Masukรัตนะเป็นหมอเวรประจำแผนกห้องพิเศษ เขาเป็นหมอมานานกว่าสิบปี มีความมั่นใจในผลงานของตัวเอง สูสีกับฝีมือที่เก่งกาจขึ้นทุกวัน วันนี้มีเรื่องน่าอารมณ์เสียหลายอย่าง โดยเฉพาะการทำงานที่ล่าช้าของเจ้าหน้าที่ เขายังกลับไม่ได้เพราะรอผลเอ็กซเรย์คนไข้อยู่
"ยังไม่กลับเหรอคะหมอ" พยาบาลสาวเทียวมาเกี้ยวหมอ ในวัยสามสิบกว่าแต่ยังโสด รัตนะจึงเป็นที่หมายปองของใครหลายคน
"ผมเองก็อยากกลับ แต่ยังกลับไม่ได้" เขาเอ่ยออกมาอย่างอารมณ์เสีย
"มีอะไรหรือเปล่าคะ นุชอาจจะช่วยอะไรได้บ้าง" เธอเสนอตัว แอ่นหน้าอกหน้าใจเข้าไปใกล้ หมอหนุ่มแอบสำรวจหน้าอก แต่แล้วก็ทำเป็นขยับแว่น
"เรื่องส่วนตัวคนไข้ ผมจะเอามาพูดได้ไง" เขาดูอ่อนลงนิดหนึ่ง พยาบาลสาวจึงรุกต่อ
"แหม ถึงจะช่วยอะไรไม่ได้ แต่ก็บำบัดอารมณ์ได้นะคะ" เธอพูดให้เขาคิดลึกขึ้นไปอีก
"ขอบคุณนะ" รัตนะเอามือไปจับไหล่เธอ เขาคิดว่าได้เล่นๆ ก็ดีกว่าอยู่คนเดียว
"มาแล้วครับหมอ" เจ้าหน้าที่วิ่งมาที่แผนก พวกเขาผละออกจากกันทันที จากที่ลับสองคนจึงกลายเป็นสามคนไป เจ้าหน้าที่หนุ่มไม่สังเกตเห็นความผิดปกติ ภาพเอ็กซเรย์เป็นภาพกระดูกขาของหญิงสาวคนหนึ่ง ไม่มีรอยแตกรอยหัก หรือความบิดเบี้ยวใดๆ เขาขยี้ตาทีหนึ่งก่อนถาม
"คุณแน่ใจนะว่าเอามาถูกคน นี่ใช่ของคุณมนสิชา ภูริเดโชแน่เหรอ"
"แน่ใจครับ วันนี้ทั้งตึกมีถ่ายเอ็กซเรย์เธอคนเดียว" เจ้าหน้าที่ย้ำ
รัตนะลุกขึ้นทันที เดินเข้าไปในห้องคนไข้ บัดนี้มีคนเฝ้าสองคน คือปริญและกุมภา
"สวัสดีค่ะ/ครับหมอ"
"สวัสดีครับ หมอขอดูคนไข้หน่อยนะครับ" รัตนะบอก เดินไปสำรวจรอยช้ำบริเวณหน้า ตามแขน และเปิดเผ้าดูที่ขา ทุกอย่างดูปกติ เหมือนไม่เคยฟกช้ำมาก่อน
"ทำไมแผลและกระดูกถึงได้หายเร็วแบบนี้ พวกคุณใช้เวทมนตร์ในการรักษาหรือครับ" รัตนะถามตรงๆ "คุณรู้ไหมว่าผิดกฏหมาย"
ปริญหน้าซีดเผือก เขาลืมไปซะสนิทว่าหมอจะต้องรู้ ส่วนกุมภาก้มหน้าหงุดไม่รู้จะทำอย่างไรดี
"ขอโทษครับ" ปริญไม่รู้จะเอ่ยอะไร
"ถ้ามีคนรู้ว่าโรงพยาบาลเราปล่อยให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้น คุณรู้ไหมครับว่าผมอาจโดนไล่ออก แถมอาจถูกปรับเป็นเงินมหาศาล คุณจะรับผิดชอบไหวเหรอครับ" รัตนะระเบิดอารมณ์ "โรงพยาบาลเราไม่เคยมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นมาก่อน ถ้ามีครั้งหน้าอีก ก็ขอเชิญย้ายโรงพยาบาลด้วยนะครับ"
