"โอ๊ย พี่สาวข้าเจ็บนะขอรับ" เสียงร้องโอดโอยของสวีชางหมิงยังคงดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง มือหนาของเขาพยายามแกะมือคนเป็นพี่ออกจากใบหู ทว่ามือเล็กของสวีอี้ฝานเกาะหนึบราวกับตีนตุ๊กแก ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่สามารถดึงมือของนางออกได้เลย
"เป็นเด็กเป็นเล็กริอ่านเข้าหอนางโลม หนำซ้ำยังกล้าไปทะเลาะเบาะแว้งกับพวกนักเลงหัวโจกเพราะแย่งสตรีคนเดียวกัน ข้าไม่ดึงหูเจ้าขาดไปก็ดีแค่ไหนแล้ว" สวีอี้ฝานกล่าวเสียงดุ สวีชางหมิงเพิ่งจะอายุสิบห้าหนาว อายุห่างกับนางสองปี ท่านพ่อท่านแม่อุตส่าห์ส่งให้ไปเรียนที่สำนักศึกษาแต่กลับหนีออกมาเที่ยวหอนางโลม หากยังดีที่เกาถังฉลาดพอ เขาเลือกที่จะวิ่งไปขอความช่วยเหลือจากนางที่จวนสกุลเปา เพราะถ้าหากเขาวิ่งกลับไปที่จวนสกุลสวีและท่านพ่อกับท่านแม่รู้ต้องกลายเป็นเรื่องใหญ่อย่างแน่นอน "ข้าผิดไปแล้ว พี่สาวอภัยให้ข้าด้วยเถิด โอ๊ยย" ท้ายประโยคเขาร้องเสียงดัง เมื่อสวีอี้ฝานใช้มือบิดหูของเขาอย่างแรง หยดน้ำตาไหลปริ่มคลออยู่ที่หน่วยตา อีกไม่นานหูของเขาคงได้หลุดติดมือของพี่สาวออกมาจริงๆแน่ สวีอี้ฝานถอนหายใจออกมาแรงๆหนหนึ่ง ก่อนจะดึงมือกลับ ปล่อยใบหูของสวีชางหมิงให้เป็นอิสระ ชายหนุ่มเห็นเช่นนั้นจึงถลาเข้ามานั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้าของพี่สาว สีหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด "พี่สาว ข้าผิดไปแล้วจริงๆ อภัยให้ข้าด้วยเถิด" "หมิงหมิง หนนี้จะเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่ข้าจะช่วยเจ้า หากมีครั้งต่อไปอีก ข้าจะฟ้องท่านพ่อกับท่านแม่" สวีชางหมิงได้ยินเช่นนั้น ร่างกายก็พลันชาวาบไปทั้งตัว หากท่านพ่อกับท่านแม่รู้ชะตาของเขาคงต้องขาดสะบั้นเป็นแน่ "เข้าใจแล้ว ข้าไม่กล้าอีกแล้วล่ะขอรับ" ชายหนุ่มตอบเสียงอ่อย สีหน้าจืดเจื่อน รู้สึกผิดต่อพี่สาวจริงๆไม่ได้เสแสร้ง สวีอี้ฝานได้ยินเช่นนั้นจึงผงกศีรษะรับเล็กน้อย "ข้าจะไปส่งเจ้าที่สำนักศึกษา กลับเข้าไปตั้งใจเรียน อย่าสร้างเรื่องวุ่นวายอีก" สวีชางหมิงขานรับเสียงแผ่ว ก่อนจะเหลือบมองหน้าคนเป็นพี่อีกหน ปากหนาเม้มเข้าหากันสลับกับคลายออกราวกับมีเรื่องให้ครุ่นคิด ตลอดทางสองพี่น้องไม่ได้พูดจากันอีก สวีชางหมิงรู้ว่าพี่สาวยังคงเคืองเขาเรื่องวันนี้จึงนั่งเงียบอย่างสงบเสงี่ยมมาตลอดทาง