LOGINปุยฝ้าย ชูครีม และมนสิชาเดินกลับมาที่โรงเรียนทิศตะวันตกอย่างไม่เต็มใจ พวกเธอเดินทางเข้ามาในช่วงเย็น เพราะเคยพบว่าตอนเช้านั้นยังไม่มีใครตื่นจากการเที่ยวผับ เดินเข้ามาโดยไม่มีใครห้าม เพราะไม่มียามเฝ้าประตู
"คนที่ตื่นคนที่สองคือใครนะคะ" ชูครีมถามอย่างไม่อยากเชื่อ
"ก็เป็นเด็กประถมในร่างเด็กมัธยม" มนสิชาตอบ "เธออ่านกระดาษที่คุณเทพทัตเขียนให้แล้วนี่"
"ก็ยังไม่อยากเชื่อนี่คะ แล้วเราจะถามเพื่อนเด็กคนนี้ยังไง เด็กประถมจะคุยกันรู้เรื่องสักแค่ไหนกัน" ชูครีมบ่นออกมา
"เราก็ไปถามเอาจากครูหรืออาสาสมัครซิจ๊ะ ชูครีมจ๋า" ปุยฝ้ายตอบทีเล่นทีจริง เอื้อมมือไปลูบพุงกลมๆของเพื่อน
เสียงออดดังขึ้นพอดี กลุ่มนักเรียนกรูกันมาเข้าผับ มนสิชาขวางนักเรียนหญิงคนหนึ่งเอาไว้ไม่ให้เดินไปในผับได้
"อะไรของเธอ หลีกนะ" นักเรียนหญิงท่าทางโมโห
"ขอโทษนะคะ แต่ช่วยบอกเราหน่อย ว่าห้องเรียนเด็กประถมอยู่ที่ไหน" มนสิชาถาม
"คิดว่าอะไร" นักเรียนหญิงคนนั้นบอก "ชั้นห้าของตึกนี้มีห้องเรียนเด็กเล็กอยู่ ลองขึ้นไปซิ"
"ขอบคุณค่ะ" มนสิชาบอก
"ขอบคุณนะ คนสวย" ปุยฝ้ายหันมาโบกมือให้
สามสาวเดินไปยังชั้นห้าที่ว่า มีห้องเรียนเด็กเล็กอยู่ที่นั้นจริงๆ มีบอร์ดประดับประดาด้วยรูปภาพกิจกรรมของนักเรียนโข่งที่เล่นกองทราย ชักเย่อ ปั้นดินน้ำมัน และกิจกรรมอื่นๆอีกมากมาย พวกเธอเคาะประตูก่อนเข้าไป มีครูสาวกำลังยืนสอนอยู่หน้าชั้น เธออ้วนและผิวขาวอมชมพูไปตลอดทั้งตัว ดูน่ารักน่าหยิกชอบกล
"มีอะไรหรือเปล่าคะ" ครูสาวถาม ก่อนหันไปสั่งนักเรียน "เด็กๆ วาดรูปกันไปก่อนนะ"
พวกเขาเดินออกมาหน้าห้อง แล้วคุยกันเป็นการส่วนตัว
"มนนะคะ นี่ชูครีมกับปุยฝ้าย" มนสิชาแนะนำตัวอย่างง่ายๆ
"ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ ครูชื่อเบญญานะคะ"
"พวกเรามาตามหาน้องโมโม่น่ะค่ะ" ชูครีมเป็นคนบอก
"น้องโมโม่ตื่นจากฝันไปแล้วนี่คะ" เบญญาบอก
"พวกเราทราบค่ะ แต่ตอนนี้เรากำลังจะหาวิธีตื่นจากฝัน ก็เลยอยากรู้รายละเอียดเรื่องน้องเขาสักหน่อย" ปุยฝ้ายบอก "ครูเบญญาพอจะบอกพวกเราได้หรือเปล่าคะ"
"เท่าที่ครูรู้ก็คือ น้องเขาเป็นเด็กผู้หญิงที่ร่าเริง มีเพื่อนเยอะ เธอมีความสุขมากเลยค่ะก่อนที่จะตื่นขึ้น" ครูสาวบอก
ชูครีมจดรายละเอียดลงสมุดโน้ตเล่มเล็ก
"เท่านั้นเองเหรอคะ" มนสิชาถาม ยังคาใจอยู่
