“ลงมาชำระกายกับข้าไหม... แพรวพราว”
เป็นคำชวนแรกจากผู้ชายที่เพิ่งรู้จักกันไม่ถึงครึ่งวัน หญิงสาวชะงักไป หล่อนไม่ได้เกิดความรู้สึกอยากลงไปในลำธารนิ่งสงบนั่นเสียเท่าไหร่ ทำแค่เพียงสลับกลับมานั่งพับเพียบอย่างเรียบร้อย พร้อมกับสบตาอีกฝ่ายอยู่ที่เนินตลิ่งอย่างใช้ความคิด
“ไม่ดีกว่าค่ะ” สุดท้ายจึงเลือกที่จะปฏิเสธออกไป
“มิไว้ใจข้าหรือ” ดวงหน้าคมคายนั้นฉีกยิ้มพรายทรงเสน่ห์ เขาเป็นผู้ชายที่ดูดีแถมเรือนกายกำยำล่ำสัน ที่ถ้าเป็นผู้หญิงใจง่ายทั่วไปคงแทบวิ่งเข้าใส่ หากแต่หญิงสาวยังตกอยู่ในความตะลึงพรึงเพริดจากเหตุการณ์ก่อนหน้าจนยากจะอธิบาย ถ้าพูดให้ถูกคือชายตรงหน้าเป็นใครก็ไม่รู้ เธอไม่เคยรู้จักเขา แถมเขาไม่ใช่คนในยุคสมัยที่เธอจากมา ถึงจะช่วยเหลือกันไว้แต่หญิงสาวก็ยังไม่ไว้เนื้อเชื่อใจนัก ก็เขาเลี้ยงสมิงไว้ทั้งฝูงนี่ เผลอๆ อาจจะหาทางทำมิดีมิร้ายเธอก็ได้
ต้องคิดลบไว้ก่อนเพราะตอนนี้ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันชวนสับสนมึนงงไปหมด
“ไม่ใช่ไม่ไว้ใจ แต่เราเพิ่งจะรู้จักกัน จะให้ฉันถอดเสื้อถอดผ้าลงไปอาบน้ำกับผู้ชายคงไม่ดีเท่าไหร่” อีกอย่างการที่จะได้ ‘กิน’ ผู้ชายสักคนเนี่ย แพรวพราวต้องแน่ใจเสียก่อนว่ารู้ตัวตนและโปรไฟล์ของเขาดีในระดับหนึ่ง หล่อนถือตัว และไม่ยอมให้ใครสักคนมาคุกคามร่างกายได้โดยง่าย ไม่ว่าจะด้วยสายตา วาจา หรือทางภาษากาย
“แม่เป็นหญิงที่ข้าสนใจ อีกอย่างลำธารนี้ข้าเป็นเจ้าของ หากแม่ลงมาจักได้รับการชำระบาปหนึ่งเรื่อง” หากตแต่อีกฝ่ายยังไม่ยอมแพ้และยื่นข้อเสนอ
แต่ข้อเสนอนั้นทำให้เธอฉุนกึก
“ฉันไปทำบาปตอนไหน นายไม่รู้หรอกว่าชาติก่อนที่ฉันจะหลงมาที่นี่ ฉันลงเงินทำบุญสร้างอุโบสถไปกี่ล้าน ฉันให้ชีวิตหมาแมวจร บริจาคสิ่งของและเงินให้เด็กยากไร้ไปเท่าไหร่ ทำบุญหนักกว่านี้ก็แม่ชีแล้ว ฉันทำบาปอะไรตรงไหนมิทราบ?”
“บาปนั้นเป็นคนละส่วนกัน ที่แม่ทำมันคือกรรมในภพนั้น เอามาเทียบเคียงภพนี้มิได้ดอก” ชายหนุ่มกำยำที่ยืนเปลือยท่อนบนกลางลำธารส่ายหน้าไปมาและเริ่มให้คำอธิบาย แพรวพราวรู้สึกหงุดหงิด หรือร่างนี้ที่เธออยู่มันเลวขนาดที่บุญอะไรในชาติไหนไปก็ช่วยไม่ได้เลยหรือ?