หมอหนุ่มทิ้งระเบิดแล้วเดินออกไป กุมภากับปริญหน้าซีดเผือด ไม่คิดว่าหมอในโรงพยาบาลเอกชนจะพูดแบบนั้น
รัตนะโทรไปหาดนุเดช ผู้อำนวยการของโรงพยาบาล เขาเล่ารายละเอียดทุกอย่างเนื่องจากดนุเดชเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุด แถมยังเป็นหมอเจ้าของไข้โดยตรง ไม่ช้าก็เร็วเขาต้องรู้แน่ ดนุเดชวางมือจากการเซ็นต์เอกสาร รีบเดินมาที่ห้องคนไข้ทันที
"ขอบคุณหมอรัตนะมากนะครับ" ดนุเดชจับแขนเขา "ที่เหลือเดี๋ยวผมจัดการเอง"
"ผมว่าเชิญเขาย้ายโรงพยาบาลก็ดีนะครับ ถ้านักข่าวรู้ว่าเรายอมให้มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นในโรงพยาบาล เรื่องไม่จบง่ายๆแน่" รัตนะให้ความเห็นทิ้งท้าย
ดนุเดชเดินเข้ามาในห้องของมนสิชา เขาเป็นชายตัวโต ท่าทางเหมือนคนที่อารมณ์เสียยาก เห็นครั้งเดียวก็จำหน้าได้ เขามองสำรวจญาติคนไข้ก่อนเอ่ย
"ผมหมอดนุเดชนะครับ เป็นผอ.ของโรงพยาบาลแล้วก็เป็นหมอเจ้าของไข้ด้วย"
"สวัสดีค่ะ/ครับ" ทั้งสองคนไหว้
"ผมเคยเจอคุณน้องสาวแล้ว แล้วนี่.."
"แฟนของมนครับ ผมชื่อปริญ" เขาแนะนำตัว
"ผมได้ยินจากแพทย์เวรแล้ว คงต้องถามว่าใครเป็นคนใช้เวทมนตร์ครับ" ดนุเดชเอ่ยด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
"ผมเองครับ ต้องขอโทษด้วย ผมคิดว่าอาจจะทำให้เธอฟื้นขึ้นได้" ปริญสารภาพ
"ความจริงแล้วนอกจากการรักษาด้วยแพทย์สมัยใหม่แล้ว เราก็ต้องยอมรับว่าแพทย์ทางเลือกก็ช่วยชีวิตคนไข้ไว้ได้เยอะแยะ หมอคงไม่ปฏิเสธว่านอกจากสิ่งที่หมอทำอยู่ทุกวัน ศาสตร์อื่นก็คงสามารถช่วยได้เช่นกัน" ดนุเดชเอ่ยอย่างรักษาน้ำใจ ปริญและกุมภาตั้งใจฟังต่อว่าดนุเดชจะพาบทสนทนาไปที่ไหน
"ถ้าคุณปริญสนใจการรักษาด้วยเวทมนตร์ หมออยากจะชวนให้เข้าร่วมการศึกษากับหมอ" ดนุเดชยื่นนามบัตรให้ชายหนุ่ม กุมภาอ้าปากค้างกับเรื่องเหลือเชื่อนี้ "รับรองว่าคุณมนสิชา
จะปลอดภัย"
กุมภาส่งสัญญาณให้ปริญรับปากรวมทั้งรับนามบัตรไว้
"ตกลงครับ" ปริญหยิบกระเป๋าตังค์ออกมา "และนี่นามบัตรผมครับ"
ดนุเดชขอตัวออกไปทำงานที่ค้างไว้ ส่วนกุมภาก็ได้เวลากลับบ้านเช่นกัน
"ฝากพี่มนด้วยนะคะ อีกสักพักพ่อคงมาถึง"