"ค่ะ เท่านั้นเอง เพื่อนๆของน้องโมโม่ก็เป็นเด็กมาก คงจะให้ข้อมูลอะไรไม่ได้มาก" เบญญาบอก
พวกเธอพยายามนึกว่ามีเรื่องอะไรที่ต้องถามอีก แต่ก็นึกไม่ออก รายนี้ทำให้พวกเธอมืดแปดด้านจริงๆ
"ถ้าอย่างนั้นก็ขอบคุณนะคะ" ปุยฝ้าย หันหลังกลับ
"โมโม่เป็นลูกสาวของคุณสุเมธนะคะ ถ้าอยากรู้ข้อมูลเพิ่มให้ลองไปถามเขาดู" ครูสาวตะโกน ทั้งสามสาวหันมายิ้มให้กัน แล้วเดินลงไปชั้นล่างเพื่อหาพยานปากสำคัญ
เสียงเพลงดังลอยออกมา มนสิชาหัวใจเต้นโครมครามตามจังหวะ พวกเธอเดินผ่านประตูเข้าไป ผู้คนนั่งตามโต๊ะ กินดื่มอย่างเคลิบเคลิ้ม อีกส่วนหนึ่งเต้นกลางฟลอร์เต้นรำ พวกเธอรู้มาว่าสุเมธมักจะอยู่ในผับพร้อมนักเรียนคนอื่นๆ จึงช่วยกันมองฝ่าความมืดเข้าไป
"หาใครอยู่เหรอครับสาวๆ" นักเรียนชายคนหนึ่งเดินเข้ามาถาม ในมือถือแก้วเหล้าเข้ามาด้วย "ไปร่วมโต๊ะกับพวกผมเอาไหม"
"พอจะเห็นคุณสุเมธหรือเปล่าคะ" มนสิชาถามเนียนๆ
"เด็กเสี่ยหรือเนี่ย" เขาหน้าบึ้งลงนิดหนึ่ง
"มีธุระน่ะคะ เรื่องลูก" มนสิชาเอ่ยให้คิดได้สองแง่
เขาตกใจ ก่อนชี้ไปสุดแขน "โน้น อยู่ห้องวีไอพีครับ"
หน้าห้องวีไอพีมีอัศวินสองคนยืนเฝ้าอยู่ เขากั้นไม่ให้กลุ่มสาวๆเดินเข้าไป
"มีธุระจะคุยกับคุณสุเมธค่ะ" มนสิชาบอก
"เรื่องอะไรครับ" อัศวินถาม
"เรื่องลูกสาวคุณสุเมธค่ะ" ปุยฝ้ายตอบ
"รอสักครู่นะครับ" อัศวินบอกแล้วเดินเข้าไปในห้อง สุเมธนั่งไขว่ห้างและเอนตัวพิงโซฟาอย่างสบายอารมณ์ เขาดื่มแต่น้ำหวาน เพราะรู้ถึงฤทธิ์ของเหล้าดี "คุณสุเมธครับ มีคนมาหา"
"เธอไม่รู้หรือว่าฉันไม่ชอบให้ใครมาขัดจังหวะตอนกำลังพักผ่อน" สุเมธถามเสียงดุ
"แต่เขาจะมาคุยเรื่องลูกสาวคุณนะครับ" อัศวินรีบแก้ตัว
"พวกปั้นน้ำเป็นตัวนะซิ" สุเมธปรามาส
"พวกเธอฝากมาบอกว่า เราทำให้คุณเจอลูกสาวได้ครับ" อัศวินรีบรายงาน
"ให้เขาเข้ามาได้" สุเมธเปลี่ยนท่านั่ง หันมาตั้งรับด้วยท่าทีเต็มใจ สามสาวเดินเข้ามา สุเมธจำพวกเธอได้ในทันที เขาเตรียมอ้าปาก แต่ชูครีมเข้าไปปิดปากเขาไว้
"ถ้าคุณจับพวกเรา คุณจะไม่ได้เจอหน้าลูกตลอดไป" มนสิชาเป็นคนบอก
สุเมธหยุดดิ้น แล้วเอามือชูครีมออก
"ทำยังไงผมถึงจะได้เจอหน้าลูกอีก"
"ให้เราได้ในสิ่งที่ต้องการก่อน คลายมนต์สะกดทุกคนในโรงเรียนนี้ แล้วเลิกใช้วิธีสกปรกเรียกนักเรียนอีก" ปุยฝ้ายต่อรอง มนสิชาหันมามองที่เธอฉลาดกว่าท่าทางภายนอกมาก
