เข้าสู่ระบบสองชั่วยามถัดไป [1]
เพราะฮูหยินเว่ยชวนนางคุยนานไปหน่อยทั้งยังชวนนางร่วมโต๊ะอาหารอีกจึงทำให้นางเดินทางกลับบ้านช้ากว่าที่คิดเอาไว้ กว่าไป๋ฉางอวี้จะมาถึงบ้านก็เป็นเวลาเกือบยามเซิน [2] แล้ว เมื่อมองไปที่หน้าบ้านก็เห็นสองพ่อลูกนั่งอยู่ที่บันไดหน้าบ้านเหมือนว่ารอคอยการกลับมาของนางอย่างไรอย่างนั้น
อาหยวนที่เห็นนางถือของพะลุงพะลังทั้งสองข้างเป็นต้องรีบวิ่งเข้ามารับนางด้วยความรวดเร็ว
“ท่านแม่! ท่านกลับมาแล้วข้าช่วยถือนะขอรับ”
“เด็กดีรู้ความเสียจริงนี่ข้ามีอะไรจะให้”
ก่อนกลับจากในเมืองนางแวะซื้อของเล่นมาฝากเขาเพราะจากที่ดูในบ้านแล้วเด็กคนนี้ไม่มีของเล่นสักชิ้นน่าสงสารยิ่งนัก
“ว้าว! นี่ของข้าจริงๆ หรือขอรับท่านแม่”
“ใช่ เข้าไปหาท่านพ่อกันเถอะ”
“ขอรับ”
นางกับอาหยวนที่ยืนอยู่หน้ารั้วบ้านอยู่นั้นพร้อมใจกันหันไปมองที่บันไดชานบ้านที่ยังคงมีเหวินเซียวเย่นั่งคอยอยู่ตรงนั้นเพียงลำพัง ใบหน้าหล่อเหลาเหม่อมองออกมายังทิศทางหน้าบ้านแววตาดูไร้ความสุขอยู่และมีแววกังวลอย่างเห็นได้ชัด
‘หรือเขากลัวว่านางจะไม่กลับมางั้นหรือ’
“ท่านพี่มานั่งทำอะไรตรงนี้กันเจ้าคะ อากาศเย็นมากแล้วเข้ามาด้านในกันเถอะ”
ไป๋ฉางอวี้ร้องถามแล้วเดินผ่านตัวเขาเข้าไปในบ้านก่อนจะวางข้าวของเหล่านั้นลงอย่างเบามือที่สุด
“ข้าแวะซื้อหมั่นโถวมาฝากพวกท่านด้วยกินเสียหน่อยนะเจ้าคะ ข้าจะไปเข้าครัวทำอาหารเย็นก่อน”
“ข้ายังไม่หิว”
“แต่ว่าข้าตั้งใจซื้อกลับมาฝากท่านและอาหยวนเลยนะ”
“บ้านของเราไม่มีเงินมากมายพอที่จะซื้อของกินเล่นเช่นนั้นนะ”
“คือวันนี้ข้านำของไปขายในเมืองมาน่ะเจ้าค่ะ ท่านอย่าสนใจเลยกินหมั่นโถวนี่่ก่อนเถอะ”
“แล้วอาหยวนเล่า”
“น่าจะนั่งเล่นของเล่นอยู่หน้าบ้าน ท่านกินเสียหน่อยนะเจ้าคะ”
“ก็ได้”
เขารับเอาหมั่นโถวไปจากมือของนาง ไป๋ฉางอวี้อมยิ้มเล็กน้อยก่อนจะหันไปสนใจข้าวของที่ซื้อมาเพื่อนำไปเก็บในห้องครัว
“เจ้าไม่ต้องทำอาหารหรอกข้าจะทำเอง”
“ฮึ ท่านกลัวว่าจะกินไม่ได้สินะ”
“ข้าก็แค่อยากจะแบ่งเบาภาระของเจ้าก็เท่านั้น”
“ท่านก็ไปยืนคอยสอนข้าก็ได้นี่นา หากมัวแต่ทำให้ข้ากินเช่นนี้แล้วเมื่อไหร่ข้าจะทำเป็นเสียทีล่ะ”
“เอาอย่างนั้นก็ได้”
เมื่อพูดจบอยู่ๆ เขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ด้วยความรวดเร็วจนไป๋ฉางอวี้เป็นต้องตื่นตกใจรีบเข้าไปประคองเขาทันที
“ท่านจะลุกขึ้นทำไมกันเดี๋ยวก็หกล้มหรอก มาข้าจะประคองท่านไปเองจะไปห้องครัวใช่หรือไม่”