“พูดเหมือนตอนอยู่ที่นี่ฉันทำเลวมามากงั้นล่ะ”
“ก็เป็นเช่นนั้น ร่างที่แม่เข้ามาชดใช้กรรมเป็นโสเภณีที่โรงรับชำเราบุรุษ หญิงงามเมืองที่เลื่องลือเรื่องแรงอาฆาตริษยา รู้หรือไม่ว่าที่พ่อครูคันศรอาฆาตแม่ เพราะร่างนี้คิดจักไปฆ่าหญิงที่มันรักด้วยอวิชชา”
“ตาย!” สาวเจ้ายกมือขึ้นทาบอก ตั้งแต่เล่นละครเป็นนางร้ายมากี่เรื่องๆ เพิ่งเจอคนที่คิดชั่วทำชั่วขนาดนี้แถมเป็นผู้หญิงด้วยนี่แหละ นาทีนี้ขอเปลี่ยนใจ เขาพูดอะไรมาจะรับฟังและเชื่อหมด เพราะการที่จะมาได้เห็นทั้งป่าจำแลงที่ดูเหมือนไม่มีอยู่จริงตรงหน้า ทั้งฝูงเสือสมิงที่แปลงกายเป็นชาวบ้าน และผีกะ ก็เหลือเกินจะเชื่อพอแล้ว “ชั่วมาก สรุปแล้วผู้หญิงคนนี้ก็คือฉันในชาติก่อนถูกไหม?”
“เข้าใจง่ายดีนี่” ชายหนุ่มกล่าวชื่นชม แต่สาวเจ้าสะบัดผมใส่ ก็เพราะต้องใช้วิชาวิเคราะห์ตีความจากบทละครหนาปึกที่ต้องอ่านเป็นประจำ มันเกิดจากความเคยชิน เธอมีพรสวรรค์ในเรื่องการจับใจความอยู่
“แล้วฉันต้องชดใช้กรรมยังไงล่ะ ต้องให้พ่อหมอนั่นทารุณกรรมเหมือนทาสในเรือนเบี้ยเหรอ? ไม่เอาหรอกนะ ชาติก่อนก็ส่วนชาติก่อนสิ”
“ไอ้คันศรมิคิดงั้นดอก มันรู้อยู่แก่ใจว่าแม่เป็นใคร แต่มันเลือกที่จักใช้อคติเป็นความเชื่อ มันไม่เชื่อว่าแม่จักกลับตัวได้”
“นิสัยเหมือนผู้ใหญ่ในวงการยุคฉันเนอะ เอะอะเห็นว่าเคยพลาดอะไรก็จะกำจัดทิ้งอย่างเดียว” หล่อนถือโอกาสวิพากษ์วิจารณ์แกมค่อนขอด พูดถึงก็คันปาก นึกหมั่นไส้ผู้ใหญ่ในวงการมานานแล้ว คนพวกนั้นแค่เห็นว่าในอดีตหล่อนเคยมีข่าวฉาวเรื่องผู้ชายกับเรื่องสูบบุหรี่ก็รับไม่ได้ที่ตัวตนไม่ใสบริสุทธิ์ตั้งแต่ในท้องแม่ เมืองไทยเมืองพุทธ ผู้หญิงต้องเรียบร้อยราวกับผ้าที่พับไว้แถมยังต้องขยันเลียแข้งเลียขาผู้ใหญ่อีกด้วย แต่แพรวพราวยืนหยัดด้วยตัวเองและตรงไปตรงมา พวกผู้ใหญ่เหล่านั้นไม่ชอบเธอเลยหาทางกลั่นแกล้ง พากันแบนส่วนตัวรวมทั้งจ่ายค่าขายข่าวฉาวกะให้เธอจมดิน แต่เสียใจด้วยที่พอดีว่าเธอสวยและรวยมากถึงยังคงอันดับดาราแถวหน้าเอาไว้ได้
ก็เข้าใจว่าใช้มาอ้างอิงในพฤติกรรมของแพรวพราวในชาติก่อนไม่ได้ เพราะชาตินี้หล่อนอัพเลเวลจากความพลาดพลั้งมาเป็นขั้นกว่าของความตั้งใจและพยายามฆ่า แต่ถ้าเป็นแบบนั้นจริง เธอจำเป็นต้องก้มหน้ารับกรรมที่เธอในอดีตชาติก่อไว้งั้นเหรอ?