ปริญยืนมองมนสิชาครู่หนึ่ง เขาเอ่ยอะไรกับเธอมากมายในระหว่างนั้น ก่อนอารมณ์เปลี่ยนมาซึมอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าเธอไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ
"อย่างน้อยพี่ก็ดีใจนะ ที่พี่ได้ทำตามสัญญา"
ภาพในหัวปริญทำงานอีกครั้ง คืนนั้นชายหนุ่มเดินไปส่งมนสิชาที่บ้าน ถนนตอนตีสองเงียบสงัด มีเพียงแสงจันทร์กับไฟข้างทางเท่านั้นที่ให้ความสว่างแก่พวกเขา มนสิชายังเรียนมหาวิทยาลัย ส่วนปริญกำลังไปได้สวยกับงานที่ทำ
"ใกล้หมดโปรโมชั่นหรือยังคะ" มนสิชาถามหลังเงียบไปนาน
"มนจะซื้ออะไรครับ" แฟนหนุ่มถาม
"ไม่ๆ หมายถึงว่าพี่ปริญใกล้หมดโปรโมชั่นหรือยังคะ" เธอขยายความ
"ที่มาส่งมนน่ะเหรอครับ"
"ค่ะ" มนสิชาทำหน้าทะเล้น
"ยังครับ จนกว่าพี่จะแน่ใจได้ว่ามนปลอดภัยทุกคืน ถือว่าพี่ขอนะพอเรียนจบแล้วเลิกทำงานกะดึกนะ" ปริญขอร้อง
"ถ้าหางานทำได้นะคะ" เธออมยิ้ม รู้สึกดีที่แฟนเป็นห่วง "ความจริงพรุ่งนี้เช้าพี่ปริญต้องรีบตื่นแต่เช้าไม่ใช่เหรอ คราวหลังไม่ต้องมาส่งแล้วนะคะ"
"เดี๋ยวพี่ไปนอนบนรถตู้ก็ได้"
ภาพในหัวของปริญฉายภาพวันเสาร์หนึ่งที่เขาและเธออยู่ด้วยกัน ปริญเช่าอพาร์ทเมนท์อยู่ไม่ไกลบ้านเธอนักเพื่อให้ไปหาได้ง่ายขึ้น เขาชวนเธอมาเดตแบบประหยัดในห้องของเขา ปริญเปิดดีวีดีภาพยนตร์เรื่องหนึ่งขึ้นมา
"หนังเรื่องนี้ได้รางวัลด้วยนี่คะ" มนสิชาตาวาวด้วยความตื่นเต้น "มนยังไม่เคยดูเลย”
"พี่ดูมาสามรอบแล้ว แต่ยิ่งเห็นรายละเอียดพี่ยิ่งชอบ" ปริญบอก
"หนังแนวนี้มนว่าตอนจบต้องจบไม่ดีแน่เลย เป็นแบบนั้นหรือเปล่าคะ" มนสิชาถาม
"ถ้าตอนจบของเราไม่ดีเหมือนกัน มนจะทำยังไง" ปริญถามถึงอนาคตของเขากับเธอ
"มนคงเศร้า แต่จะเศร้ากว่านั้นถ้ารู้ว่าพี่ปริญเริ่มต้นใหม่ไม่ได้ มนอยากให้เราเก็บความรู้สึกดีๆแบบนี้ไว้ในใจ จะได้อบอุ่นใจทุกครั้งที่นึกถึงความทรงจำนี้" มนสิชาบอก
"พี่สัญญาว่าจะทำทุกอย่างไม่ให้เราสองคนต้องมีตอนจบที่น่าเศร้า" ปริญให้คำสัญญาเสร็จก็ทิ้งตัวลงนอนบนตักหญิงสาว
"มนรู้ว่าพี่ปริญรักมนขนาดไหน แต่ถ้ามันเป็นไปไม่ได้ ก็ขอให้รู้ว่ามนไม่เคยโทษพี่เลยนะคะ" มนสิชาลูบหัวเขาอย่างอ่อนโยน
"ครับผม" เขารับปากอย่างไม่คิดอะไรมาก แต่ตอนนี้รู้ซึ้งว่าประโยคนั้นมีค่ากับจิตใจเขาขนาดไหน
"สรุปเรื่องนี้จบดีหรือเปล่าคะ"
"ไม่บอก"
"ใบ้หน่อย"
"จบดีที่สุดเท่าที่คนเขียนบทจะทำได้แล้ว" ปริญใบ้แค่นิดเดียว
