องทำงานหูผึ่งขึ้นมาทันทีต่างหันมองหน้ากันเลิ่กลั่กและคิดว่าความน่าจะเป็นไปได้คงค่อนข้างสูงเพราะก่อนหน้านี้เห็นทั้งคู่มึนตึงใส่กันเป็นสัปดาห์
“มันเป็นเรื่องส่วนตัวเราไม่สมควรมาคุยกันในนี้”
“เราไม่สมควรมาคุยกันตั้งแต่รู้ว่ามันเป็นที่ทำงานแล้วค่ะ” ใบหน้าอิ่มเชิดขึ้นมองด้วยแววตาเย็นชา
“แล้วคุณอยู่บ้านให้ผมได้อธิบายอะไรไหม ใจเย็นกว่านี้หน่อยได้ไหมอิง” เสียงนั้นอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด
“ใจเย็นเหรอ? ฉันใจเย็นมากเลยรู้ไม่คะ ที่ไม่ประกาศหรือส่งรูปพวกนั้นให้คนอื่นดูแถมสามียังมาขอหย่าอีก ถ้าเย็นกว่านี้ฉันคงกลายเป็นน้ำแข็งแล้ว รอบกวนคุณก้าวกล้าออกไปด้วยค่ะ ฉันจะทำงาน”
ก้าวกล้าได้แต่ถอนหายใจออกมายาว ๆ และล่าถอยจากห้องนั้นด้วยความเจ็บปวดไม่ต่างกัน ยอมรับว่ามีบ้างที่รู้สึกเบื่อหน่ายคนรักเพราะรูปร่างที่เปลี่ยนไปแต่ว่าความรักที่ให้เธอไม่เคยน้อยลงไปจากวันแรกที่รักเลยสักนิด
อิงวราเองเงยหน้าขึ้นเพื่อกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลต่อหน้าพนักงานคนอื่นลำพังแค่ทะเลาะกันให้เห็นมันก็น่าอายมากพออยู่แล้ว
“ท่านประธานได้คุยกับคุณอิงหรือยังคะ” เมวดีเอ่ยถามขณะวางแฟ้มเอกสารลงบนโต๊ะ
เขาใช้เพียงสายตาเหลือบขึ้นมองเล็กน้อย คว้าเอาแฟ้มมาเปิดเซ็นเอกสารเหล่านั้นพลางส่ายหน้าไปมา
“เขาไม่ยอมคุยกับผม ไม่ฟังอะไรทั้งนั้นเลย” พูดจบก็ถอนหายใจออกมาเล็กน้อย
“เมย์ขอเป็นคนไปคุยกับคุณอิงได้ไหมคะ ฉันจะไปอธิบายให้เธอฟังเองว่ามันเป็นเรื่องเข้าใจผิด” เธอขออาสาอีกครั้ง
“ไม่จำเป็นหรอก เพราะอิงไม่ยอมฟังอะไรจากผมเลย คงต้องรอให้เธอเย็นลงกว่านี้ก่อน ผมจะอธิบายและง้อเธอเอง ว่าแต่คุณเถอะเรื่องแฟนเก่าคุณเป็นยังไงบ้าง” เขาเปลี่ยนไปคุยเรื่องของเมวดีแทน
“เลิกแล้วค่ะ ดิฉันเลิกเด็ดขาดเลย เหมือนที่ท่านประธานบอก เราจะไปให้ค่าคนที่ไม่เห็นค่าของเราทำไม” เธอยิ้มออกมาแววตาดูมีความสุขกว่าหลายวันก่อนมาก
“ก็ดีแล้ว คุณมีอะไรไปทำก็ไปเถอะ” เขาโบกมือไล่
“ค่ะ ท่านประธาน”
หญิงสาวรับคำแล้วเดินออกจากห้องไปปล่อยให้ก้าวกล้าจมอยู่กับความคิดตัวเอง นิ้วมือยกขึ้นคลึงจมูกตัวเองเพื่อไล่ความเครียดให้ออกไปจากสมองแล้วก้มหน้าลงมือทำงานต่อ
หนึ่งสัปดาห์ผ่านไป...
