“ลงมาชำระกายกับข้าไหม... แพรวพราว”
เป็นคำชวนแรกจากผู้ชายที่เพิ่งรู้จักกันไม่ถึงครึ่งวัน หญิงสาวชะงักไป หล่อนไม่ได้เกิดความรู้สึกอยากลงไปในลำธารนิ่งสงบนั่นเสียเท่าไหร่ ทำแค่เพียงสลับกลับมานั่งพับเพียบอย่างเรียบร้อย พร้อมกับสบตาอีกฝ่ายอยู่ที่เนินตลิ่งอย่างใช้ความคิด
“ไม่ดีกว่าค่ะ” สุดท้ายจึงเลือกที่จะปฏิเสธออกไป
“มิไว้ใจข้าหรือ” ดวงหน้าคมคายนั้นฉีกยิ้มพรายทรงเสน่ห์ เขาเป็นผู้ชายที่ดูดีแถมเรือนกายกำยำล่ำสัน ที่ถ้าเป็นผู้หญิงใจง่ายทั่วไปคงแทบวิ่งเข้าใส่ หากแต่หญิงสาวยังตกอยู่ในความตะลึงพรึงเพริดจากเหตุการณ์ก่อนหน้าจนยากจะอธิบาย ถ้าพูดให้ถูกคือชายตรงหน้าเป็นใครก็ไม่รู้ เธอไม่เคยรู้จักเขา แถมเขาไม่ใช่คนในยุคสมัยที่เธอจากมา ถึงจะช่วยเหลือกันไว้แต่หญิงสาวก็ยังไม่ไว้เนื้อเชื่อใจนัก ก็เขาเลี้ยงสมิงไว้ทั้งฝูงนี่ เผลอๆ อาจจะหาทางทำมิดีมิร้ายเธอก็ได้
ต้องคิดลบไว้ก่อนเพราะตอนนี้ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันชวนสับสนมึนงงไปหมด
“ไม่ใช่ไม่ไว้ใจ แต่เราเพิ่งจะรู้จักกัน จะให้ฉันถอดเสื้อถอดผ้าลงไปอาบน้ำกับผู้ชายคงไม่ดีเท่าไหร่” อีกอย่างการที่จะได้ ‘กิน’ ผู้ชายสักคนเนี่ย แพรวพราวต้องแน่ใจเสียก่อนว่ารู้ตัวตนและโปรไฟล์ของเขาดีในระดับหนึ่ง หล่อนถือตัว และไม่ยอมให้ใครสักคนมาคุกคามร่างกายได้โดยง่าย ไม่ว่าจะด้วยสายตา วาจา หรือทางภาษากาย
“แม่เป็นหญิงที่ข้าสนใจ อีกอย่างลำธารนี้ข้าเป็นเจ้าของ หากแม่ลงมาจักได้รับการชำระบาปหนึ่งเรื่อง” หากตแต่อีกฝ่ายยังไม่ยอมแพ้และยื่นข้อเสนอ
แต่ข้อเสนอนั้นทำให้เธอฉุนกึก
“ฉันไปทำบาปตอนไหน นายไม่รู้หรอกว่าชาติก่อนที่ฉันจะหลงมาที่นี่ ฉันลงเงินทำบุญสร้างอุโบสถไปกี่ล้าน ฉันให้ชีวิตหมาแมวจร บริจาคสิ่งของและเงินให้เด็กยากไร้ไปเท่าไหร่ ทำบุญหนักกว่านี้ก็แม่ชีแล้ว ฉันทำบาปอะไรตรงไหนมิทราบ?”
“บาปนั้นเป็นคนละส่วนกัน ที่แม่ทำมันคือกรรมในภพนั้น เอามาเทียบเคียงภพนี้มิได้ดอก” ชายหนุ่มกำยำที่ยืนเปลือยท่อนบนกลางลำธารส่ายหน้าไปมาและเริ่มให้คำอธิบาย แพรวพราวรู้สึกหงุดหงิด หรือร่างนี้ที่เธออยู่มันเลวขนาดที่บุญอะไรในชาติไหนไปก็ช่วยไม่ได้เลยหรือ?