"คิดว่าผมโง่หรือไง พวกเธอแค่หลอกให้ผมคลายมนต์สะกด แต่จริงๆแล้วไม่มีวิธีทำให้ผมตื่นใช่ไหม" สุเมธตวาด
"ถ้าเรารู้วิธีทำให้ตื่น เราสัญญาว่าจะบอกทุกคนรวมทั้งคุณด้วย แต่คุณสุเมธต้องปล่อยทุกคนแล้วเล่าเรื่องลูกสาวให้เราฟังก่อน" ชูครีมพูดอย่างซื่อๆ มนสิชาและปุยฝ้ายตกใจที่ชูครีมเผยไต๋แบบนั้น
สุเมธลุกขึ้นยืนแล้วไปเรียกอัศวินเข้ามาในห้อง มีอัศวินอีกคนวิ่งหน้าตาตื่นขึ้นมา
"มีคนคลายมนต์สะกดจากฤทธิ์เหล้าได้แล้วครับหัวหน้า"
สี่ชั่วโมงก่อน
มนสิชานึกรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาว่าเธอเคยเห็นเบญญาที่ไหนมาก่อน จึงดึงมือปุยฝ้ายและชูครีมให้เดินย้อนกลับไป พวกเธอมารอหน้าห้องเรียนอีกครั้ง
"ขอโทษนะคะ แต่เราเคยเจอกันที่ไหนมาก่อนหรือเปล่า
คะ" มนสิชาถามมาจากหน้าประตู
เบญญาอยากจะรีบปฏิเสธไป แต่เธอก็คุ้นหน้าหญิงสาวเช่นกัน
"นึกไม่ออกอ่ะค่ะ แต่ก็คุ้นหน้าอยู่เหมือนกัน" เบญญาตอบ เดินออกมาจากชั้นเรียนอีกครั้ง
"หรือว่าคุณจะเป็นลูกพี่ลูกน้องของพี่ปริญหรือเปล่าคะ" มนสิชาถาม ไม่แน่ใจ
"ใช่ค่ะ งั้นน้องก็เป็นแฟนของปริญใช่ไหม" เบญญาถาม ตื่นเต้น "ก็พี่เล่นเด็กลงตั้งยี่สิบปี น้องคงนึกหน้าพี่ไม่ออก"
"หนูก็ใช่ย่อยค่ะ เด็กลงตั้งสิบปีเหมือนกัน" มนสิชาหัวเราะ
"พวกเราเจอกันไม่กี่ครั้งเอง เก่งนะคะที่น้องมนจำพี่ได้ ไม่นึกเลยว่าน้องมนจะมาติดอยู่ในนี้ด้วย นายปริญคงใจสลายน่าดู" เบญญาเอ่ย
"มนถึงอยากจะรีบตื่นไงคะ สงสารพี่ปริญแล้วก็
ครอบครัวด้วย ป่านนี้ไม่รู้ว่าจะเป็นยังไงบ้าง" มนสิชาเรียกคะแนนน่าสงสาร "พี่เบญญาคะ"
"ว่าไงคะ"
"พี่เบญญาสนใจจะช่วยปลดปล่อยคนในดินแดนนี้กันไหมคะ"
"หา ไม่ล่ะค่ะน้องมน" เบญญาโบกมือรัว "พี่กลัวตายน่ะคะ อุตส่าห์เก็บเงินได้เยอะแล้วด้วย ถ้าตายตอนนี้ก็เท่ากับเริ่มเก็บเงินใหม่"
"ถ้าเราไม่เสี่ยงช่วยคนอื่น เราอาจะเข้าไม่ถึงข้อมูลที่จะปลุกทุกคนก็ได้ มนสัญญาว่าจะทำทุกอย่างไม่ให้พี่ตาย และถ้ารู้วิธีตื่นแล้ว จะบอกทุกคนอย่างแน่นอน"
เบญญากำมือแน่น กำลังต่อสู้กับจิตใจหวั่นไหวข้างใน ก่อนจะถอนหายใจ
"ก็ได้ พี่เชื่อใจน้องมนนะ"
"พี่เบญญามีเวทมนตร์เหมือนพี่ปริญใช่ไหมคะ" มนสิชาถาม
"มีค่ะ มันสืบต่อผ่านทางสายเลือดนี่นา" เบญญายอมรับ
"คนที่อยู่ในทิศตะวันตกส่วนใหญ่โดนมนต์สะกดของคุณสุเมธทั้งนั้น พี่ก็ใช้เวทมนตร์สู้กับเวทมนตร์สิคะ" มนสิชาบอก