"เอ๊ะ แสดงว่าจบไม่สวยน่ะสิ งั้นไม่ดูแล้ว" มนสิชาเตรียมลุกยืน
"ไม่ดูก็ไม่เป็นไร แต่ช่วยเป็นหมอนให้พี่หน่อย" ปริญอ้อน กอดขาเรียวเอาไว้แน่น มนสิชาก้มลงหอมแก้มปริญอย่างหมั่นเขี้ยว
ปริญในตอนนี้ถอยหายใจกลับมาอยู่กับปัจจุบัน
หลังจากนั้นอีกหนึ่งเดือน ปุยฝ้ายไปเยี่ยมดนุเดชที่เรือนจำ พวกเขานั่งโต๊ะที่จัดไว้สำหรับให้ญาติมาเยี่ยม ดนุเดชดูโทรมไปถนัดตา ขอบตาดำคล้ำอย่างคนนอนไม่หลับ เขาสวมเสื้อสีน้ำตาล หมดแววคุณหมอไฮโซที่ปุยฝ้ายเคยรู้จัก "พ่อทานข้าวบ้างหรือเปล่าคะ" ปุยฝ้ายพยายามยิ้มให้พ่อ แต่ทำไม่ได้เลย "กินได้บ้างแล้ว" ดนุเดชตอบคอแห้งเป็นผง "เจ้าหน้าที่เขาเข้ามาคุยกับหนูเมื่อวาน บอกข่าวว่าศาลจะทำอะไรกับพวกเราบ้าง" ปุยฝ้ายจั่วหัวไปเท่านั้น ดนุเดชดูไม่สนใจฟังว่าคนอื่นจะทำยังไงกับตน "พ่อต้องได้รับโทษตามกฎหมายค่ะ คนไข้คนอื่นเขาจะไม่เรียกค่าเสียหาย แต่จะไม่มีใครยอมจ่ายค่ารักษาพยาบาล พวกทีมบริหารบอกผ่านคุณย่ามาว่าโรงพยาบาลของเราจะล้มละลาย คุณย่าจะมาจัดการเรื่องขายโรงพยาบาลให้ คุณพ่อไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ" ดนุเดชดูเหม่อลอย ไม่ตอบอะไร "แน่นอนว่าคุณพ่อต้องติดคุก แล้วพวกเราจะโดนฉีดยาสลายเวทมนตร์ ไม่เฉพาะเราสองคน แต่เป็นคนใช้เวทมนตร์ทั้งประเทศจะโดนเหมือนกันหมด" ปุยฝ้ายถอนหายใจ "ปกติเราก็ไม่ได้ใช้เวทมนตร์กันอยู่แล้ว เรื่
ดนุเดชเดินกลับไปกลับมาในห้องทำงาน ผู้ถือหุ้น คนไข้ รวมทั้งลูกสาวกดดันให้เขาต้องทำอะไรสักอย่างกับการประท้วงที่หน้าโรงพยาบาล นักข่าวเริ่มมาทำข่าวกันแล้ว เวทมนตร์เป็นเรื่องที่น่าสนใจสำหรับคนไทยในเวลานี้ พวกเขามองว่าคนใช้เวทมนตร์เป็นคนไม่ดี แต่สำหรับเขาเวทมนตร์หรืออะไรก็แล้วแต่เป็นสิ่งที่เขาจะทุ่มเทให้ได้เพื่อให้ลูกสาวฟื้นขึ้นมา คำสาปทิ้งร่องรอยไว้ให้ผู้ร่ายคำสาปเสมอ ดนุเดชร่ายเวทมนตร์เก่าแก่อีกครั้ง ตอนนี้เป็นเวลาห้าทุ่ม คนไข้ทุกคนเข้านอนกันหมดแล้ว ดังนั้นตอนนี้ทุกคนกำลังฝัน และฝันก็คือร่องรอยของแต่ละคนที่เขาสามารถเข้าถึงได้อย่างง่ายดายที่สุด เขาสาปอีกครั้ง เป็นคำสาปที่ไม่รุนแรงนัก มีผลแค่ทำให้คนไข้ทั้งหนึ่งพันกว่าคนฝันร้าย มนสิชาเป็นหนึ่งในผู้ต้องคำสาป เธอเห็นดวงตะวันถูกเมฆบังจนมืดสนิท ยมบาลตัวสีแดงถือไม้ตะบองที่มีหนามแหลมทั่วทั้งอันมาด้วย เขาร้องเสียงดุร้าย "หยุดก่อน!" มนสิชาวิ่งหนี ชายตัวแดงวิ่งตามเธอมาเพียงสามก้าวก็ถึงตัวเธอ เขาใช้ไม้ตะบองตีหัวเธอ หนามแหลมทะลุเข้าไปในสมอง มนสิชาร้
มนสิชาลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆ เธอเห็นเพดานสีขาวที่ไม่คุ้นเคย ผ้าห่มอุ่นห่มให้เธอถึงอก มองไปรอบๆห้องก็พบว่าที่นี่เป็นห้องพักในโรงพยาบาล กุมภากำลังนอนหลับอยู่ที่โซฟาใกล้ๆ น้องสาวกรนเบาๆ "กุมภา" มนสิชาเรียกน้องสาวเสียงแหบ กุมภาคิดว่าฝันไปจึงหลับต่อ แต่เมื่อคิดอีกทีว่าเธออยู่กับพี่สาวตามลำพังจึงเปิดตาขึ้นมอง เห็นมนสิชายันตัวลุกขึ้นนั่ง หน้าขาวซีด "พี่มน!" กุมภาเด้งตัวลุกมาหาพี่สาว "พี่มนๆๆ" "จ้ะ พี่เอง" มนสิชายิ้มให้ รู้สึกตัวหนักไปหมด คอก็แห้งผาด "ขอ..น้ำ" กุมภารินน้ำให้พี่สาว มนสิชาดื่มอย่างกระหาย เสียงเธอกลับมาสดชื่นขึ้นเล็กน้อย "พี่รู้ไหมว่าหนูลำบากมากแค่ไหนตอนพี่ไม่ได้สติ ต้องช่วยพ่อทำงาน ต้องมาเฝ้าพี่ และทำงานพิเศษด้วย พวกเรายังไม่รู้เลยว่าจะหาค่ารักษาที่ไหนมาจ่ายให้พี่" กุมภาบอกความในใจทั้งหมดกับพี่สาว มนสิชาคิดอยู่แล้วว่าเรื่องจริงต้องร้ายแรงกว่าที่คุยกับปริญ มนสิชาพยายามจะตอบ แต่ไม่มีเสียงเล็ดรอดออกมา "...โทษ ขอโทษ" เธอจึงร้องไห้ออกมาแทน
สุกฤตเดินเล่นกับเทพทัตในสนามหญ้าของโรงเรียนทิศเหนือ พวกเขายิ้มให้กับนักเรียนที่เดินเข้ามาทักทาย ทั้งสองคนไม่ค่อยจะได้คุยกันมากนักเพราะสุกฤตค่อนข้างเก็บตัว แต่เขาก็แสดงให้เห็นว่าตัวเองเปลี่ยนไปหลังจากที่เทพทัตรับตำแหน่งประธานนักเรียน "ผมอยากให้คุณเทพทัตผลิตเงินให้เยอะขึ้นครับ บอกตามตรงว่าชนชั้นแรงงานไร้ฝีมือค่อนข้างเยอะ แล้วพวกเขาก็ประท้วงกันบ่อยครั้งว่าอยากได้เงินเยอะขึ้น" สุกฤตปรึกษาปัญหาที่เกิดขึ้น "ถ้าผมทำอย่างนั้น เงินจะมีค่าน้อยลง ของทุกอย่างจะแพงขึ้นนะครับ" เทพทัตอธิบายเศรษฐศาสตร์แบบง่ายๆ "แค่ให้คนรู้สึกว่ามีเงินในมือเยอะขึ้น เท่านั้นก็พอแล้วครับ พวกเราก็ค่อยโทษว่าพ่อค้าแม่ค้าขายของกันแพง จนทำให้พวกเขาซื้อของได้น้อยลง แต่ข้อดีคือพวกอสังหาริมทรัพย์ก็จะแพงขึ้นด้วย แต่ละทิศที่ก่อสร้างบ้านขึ้นมาก็จะได้ประโยชน์จากตรงนี้ แถมค่าเช่าก็จะขึ้นได้อีก" สุกฤตเอ่ย "นั่นสินะครับ" เทพทัตหัวเราะอย่างพอใจ "ผมไม่นึกว่าคุณสุกฤตจะมีหัวการค้าขนาดนี้" "ผมเองก็มักจะใช้เวลาใคร่ครวญสิ่งต่างๆเสมอ มันคงเป