“รู้สึกไหมว่าช่วงนี้บริษัทเรามันดูอึมครึมไม่มีความสุขยังไงไม่รู้” หนึ่งในพนักงานพูดขึ้นในช่วงเวลาพักเที่ยง
“บรรยากาศจะให้ดีได้ยังไง ก็ท่านประธานกับเมียไม่มองหน้ากันไม่คุยกันเลยตั้งแต่วันนั้น นี่ก็ผ่านมาเป็นอาทิตย์แล้ว” สาวสูงวัยเอ่ยขึ้น
“ประชุมล่าสุดนะ บึ้งตึงใส่กันฉิบหายทั้งห้องประชุมขนลุกเป็นเกรียวกลัวว่าระเบิดจะลงกลางห้อง ปกติก็เครียดเรื่องยอดขายกับภาพลักษณ์บริษัทอยู่แล้วนะ แต่วันนั้นยิ่งกว่าเครียดอีกแทบลืมหายใจ”
หนึ่งในกลุ่มเอ่ยขึ้นโดยไม่รู้เลยว่าบุคคลที่อยู่ในบทสนทนายืนฟังอยู่ด้านหลัง
“ถ้ามันเครียดขนาดนั้นผมแนะนำว่าให้ลาออกแล้วไปนอนอยู่บ้านน่าจะดีกว่า”
ทุกคนหันขวับไปมองพร้อมกัน เห็นว่าเป็นใครกลุ่มใหญ่เมื่อครู่แตกกระเจิงทันที แม้จะยังกินข้าวกันไม่อิ่มก็ตาม
ทำไมเขาจะไม่อยากคุยกับเมียล่ะ แต่เธอเอาแต่หลบหน้าแถมไม่กลับมานอนบ้านมาเป็นสัปดาห์แล้ว ไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าเธอไปอยู่ที่ไหน
ชายหนุ่มถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่แล้วยกบัตรเชิญเลี้ยงรุ่นศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยขึ้นมาดูบัตรถูกส่งมาให้ตั้งแต่เดือนที่แล้วและทุกทีเขากับเธอจะไปออกงานด้วยกันเสมอ แม้ว่าจะถูกแซวว่ารูปร่างของอิงวราเปลี่ยนไปแต่เขาก็พยายามปลอบใจเธอ ทว่าคำพูดเหล่านั้นมันกลับไม่มีผลต่อจิตใจเธอเลยสักนิดเป็นเขาที่คิดมากไปเอง
วันงานเลี้ยงรุ่นมาถึงก้าวกล้ามาถึงงานก่อนแล้วและชะเง้อคอมองหาคนเป็นเมียแต่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าเธอจะมาเลยจนกระทั่งเพื่อนสมัยเรียนเดินมาทักทาย
“ว่าไงครับคุณก้าวกล้า มาร่วมงานนี้ด้วยเหรอครับนึกว่าจะไม่มา
ซะแล้ว” ชายหนุ่มหน้าตาดีเดินเข้ามาทักทาย“แล้วทำไมถึงคิดว่ากูไม่มาครับ”
“เอ้า มัวแต่ทำงานคุณเพื่อนท่านประธานไม่รู้เหรอครับว่าเขาลือกันไปทั่วว่าคุณมึงเลิกกันกับอิงวราแล้ว”
พูดพลางยกแล้วเครื่องดื่มขึ้นจิบแล้วเลิกคิ้วขึ้นเมื่อเห็นว่าก้าวกล้าไม่เอ่ยปฏิเสธเลยสักนิดจึงหันกลับไปถามซ้ำอีกรอบเพื่อความแน่ใจว่าข่าวลือเรื่องนั้นไม่เป็นความจริง
“มึงไม่ได้เลิกกับอิงจริงๆ ใช่ไหม”
ก้าวกล้าหันกลับไปมองส่ายหน้าเล็กน้อย “ไม่รู้สิ ทะเลาะกันอยู่แล้วก็กูปากพล่อยขอหย่ากับเขา”