"แต่เราต้องรู้ว่าเขาใช้เวทมนตร์อะไร ถึงแก้คำสาปได้" เบญญาบอก เริ่มกังวล
"เขาใส่เวทมนตร์ลงในเหล้าค่ะ ทำให้เมาและมีอาการเหมือนคนติดยาได้ แค่ดื่มเข้าไปแก้วเดียวเท่านั้น"
"น้องมนรู้ละเอียดจัง" เบญญาชม
"พอดีสองคนนี้เขาเล่าให้ฟังน่ะค่ะ ตอนที่เดินทางมาที่นี่" มนสิชาตอบ
"แล้วถ้ารู้แบบนี้จะสามารถแก้เวทมนตร์ได้หรือเปล่าคะ" มนสิชาถาม
"ได้สิ น้องมนไปหาน้ำมาหลายๆขวด เราจะปรุงยาแก้เมากัน"
หลังจากนั้นอีกหนึ่งเดือน ปุยฝ้ายไปเยี่ยมดนุเดชที่เรือนจำ พวกเขานั่งโต๊ะที่จัดไว้สำหรับให้ญาติมาเยี่ยม ดนุเดชดูโทรมไปถนัดตา ขอบตาดำคล้ำอย่างคนนอนไม่หลับ เขาสวมเสื้อสีน้ำตาล หมดแววคุณหมอไฮโซที่ปุยฝ้ายเคยรู้จัก "พ่อทานข้าวบ้างหรือเปล่าคะ" ปุยฝ้ายพยายามยิ้มให้พ่อ แต่ทำไม่ได้เลย "กินได้บ้างแล้ว" ดนุเดชตอบคอแห้งเป็นผง "เจ้าหน้าที่เขาเข้ามาคุยกับหนูเมื่อวาน บอกข่าวว่าศาลจะทำอะไรกับพวกเราบ้าง" ปุยฝ้ายจั่วหัวไปเท่านั้น ดนุเดชดูไม่สนใจฟังว่าคนอื่นจะทำยังไงกับตน "พ่อต้องได้รับโทษตามกฎหมายค่ะ คนไข้คนอื่นเขาจะไม่เรียกค่าเสียหาย แต่จะไม่มีใครยอมจ่ายค่ารักษาพยาบาล พวกทีมบริหารบอกผ่านคุณย่ามาว่าโรงพยาบาลของเราจะล้มละลาย คุณย่าจะมาจัดการเรื่องขายโรงพยาบาลให้ คุณพ่อไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ" ดนุเดชดูเหม่อลอย ไม่ตอบอะไร "แน่นอนว่าคุณพ่อต้องติดคุก แล้วพวกเราจะโดนฉีดยาสลายเวทมนตร์ ไม่เฉพาะเราสองคน แต่เป็นคนใช้เวทมนตร์ทั้งประเทศจะโดนเหมือนกันหมด" ปุยฝ้ายถอนหายใจ "ปกติเราก็ไม่ได้ใช้เวทมนตร์กันอยู่แล้ว เรื่
ดนุเดชเดินกลับไปกลับมาในห้องทำงาน ผู้ถือหุ้น คนไข้ รวมทั้งลูกสาวกดดันให้เขาต้องทำอะไรสักอย่างกับการประท้วงที่หน้าโรงพยาบาล นักข่าวเริ่มมาทำข่าวกันแล้ว เวทมนตร์เป็นเรื่องที่น่าสนใจสำหรับคนไทยในเวลานี้ พวกเขามองว่าคนใช้เวทมนตร์เป็นคนไม่ดี แต่สำหรับเขาเวทมนตร์หรืออะไรก็แล้วแต่เป็นสิ่งที่เขาจะทุ่มเทให้ได้เพื่อให้ลูกสาวฟื้นขึ้นมา คำสาปทิ้งร่องรอยไว้ให้ผู้ร่ายคำสาปเสมอ ดนุเดชร่ายเวทมนตร์เก่าแก่อีกครั้ง ตอนนี้เป็นเวลาห้าทุ่ม คนไข้ทุกคนเข้านอนกันหมดแล้ว ดังนั้นตอนนี้ทุกคนกำลังฝัน และฝันก็คือร่องรอยของแต่ละคนที่เขาสามารถเข้าถึงได้อย่างง่ายดายที่สุด เขาสาปอีกครั้ง เป็นคำสาปที่ไม่รุนแรงนัก มีผลแค่ทำให้คนไข้ทั้งหนึ่งพันกว่าคนฝันร้าย มนสิชาเป็นหนึ่งในผู้ต้องคำสาป เธอเห็นดวงตะวันถูกเมฆบังจนมืดสนิท ยมบาลตัวสีแดงถือไม้ตะบองที่มีหนามแหลมทั่วทั้งอันมาด้วย เขาร้องเสียงดุร้าย "หยุดก่อน!" มนสิชาวิ่งหนี ชายตัวแดงวิ่งตามเธอมาเพียงสามก้าวก็ถึงตัวเธอ เขาใช้ไม้ตะบองตีหัวเธอ หนามแหลมทะลุเข้าไปในสมอง มนสิชาร้
มนสิชาลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆ เธอเห็นเพดานสีขาวที่ไม่คุ้นเคย ผ้าห่มอุ่นห่มให้เธอถึงอก มองไปรอบๆห้องก็พบว่าที่นี่เป็นห้องพักในโรงพยาบาล กุมภากำลังนอนหลับอยู่ที่โซฟาใกล้ๆ น้องสาวกรนเบาๆ "กุมภา" มนสิชาเรียกน้องสาวเสียงแหบ กุมภาคิดว่าฝันไปจึงหลับต่อ แต่เมื่อคิดอีกทีว่าเธออยู่กับพี่สาวตามลำพังจึงเปิดตาขึ้นมอง เห็นมนสิชายันตัวลุกขึ้นนั่ง หน้าขาวซีด "พี่มน!" กุมภาเด้งตัวลุกมาหาพี่สาว "พี่มนๆๆ" "จ้ะ พี่เอง" มนสิชายิ้มให้ รู้สึกตัวหนักไปหมด คอก็แห้งผาด "ขอ..น้ำ" กุมภารินน้ำให้พี่สาว มนสิชาดื่มอย่างกระหาย เสียงเธอกลับมาสดชื่นขึ้นเล็กน้อย "พี่รู้ไหมว่าหนูลำบากมากแค่ไหนตอนพี่ไม่ได้สติ ต้องช่วยพ่อทำงาน ต้องมาเฝ้าพี่ และทำงานพิเศษด้วย พวกเรายังไม่รู้เลยว่าจะหาค่ารักษาที่ไหนมาจ่ายให้พี่" กุมภาบอกความในใจทั้งหมดกับพี่สาว มนสิชาคิดอยู่แล้วว่าเรื่องจริงต้องร้ายแรงกว่าที่คุยกับปริญ มนสิชาพยายามจะตอบ แต่ไม่มีเสียงเล็ดรอดออกมา "...โทษ ขอโทษ" เธอจึงร้องไห้ออกมาแทน
สุกฤตเดินเล่นกับเทพทัตในสนามหญ้าของโรงเรียนทิศเหนือ พวกเขายิ้มให้กับนักเรียนที่เดินเข้ามาทักทาย ทั้งสองคนไม่ค่อยจะได้คุยกันมากนักเพราะสุกฤตค่อนข้างเก็บตัว แต่เขาก็แสดงให้เห็นว่าตัวเองเปลี่ยนไปหลังจากที่เทพทัตรับตำแหน่งประธานนักเรียน "ผมอยากให้คุณเทพทัตผลิตเงินให้เยอะขึ้นครับ บอกตามตรงว่าชนชั้นแรงงานไร้ฝีมือค่อนข้างเยอะ แล้วพวกเขาก็ประท้วงกันบ่อยครั้งว่าอยากได้เงินเยอะขึ้น" สุกฤตปรึกษาปัญหาที่เกิดขึ้น "ถ้าผมทำอย่างนั้น เงินจะมีค่าน้อยลง ของทุกอย่างจะแพงขึ้นนะครับ" เทพทัตอธิบายเศรษฐศาสตร์แบบง่ายๆ "แค่ให้คนรู้สึกว่ามีเงินในมือเยอะขึ้น เท่านั้นก็พอแล้วครับ พวกเราก็ค่อยโทษว่าพ่อค้าแม่ค้าขายของกันแพง จนทำให้พวกเขาซื้อของได้น้อยลง แต่ข้อดีคือพวกอสังหาริมทรัพย์ก็จะแพงขึ้นด้วย แต่ละทิศที่ก่อสร้างบ้านขึ้นมาก็จะได้ประโยชน์จากตรงนี้ แถมค่าเช่าก็จะขึ้นได้อีก" สุกฤตเอ่ย "นั่นสินะครับ" เทพทัตหัวเราะอย่างพอใจ "ผมไม่นึกว่าคุณสุกฤตจะมีหัวการค้าขนาดนี้" "ผมเองก็มักจะใช้เวลาใคร่ครวญสิ่งต่างๆเสมอ มันคงเป