จวบจนกระทั่งรถม้าคันใหญ่มาหยุดอยู่ที่หน้าประตูทางเข้าสำนักศึกษา สวีอี้ฝานจึงโบกมือไล่น้องชาย ทว่าเพียงแค่ประตูเปิดออก เท้าใหญ่แตะลงไปบนพื้น สวีชางหมิงก็หันหน้ากลับมาเอ่ยกับนางอีกครั้ง "วันนี้พี่สาวเก่งมาก สักวันหนึ่งข้าจะเก่งให้ได้เหมือนพี่สาว" สวีชางหมิงยกนิ้วโป้งให้นางพลางแย้มยิ้มกว้างก่อนจะสาวเท้าวิ่งหายเข้าไปภายในสำนักศึกษา สวีอี้ฝานได้แต่มองตามตาปริบๆ 'นางเป็นคนเก่งงั้นหรือ ไม่เคยรู้ตัวมาก่อนเลย' ตลอดเวลาที่ใช้ชีวิตทำงานให้กับหวางจื่อชางอ๋อง นางก็ทำไปตามหน้าที่ๆได้รับ ไม่เคยมีผู้ใดชื่นชมนางเหมือนอย่างวันนี้มาก่อน ทว่าวันนี้ที่นางปกป้องสวีชางหมิง นางไม่ได้ทำเพราะเป็นหน้าที่ แต่นางทำเพราะต้องการปกป้องครอบครัว มุมปากบางยกยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย รู้สึกมีความสุขอย่างประหลาด หลังจบเรื่องวุ่นวายที่หอหมื่นบุปผา สวีอี้ฝานจึงเดินทางกลับมาที่จวนสกุลสวี ได้ความจากพ่อบ้านหลิวว่ายามนี้ท่านแม่ทัพเปาอี้ส่วงกลับมาจากวังหลวงแล้ว และตอนนี้ถูกฮูหยินผู้เฒ่าเรียกตัวไปพบ สวีอี้ฝานร้องอ้อออกมาเบาๆ จากนั้นจึงก้าวขาหมายจะเดินกลับหอนอน แต่เดินไปได้เพียงสองก้าวก็หันกลับมาหาพ่อบ้านหลิวอีกครั้ง "พ่อบ้านหลิวรู้หรือไม่ว่าฮูหยินผู้เฒ่าเรียกตัวท่านพี่ไปพบเรื่องอะไร" "ดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องของเฉียวเฉียวกับเพ่ยหลินนะขอรับ" วาจาของพ่อบ้านหลิวทำให้สวีอี้ฝานเหยียดยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้ สาวใช้สองคนนั่นคงจะวิ่งแจ้นไปฟ้องฮูหยินผู้เฒ่าให้เอาเรื่องนางสินะ "ฮูหยินเจ้าขา จะไม่เป็นอะไรจริงๆหรือเจ้าคะ" สีหน้าของหลิงหลิงเต็มไปด้วยความกังวล แต่เมื่อเห็นสวีอี้ฝานไม่ทุกข์ร้อน นางจึงอดถามไม่ได้ "อย่าได้กังวลไปเลยหลิงหลิง เรื่องนี้ข้าหาได้เป็นคนผิดเสียหน่อย" "แต่ถ้าหากฮูหยินผู้เฒ่าจะเล่นงานฮูหยิน นางคงไม่ยอมรับเป็นแน่ว่าเป็นคนหาเรื่องฮูหยินก่อน อีกทั้งนางยังเป็นถึงท่านย่าของท่านแม่ทัพ บ่าวเกรงว่าท่านแม่ทัพจะเชื่อที่นางพูดน่ะสิเจ้าคะ" สวีอี้ฝานชะงักไปเล็กน้อย ครุ่นคิดตามคำพูดของหลิงหลิง ทว่ายังไม่ทันจะได้เอ่ยปากตอบก็เห็นร่างสูงของใครบางคนกำลังเดินตรงมาทางนี้แล้ว "สวีอี้ฝานใช่เจ้าหรือไม่" เสียงทุ้มขานเรียกชื่อของคนตัวเล็กโดยที่ดวงตายังคงมองตรงไปด้านหน้า ไม่ได้จับจ้องมาที่นางแต่อย่างใด ก็แหงสิ... เขาเป็นคนตาบอดนี่นา