แพรวพราวก็คือแพรวพราว เธอเชื่อว่าช่วงชีวิตของเธอมีโอกาสมากกว่าใคร และทำบุญมาหนักกว่าใครๆ
เธอชดใช้กรรมให้ได้นะ แต่จะไม่ยอมโดนรังแกอยู่ฝ่ายเดียวหรอก
คนที่เลี้ยงผีแล้วสั่งผีมาฆ่าผู้หญิงตัวเล็กๆ คนเดียวเนี่ย จะเป็นคนดีสักแค่ไหนกันเชียว
“พ่อครูนั่นมันต้องเจอฉัน”
“...”
“เรามาเซ็นสัญญากันไหมพรานสมิง นายเป็นเด็กในสังกัดฉัน ส่วนฉันเป็นเด็กในสังกัดของนาย” เนื่องด้วยอดีตเป็นดาราที่อยู่ท่ามกลางธุรกิจสื่อบันเทิง แพรวพราวท้าวคางยื่นข้อเสนอโดยที่ไม่มีอะไรมารับประกัน การเป็นดาราก็เหมือนขายหน้าตากับเรือนร่างนั่นแหละ โลกนี้เธอกลายมาเป็นหญิงงามเมืองก็คงจะไม่ต่างกัน พรานสมิงเหมือนตัวบัคที่สามารถต่อกรกับพ่อครูคันศรได้ ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ชอบเธอ เธอก็ไม่จำเป็นจะต้องดีตอบ แน่นอนว่าต้องมีแบคหนุนหลังด้วยเหมือนที่เคยมีมาก่อนในชาตินู้น “ไม่ต้องทำสีหน้าสงสัยขนาดนั้นหรอก นายไม่รู้จักการเซ็นสัญญาใช่ไหม ในยุคของฉันเราต้องเซ็นสัญญากันให้เรียบร้อยก่อนที่จะตกลงทำธุรกิจร่วมกันน่ะ”
“ธุรกิจหรือ?” ยอมรับว่าอยู่มานับหลายสิบปีก็เพิ่งจะเคยได้ยินคำแปลกประหลาดนี้เหมือนกัน แต่ผู้หญิงคนนี้เปลี่ยนสีหน้าทันทีที่เข้าใจเรื่องราว หล่อนเป็นหญิงสาวที่พรานสมิงให้ความสนใจอย่างไม่ต้องสงสัย หรือเพราะว่าหล่อนมีความมั่นใจเหลือล้นเหมือนกับเธอคนนั้น
“ส่วนข้อแลกเปลี่ยน เอาเป็น...”
“ข้าไม่ต้องการข้อแลกเปลี่ยน”
“...”