ย่านการค้าทิศตะวันออกกลับมาคึกคักอีกครั้ง มนสิชาได้โอกาสเดินไปคุยกับแม่ค้าแอปเปิ้ลที่นั่งอยู่ เธอเป็นหญิงร่างท้วมตัวสูง หน้าตาซีเรียส มนสิชาแอบคิดว่าแผงของเธอคงไม่ต้องการใครมาปกป้อง เพราะเธอท่าทางจะปกป้องตัวเองได้แน่ๆ "ลูกละสิบห้าบาทจ้า กรอบหวานทุกลูกเลยนะ" แม่ค้าเอ่ย "เรามาถามเรื่องคนที่ชื่อโอ๊ตน่ะคะ" ปุยฝ้ายถามแทน ชูครีมเดินตามมาทีหลัง เพราะถือของกินพะรุงพะรัง "เขาตื่นไปนานแล้วนี่" แม่ค้าสาวบอก ดูแปลกใจที่มีคนมาถามเรื่องโอ๊ต "ค่ะ เพราะเขาตื่นแล้ว เราเลยอยากได้ข้อมูลของเขาไงคะ" มนสิชาบอก "แล้วแม่ค้าก็เป็นคนเดียวที่รู้เรื่องโอ๊ตด้วย" "ฉันเองก็รู้อะไรไม่มากหรอกค่ะ รู้แค่ว่าก่อนมาที่นี่เขากระโดดให้รถชน พอรู้ตัวอีกทีก็ติดอยู่ในความฝันแล้ว เขาเป็นคนที่ไม่มีอนาคตและไม่นึกถึงอดีต เขาพอใจที่สามารถเริ่มต้นชีวิตในความฝันใหม่ได้ เคยมาคุยกับฉันว่าจะไม่ตามหาวิธีตื่น แต่แค่สามวันที่เขามาอยู่ที่นี่ เขาก็ตื่นขึ้นค่ะ" ทั้งสามคนเงียบฉี่ ต่างคนต่างนึกว่าต้องถามอะไรอีก แต่
วันเลือกตั้งใกล้เข้ามาทุกที นักเรียนทุกคนรอการหาเสียงจากแต่ละทิศอย่างตื่นเต้น เริ่มต้นจากทิศใต้ที่เน้นการศึกษา พวกเขารู้ดีว่านักเรียนที่อยู่ในโรงเรียนปัจจุบันเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับการศึกษาอยู่แล้ว ขณะเดียวกันนักเรียนทุกคนก็รู้ว่าหากอยากเรียนมากๆให้ไปทิศใต้ ดังนั้นจึงไม่สามารถตามหานักเรียนที่สนใจการศึกษาได้มากไปกว่านี้ สุกฤตจึงใช้เรื่องอื่นจูงใจนักเรียนแทน เขาสั่งให้อัศวินลอบไปทิศอื่นเพื่อปิดป้ายประกาศเสนอคูปองกินฟรีตลอดหนึ่งเดือนสำหรับนักเรียนใหม่ เพียงย้ายที่อยู่ไปในทิศใต้ก่อนวันเลือกตั้งเท่านั้น นักเรียนชายร่างท้วมเดินไปดูป้ายอย่างสนใจ พลางกอดคอเพื่อนหุ่นพอๆกับเขาไปด้วย พวกเขาอยู่ทิศตะวันออก ที่นี่ช่างสดใสเมื่อได้ปรับปรุงที่อยู่ใหม่ ส่วนคนที่ย้ายไปก็เริ่มกลับมาบ้างแล้ว "สมุทร นายว่าเราย้ายโรงเรียนกันสักเดือนดีไหม" ลำธารเพื่อนรักเอ่ยให้ฟังด้วยแผนการ "นายหมายถึง ย้ายไปเพื่อรับอาหารฟรีงั้นเหรอ" สมุทรหัวเราะในลำคอ "ก็ไม่มีใครตามมาบังคับให้เราต้องอยู่ที่นั่นตลอดไปนี่นา แถมพวกเรายังเป็นแรงงานไร้ฝีมื