“พูดเหมือนตอนอยู่ที่นี่ฉันทำเลวมามากงั้นล่ะ”
“ก็เป็นเช่นนั้น ร่างที่แม่เข้ามาชดใช้กรรมเป็นโสเภณีที่โรงรับชำเราบุรุษ หญิงงามเมืองที่เลื่องลือเรื่องแรงอาฆาตริษยา รู้หรือไม่ว่าที่พ่อครูคันศรอาฆาตแม่ เพราะร่างนี้คิดจักไปฆ่าหญิงที่มันรักด้วยอวิชชา”
“ตาย!” สาวเจ้ายกมือขึ้นทาบอก ตั้งแต่เล่นละครเป็นนางร้ายมากี่เรื่องๆ เพิ่งเจอคนที่คิดชั่วทำชั่วขนาดนี้แถมเป็นผู้หญิงด้วยนี่แหละ นาทีนี้ขอเปลี่ยนใจ เขาพูดอะไรมาจะรับฟังและเชื่อหมด เพราะการที่จะมาได้เห็นทั้งป่าจำแลงที่ดูเหมือนไม่มีอยู่จริงตรงหน้า ทั้งฝูงเสือสมิงที่แปลงกายเป็นชาวบ้าน และผีกะ ก็เหลือเกินจะเชื่อพอแล้ว “ชั่วมาก สรุปแล้วผู้หญิงคนนี้ก็คือฉันในชาติก่อนถูกไหม?”
“เข้าใจง่ายดีนี่” ชายหนุ่มกล่าวชื่นชม แต่สาวเจ้าสะบัดผมใส่ ก็เพราะต้องใช้วิชาวิเคราะห์ตีความจากบทละครหนาปึกที่ต้องอ่านเป็นประจำ มันเกิดจากความเคยชิน เธอมีพรสวรรค์ในเรื่องการจับใจความอยู่
“แล้วฉันต้องชดใช้กรรมยังไงล่ะ ต้องให้พ่อหมอนั่นทารุณกรรมเหมือนทาสในเรือนเบี้ยเหรอ? ไม่เอาหรอกนะ ชาติก่อนก็ส่วนชาติก่อนสิ”
“ไอ้คันศรมิคิดงั้นดอก มันรู้อยู่แก่ใจว่าแม่เป็นใคร แต่มันเลือกที่จักใช้อคติเป็นความเชื่อ มันไม่เชื่อว่าแม่จักกลับตัวได้”
“นิสัยเหมือนผู้ใหญ่ในวงการยุคฉันเนอะ เอะอะเห็นว่าเคยพลาดอะไรก็จะกำจัดทิ้งอย่างเดียว” หล่อนถือโอกาสวิพากษ์วิจารณ์แกมค่อนขอด พูดถึงก็คันปาก นึกหมั่นไส้ผู้ใหญ่ในวงการมานานแล้ว คนพวกนั้นแค่เห็นว่าในอดีตหล่อนเคยมีข่าวฉาวเรื่องผู้ชายกับเรื่องสูบบุหรี่ก็รับไม่ได้ที่ตัวตนไม่ใสบริสุทธิ์ตั้งแต่ในท้องแม่ เมืองไทยเมืองพุทธ ผู้หญิงต้องเรียบร้อยราวกับผ้าที่พับไว้แถมยังต้องขยันเลียแข้งเลียขาผู้ใหญ่อีกด้วย แต่แพรวพราวยืนหยัดด้วยตัวเองและตรงไปตรงมา พวกผู้ใหญ่เหล่านั้นไม่ชอบเธอเลยหาทางกลั่นแกล้ง พากันแบนส่วนตัวรวมทั้งจ่ายค่าขายข่าวฉาวกะให้เธอจมดิน แต่เสียใจด้วยที่พอดีว่าเธอสวยและรวยมากถึงยังคงอันดับดาราแถวหน้าเอาไว้ได้
ก็เข้าใจว่าใช้มาอ้างอิงในพฤติกรรมของแพรวพราวในชาติก่อนไม่ได้ เพราะชาตินี้หล่อนอัพเลเวลจากความพลาดพลั้งมาเป็นขั้นกว่าของความตั้งใจและพยายามฆ่า แต่ถ้าเป็นแบบนั้นจริง เธอจำเป็นต้องก้มหน้ารับกรรมที่เธอในอดีตชาติก่อไว้งั้นเหรอ?