ย่านการค้าทิศตะวันออกกลับมาคึกคักอีกครั้ง มนสิชาได้โอกาสเดินไปคุยกับแม่ค้าแอปเปิ้ลที่นั่งอยู่ เธอเป็นหญิงร่างท้วมตัวสูง หน้าตาซีเรียส มนสิชาแอบคิดว่าแผงของเธอคงไม่ต้องการใครมาปกป้อง เพราะเธอท่าทางจะปกป้องตัวเองได้แน่ๆ "ลูกละสิบห้าบาทจ้า กรอบหวานทุกลูกเลยนะ" แม่ค้าเอ่ย "เรามาถามเรื่องคนที่ชื่อโอ๊ตน่ะคะ" ปุยฝ้ายถามแทน ชูครีมเดินตามมาทีหลัง เพราะถือของกินพะรุงพะรัง "เขาตื่นไปนานแล้วนี่" แม่ค้าสาวบอก ดูแปลกใจที่มีคนมาถามเรื่องโอ๊ต "ค่ะ เพราะเขาตื่นแล้ว เราเลยอยากได้ข้อมูลของเขาไงคะ" มนสิชาบอก "แล้วแม่ค้าก็เป็นคนเดียวที่รู้เรื่องโอ๊ตด้วย" "ฉันเองก็รู้อะไรไม่มากหรอกค่ะ รู้แค่ว่าก่อนมาที่นี่เขากระโดดให้รถชน พอรู้ตัวอีกทีก็ติดอยู่ในความฝันแล้ว เขาเป็นคนที่ไม่มีอนาคตและไม่นึกถึงอดีต เขาพอใจที่สามารถเริ่มต้นชีวิตในความฝันใหม่ได้ เคยมาคุยกับฉันว่าจะไม่ตามหาวิธีตื่น แต่แค่สามวันที่เขามาอยู่ที่นี่ เขาก็ตื่นขึ้นค่ะ" ทั้งสามคนเงียบฉี่ ต่างคนต่างนึกว่าต้องถามอะไรอีก แต่
วันเลือกตั้งใกล้เข้ามาทุกที นักเรียนทุกคนรอการหาเสียงจากแต่ละทิศอย่างตื่นเต้น เริ่มต้นจากทิศใต้ที่เน้นการศึกษา พวกเขารู้ดีว่านักเรียนที่อยู่ในโรงเรียนปัจจุบันเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับการศึกษาอยู่แล้ว ขณะเดียวกันนักเรียนทุกคนก็รู้ว่าหากอยากเรียนมากๆให้ไปทิศใต้ ดังนั้นจึงไม่สามารถตามหานักเรียนที่สนใจการศึกษาได้มากไปกว่านี้ สุกฤตจึงใช้เรื่องอื่นจูงใจนักเรียนแทน เขาสั่งให้อัศวินลอบไปทิศอื่นเพื่อปิดป้ายประกาศเสนอคูปองกินฟรีตลอดหนึ่งเดือนสำหรับนักเรียนใหม่ เพียงย้ายที่อยู่ไปในทิศใต้ก่อนวันเลือกตั้งเท่านั้น นักเรียนชายร่างท้วมเดินไปดูป้ายอย่างสนใจ พลางกอดคอเพื่อนหุ่นพอๆกับเขาไปด้วย พวกเขาอยู่ทิศตะวันออก ที่นี่ช่างสดใสเมื่อได้ปรับปรุงที่อยู่ใหม่ ส่วนคนที่ย้ายไปก็เริ่มกลับมาบ้างแล้ว "สมุทร นายว่าเราย้ายโรงเรียนกันสักเดือนดีไหม" ลำธารเพื่อนรักเอ่ยให้ฟังด้วยแผนการ "นายหมายถึง ย้ายไปเพื่อรับอาหารฟรีงั้นเหรอ" สมุทรหัวเราะในลำคอ "ก็ไม่มีใครตามมาบังคับให้เราต้องอยู่ที่นั่นตลอดไปนี่นา แถมพวกเรายังเป็นแรงงานไร้ฝีมื