“อืม”
นางจูงแขนของผู้เป็นสามีเข้าไปในห้องครัวก่อนจะกลับออกไปเอาข้าวของที่ซื้อมาจากในเมือง แท้จริงแล้วของที่นางซื้อมานั้นมีเพียงหยิบมือแต่ที่เหลือนางเอาออกมาจากระบบวิเศษของนางนั่นเอง
‘จะเสียเงินซื้อไปทำไมกันเล่าในเมื่อของบางอย่างนางก็มีอยู่แล้ว’
ไป๋ฉางอวี้ยังคงวุ่นวายอยู่กับการจัดห้องครัวโดยมีเหวินเซียวหยวนคอยช่วยอีกแรง
“ท่านแม่ของพวกนี้เอาไปไว้ที่ไหนหรือขอรับ”
“หืม อ้อผักดองเจ้าเทใส่จานนี่เอาไว้ส่วนกระดูกหมูเทใส่ชามข้าจะล้างก่อนถึงจะเอามาปรุงอาหาร จำได้ใช่หรือไม่”
“ขอรับ”
“กระดูกหมูกับผักดองงั้นหรือ เจ้าไปเอาของพวกนี้มาจากไหนกัน”
“ถามมาได้ก็ซื้อมาน่ะสิเจ้าคะ”
“บ้านของเราแทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลยของพวกนี้ราคาสูงยิ่งนักไปได้มาได้อย่างไร”
“เอาน่าข้าไม่ได้ไปปล้นของใครเขามาหรอกท่านสอนข้าทำอาหารก็พอแล้ว ส่วนเรื่องอื่นปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าเถอะ”
“ข้าวของดูมากมายนักเจ้าหอบกลับมาได้อย่างไรหรือว่ามีใครมาส่งเจ้างั้นหรือ”
ไป๋ฉางอวี้ที่ฟังน้ำเสียงขุ่นเคืองของเขานั้นก็เลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัยก่อนจะหันไปมองหน้าของผู้เป็นสามีที่เวลานี้คิ้วทั้งสองข้างขมวดเข้าหากันแน่น แววตาของเขาเองก็ดูจะขุ่นเคืองไม่น้อย
‘เขาห่วงนางงั้นหรือ หรือว่าหวงกลัวว่าจะมีใครมาส่งนางกัน’
“จะมีใครมาส่งข้าที่ไหนกันเล่าเจ้าคะ ข้าจ้างรถม้ามาต่างหากเล่า”
“ทั้งอาหารเหล่านี้ทั้งรถม้า เจ้าไปเอาเงินมาจากที่ไหน”
“เหตุใดท่านถึงพูดมากเช่นนี้กันเล่า ข้าไม่ปิดบังท่านก็ได้แหวนของข้าที่ติดตัวมาข้านำไปขาย”
“เจ้าว่าอะไรนะ!”
“จะตกใจไปทำไมมีเงินแล้วค่อยไปรับคืนก็ยังได้ เอาล่ะเมื่อรู้ที่มาของมันแล้วท่านก็มาสอนข้าทำอาหารได้แล้วมืดค่ำมากกว่านี้อาหยวนได้หิวไส้ขาดพอดี”
“สะ ไส้ขาด?” อาหยวนที่ได้ยินผู้เป็นมารดาเอ่ยออกมานั้นก็ถึงกับผงะไป
“อืม ไส้ขาดหากไม่กินข้าวเจ้าก็จะปวดตรงนี้เหมือนไส้ขาดออกจากกันเลย”
“ฉางเอ๋ออย่าพูดให้ลูกกลัวเช่นนั้นสิ”
“ข้าเพียงแค่ล้อเล่น”
เขาส่ายหน้าให้นางเล็กน้อยก่อนจะลุกขึ้นไปยืนอยู่ข้างๆ มือทั้งสองข้างก็จับขอบโต๊ะอาหารเอาไว้ดูเหมือนกำลังโอบนางเอาไว้ไม่ผิด
ไป๋ฉางอวี้เริ่มรู้สึกว่าใบหน้าของนางเริ่มร้อนผ่าวขึ้นมาทีละนิด นางเคยได้ใกล้ชิดบุรุษแบบนี้ที่ไหนกันเล่า
“ทะ ท่านควรให้ข้าประคองนะ”