กำลังจะยกเครื่องดื่มขึ้นจิบอีกรอบถึงกับสำลักเมื่อได้ยินอีกทั้งส่ายหน้ารัวพลางพึมพำออกมาแต่ว่าคนตัวสูงกลับได้ยินชัดเจน
“มิน่าล่ะ”
“มิน่าอะไร”
เขาหันไปจ้องหน้าคิ้วขมวดจนเพื่อนร่วมรุ่นอึกอักอยู่ครู่หนึ่งแล้วชี้ไปอีกทางซึ่งเป็นสนามหญ้าด้านนอกห้องโถง
“ก็ไอ้ภูกำลังยืนจีบเมียมึงอยู่ข้างนอกโน่น”
ได้ยินอย่างนั้นก้าวกล้าถึงกับกำมือแน่นเลือดขึ้นหน้าวางแล้วลงโต๊ะเสียงดังแล้วเดินตรงดิ่งออกไปด้านนอกโดยมีเพื่อนคนนั้นเดินตามหลังออกมาเพราะเกรงว่าจะมีเรื่องชกต่อยกัน
สองคนนี้ยิ่งไม่ถูกกันเสียด้วย
เพราะภูคือแฟนเก่าของอิงวราสมัยมัธยมปลายและเลิกลากันไปก่อนเข้ามาเรียนปีหนึ่งที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้ หลายครั้งที่ทั้งคู่มีเรื่องกันเพราะไอ้ภูชอบมาทำตัวเป็นหมาห่วงก้างจนทำให้ก้าวกล้าหึงหวงอยู่บ่อยๆ
“นั่นไง ว่าแล้ว”
คิดเอาไม่มีผิดเพราะภาพที่เห็นคือทั้งคู่คุยกันกระหนุงหนิงยิ่งเป็นภาพที่ไอ้ภูก้มลงกระซิบอะไรสักอย่างกับอิงวรา ชายหนุ่มถึงกับเลือดขึ้นหน้าตรงปรี่เข้าไปผลักมันออก
“มึงยุ่งอะไรกับเมียกู”
“ก้าว หยุด! คุณเป็นบ้าอะไร” อิงวราผลักก้าวกล้าให้ถอยออกแล้วเดินไปพยุงภูให้ลุกขึ้น
“ปกป้องมันเหรออิง ผมเป็นผัวคุณนะ”
“อิงไม่ได้ปกป้องเขา อิงปกป้องคุณ ไม่เห็นเหรอว่าคนมองคุณกันทั้งงานแล้ว และอีกอย่างสถานะเราสองคนกำลังจะเตรียมหย่ากันอยู่แล้วคุณลืมไปหรือเปล่าว่าคุณเป็นคนขอหย่าฉันเอง” เธอตะโกนใส่หน้าเขาเสียงดังจนได้ยินกันทั่ว
“เพราะอย่างนี้ ใช่ไหมคุณถึงมาอี้ออกับมัน”
“แล้วทีคุณกับเลขาฯ ของคุณล่ะทำไมไม่คิดบ้าง”
“ผมบอกแล้วว่ามันเป็นเรื่องเข้าใจผิดกัน ผมไม่ได้มีอะไรกับเมวดี
คุณไม่เคยเปิดโอกาสให้ผมได้อธิบายอะไรเลย คุณไม่เคยเชื่อใจผมสักครั้ง เรื่องหย่าผมพูดเพราะไม่ทันคิด ความจริงแล้วผมไม่เคยคิดอยากหย่าเลย แต่พอได้เห็นแบบนี้แล้ว ทุกเรื่องที่ผ่านมาคงเป็นข้ออ้างอยากหย่ากับผมจริง ๆ เสียมากกว่าไม่อย่างนั้นคุณคงไม่ยอมหย่ากับผมง่ายขนาดนั้นหรอก”ชายหนุ่มตะโกนออกมาด้วยความเครียดและอัดอั้นเพียงครู่น้ำตาของลูกผู้ชายก็ไหลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่และไม่อายใคร
“ก้าว” จะเดินเข้าไปหาทว่าเขากลับถอยและหันหลังเดินจากไป
หัวใจของอิงวรากระตุกวูบเพราะเป็นครั้งแรกที่เห็นน้ำตาของเขา เธอตัดสินใจวิ่งตามหลังไปแต่ก็ไม่ทัน เขาขึ้นรถขับออกไปไกลแล้ว...