“ข้าตกลง”
ในตอนแรกแพรวพราวกะจะเสนอข้อแลกเปลี่ยนที่แลกมาด้วยร่างกายของตนเอง ยังไงนี่มันก็คือเธอในภพชาติที่แล้ว อีกอย่างก็เกิดมาเป็นหญิงขายบริการยุคกรุงศรีอโยธยาทั้งที ไม่จำเป็นต้องสนใจค่านิยมรักนวลสงวนตัวหรือศักดิ์ศรีไร้ราคาเหล่านั้นสักเท่าไหร่ก็ได้ ว่ากันว่าเมื่อเสียบางสิ่งไปแล้วก็จะใช้ความคิดน้อยลงไปอีก ในยุคที่ผู้หญิงต้องใช้เรือนร่างแลกมากับเงินและอำนาจ เธอเองก็คิดว่าทำได้ดีไม่แพ้กัน ถึงในอดีตจะใช้ความสามารถของตัวเองไต่เต้าจนขึ้นมาเป็นดาราดังตัวท็อปๆ ของวงการบันเทิงได้ก็ตาม
มันก็น่าเจ็บใจและหนักใจเหมือนกัน ตัวตนที่เธอแสนภาคภูมิใจได้ตายไปแล้วในภพนั้น ทำอย่างกับว่ามีทางเลือกงั้นแหละ
แต่อย่างว่า... ของแบบนี้ต้องขอเวลาทำใจกันหน่อย ที่ยอมเพราะต้องอาศัยความอยู่รอดหรอกนะ ในตอนนี้พูดตามตรงหล่อนไม่ได้รู้สึกเป็นต่อหรือเหนือกว่าใครเลยแม้แต่น้อย เหมือนอยู่ในกำมือของพ่อครูคันศรและต้องระแวงวิ่งเต้นไปตามแผนการของเขาตลอดเวลา ทางรอดเดียวที่พอจะทำให้เธอรู้สึกว่าอาจจะมีโอกาสดิ้นรนต่อได้ก็คือพรานสมิงที่บังเอิญมาช่วยเหลือเอาไว้
ไม่ได้ไว้ใจ เธอเองก็ต้องระวังเขาเหมือนกัน
เธอจะไม่ให้เซ็กซ์มาเป็นพันธนาการตัวเธอกับเขาหรอก เธอใจแข็งพอ ขนาดนับสิบที่ว่าเป็นท็อปๆ ของวงการยังถูกเธอสยบซะอยู่หมัดเลย
แต่เมื่ออีกฝ่ายไม่ต้องการข้อแลกเปลี่ยนก็ถือว่าปัดตกไป แพรวพราวรู้สึกโล่งใจนิดหน่อย แต่ก็ไม่มากสักเท่าไหร่ การที่พรานสมิงบอกว่าสนใจเธอ มันก็แค่ความรู้สึกประเดี๋ยวประด๋าวเวลาที่พวกผู้ชายเจอผู้หญิงสวยๆ และมั่นใจในตัวเองเท่านั้น
สุดท้ายเธอต้องหาทางรอดด้วยตัวคนเดียวอยู่ดี
“ฉันต้องกลับไปที่โรง... หมายถึงโรงรับชำเราอะไรนั่นอีกไหม” เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายปฏิเสธข้อแลกเปลี่ยนแล้ววักน้ำมาล้างซิกแพคของตนเองราวกับเจตนาจงใจหยัดยั่วอีกฝ่าย แต่สิ่งปลุกเร้าใจเหล่านั้นเธอเห็นมาเสียจนชินตาแล้ว แพรวพราวทำได้แค่เพียงมองผ่าน หัวใจของเธอนึกเป็นห่วงนับสิบขึ้นมาโดยไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร
เด็กคนนั้นจะเสียใจไหมนะ... ที่เธอตายแบบนั้น?
แล้วทำไมพ่อครูคันศรถึงหน้าตาเหมือนนับสิบอย่างกับพิมพ์เดียวกัน?