แพรวพราวก็คือแพรวพราว เธอเชื่อว่าช่วงชีวิตของเธอมีโอกาสมากกว่าใคร และทำบุญมาหนักกว่าใครๆ
เธอชดใช้กรรมให้ได้นะ แต่จะไม่ยอมโดนรังแกอยู่ฝ่ายเดียวหรอก
คนที่เลี้ยงผีแล้วสั่งผีมาฆ่าผู้หญิงตัวเล็กๆ คนเดียวเนี่ย จะเป็นคนดีสักแค่ไหนกันเชียว
“พ่อครูนั่นมันต้องเจอฉัน”
“...”
“เรามาเซ็นสัญญากันไหมพรานสมิง นายเป็นเด็กในสังกัดฉัน ส่วนฉันเป็นเด็กในสังกัดของนาย” เนื่องด้วยอดีตเป็นดาราที่อยู่ท่ามกลางธุรกิจสื่อบันเทิง แพรวพราวท้าวคางยื่นข้อเสนอโดยที่ไม่มีอะไรมารับประกัน การเป็นดาราก็เหมือนขายหน้าตากับเรือนร่างนั่นแหละ โลกนี้เธอกลายมาเป็นหญิงงามเมืองก็คงจะไม่ต่างกัน พรานสมิงเหมือนตัวบัคที่สามารถต่อกรกับพ่อครูคันศรได้ ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ชอบเธอ เธอก็ไม่จำเป็นจะต้องดีตอบ แน่นอนว่าต้องมีแบคหนุนหลังด้วยเหมือนที่เคยมีมาก่อนในชาตินู้น “ไม่ต้องทำสีหน้าสงสัยขนาดนั้นหรอก นายไม่รู้จักการเซ็นสัญญาใช่ไหม ในยุคของฉันเราต้องเซ็นสัญญากันให้เรียบร้อยก่อนที่จะตกลงทำธุรกิจร่วมกันน่ะ”
“ธุรกิจหรือ?” ยอมรับว่าอยู่มานับหลายสิบปีก็เพิ่งจะเคยได้ยินคำแปลกประหลาดนี้เหมือนกัน แต่ผู้หญิงคนนี้เปลี่ยนสีหน้าทันทีที่เข้าใจเรื่องราว หล่อนเป็นหญิงสาวที่พรานสมิงให้ความสนใจอย่างไม่ต้องสงสัย หรือเพราะว่าหล่อนมีความมั่นใจเหลือล้นเหมือนกับเธอคนนั้น
“ส่วนข้อแลกเปลี่ยน เอาเป็น...”
“ข้าไม่ต้องการข้อแลกเปลี่ยน”
“...”
“ข้าตกลง”
ในตอนแรกแพรวพราวกะจะเสนอข้อแลกเปลี่ยนที่แลกมาด้วยร่างกายของตนเอง ยังไงนี่มันก็คือเธอในภพชาติที่แล้ว อีกอย่างก็เกิดมาเป็นหญิงขายบริการยุคกรุงศรีอโยธยาทั้งที ไม่จำเป็นต้องสนใจค่านิยมรักนวลสงวนตัวหรือศักดิ์ศรีไร้ราคาเหล่านั้นสักเท่าไหร่ก็ได้ ว่ากันว่าเมื่อเสียบางสิ่งไปแล้วก็จะใช้ความคิดน้อยลงไปอีก ในยุคที่ผู้หญิงต้องใช้เรือนร่างแลกมากับเงินและอำนาจ เธอเองก็คิดว่าทำได้ดีไม่แพ้กัน ถึงในอดีตจะใช้ความสามารถของตัวเองไต่เต้าจนขึ้นมาเป็นดาราดังตัวท็อปๆ ของวงการบันเทิงได้ก็ตาม
มันก็น่าเจ็บใจและหนักใจเหมือนกัน ตัวตนที่เธอแสนภาคภูมิใจได้ตายไปแล้วในภพนั้น ทำอย่างกับว่ามีทางเลือกงั้นแหละ