เดี๋ยวนะ ตาบอดงั้นหรือ! ดวงตากลมโตมองไปยังบันไดที่จะพาเดินลงไปยังสวนอุทยาน ทันใดนั้นบังเกิดความคิดบางอย่างขึ้นมาในหัว ขาเรียวก้าวตรงไปหยุดยืนอยู่ตรงขั้นบันได ทำท่าจะเดินลงไปยังสวนดอกไม้ แต่จู่ๆก็หยุดชะงักไป มือบางยกขึ้นกุมศีรษะ ก่อนจะทิ้งกายลงไปสู่เบื้องล่างทันที สวีอี้ฝานรับรู้ได้ถึงความเคว้งคว้าง ตัวของนางล่องลอยอยู่กลางอากาศ ทว่าก่อนที่ร่างบางจะกระแทกพื้นเจ็บตัวพลันมีมือหนาของใครบางคนเอื้อมมาคว้าตัวของนางเอาไว้ได้ทัน เปลือกตาบางลืมขึ้นอย่างรวดเร็ว และได้เห็นดวงตาคมดุจเหยี่ยวของเปาอี้ส่วงจับจ้องมายังนางด้วยความตกใจ ในตอนนี้สวีอี้ฝานมั่นใจได้ทันทีว่าเขาไม่ได้ตาบอด! "เป็นอะไรหรือไม่" ชายหนุ่มรีบละสายตาจากคนตรงหน้า ในขณะที่ยังกอดร่างบางไว้ในอ้อมแขน หญิงสาวหรี่ตาลงเล็กน้อย จากนั้นจึงแสร้งพูดด้วยน้ำเสียงน่าสงสาร "ข้าเวียนศีรษะนิดหน่อยเจ้าค่ะ" "เช่นนั้นกลับไปพักผ่อนเถิด" กล่าวพลางย่อกายอุ้มคนตัวเล็กขึ้นมาไว้ในอ้อมแขน สวีอี้ฝานจึงใช้มือกอดคอของเขาเอาไว้ ปล่อยให้คนตัวโตอุ้มนางเดินกลับไปยังห้องหอ เปาอี้ส่วงสังเกตเห็นว่าระหว่างทางเดินกลับมายังห้องหอ สวีอี้ฝานส่งสายตาจดจ้องมองมายังเขาอย่างไม่ละสายตา เมื่อครู่นี้เขาทำพลาดเพราะเห็นว่าสวีอี้ฝานทำท่าจะตกบันได ด้วยความตกใจทำให้เขารีบพุ่งเข้าไปหานางเกรงว่านางจะได้รับบาดเจ็บ แต่ในตอนที่ตาสบตา เขาเห็นสีหน้าสงสัยของนางจึงรู้ได้ทันทีว่านางกำลังสงสัยว่าเขาตาบอดจริงๆหรือไม่ "ถึงห้องหอของเราหรือยัง" ทันทีที่มาหยุดยืนอยู่หน้าประตู เขาจึงแกล้งถามออกมาทั้งๆที่รู้อยู่เต็มอก "ถึงแล้วเจ้าค่ะ" หญิงสาวตอบเสียงเรียบ ในใจร้องเหอะออกมาเบาๆ สายไปแล้วล่ะท่านแม่ทัพ ข้ารู้ความจริงหมดแล้ว ตุ้บ! "โอ๊ะ!" นางส่งเสียงร้องออกมาเบาๆ ดวงหน้างามเหยเกด้วยความเจ็บพลางใช้มือลูบสะโพกของตนป้อยๆ เมื่อเปาอี้ส่วงปล่อยมืออย่างกะทันหันทำให้ร่างบางตกลงไปบนพื้น "ขอโทษ ข้ามองไม่เห็นเลยไม่รู้ว่าเตียงอยู่ที่ตรงไหน" เขากล่าวด้วยใบหน้าเรียบเฉย จากนั้นจึงแสร้งยื่นมือไปข้างหน้าควานหาเตียงก่อนจะหย่อนกายนั่งลง 'แกล้ง! เขาแกล้งนางแน่ๆ!' สวีอี้ฝานได้แต่เข่นเขี้ยวอยู่ในใจ ได้แต่ข่มกลั้นความโมโหเอาไว้เพราะเกรงว่าจะทำให้เหยื่อรู้ตัวเสียก่อน "ท่านพี่ อากาศวันนี้ร้อนอบอ้าว ข้ารู้สึกเหนียวตัวจะให้หลิงหลิงมาปรนนิบัติอาบน้ำเสียหน่อย" เปาอี้ส่วงไม่ว่าอะไร