“เจ้าจักกลับไปหรือ... ไปในที่ที่เจ้าเองก็เดียดฉันท์กับมันเนี่ยนะ” นั่นเป็นคำถามของพรานสมิงที่โพล่งขึ้นมาตามตรง แพรวพราวชะงักไป แน่นอนว่าคำว่าซ่องน่ะไม่มีใครอยากเข้าไปหรอกนอกเสียจากผู้ชายบ้าตัณหากลับ แต่การให้กลับไปอยู่กับหมอผีนั่นอีกเธอก็ไม่เอาเหมือนกัน “แม่แพรวที่เจ้ามาสวมวิญญา นางเองก็ดิ้นรนทุกวิถีทางที่จักออกจากโรงนรกนั่น โรงรับชำเราบุรุษมิต่างกับการค้าประเวณีแลค้ากามตัณหา ชายที่เข้ามามองแม่เป็นเพียงสัตว์ ที่จักทำกระไรก็ได้ ถึงตายก็ไม่มีผู้ใดเห็นค่า”
“ฉันรู้ค่ะ แต่ฉันจะไม่กลับไปหาหมอผีคันศรแน่นอน คนๆ นั้นสั่งผีให้มาฆ่าฉันเชียวนะ”
“พระยาสิงห์จักมาไถ่ตัวเจ้าในวันพรุ่ง ไปอยู่กับพระยาสิงห์จักมิดีกว่าหรือ?” ตัวละครใหม่หลุดออกมาจากปากของพรานสมิง แพรวพราวถึงกับมึนตึ้บ ไม่คิดว่าตัวละครผู้ชายจะเพิ่มมาอีกคน แถมคนนี้ดูจะเกี่ยวข้องกับร่างที่เธอมาสวมบทด้วย
“เขาคือใครคะ?”
“ชายผู้นั้นคือคนใหญ่คนโตที่ติดใจแม่แพรวจากเสน่ห์ยาแฝดจนตัดสินใจมาไถ่ตัวด้วยจำนวนเงินมหาศาล แลแม่ก็รู้เรื่องนี้จึงตัดสินใจไปทำพิธีกรรมเสริมเสน่ห์กับไอ้คันศร หวังหาทางปลิดชีวิตเมียแลลูกของพระยาสิงห์ เพื่อให้แม่แลลูกแม่ในอนาคตเป็นใหญ่แลได้ทรัพย์สินทั้งหมดของวงศ์ตระกูลนี้”
โอ้โห
เลวร้ายขนาดนั้นเลยเหรอเนี่ย
งั้นก็ไม่แปลกใจถ้าจะโดนใครต่อใครเกลียดชัง ไอ้ความคิดพรากแม่พรากเด็กแบบนี้เธอเกลียดที่สุดเลย ถึงแม้ว่าแพรวพราวจะไม่ได้รักเด็กก็ตาม
แพรวพราวไม่รู้ว่าทำไมตอนนี้เรี่ยวแรงของเธอนั้นมันช่างมหาศาลจนสามารถสะกดหมอผีที่หยิ่งยโสคนนั้นได้จนอยู่หมัด เขาที่เธอนั่งคร่อมอยู่เหนือกว่าด้านบนนั้นมองคนตัวเล็กกว่าด้วยแววตาสั่นไหว วันนี้มันคืนเดือนมืด ดวงตาของหล่อนส่องแสงราวกับทับทิมสีแดงก่ำ“มึง... หยุดประเดี๋ยวนี้ มิเช่นนั้นกูจักออกคำสั่งให้พวกผีมาฆ่ามึงอีกครา”“เอาสิ ฉันไม่กลัวผี สู้แรงกันให้ได้ก่อนเถอะ คุณในตอนนี้เสร็จฉันแน่” แต่หล่อนไม่ได้ใส่ใจน้ำเสียงสั่นคลอนนั่นแม้ใจความจะขู่กรรโชกอยู่ก็ตาม ไม่รู้ทำไมรู้สึกเหมือนคืนนี้หล่อนจะเร่าร้อนเป็นพิเศษ กำหนัดจนไม่สนอะไรทั้งนั้นแม้แต่ความกลัว ยิ่งกว่ากินยาปลุกเซ็กซ์เสียอีก มันต้องการสูบพลังชีวิตใครบางคนในยามที่มีความอยากอันร้อนแรงหมับ!