แต่อย่างว่า... ของแบบนี้ต้องขอเวลาทำใจกันหน่อย ที่ยอมเพราะต้องอาศัยความอยู่รอดหรอกนะ ในตอนนี้พูดตามตรงหล่อนไม่ได้รู้สึกเป็นต่อหรือเหนือกว่าใครเลยแม้แต่น้อย เหมือนอยู่ในกำมือของพ่อครูคันศรและต้องระแวงวิ่งเต้นไปตามแผนการของเขาตลอดเวลา ทางรอดเดียวที่พอจะทำให้เธอรู้สึกว่าอาจจะมีโอกาสดิ้นรนต่อได้ก็คือพรานสมิงที่บังเอิญมาช่วยเหลือเอาไว้
ไม่ได้ไว้ใจ เธอเองก็ต้องระวังเขาเหมือนกัน
เธอจะไม่ให้เซ็กซ์มาเป็นพันธนาการตัวเธอกับเขาหรอก เธอใจแข็งพอ ขนาดนับสิบที่ว่าเป็นท็อปๆ ของวงการยังถูกเธอสยบซะอยู่หมัดเลย
แต่เมื่ออีกฝ่ายไม่ต้องการข้อแลกเปลี่ยนก็ถือว่าปัดตกไป แพรวพราวรู้สึกโล่งใจนิดหน่อย แต่ก็ไม่มากสักเท่าไหร่ การที่พรานสมิงบอกว่าสนใจเธอ มันก็แค่ความรู้สึกประเดี๋ยวประด๋าวเวลาที่พวกผู้ชายเจอผู้หญิงสวยๆ และมั่นใจในตัวเองเท่านั้น
สุดท้ายเธอต้องหาทางรอดด้วยตัวคนเดียวอยู่ดี
“ฉันต้องกลับไปที่โรง... หมายถึงโรงรับชำเราอะไรนั่นอีกไหม” เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายปฏิเสธข้อแลกเปลี่ยนแล้ววักน้ำมาล้างซิกแพคของตนเองราวกับเจตนาจงใจหยัดยั่วอีกฝ่าย แต่สิ่งปลุกเร้าใจเหล่านั้นเธอเห็นมาเสียจนชินตาแล้ว แพรวพราวทำได้แค่เพียงมองผ่าน หัวใจของเธอนึกเป็นห่วงนับสิบขึ้นมาโดยไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร
เด็กคนนั้นจะเสียใจไหมนะ... ที่เธอตายแบบนั้น?
แล้วทำไมพ่อครูคันศรถึงหน้าตาเหมือนนับสิบอย่างกับพิมพ์เดียวกัน?
“เจ้าจักกลับไปหรือ... ไปในที่ที่เจ้าเองก็เดียดฉันท์กับมันเนี่ยนะ” นั่นเป็นคำถามของพรานสมิงที่โพล่งขึ้นมาตามตรง แพรวพราวชะงักไป แน่นอนว่าคำว่าซ่องน่ะไม่มีใครอยากเข้าไปหรอกนอกเสียจากผู้ชายบ้าตัณหากลับ แต่การให้กลับไปอยู่กับหมอผีนั่นอีกเธอก็ไม่เอาเหมือนกัน “แม่แพรวที่เจ้ามาสวมวิญญา นางเองก็ดิ้นรนทุกวิถีทางที่จักออกจากโรงนรกนั่น โรงรับชำเราบุรุษมิต่างกับการค้าประเวณีแลค้ากามตัณหา ชายที่เข้ามามองแม่เป็นเพียงสัตว์ ที่จักทำกระไรก็ได้ ถึงตายก็ไม่มีผู้ใดเห็นค่า”
“ฉันรู้ค่ะ แต่ฉันจะไม่กลับไปหาหมอผีคันศรแน่นอน คนๆ นั้นสั่งผีให้มาฆ่าฉันเชียวนะ”
“พระยาสิงห์จักมาไถ่ตัวเจ้าในวันพรุ่ง ไปอยู่กับพระยาสิงห์จักมิดีกว่าหรือ?” ตัวละครใหม่หลุดออกมาจากปากของพรานสมิง แพรวพราวถึงกับมึนตึ้บ ไม่คิดว่าตัวละครผู้ชายจะเพิ่มมาอีกคน แถมคนนี้ดูจะเกี่ยวข้องกับร่างที่เธอมาสวมบทด้วย
“เขาคือใครคะ?”