เดิมทีตั้งใจจะมาสอบถามถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อวานที่ฮูหยินผู้เฒ่าเรียกเขาไปพบและบอกว่าสวีอี้ฝานกลั่นแกล้งสาวใช้ทั้งสองคน แต่เมื่อซักไซ้สอบถาม เขาสังเกตเห็นพวกนางสองคนพูดจาไม่ตรงกันจึงจับได้ว่าพวกนางโกหก เขาจึงจัดการสั่งลงโทษให้พวกนางอดข้าวสามวัน แต่เมื่อเห็นว่าวันนี้ดูเหมือนว่าสวีอี้ฝานจะไม่สบาย เขาจึงไม่อยากนำเรื่องอื่นมาทำให้นางปวดหัว ชายหนุ่มจึงลุกขึ้นเดินออกไปจากห้องพร้อมเรียกหลิงหลิงเข้าไปปรนนิบัตินาง ยามซวี (19.00 - 20.59 น.) เปาอี้ส่วงก็เดินกลับมาที่ห้องหอ หลังจากปล่อยให้สวีอี้ฝานนอนพักผ่อนอยู่ในห้องตามลำพังหลายชั่วยาม แอ๊ด! ประตูไม้ถูกผลักให้เปิดออก หลิงหลิงเห็นคนมาใหม่ก็แย้มยิ้มเล็กน้อย จากนั้นจึงรีบเดินออกไปจากห้อง ปล่อยให้เจ้านายทั้งสองคนอยู่ด้วยกันตามลำพัง "ท่านพี่มาแล้วหรือเจ้าคะ" สวีอี้งานผุดลุกขึ้นจากเตียงเดินเข้ามาหา เปาอี้ส่วงเหลือบมองคนตรงหน้าเล็กน้อยเห็นว่านางอยู่ในชุดคลุมพร้อมนอนจึงคิดว่านางคงจะอาบน้ำเตรียมเข้านอนแล้ว "ข้าสั่งให้หลิงหลิงเตรียมขนมกุ้ยฮวาไว้ให้ ท่านพี่มาลองชิมหน่อยเถิดเจ้าค่ะ" กล่าวพลางเดินเข้ามาใกล้ จับมือคนตัวโตให้เดินไปนั่งอยู่ที่เก้าอี้ข้างโต๊ะกลม คิ้วกระบี่ของเปาอี้ส่วงขมวดเข้าหากันเล็กน้อย ครุ่นคิดด้วยความแปลกใจว่าเหตุใดวันนี้นางถึงได้เอาอกเอาใจเขาผิดแปลกไปจากปกติ "อากาศวันนี้ร้อนอบอ้าวยิ่งนัก ท่านพี่คิดเหมือนกันหรือไม่" นางเอ่ยพลางลุกขึ้นจากเก้าอี้ ปลดเสื้อคลุมตัวยาวออกจากตัว ทำท่าโบกมือคลายร้อนไปมา ปากหนาเผยอค้างเล็กน้อย ดวงตาคมเบิกกว้างจนแทบจะถลนออกมาจากเบ้า เมื่อเห็นว่านางอยู่ในชุดนอนตัวบางที่แทบจะปกปิดส่วนเว้าส่วนโค้งไว้ได้ไม่มิด และทันใดนั้นจู่ๆเขาก็รู้สึกได้ถึงของเหลวหนืดข้นที่บริเวณปลายจมูก เมื่อลองเอามือแตะดูพบว่าเป็นเลือดกำเดาของเขานั่นเอง 'แย่ชะมัด! ตั้งแต่เกิดมาจนถึงอายุยี่สิบสามปีเพิ่งเคยเลือดกำเดาไหลเพราะเห็นสตรีแต่งกายยั่วกำหนัดนี่แหละ' สวีอี้ฝานดีดนิ้วดังเปร๊าะกระโดดเข้ามาหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าของเขา ชี้นิ้วที่สั่นระริกไปที่คนตัวโต "จับได้แล้ว! ที่แท้ท่านก็ไม่ได้ตาบอดจริงๆด้วย!"