ไหล่หนาเปลือยเปล่าแข็งแกร่งถูกมือเล็กจ้อยมือเดียวผลักให้กระแทกกับพื้นหญ้าเปียกชื้นอันเย็นชืด มันไม่สบายตัวเอาเสียเหลือเกิน แต่เขาไม่สามารถสู้แรงหล่อนได้เลย อีแพรวในตอนนี้พละกำลังมหาศาลจนใช้สองมือกดเขาไว้แน่นไม่ต่างกับผู้ชายร่างใหญ่คนหนึ่งนังนี่มันมิใช่มนุษย์ธรรมดาแน่ๆ เรากำลังจักเสร็จมัน“ปล่อยกู!”“มาให้ฉันกินเสียดีๆ เถอะค่ะพ่อหมอ ฉันหิวจะตายอยู่แล้ว แล
การห้ามมีเซ็กซ์ นั้นยากเย็นกว่าการห้ามรักเสียอีกสัมผัสของพ่อหมอคนนั้นที่หล่อนหลงครวญหาจนนึกว่าเป็นนับสิบนั้นหลอกหลอนวนเวียนในหัวไม่หยุดหลังจากถึงเวลาเข้านอน ฝนยังคงตกไม่มีทีท่าว่าจะหยุดพักเลยสักนิด ความเหน็บหนาวที่ลอดเข้ามาแม้ว่าบานหน้าต่างจะถูกปิดสนิท ไหนจะเสียงฟ้าผ่าเป็นระยะๆ ทำให้แพรวพราวที่นอนหนาวอยู่บนฟูกนอนใหญ่รู้สึกตัวขึ้นมากลางดึกสงัดเมื่อหันไปข้างๆ ก็พบกับร่างกายกำยำใหญ่โตที่นอนร่วมข้างกายหล่อน พรานสมิงปิดเปลือกตา ไม่มีทีท่าจะตื่นนอน เหมือนว่ากำลังหลับสนิทอยู่นะแต่เมื่อนึกถึงแต่ฉากร่วมเพศตลอดค่อนคืนจนถึงขนาดอาจเอาไปเก็บในนิมิตได้ มันทำให้เธอนอนไม่หลับและรู้สึกเสียววูบวาบยุบยิบในท้องน้อย จวบไปจนถึงเส้นทางสวาทที่ไม่ควรเปิดเผยให้คนข้างๆ เลยแม้แต่น้อยพ่อครูคันศรชี้ชัดว่าเกลียดน้ำหน้าเธอขนาดนั้น ถ้าให้บากหน้าไปบอกว่า ‘อยากทำ’ คงไม่น่าไหว แต่ถ้าเป็นคนข้างๆ แล้วละก็...แต่!“ก็ได้นะ แต่กฎของฉันกับนาย คือห้ามแตะต้องตัวกันอย่างเด็ดขาด ห้ามมีเซ็กซ์ และห้ามรักฉันด้วย”หล่อนตั้งกฎบ้าๆ นี่ออกไปแล้วน่ะสิ!จะมากลืนน้ำลายตัวเองคงจะไม่ได้ แม้ว่าในชาติก่อนที่เป็นดาราสาวเธอก็มีวันไนท์สแตนด์
“ข้าทำตามได้อยู่แล้ว” แต่อีกฝ่ายกลับตกลงรับคำไม่มีข้อกังขาใดๆ ทั้งนั้น เขาไม่ได้มีปัญหากับการอยู่ร่วมชายคาเดียวกับสาววัยแรกรุ่นที่ถ้าเทียบการถือกำเนิดและอยู่บนโลกมนุษย์มาแล้วนับร้อยปี แพรวพราวไม่ต่างอะไรกับลูกหลานเหลนโหลนของเขาด้วยซ้ำไปนั่นทำให้สาวเจ้านึกโล่งใจ อย่างน้อยถ้าได้รับความร่วมมือจากฝ่ายชายอย่างแข็งขัน หล่อนอาจจะอยู่ร่วมชายคาเดียวกันกับเขาได้แบบสันติสุขโดยไม่มีการเสียตัวให้กันและกัน