“ชายผู้นั้นคือคนใหญ่คนโตที่ติดใจแม่แพรวจากเสน่ห์ยาแฝดจนตัดสินใจมาไถ่ตัวด้วยจำนวนเงินมหาศาล แลแม่ก็รู้เรื่องนี้จึงตัดสินใจไปทำพิธีกรรมเสริมเสน่ห์กับไอ้คันศร หวังหาทางปลิดชีวิตเมียแลลูกของพระยาสิงห์ เพื่อให้แม่แลลูกแม่ในอนาคตเป็นใหญ่แลได้ทรัพย์สินทั้งหมดของวงศ์ตระกูลนี้”
โอ้โห
เลวร้ายขนาดนั้นเลยเหรอเนี่ย
งั้นก็ไม่แปลกใจถ้าจะโดนใครต่อใครเกลียดชัง ไอ้ความคิดพรากแม่พรากเด็กแบบนี้เธอเกลียดที่สุดเลย ถึงแม้ว่าแพรวพราวจะไม่ได้รักเด็กก็ตาม
เมื่อสุดท้ายเขาต้องจากกับเธอ ทั้งความตายที่เคยเป็นคำสาปแช่งที่มาจากอคติ ทั้งความรู้สึกชิงชังในวันนั้น ที่ในวันนี้มันกลายเป็นเพียงคำหลอกลวง เพราะเขานั้นหลงรักอีแพรวตั้งแต่แรกเจอแรกเริ่มอาจจะเป็นเพราะดวงหน้าที่คล้ายคลึงกับดอกรัก จนรู้สึกไปเองว่านั่นอาจเป็นความชิงชังที่ดูคล้ายกับยาพิษอันหอมหวาน ความรู้สึกในตอนที่ร่วมรักกับเธอ นั่นราวกับการมอบพรหมจรรย์ให้กับโอกาสสุดท้ายที่ก้าวเข้ามา ไม่ว่าหล่อนจะเป็นใครแปลงกายมากันแน่ทุกวันเขาบอกตนเองว่า ดอกรักไม่มีจริง คนที่คล้ายคลึงกับดอกรักเองก็ไม่มีจริงเช่นเดียวกัน ผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้านั้น ไม่ใช่ดอกรัก เธอเป็นเพียงสัตว์ประหลาด ที่หน้าตาคล้ายกับคนอัครที่เขาเคยรักเท่านั้นการปฏิบัติตัวที่ผ่านมากับแพรวพราวนั้น ราวกับเป็นการชดเชยในสิ่งที่ตัวเองอยากจะทำกับดอกรักมาโดยตลอด ที่เธอเคยปฏิเสธเขา ที่เธอทำท่ารังเกียจรังงอนเขา ที่เธอไม่แม้แต่จะมอบดวงใจให้เป็นของเขา เขาใช้ความรู้สึกน่ารังเกียจด้านมืดเหล่านี้ ส่งต่อให้กับแพรวพราวซึ่งไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับไร ในเรื่องราว ระหว่างเขา และอดีตคนที่เขาแอบรักมาโดยตลอดเลยสักนิดแต่เมื่อรู้ว่าหล่อนไม่ใช่มนุษย์ อคตินั้นยิ่งบ
“แพรว ข้า...” ฝ่ามือหยาบหนานั้นกำหมัดแน่นจนสั่นเทิ้ม เขาแค้นใจและนึกอาฆาตเธอมาตลอดทั้งเรื่องราว แต่ทันทีที่เธอยอมรับความคิดนั้นของเขาและยอมที่จะตายโดยไม่มีข้อแม้ เขากลับรู้สึกเจ็บปวดไปทั้งหัวใจ “ข้า... ไม่กล้าพอที่จักฆ่าเจ้า ข้าจึงใช้สังวรีราพณ์เป็นข้ออ้างเท่านั้น”“แล้วมันต่างกันตรงไหน?”