ปรวีย์อยู่ในชุดคนไข้สีฟ้านอนบนเตียงเข็นเพื่อเตรียมเข้ารับการผ่าตัด ก่อนหน้านี้หมอประจำตัวแจ้งแล้วว่าต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่าเจ็ดชั่วโมงในการผ่าตัดเตียงกำลังจะถูกเคลื่อเข้าห้องผ่าตัดทว่าปรวีย์ก็สั่งหยุดและเรียกปีวราให้เดินมาหา เขายื่นสมุดบันทึกเล่มเล็กแต่หนาให้กับเธอ“ถ้าผมตื่นขึ้นมาแล้วจำอะไรไม่ได้คุณช่วยเอามันให้ผมอ่านนะ”“ค่ะ คุณรีบออกมานะ ฉันกับลูกจะรอ”บีบมือกันแน่นเพื่อให้กำลังใจ เขาพยักหน้ารับแล้วคุณหมอก็เข็นรถเข้าห้องผ่าตัดไปหากสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริงขอให้ลูกกับครอบครัวได้กลับมาอยู่ด้วยกัน‘ผมชื่อปรวีย์ อายุ 35 มีสมบัติและธุรกิจxx เป็นหัวหน้าแก๊งxxหากได้อ่านบันทึกเล่มนี้แสดงว่าคุณรอดตายกลับมาและความทรงจำหายไป แต่ไม่ต้องห่วงก่อนเข้าผ่าตัดตัวคุณเองได้จดทุกอย่างเอาไว้หมดแล้ว แม้คุณจะจำคนรักไม่ได้แต่เมียกับลูกของคุณจำคุณได้นะ’‘คนรักของผมชื่อปีวรา เราสองคนมีลูกด้วยกันชื่อเทียนหอม’‘เมื่อก่อนเธอสวยมาก ตอนนี้เธอก็สวยแค่รูปร่างเท่านั้นที่เปลี่ยนไปแต่จิตใจและความน่ารักเหมือนเดิม’‘เธอชอบกินข้าวกะเพราทุกชนิด ชอบน้ำแตงโมปั่น ชอบกินหมูกระทะ’ ‘เวลาเธองอนต้องรีบง้อ อย่าปล่อยไว้นานเพราะเธอเ
‘ปัง ๆ ’เสียงกัมปนาทของกระบอกปืนหลายกระบอกดังสนั่นหวั่นไหว ลูกน้องของแต่ละฝั่งต่างล้มตายและบาดเจ็บกันหลายสิบคนเลือดสีแดงสดและกลิ่นคาวคละคลุ้งไปทั่วบริเวณเป้าหมายเดียวของปรวีย์คือการเด็ดหัวศัตรูและคนหักหลังแก๊งของตัวเอง ดวงตาดุจเหยี่ยวเห็นมันหลบอยู่หลังเสา เขาก้าวออกไปอย่างมาดมั่นไม่ได้เกรงกลัวและสุดท้ายก็จัดการกับศัตรูตรงหน้าทั้งหมดลงได้ แต่ตัวเองก็เกือบไม่รอดเหมือนกันปัง!เสียงปืนหนึ่งนัดดังขึ้น หูของเขาอื้อไปหมดความเจ็บแล่นไปทั่วศีรษะ รู้สึกได้ว่ามีของเหลวไหลลงมาตรงขมับหูได้ยินแว่ว ๆ ของทิวาและภาพเลือนรางก่อนทุกอย่างจะดับวูบลงเขาถูกยิง“ฮึก...”ปีวราขมวดคิ้วแล้วย่อตัวลงจ้องมองใบหน้าหล่อซึ่งมีแต่เม็ดเหงื่อผุดขึ้นตามไรผม ศีรษะส่ายไปมาเหมือนคนฝันร้าย คนเอาแต่ใจขอนอนค้างที่นี่ด้วยตอนแรกเธอไม่ยอมแต่เพราะเห็นแต่สายตาอ้อนวอนของลูก เธอจึงให้เขานอนตรงโซฟาภายในบริเวณร้านด้านล่างมืออวบเอื้อมไปแตะหน้าผากเขาเผื่อเขาจะสงบลงแต่แล้วไม่นานร่างสูงนั้นเหมือนกระตุก‘เฮือก’ดวงตาคมเบิกโพลงหายใจหอบถี่ ภาพเหตุการณ์ในวันนั้นยังคงตามมาหลอกหลอนในความฝันอยู่ตลอดเวลาเพราะการถูกยิงในครั้งนั้นเขาหลับไปสาม