คิดดังนั้นจึงตรงเข้าไปในเรือนใหญ่หรูหรา ที่มีห้องหับแบบโบร่ำโบราณแยกกันอยู่สองฝั่ง ฝั่งหนึ่งเป็นห้องน้ำ อีกฝั่งเป็นห้องหลับนอน ห้องทำกับข้าวน่าจะเป็นการผิงไฟย่างเนื้ออยู่ด้านนอกแบบหมู่บ้านเก่าของเขากระมังโลกนี้น่าจะไม่มีอลาคาสหรูหราแบบที่ทานอยู่เป็นประจำ เธอไหวไหล่อย่างไม่แคร์ ถ้าอยากอยู่รอดในโลกนี้ต้องทนๆ เอา ข้าวเหนียวห่อใบตองก็ไม่ได้เลวร้ายเท่าไหร่นักพูดถึงข้าวเหนียวห่อใบตอง ก็คิดถึงโรเบิร์ตขึ้นมาเลย ตั้งแต่กลับมาไม่รู้ว่ามันหายไปไหน แถมพ่อหมอก็ไม่ได้พูดถึงด้วยโฮ่ง!แต่ทว่านึกถึงไม่ทันไร ก็เกิดเสียงดังอยู่กลางป่ากล้วยเป็นเสียงเห่าของสุนัข แพรวพราวโผล่หน้าออกมาจากบานหน้าต่างฝั่งปีกห้องนอนทั
แพรวพราวชะงักไป หล่อนจ้องเขาตาเขม็ง“ไหนว่าไม่ต้องการข้อแลกเปลี่ยนไงคะ” ก็เมื่อครู่เขายังยอมเซ็นสัญญาปากเปล่าเป็นเด็กในสังกัดเธอโดยไม่รับข้อแม้อะไรอยู่เลย“นี่หาใช่ข้อแลกเปลี่ยนไม่ แม่รับมือไอ้คันศรมิได้ดอก ข้าเองก็มิมีหมู่บ้านให้อยู่อาศัยอีกต่อไป หมู่บ้านนั้นนอกจากเสือก็มีเพียงข้าคนเดียวที่เป็นคน”“...”“การไปร่วมชายคากับแม่เป็นทางเลือกที่ข้าเต็มใจจักเลือก... ข้าอยากอยู่กับแม่”ต๊าย มีผู้ชายตื้ออยากอยู่ด้วยแล้ว“ก็ได้ ถ้าอยากมาก็มา ยังไงนั่นก็ไม่ใช่บ้านฉันอยู่แล้ว” แต่การถูกตามตื้อไม่ใช่ปัญหาของคนที่เคยพราวเสน่ห์อย่างเธอหรอก ผู้ชายตรงหน้าก็ไม่ได้เลวร้าย อีกอย่างเธอจะอวดดีกลับไปโต้อารมณ์กับพ่อครูคันศรเพียงคนเดียวคงเป็นไปไม่ได้ แพรวพราวยังไร้กำลังนัก และหล่อนรู้ดีว่าโลกใบนี้ชายหญิงไม่เท่าเทียมกัน“งั้นข้าจักพาแม่ไปส่งประเดี๋ยวนี้เลย” ร่างกำยำค่อยๆ หยัดเดินขึ้นมาที่ริมเนินตลิ่ง เจ้ากานพลูชูงวงอย่างเริงร่าจากที่แอบฟังชายหญิงสองคนพูดคุยกันอยู่นานสองนาน มันเดินตามอีกฝ่ายขึ้นมาด้วย พรานสมิงเปิดเปลือยอวดความบาดตาบาดใจให้หญิงสาวได้เห็น แต่เมื่อเขาจะแต่งกายก็ถูกเจ้ากานพลูเอางวงมาปิดช่วงล่างเอา