“วันนี้ข้ารู้แล้วว่าเจ้าคือสิ่งสำคัญ ข้าไม่ได้อยากขอโอกาสจากเจ้า ข้ารู้ว่ากำลังถูกหลอกใช้ แต่ข้า... กลับใช้สิ่งนั้นเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจเพียงเพื่อที่จะกำจัดเจ้า เจ้าจักไปจากข้าก็ได้ แต่ขออย่างเดียวให้ข้าได้แก้ไขในสิ่งที่ข้าเคยทำผิดพลาดไปด้วยเถิด” พ่อหมอไม่ได้เข้าใจความรู้สึกของตนเองอย่างถ่องแท้หรอก เขาก็แค่กลัวว่าจะเสียเธอไปทั้งอย่างนี้เท่านั้น เพราะความรู้สึกในตอนที่เห็นว่าไม่มีเธออยู่ตรงนั้น และห้องอันว่างเปล่านั่นทำให้เขาทรมานยิ่งกว่าตอนที่ดอกรักตายจากไปในอ้อมแขนของเขาเสียอีกอาจจะเพราะหล่อนหน้าตาคล้ายกับเมียที่ตายจากไปแล้วก็ได้ ผู้หญิงที่เขาจะไม่มีวันได้ครอบครอง ผู้หญิงที่ทั้งหัวใจมีเพียงแค่พรานสมิงเท่านั้น ผู้หญิงที่แม้แต่ลูกที่เขาเฝ้าดูแล ยังไม่ใช่ลูกที่เกิดมาจากเลือดเนื้อของเขาด้วยซ้ำเขาทำลา
คำพูดของพรานสมิงทำให้แพรวพราวได้ฉุกคิด ที่ผ่านมาเธออาจไม่อยากยอมรับความจริงที่ว่าที่เธอรักนับสิบ และคิดว่าเขาคือคนที่อยู่เคียงข้างเธอ แสนดีกับเธอมาโดยตลอด อาจจะเป็นความรู้สึกถึงชัยชนะที่เธอมีต่อฟ้าลดา ผู้หญิงที่เป็นที่ต้องการของแม่มากกว่าเธอ เมื่อเธอตั้งท้องและคันศรไม่ต้องการกัน ทำให้แพรวพราวรู้สึกเหมือนถูกปฏิเสธอีกครั้ง เธอเสียใจ และเมื่อเขาพาวาดรักเข้ามา เธอจึงรู้สึกเหมือนถูกเหยียบย่ำตัวตนของตนเองจนลบเลือนหายไปที่บอกว่าการไม่มีแม่ก็ไม่เห็นเป็นไรที่จริงแล้วเธออาจจะโกหกตัวเอง การที่เธอบอกว่าเธอรักนับสิบอาจจะเพราะว่ามันคือชัยชนะที่โหยหามาโดยตลอด กับผู้ชายที่ฟ้าลดาหลงรัก แพรวพราวไม่มีวันลืมวันที่เธอก้าวเข้าหาเขา เพราะว่าข่าวลือที่ฟ้าลดาคนนั้นชอบพอกับคนในวงการเดียวกันที่เล่นละครด้วยกันเป็นคู่พระนางตลอดมาเหมือนที่ฟ้าลดาเป็นที่ต้องการของแม่มากกว่าเธอผู้หญิงคนนั้นไม่ได้ทำอะไรผิด เธอไม่รู้เรื่องราวการมีอยู่ระหว่าง DNA ของแม่กับแพรวพราวด้วยซ้ำ นับสิบเองก็ไม่ได้ผิดที่หลงรักเธอ มันก็แค่ความเห็นแก่ตัว และต้องการเรียกร้องความรักจากแม่ของเธอเท่านั้นมันก็แค่ความอิจฉาที่น่ารังเกียจของเธอเอง... ค