“ผู้ใดขอให้เจ้าทำกัน”
“ปากของท่านนี่มัน ช่างเถอะข้าจะถือเสียว่าไม่ได้ยิน”
ไป๋ฉางอวี้ยังคงไม่เข้าใจตนเองว่าเหตุใดถึงได้ใจเต้นแรงเช่นนี้ทั้งยังรู้สึกเขินเวลาได้อยู่ใกล้เขา นางรีบหันหลังเดินออกจากห้องครัวด้วยความรวดเร็วท่ามกลางการจ้องมองจากสามีและก้อนแป้งตัวกลมๆ อีกหนึ่ง
“แล้วท่านแม่ไม่เรียนทำอาหารกับท่านพ่อแล้วหรือขอรับ”
“ไม่รู้สิ”
เพราะเมื่อครู่นางยังคงเขินอายผู้เป็นสามีไม่จางหายเมื่อกินอาหารค่ำกันเรียบร้อยหลังจากทำความสะอาดและจัดการตนเองเสร็จไป๋ฉางอวี้ก็เข้านอนทันที
การเดินทางไปมาระหว่างตัวเมืองแม้จะนั่งอยู่บนรถม้าสบายๆ แต่หนทางที่ใช้สัญจรนั้นกลับขรุขระยังไม่ดีเหมือนในตัวเมืองใหญ่ๆ เท่าใดนัก เมื่อหัวถึงนอนไป๋ฉางอวี้ก็หลับสนิทไปทันใดทิ้งไว้เพียงสามีและบุตรชายที่เอาแต่จ้องมองนางด้วยความงุนงงไม่จางหาย
“ท่านพ่อท่านแม่ยังโกรธท่านอยู่หรือ”
“นางทำอะไรอยู่งั้นหรือ”
“นางไม่ได้ทำอะไรแต่หลับไปแล้วขอรับ”
“เช่นนั้นก็ปล่อยให้นางนอนไปเถอะ พวกเราก็นอนได้แล้วล่ะ”
“ขอรับ”
“อื้อ อย่ามากวนข้า”
เสียงบทสนทนาของสองบุรุษต่างวัยทำให้สตรีที่นอนด้านในสุดของเตียงนอนรู้สึกรำคาน เสียงของคนทั้งคู่เหมือนเสียงแมลงหวี่แมลงวันที่คอยบินตามนางอย่างไรอย่างนั้น
ปากน้อยๆ ของนางเผยอออกมาเล็กน้อยและไม่ได้ตื่นขึ้นมาแต่อย่างใด อาหยวนที่เห็นท่าทางน่ารักของผู้เป็นมารดาก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา
“ท่านพ่อข้าว่าท่านแม่เปลี่ยนไป เปลี่ยนไปมากจริงๆ”
“ก็ดีแล้วไม่ใช่หรือ เด็กดีนอนลงได้แล้ว”
“ขอรับ”
เหวินเซียวหยวนทิ้งตัวลงนอนตรงกลางระหว่างบิดาและมารของเขาก่อนจะหันไปมองใบหน้าสวยหวานของผู้เป็นมารดา แม้ว่าบางครั้งมารดาของเขาผู้นี้จะจดจำเรื่องราวบางอย่างไม่ได้ไปบ้างแต่เขากับชอบที่นางเป็นเช่นนี้มากกว่าเมื่อก่อนหลายเท่านัก
-เช้าวันถัดไป-
เพราะเมื่อวานได้ยินที่ฮูหยินเว่ยบอกว่าที่หมู่บ้านเฟิ่งหวงมีโรงงานทำเครื่องปั้นดินเผาตั้งอยู่ไม่ไกลจากตัวหมู่บ้านนักและยังเปิดให้ชาวบ้านบริเวณใกล้เคียงเข้าไปทำงานหลากหลายหน้าที่ เช้าวันนี้ไป๋ฉางอวี้จึงคิดจะไปสมัครทำงานในที่แห่งนั้นนั่นเอง
“อาหยวนเจ้าอยู่บ้านคอยเฝ้าท่านพ่อเอาไว้คอยหยิบจับช่วยเหลือเขาเข้าใจหรือไม่”
“ขอรับท่านแม่”
“เจ้าจะไปที่ใด”
“คือว่าข้าจะไปที่โรงเคลือบดินเผาเสียหน่อยน่ะเจ้าค่ะ”
“ไปทำไม”
“ก็เห็นชาวบ้านหลายคนชักชวนกันไปทำงานแลกเงินรายวันได้ค่าแรงวันละร้อยอีแปะเลยนะเจ้าคะ”