“ถ้าฉันไปอยู่กับพระยาสิงห์ ก็ต้องอยู่ในฐานะเมียน้อยล่ะสิ” เรื่องแบบนี้ยิ่งรับไม่ได้เข้าไปใหญ่“ใช่”“ไม่มีทางหรอกค่ะ”“แม่มิมีทางเลือกดอก” แต่ความคาดหวังและการตัดสินใจที่เสรีถูกปัดตกไปตั้งแต่ที่เกิดเป็นโสเภณีในยุคโบราณแบบนี้แล้ว ยุคสมัยนี้ผู้หญิงไม่ได้มีปากมีเสียง มีความคิดที่อิสระเหมือนบ้านเราในปัจจุบัน สิ่งที่แพรวพราวเลือกได้คือต้องอยู่กับพระยาสิงห์ในฐานะอนุภรรยา หรือถ้ากล้ำกลืนความเป็นเมียน้อยคนแก่พุงพลุ้ยไม่ได้ ก็ต้องตายเท่านั้นเองแต่อยู่ดีๆ สาวเจ้าก็บังเกิดความคิดสุดบรรเจิดและค่อนข้างที่จะสุดโต่งขึ้นมาในหัวแล้วถ้าหล่อนยอมเป็นเมียของคนที่คิดจะฆ่าหล่อนมาตั้งแต่แรก และพยายามทำให้เขาตกหลุมรักให้ได้ล่ะ?ถ้าเธอยอมปรนนิบัติรับใช้พ่อครูคันศร เขาจะเปลี่ยนใจมาช่วยเหลือเธอหรือเปล่า?แน่นอนว่าพรานสมิงเองก็น่าสนใจ แต่ทำไมเธอถึงไม่เลือกเขาน่ะเหรอ?ก็เพราะว่าไม่ตรงสเปคยังไงล่ะอีกอย่าง... ก็เพราะติดใจในหน้าตาที่ละหม้ายคล้ายคลึงกับนับสิบราวกับคนเดียวกันอย่างน่าประหลาดของเขา ถ้าเกิดว่าหมอผีคนนั้นเป็นนับสิบในชาติที่แล้วจริงๆ เธอจะได้เจอกับนับสิบในภพปัจจุบันอีกไหม?ไม่รู้ว่าเพราะอะไร... พอคิดว่าจ
“ลงมาชำระกายกับข้าไหม... แพรวพราว”เป็นคำชวนแรกจากผู้ชายที่เพิ่งรู้จักกันไม่ถึงครึ่งวัน หญิงสาวชะงักไป หล่อนไม่ได้เกิดความรู้สึกอยากลงไปในลำธารนิ่งสงบนั่นเสียเท่าไหร่ ทำแค่เพียงสลับกลับมานั่งพับเพียบอย่างเรียบร้อย พร้อมกับสบตาอีกฝ่ายอยู่ที่เนินตลิ่งอย่างใช้ความคิด“ไม่ดีกว่าค่ะ” สุดท้ายจึงเลือกที่จะปฏิเสธออกไป“มิไว้ใจข้าหรือ” ดวงหน้าคมคายนั้นฉีกยิ้มพรายทรงเสน่ห์ เขาเป็นผู้ชายที่ดูดีแถมเรือนกายกำยำล่ำสัน ที่ถ้าเป็นผู้หญิงใจง่ายทั่วไปคงแทบวิ่งเข้าใส่ หากแต่หญิงสาวยังตกอยู่ในความตะลึงพรึงเพริดจากเหตุการณ์ก่อนหน้าจนยากจะอธิบาย ถ้าพูดให้ถูกคือชายตรงหน้าเป็นใครก็ไม่รู้ เธอไม่เคยรู้จักเขา แถมเขาไม่ใช่คนในยุคสมัยที่เธอจากมา ถึงจะช่วยเหลือกันไว้แต่หญิงสาวก็ยังไม่ไว้เนื้อเชื่อใจนัก ก็เขาเลี้ยงสมิงไว้ทั้งฝูงนี่ เผลอๆ อาจจะหาทางทำมิดีมิร้ายเธอก็ได้ต้องคิดลบไว้ก่อนเพราะตอนนี้ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันชวนสับสนมึนงงไปหมด“ไม่ใช่ไม่ไว้ใจ แต่เราเพิ่งจะรู้จักกัน จะให้ฉันถอดเสื้อถอดผ้าลงไปอาบน้ำกับผู้ชายคงไม่ดีเท่าไหร่” อีกอย่างการที่จะได้ ‘กิน’ ผู้ชายสักคนเนี่ย แพรวพราวต้องแน่ใจเสียก่อนว่ารู้ตัวตนและโปรไ