หลายเดือนต่อมาสวีอี้ฝานได้ให้กำเนิดบุตรชายฝาแฝดแก่เปาอี้ส่วง สร้างความปีติยินดีให้แก่คนสกุลเปาและคนสกุลสวีอย่างมากเจ็ดวันหลังจากที่เจ้าก้อนแป้งคลอด สวีอี้ฝานก็ได้รับของขวัญที่ถูกส่งมาจากหวางจื่อชางอ๋อง นับตั้งแต่ที่เขาจากไปท่องยุทธภพ นางก็ไม่ได้พบเจอกับเขาอีกเลย เปาอี้ส่วงจัดการเปิดห่อของขวัญอย่างระมัดระวังพบว่ามันคือป้ายหยกสลักลวดลายมงคลหาใช่สิ่งของที่ใช้เกี้ยวสตรีอย่างที่เขานึกกลัวจึงค่อยโล่งใจไปบ้างแม้ตัวของหวางจื่อชางอ๋องจะจากไป แต่เปาอี้ส่วงรู้ว่าอย่างไรเสียคนผู้นั้นไม่มีทางตัดใจจากสวีอี้ฝานได้โดยง่าย เขาจึงยังมีความหวาดระแวงเกรงว่าหวางจื่อชางอ๋องจะกลับมาแย่งชิงสวีอี้ฝานไปจากเขาอยู่ยามนี้เจ้าเด็กแฝดทั้งสองคนอายุได้หนึ่งหนาวแล้ว เป็นเด็กอ้วนท้วนรูปร่างแข็งแรง พวกเขามีชื่อว่าเปาอี้เฉิงและเปาอี้หาน ยิ่งโตขึ้นก็ยิ่งได้เห็นพัฒนาการทางด้านหน้าตาทำให้ได้รู้ว่าเด็กๆทั้งสองคนถอดแบบจากคนเป็นพ่อแม่มาคนละครึ่ง ดูเป็นความแตกต่างที่สร้างสรรค์กันอย่างลงตัว คนที่ดูจะดีใจพอๆกับเปาอี้ส่วงที่เจ้าก้อนแป้งทั้งสองได้ถือกำเนิดขึ้นดูจะไม่พ้นเป็นฮูหยินผู้เฒ่า นับตั้งแต่ตอนที่เด็กๆเกิดมาจนถึงตอนนี้ ฮูห
ยามนี้สวีอี้ฝานตั้งครรภ์ได้หกเดือนแล้ว หน้าท้องกลมนูนขยายใหญ่ออกมาให้เห็นอย่างเด่นชัด ตอนที่ส่องกระจกทองเหลืองนางได้แต่ทอดถอนลมหายใจออกมาเบาๆ ไม่นึกเลยว่าการตั้งครรภ์ช่างลำบากยากเข็ญยิ่งนัก นอกจากรูปร่างที่เปลี่ยนไปจากเดิมอย่างมากแล้ว เวลาจะเดิน นั่งหรือนอนก็ไม่รวดเร็วเหมือนเมื่อก่อน ดีแต่ว่าเมื่ออายุครรภ์มากขึ้น อาการแพ้ท้องที่มีค่อยๆทุเลาลงไปมากแล้ว จากเดิมที่มักจะคลื่นเหียนเวลาที่ได้กลิ่นอาหาร แต่ตอนนี้นางกลับเจริญอาหารมากกว่าเดิมเพราะตอนนี้กำลังตั้งครรภ์ เปาอี้ส่วงจึงสั่งห้ามไม่ให้นางออกไปข้างนอกโดยที่ไม่มีเขาไปด้วย ทุกๆวันสวีอี้ฝานจึงได้แต่นั่งๆนอนๆอยู่ที่จวนสกุลเปาอย่างเบื่อหน่าย ยังดีที่ว่าหลี่อ้ายซีผู้เป็นมารดากับสวีหยางโปผู้เป็นบิดามักจะแวะเวียนมาเยี่ยมนางอยู่บ่อยๆ"ฮูหยินเจ้าขา ผลไม้มาแล้วเจ้าค่ะ" หลิงหลิงเดินเข้ามาพร้อมกับสาวใช้ในมือถือถาดใส่อาหารเข้ามาวางไว้ที่โต๊ะกลม สวีอี้ฝานที่นอนเล่นอยู่บนเตียงค่อยๆหยัดกายลุกขึ้น "หลิงหลิงเอามาให้ข้าที่เตียง" นางเอ่ย หลิงหลิงจึงรีบยกมาให้ตามคำบอก ร่างบางกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง บนตักวางถาดใส่ผลไม้พลางหยิบมันเข้าปากทว่ากินไปได้ไม่ก