ได้ยินดังนั้นเหวินเซียวเย่ก็หลุบสายตาลงเล็กน้อยเขารู้สึกว่าตนเองนั้นไร้ค่ายิ่งนักไม่สามารถช่วยเหลืออะไรนางได้เลยสักเพียงนิดได้แต่ปล่อยให้นางทำงานหาเลี้ยงเขาเช่นนี้ ไป๋ฉางอวี้ที่พอจะมองออกว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่จึงเดินเข้าไปหาเขาทีละก้าว
“ท่านพี่เวลานี้บ้านของเรามีเงินไม่มากพอที่จะส่งอาหยวนไปเรียนหนังสือดังนั้นหน้าที่การดูแลลูกเป็นของท่าน ข้าหวังว่าท่านจะดูแลเขาแทนข้าได้”
“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว”
“ก็ดีเจ้าค่ะข้าจะออกไปข้างนอกแล้ว เรื่องในบ้านฝากท่านด้วย”
“ระวังตัวด้วยล่ะ”
ไม่อยากพูดสิ่งใดปลอบใจเขาเพราะเท่ากับเป็นการสร้างรอยแผลให้เขาเพิ่ม นางคงทำได้เพียงเท่านี้
- - - - - - -
[1] สองชั่วยาม = 4 ชั่วโมง
[2] ยามเซิน = 15.00-17.00 น
เหวินเซียวเย่ คือบุตรชายของหนึ่งในอนุใต้เท้าเว่ยผู้ที่หนีหายออกไปจากจวนเพราะถูกรองฮูหยินใส่ร้ายเรื่องคบชู้กับทหารในจวนทหารคนสนิทที่คอยอยู่เคียงข้างใต้เท้าเว่ยผู้นั้นถูกลงโทษโบยจนตายไป ก่อนหน้าที่จะรับโทษเขาได้วางแผนให้นางหนีออกไปจากจวนไม่ว่าใต้เท้าเว่ยจะออกตามหานางเท่าใดก็ไม่เคยได้พานพบกันอีกเลยฮูหยินเว่ยไม่คิดว่าบุตรชายที่เกิดจากสายเลือดที่แท้จริงของเขานั้นจะยังมีชีวิตอยู่ น่าเสียดายที่ใต้เท้าเว่ยไม่อาจพานพบเขาได้อีกแล้วลายปักผ้าที่ฮูหยินเว่ยยังคงทะนุถนอมมาจนถึงทุกวันนี้นั้นคือผ้าเช็ดหน้าที่มารดาของเหวินเซียวเย่เป็นคนทำขึ้นมา ลวดลายที่คล้ายคลึงกันกับของสามีไป๋ฉางอวี้เป็นเหตุให้นางโยงเรื่องราวทั้งหมดจนทั้งสองคนได้มาพบกันอีกครั้ง“ฮูหยินแม้ว่าข้าจะมีสายเลือดตระกูลเว่ยก็จริงแต่ว่าข้าก็เป็นเพียงบุตรของอนุเท่านั้นหาได้มีสิ่งใดเหมาะสมกับตระกูลของท่านไม่ ท่านได้โปรดอย่าใส่ใจข้าอีกเลยขอรับ”“พูดอะไรเช่นนั้นมารดาของเจ้าเว่ยอิงเป็นเหมือนน้องสาวของข้าหากว่าไม่มีนางข้าก็คงตรอมใจเรื่องอนุคนที่พ่อของเจ้ารับเข้าจวนมานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว นางเป
เวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่าในที่สุดนางก็มาอาศัยอยู่ในตัวเมืองได้หนึ่งเดือนเต็มๆ แล้ว ร้านค้าของนางแรกเริ่มขายเพียงสุราและอาหารเท่านั้น ส่วนกระเบื้องเคลือบเหล่านี้นางยังคงเก็บสะสมเอาไว้บนชั้นวางเพื่อเรียกความสนใจจากลูกค้าเท่านั้นยังไม่ได้เปิดขายจริงจังเสียทีเพราะงานในร้านที่มากมายจนในแต่ละวันแทบไม่มีเวลาพักทำเอานางลืมเรื่องนั้นไปเสียสนิท ปานรูปหัวใจในที่ลับของเหวินเซียวเย่!