...หลายวันแล้วคำนี้ผุดขึ้นมาในหัวอีกครั้งนับจากวันที่เขากลับไปและบอกว่าจะกลับมาหาเธอกับลูกอีกทว่าก็เงียบหายไป แม้จะบอกตัวเองว่าอย่าไปคาดหวังหรือคิดอะไรมากไปกว่านั้นแต่ความรู้สึกมันก็ห้ามไม่ได้อยู่ดีพ่นลมหายใจออกมาอีกครั้งแล้วจัดเตรียมอุปกรณ์เชียร์กีฬาเข้ากระเป๋า เพราะวันนี้มีงานกีฬาสีของเด็กนักเรียนซึ่งเขาเชิญพ่อกับแม่ไปร่วมงานด้วย แน่นอนว่าเทียนหอมต้องอิดออดไม่อยากไปเพราะว่าไม่มีพ่อไปร่วมงานเหมือนคนอื่นเขา“เทียนหอม เสร็จหรือยังลูก” ตะโกนเรียก ได้รับเพียงความเงียบกลับมาเดินไปส่องตรงทางขึ้นบันไดกำลังขยับปากจะเรียกอีกครั้งต้องหุบลงเมื่อเจ้าตัวเล็กเดินลงมาด้วยใบหน้าบูดบึ้งไม่สดใสเหมือนทุกวันเลย จะว่าไปมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกงานกีฬาสีโรงเรียนทีไรลูกสาวเธองอแงทุกที“แม่ปีจ๋า หนูไม่ไปโรงเรียนไม่ได้เหรอคะ”“ไม่ได้ค่ะ อย่าลืมว่าวันนี้หนูเป็นตัวแทนถือป้ายสีให้เพื่อน ๆ ถ้าลูกไม่ไปใครจะเป็นคนถือคะ”เจ้าตัวเล็กได้ยินเหตุผลแล้วถึงกับห่อไหล่ลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท เดินไหล่ตกไปหยิบกระเป๋าสะพายแล้วนำหน้าไปขึ้นรถซึ่งจอดอยู่หน้าร้านปีวราหันกลับไปปิดประตูร้านและเปลี่ยนป้ายหน้าร้านเป็นคำว่า ‘close’“วั
“เสียงเล่านิทานจบลงนานแล้วปีวราชะโงกหัวผ่านประตูห้องเข้าไปด้านใน เธอเห็นคนตัวสูงกำลังนั่งจ้องหน้าลูกสาวพลางเขี่ยจมูกเล็กเล่นด้วยความเอ็นดู ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเขาจะมายืนอยู่ต่อหน้าเธอและลูก“คุณวีย์คะ ออกมาคุยกันหน่อยได้ไหมคะ”เขาเดินตามเธอออกไปและปิดประตูลงให้เบาที่สุดเพราะเกรงว่าเจ้าตัวเล็กจะตื่นขึ้นมากลางคัน ทั้งคู่ลงมาอยู่ด้านล่างจุดเดิม สองแขนป้อมยกขึ้นกอดอกดวงตาคู่กลมจ้องมอง“ทำไมถึงมองผมแบบนั้นล่ะ” ปรวีย์เป็นฝ่ายเปิดปากถาม“คุณมาที่นี่ต้องการอะไรคะ เราสองคน ไม่สิ...คุณเป็นคนไล่ฉันออกไปจากชีวิตตั้งแต่หกปีที่แล้วและตอนนี้เข้ามาวุ่นวายในชีวิตฉันกับลูกทำไม”“ไม่ได้ต้องการอะไร...” หยุดพูดและมองสบตา “ผมแค่คิดถึงคุณ”ร่างอวบถึงกับนิ่งงันที่ได้ยินประโยคนี้ หากเป็นเมื่อก่อนตอนที่เธอคิดว่าเขาเป็นโลกทั้งใบของตัวเองก็คงดีใจจนเก็บอาการไม่อยู่แต่เวลานี้มันไม่ได้ดูตื่นเต้นเหมือนตอนนั้นแล้ว เรียกว่าหัวใจด้านชาได้หรือเปล่าปรวีย์เห็นเพียงรอยยิ้มมุมปากเหมือนยิ้มเยาะแล้วหุบลงจนมองแทบไม่ทัน มีความเย็นชาแผ่ออกมาให้เห็นอยู่เป็นระยะ ๆ ตอนนั้นที่เขาเย็นชากับเธอมันก็คงรู้สึกแบบเดียวกันสินะ“ฉันรู้นะคะว