ระหว่างที่สวีอี้ฝานกำลังร้องไห้สะอึกสะอื้นปานใจจะขาด ประตูห้องที่ปิดสนิทลงในตอนแรกก็ถูกเปิดออก ร่างสูงของเปาอี้ส่วงก้าวเข้ามาร่างกายเต็มไปด้วยเกล็ดขาวของหิมะ"ทุกคนมาทำอะไรที่ห้องของข้าขอรับ" ชายหนุ่มถามด้วยความงุนงง ก่อนจะรีบสาวเท้าก้าวเข้าไปหาภรรยา เมื่อได้เห็นหยาดน้ำตาของนาง หัวใจของเขาราวถูกบีบรัดอย่างรุนแรง"ฝานฝานเป็นอะไรไป ใครรังแกเจ้า" เขาถามพลางหันไปมองฮูหยินผู้เฒ่ากับหนิงเชา"ข้าเปล่านะ" จางเข่อซินรีบส่ายศีรษะไปมา ก่อนจะหันไปพยักเพยิดกับหนิงเชาเดินออกไปจากห้องเพื่อปล่อยให้สามีภรรยาได้อยู่ด้วยกันตามลำพังสวีอี้ฝานปาดน้ำตาออกจากใบหน้าอย่างลวกๆ มองสามีอย่างงอนๆ เดินเข้ามาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าของเขาพลางส่งสายตามองสำรวจทั่วตัว"ท่านพี่ท่องยุทธภพกลับมาแล้วหรือเจ้าคะ""ท่องยุทธภพอะไรกัน" คิ้วกระบี่ขมวดเข้าหากัน เปาอี้ส่วงถามด้วยความไม่เข้าใจ"ท่านพี่หนีข้ามาจากจวนสกุลสวีเพราะจะออกไปท่องยุทธภพมิใช่หรือเจ้าคะ""ใครบอกเจ้ากัน""หมิงหมิงบอกเจ้าค่ะ"เปาอี้ส่วงได้ยินเช่นนั้น เขาเปล่งเสียงหัวเราะออกมาดังลั่นด้วยความขบขัน เขาบอกสวีชางหมิงว่าจะไปส่งหวางจื่อชางอ๋องไปท่องเที่ยวทั่วยุทธภพต่างหากไ
"ฝานฝานไม่ต้องกินเต้าหู้ก็ได้ เปลี่ยนมากินข้าแทนเถิด" เขาจัดการพลิกคนร่างบางให้นอนหงาย ก้มหน้าลงหมายจะจุมพิตที่ปากจิ้มลิ้มอีกหน ทว่าสวีอี้ฝานกลับอาศัยจังหวะที่เขาเผลอ ทันทีที่ใบหน้าหล่อเหลาเคลื่อนต่ำลงมาใกล้ นางก็ใช้มือดันใบหน้าของเขาออกห่าง จากนั้นจึงตวัดกายลุกขึ้นนั่งคร่อมหยิบหมอนใบใหญ่มากระหน่ำฟาดไปยังคนใต้ร่าง"ข้ากำลังโกรธท่านอยู่มิใช่หรือ ไยถึงได้ยังกล้าทำตัวลามกอีกเล่า""โอ๊ยๆ ฝานฝานให้อภัยข้าเถิด ข้าไม่ได้ตั้งใจแต่ข้าสะกดกลั้นอารมณ์ไม่ไหวจริงๆ" มือหนายกมือขึ้นปัดป้อง สวีอี้ฝานจัดการเขาด้วยหมอนใบใหญ่จนเหนื่อยหอบ นางจึงหยุดพักนั่งหอบหายใจสะท้านโดยที่ยังนั่งคร่อมคนตัวโตอยู่"อึ่ก!" สวีอี้ฝานรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างที่ดุนดันออกมาผ่านเนื้อผ้าและตอนนี้มันกำลังทิ่มแทงไปที่กลางกายของนาง"ฝานฝาน ข้า..." เปาอี้ส่วงขานเรียกชื่อคนตัวเล็กเสียงเบา ดวงตาจับจ้องไปยังแก่นกลางกายที่นางกำลังนั่งทับอยู่สวีอี้ฝานก้มลงมองตามสายตาของเขาจึงได้เห็นแท่งหยกอันใหญ่ตั้งแข็งชี้โด่ขึ้น"ว้าย!" หญิงสาวอุทานร้องลั่นรีบปีนลงจากตัวเขาวิ่งไปหยุดยืนอยู่ข้างโต๊ะกลมเปาอี้ส่วงหยัดกายลุกขึ้นตาม เขาเดินตามเข้ามาใกล้