กลางดึกคืนนั้นไป๋ฉางอวี้ตื่นขึ้นมาเพราะได้ยินเสียงตะกุกตะกักด้านล่างของร้านค้าแต่เมื่อหันไปมองด้านข้างของตนกลับพบเพียงความว่างเปล่า“ท่านพี่หายไปไหนนะ”ไป๋ฉางอวี้ที่คิดว่าเสียงที่ได้ยินเมื่อครู่อาจเป็นเสียงของผู้เป็นสามีนางจึงลุกจากเตียงนอน แต่ทันใดนั้นอาการวิงเวียนหน้ามืดก็ตีตื้นขึ้นมารู้สึกได้ว่าห้องของนางหมุนได้อาการหน้ามืดเช่นนี้ไม่ใช่ว่านางจะเป็นบ่อยๆ หรือเพราะนางทำงานหนักเกินไปงั้นหรือไป๋ฉางอวี้เลิกคิดฟุ้งซ่านก่อนจะค่อยๆ เดินออกจากห้องนอนแล้วลงมาที่ชั้นล่างเมื่อมาถึงก็ต้องแปลกใจที่เครื่องเคลือบที่สั่งมาก่อนหน้านี้ถูกวางตั้งเอาไว้บนโต๊ะหลายหลายชิ้นที่สำคัญลวดลายเหล่านี้ไม่ใช่
“ในที่ลับของสามีท่านมีปานรูปหัวใจหรือไม่”“พรู๊ด!”“พ่อบ้านซือเหตุใดจึงถามเช่นนี้กันเล่า”ไป๋ฉางอวี้ตกใจจนถึงกับพ่นน้ำชาออกมาใบหน้าของนางแดงก่ำเพราะความเขินอาย‘มาถามเรื่องลับๆ แบบนี้ได้อย่างไรกันนะนางใช่ว่าจะเคยร่วมหอกับเขาเสียที่ไหนกันเล่า คนที่เคยๆ ทำเรื่องนั้นมันก็ภรรยาคนเก่าของเขานี่นาใช่นางเสียที่ไหนกัน’“ก็ท่านกับเขาเป็นสามีภรรยากันย่อมรู้เห็นทุกเรื่องของกันและกันอยู่แล้ว ก่อนหน้าข้าไม่กล้าถามแต่ในเมื่อท่านเป็นคนเริ่มข้าถึงได้กล้าถามออกมาอย่างไรเล่า”“คือว่า”“หืม”ไป๋ฉางอวี้มองหน้าอีกฝ่ายอย่างจนใจตั้งแต่ทะลุมิติมานางได้นอนร่วมเตียงกันกับเขาก็จริงแต่ได้เคยร่วมรักกันที่ไหนเล่ากลางดึกสงัดของคืนนี้ไป๋ฉางอวี้หยิบเอาน้ำหอมออกมาจากระบบวิเศษ น้ำหอมที่มีกลิ่นจางๆ แต่ทำให้เพศตรงข้ามต้องการบางอย่างจากตัวของสตรีได้‘ไม่เอาน่าข
“หุบปากน่า”“!”น้ำเสียงที่กำลังตวาดผู้เป็นน้องชายของเขานั้นทำเอาสองสตรีหันมาจ้องมองพวกเขาในทันที“มีอะไรหรือเจ้าคะ”“ไม่มีอะไร/ไม่มีอะไร”ทั้งคู่รีบตอบพวกนางพร้อมกันทันทีเมื่อเวลาล่วงเลยไปพอสมควรแล้วครอบครัวของเหวินเซียวเผยก็ขอตัวกลับไปเก็บของที่บ้านด้วยความรู้สึกตื่นเต้นดีใจยิ่งนัก-เช้าวันถัดไป-รถม้าจากสกุลเว่ยเข้ามารับสุราจากบ้านของนางตั้งแต่เช้าตรู่ไป๋ฉางอวี้ที่ตกลงกับผู้เป็นสามีเรียบร้อยจึงฝากความไปถึงฮูหยินเว่ยว่าวันพรุ่งนี้เช้าทั้งครอบครัวจะย้ายเข้าไปอยู่ในเมืองตามที่ได้ตกลงกันมาก่อนหน้านี้พ่อบ้านซือที่ได้ยินดังนั้นก็ตื่นเต้นดีใจอย่างยิ่งรีบควบรถม้ากลับเข้าเมืองไปอย่างไว“ดีใจอะไรถึงเพียงนั้นกันนะ”ไป๋ฉางอวี้ที่ยืนส่งเขาอยู่หน้าประตูอดไม่ได้ที่จะส่ายหัวให้คนแก่อย่างเขาคืนนั้นทั้งคืนนางนั่งเก็บของลงหีบเก่าๆ ความตื่นเต้นที่จะได้ย้ายบ้านทำเอานางนอนไม่หลับทั้งคืนเช้าวันนี้ขอบตาของนางจึงบวมเปล่งอย่