หนึ่งชั่วโมงแล้วที่ปรวีย์ยังคงนั่งอยู่มุมร้านมุมเดิมโดยดวงตายังคง จับจ้องมายังเธอกับลูกจนรู้สึกอึดอัดไปหมดสายตาแบบนั้นเธอรู้ดีว่ามันมีอะไรแอบแฝงอยู่และเธอกลัวเหลือเกินว่ามันจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับยัยหนูกรุ๊งกริ๊งเสียงกระดิ่งร้านดังขึ้นอีกครั้งหญิงสาวนึกว่าเป็นลูกค้าเข้ามากำลังจะลุกขึ้นไปให้บริการแต่แล้วก็ต้องนั่งลงเหมือนเดิม เธอจำได้ว่าเขาเป็นบอดี้การ์ดคู่กายของคุณปรวีย์ตั้งนมนานแล้วสายตาคู่นั้นเหลือบมองคู่หนึ่งก่อนจะเดินไปกระซิบหูอะไรบางอย่าง ใบหน้าหล่อกระตุกยิ้มมุมปากเล็กน้อย และหันมายิ้มให้กับเธอขนลุก...น่ากลัวคำนั้นผุดขึ้นมาในหัวทันที รอยยิ้มแบบนั้นเธอจำได้ว่าเห็นไม่บ่อย แต่หากเขาได้ยิ้มแบบนั้นหมายความว่าสิ่งที่อยากรู้หรืออยากได้เป็นไปตามที่คาดหวังเอาไว้“คุณลุงขา หนูระบายสีสวยไหมคะ”เพราะมัวแต่คิดเรื่องท่าทีของเขาจนเหม่อลอยรู้ตัวอีกทีเจ้าตัวเล็กก็เดินไปหาคุณปรวีย์ตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้“เทียนหอมมานี่ลูก”ง รีบผละจากกองแท่งดินสอสีเข้าไปดึงแขนของลูกสาวให้เดินกลับมา ทว่าชายหนุ่มกลับรั้งแขนอีกข้างของเด็กหญิงเอาไว้ทำให้ปีวราชะงักมือหันกลับไปมองเขาย่อตัวลงแล้วยกมือลูบหัวเด็กน้อยด้วยแ
ร่างเปลือยเปล่าของหญิงสาวหน้าตาสะสวยซุกเข้าหาอกแกร่งหลังจากทั้งคู่ร่วมรักกันมายาวนานเกือบทั้งคืน แขนยาวกระชับอ้อมกอดมากขึ้นแล้วก้มจุมพิตหน้าผากแผ่วเบาเวลาล่วงเลยไปจนถึงช่วงสายของวันปีวราตื่นลืมตาตื่นเธอไม่เห็นผู้ชายเคียงข้างเมื่อคืนแล้ว ทั้งที่ปกติเธอจะเป็นฝ่ายตื่นก่อนเขาหญิงสาวอาบน้ำแต่งตัวด้วยเสื้อเชิ้ตตัวโคร่งสีขาว สวมกางเกงขาสั้นด้านใน เธอสอดส่องสายตาหาปรวีย์ซึ่งภายในห้องเงียบเชียบไม่เห็นแม้แต่เงาของสิ่งมีชีวิตนางบำเรอของมาเฟียคือสรรพนามที่น่าจะแปะติดหน้าของเธอไว้ตั้งแต่ได้รู้จักกับเขาเหตุเพราะร้อนเงินจำเป็นต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาลคนเป็นพ่อ ทำให้เธอต้องก้าวเข้ามาในวงการนี้ด้วยการแนะนำของเพื่อนครั้งแรกที่เจอหน้ากันเธอรู้สึกชอบเขาขึ้นมาทันทีแต่เพราะกฎของนางบำเรอคือห้ามตกหลุมรักหรือรู้สึกมากไปกว่านั้น เธอจำใจยอมรับข้อเสนอและใช้ร่างกายเข้าแลกทั้งเงินและความสุขให้กับตัวเองจนกระทั่งพ่อของเธอจากโลกนี้ไปเธอเหลือตัวคนเดียวแน่นอนว่าปรวีย์จึงเป็นเหมือนโลกอีกใบของเธอ“หายไปไหนของเขา” ร่างระหงเดินไปทรุดตัวนั่งลงโซฟาแล้วกดโทรศัพท์โทรออกแต่ยังไม่ทันจะมีเสียงสัญญาณคนที่เธอกำลังมองหาก็เดินกลับเ