ข่าวเรื่องจอมโจรชุดดำแพร่กระจายไปทั่วทั้งเมืองหลวง สีหน้าของบรรดาเหล่าชาวเมืองต่างเต็มไปด้วยความสุข พวกเขาต่างพากันเปล่งวาจาชื่นชมแม่ทัพเปาอี้ส่วงอย่างไม่ขาดปาก จอมโจรชุดดำเปรียบเสมือนหนามยอกตำใจของชาวเมืองแคว้นฮั่นมาหลายปี พวกเขาต้องคอยอยู่อย่างหวาดผวาเพราะกลัวจอมโจรชุดดำออกอาละวาด ทว่ายามนี้ไม่ต้องคอยอยู่อย่างหวาดกลัวอีกต่อไปแล้ว ในเมื่อหัวหน้าจอมโจรชุดดำถูกจับตัวได้แล้ว อีกทั้งแหล่งกบดานของพวกมันยังถูกแม่ทัพเปาอี้ส่วงทำลายจนไม่เหลือซากฉีกังหรืออดีตท่านอาจารย์ฉีคือผู้ที่อยู่เบื้องหลังเหล่าจอมโจรชุดดำนี้ เมื่อทุกคนรู้ว่าเขาเป็นใครต่างพากันตกใจไม่น้อย ไม่นึกว่าคนที่สุภาพเปี่ยมไปด้วยความรู้และคุณธรรมอย่างท่านอาจารย์ฉีจะกลายเป็นคนร้ายตัวจริงไปเสียได้ ทว่าคนผิดก็ต้องได้รับโทษ หลักฐานที่มีมัดตัวฉีกังจนดิ้นไม่หลุด ยามนี้เขาถูกคุมขังไว้ที่คุกมืดเพื่อรอการตัดสินโทษต่อไปหวางฮ่องเต้พระราชทานรางวัลมากมายให้เปาอี้ส่วง ทว่าเขาไม่ขอรับความดีความชอบนี้ไว้เพียงผู้เดียว เพราะสวีชางหมิงก็มีส่วนช่วยให้เขาปราบจอมโจรชุดดำได้สำเร็จเช่นกันวันนี้ที่จวนสกุลสวีจึงมีรถม้าคันใหญ่หลายคันทยอยเข้าออก เบื้องหน้า
เช้ามืดเปาอี้ส่วงได้เคลื่อนกำลังพลไปยังป่ามืดที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของเมืองหลวง เวลาผ่านไปเพียงหนึ่งชั่วยามก็ไปถึงแหล่งกบดานของพวกจอมโจรชุดดำ เปาอี้ส่วงสั่งให้กองกำลังซุ่มอยู่บริเวณแนวเขารอบๆ ก่อนจะจัดการยิงธนูไฟไปที่กระโจมของพวกมันจนไฟติดพรึ่บฟ้ายังไม่ทันสางดีก็บังเกิดเปลวเพลิงขนาดใหญ่โหมกระหน่ำไปทั่วกระโจมของพวกมัน เสียงร้องโหวกเหวกโวยวายดังขึ้น บรรดาจอมโจรชุดดำต่างวิ่งวุ่นพากันช่วยดับไฟ เปาอี้ส่วงอาศัยช่วงจังหวะชุลมุนส่งสัญญาณให้กองทัพเคลื่อนลงไปโจมตีพวกมันในขณะที่กองทัพของแม่ทัพเปาอี้ส่วงกำลังเป็นต่อกลับมีกองกำลังของคนอีกกลุ่มหนึ่งปรี่เข้ามาห้อมล้อมคนของเปาอี้ส่วงเอาไว้อีกชั้นหนึ่ง เปาอี้ส่วงจำได้ว่าหัวหน้ากองกำลังผู้นั้นคือบ่าวรับใช้ผู้ติดตามของท่านอาจารย์ฉีกัง"คิดไว้ไม่มีผิดจริงๆ แท้ที่จริงแล้วท่านอาจารย์ฉีก็เป็นหัวหน้ากลุ่มโจรชุดดำจริงๆ""รู้แล้วท่านแม่ทัพจะทำอย่างไรได้ ป่านนี้ท่านอาจารย์ฉีคงพาพวกบรรดาเหล่าคุณชายไปถึงไหนต่อไหนแล้ว" ซุนเชากล่าวอย่างยิ้มเยาะในทุกๆปีท่านอาจารย์ฉีกังจะทำการคัดเลือกบรรดาคุณชายสกุลต่างๆไปที่วัดบนภูเขาอันเป็นแหล่งกบดานชั้นดีอีกที่หนึ่ง โดยนำวิชา