ไป๋ฉางอวี้ที่เดินตามสองแม่ลูกสกุลเว่ยมาจนถึงใจกลางของตัวเมืองลั่วหนานมาหยุดอยู่ตรงร้านค้าร้านหนึ่ง นางเงยหน้าขึ้นมองอาคารร้านค้าสองชั้นที่ตั้งตระหง่านตรงหน้าด้วยความรู้สึกทึ่งเล็กน้อยคุณชายใหญ่เว่ยผู้นี้มากด้วยสมบัติและรูปโฉมเสียจริงหากว่านางทะลุมิติเข้ามาอยู่ในร่างของสตรีที่ไม่มีพันธะใดๆ แล้วล่ะก็ไม่แน่นางอาจจะใช้เสน่ห์ของสตรีเกี้ยวของดูสักครั้งก็เป็นได้‘ไม่ได้สิรูปร่างหน้าตาของเขาคล้ายพี่ชายของนางเมื่อชาติที่แล้วเช่นนี้ จะไปคบหาเขาได้ลงคอได้อย่างไรกัน น่าขนลุกจะตายไป’“เจ้าเป็นอะไร”“เจ้าคะ”“ข้าเห็นเจ้าทำหน้าตาแปลกๆ”“เอ่อ คือว่าข้าคิดว่ามันใหญ่โตไปหรือไม่เจ้าคะคุณชาย”“ไม่หรอกนี่เหมาะสมแล้ว อยู่ใจกลางเมืองทั้งยังมีข้าวของที่เหมาะกับการค้าที่เจ้าตั้งใจจะทำอีกด้วย”“จริงหรือเจ้าคะ”“เดิมทีร้านนี้คือร้านขายอาหารน่ะแต่เจ้าของย้ายออกไปอยู่ในเมืองหลวงจึงทิ้งร้างเอาไว้ ข้าจึงได้รับซื้อเอาไว้ไปดูข้างในกันเถอะ”“เจ้าค่ะ”นางเดินตามฮูหยินและคุณชายเว่ยเข้าไปด้านในร้าน ภายในถูกตกแต่งเอาไว้อย่างงดงามทางเด
ไป๋ฉางอวี้ที่นอนคิดมาทั้งคืนเช้าวันนี้นางจึงตัดสินใจที่จะเดินทางเข้าไปในตัวเมืองเพื่อไปพบฮูหยินเว่ยผู้นั้นอีกครั้งครั้งนี้นางนำไวน์ออกมาจากระบบมากมายหลายชนิดหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะสามารถไถ่ถอนที่ดินที่เหวินเซียวเย่นำไปจำนำเอาไว้ได้ภายในบ้านสกุลเว่ย“ฮูหยินเจ้าคะแม่นางไป๋มาขอพบเจ้าค่ะ”“ไป๋ฉางอวี้มางั้นหรือ”“เจ้าค่ะ”“วิเศษเสียจริง”นางรีบกุลีกุจอออกไปต้อนรับสตรีตัวน้อยหน้าบ้านท่ามกลางการจับจ้องมองของบุรุษหนุ่มผู้หนึ่ง“ท่านแม่จะไปไหนรีบร้อนเสียจริง”“ฮูหยินจะไปพบสตรีที่นำสุราวิเศษผู้นั้นมาขายน่ะเจ้าค่ะคุณชาย”“สุราวิเศษที่พ่อบ้านซือบอกว่าล้ำค่ามากนักน่ะหรือ”“เจ้าค่ะ”“เป็นใครมาจากไหนกันนะ”คุณชายใหญ่เว่ยจ้องมองผู้เป็นมารดาที่เดินแกมวิ่งไปยังศาลาหลังงามกลางสวนดอกไม้ ดูท่าทางที่ดีใจจนออกนอกหน้าของนางนั้นเหมือนว่ามารดาของเขาจะถูกชะตากับเด็กคนนี้เป็นอย่างมากเมื่อจ้องมองไปที่ศาลาหลังนั้นอีกครั้งก็พบเพียงแผ่นหลังตรงสวย ผมที่ยาวสยายถูกมัดรวบไว้ลวกๆ อย่างไม่ใส