“นึกสงสัยขึ้นมาได้แล้วหรือแม่หญิงของข้า?”แต่ทว่าในขณะที่กำลังจมอยู่ในห้วงความคิดของตนเอง ท่ามกลางร่างใหญ่มหึมาของกานพลูนั้นปรากฏร่างของชายผู้หนึ่งโผล่ตัวขึ้นมาเหนือกายยักษ์ของช้างเชือกนั้น“... พรานสมิง” แพรวพราวยอมรับตามตรงว่าตกใจ ก็ไหนว่าเขาหนีหายออกไปแล้วยังไงล่ะ เพราะว่ารับไม่ได้ที่เธอตั้งท้องกับคันศร หรือว่าผัวเธอโป้ปดกันอีกแล้ว?“คิดถึงข้าหรือไม่” เขาไถ่ถาม โดยไม่ดูสถานการณ์ว่าหล่อนกำลังเข้าตาจนอยู่เลยสักนิด“นะ... ไหนพี่ศรบอกว่านายหนีไปแล้ว?”“ข้าแค่แวะไปหาลูกเท่านั้นแล” ชายหนุ่มทำได้แค่เพียงยักไหล่ปัดป้องและบอกความเป็นจริง “โดนทิ้งมาอีกแล้วสินะ”หากแต่ประโยคต่อมากลับทำให้เธอรู้สึกเจ็บที่หัวใจดวงน้อยๆ โดยไม่มีสาเหตุ จะว่าอย่างนั้นก็ไม่เชิง หรือจะยอมรับว่ามันไม่ใช่ก็ได้ เพราะเธอเป็นคนตัดสินใจหนีออกมาด้วยตัวเองต่างหาก… แต่นั่นก็เพราะว่าคนๆ นั้นแสดงออกว่าไม่ต้องการกันแล้วไม่ใช่หรือยังไง ก็เลยเจ็บใจเหมือนโดนแทงใจดำกันอย่างช่วยไม่ได้“พูดบ้าๆ ฉันต่างหากที่อุ้มท้องหนีออกมาเพราะเขาพาคุณวาดรักกลับมาที่เรือนนั่น” หญิงสาวคิดว่าเธอไม่จำเป็นต้องโกหกผู้ชายตรงหน้าหรอก เขาเห็นสภาพน่าสมเพชน
อยู่ดีๆ เมื่อรู้ว่าหล่อนได้หนีหายออกไปหลังจากที่เขาได้พาวาดรักกลับมาและปลดแอกทุกอย่าง คันศรที่เคยมั่นอกมั่นใจว่าเขาเกลียดชังหล่อนเหลือเกิน และต้องการจะฆ่าหล่อนมากที่สุด กลับรู้สึกเจ็บปวดกับการที่ไม่มีเธออยู่ในห้อง และได้รับรู้ว่าเธอหนีออกไปแล้วเพราะทนอยู่ร่วมกันไม่ได้อีกต่อไป การตามหาเธออาจจะยากเย็นเพราะว่าอีกฝ่ายไม่ใช่มนุษย์ แถมยังเป็นอสุรกายในตำนานอีกต่างหาก ยิ่งอีกฝ่ายต้องการจะหนีหน้าเขาด้วยแล้ว คงสามารถลบกลิ่นอายของเดรัจฉานได้จนไม่เหลือร่องรอยเป็นแน่ทำไมเขาถึงได้เพิ่งมารู้สึกตัวเอาป่านนี้?ทำไมถึงเพิ่งมารู้สึกได้ว่าเธอและลูกสำคัญกับเขาเพียงไหน ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าลูกในท้องนั้นอาจจะไม่ใช่เด็กคนหนึ่ง แต่จะเป็นยาพิษเสียด้วยซ้ำ“ภูติผีทุกตนที่กูมีอยู่ในขณะนี้ จงออกไปตามหานางแลพานางกลับมาหากูให้ได้ ไม่ว่าจะเจอนางในสภาพไหน ก็จงบอกนางว่ากู...” ท้ายประโยคเขากลืนน้ำลายเพียงอึกเดียวด้วยความยากเย็นที่จะกล้าก้าวผ่านทิฐิที่สูงเสียดฟ้า เผลอลืมตัวไปว่าเคยพูดว่าเกลียดเธอขนาดไหน ก่อนที่จะกลั้นใจโพล่งขึ้นประกาศิตออกมา “ต้องการนาง”เงามืดจำนวนมากหลุดพ้นออกไปจากเขตอาคมของเขา และออกตามหาหญิงสาวที่เ
“อย่างไรลูกก็รู้สึกไม่ดีเจ้าค่ะ ที่ราวกับว่าจะเข้ามาคั่นกลางระหว่างพ่อกับเมียของท่านเช่นนี้”วาดรักโพล่งขึ้นมาหลังจากที่คันศรเข้ามาดูแลเธอด้วยการนวดปลายนิ้วเท้าที่ชาวางลงกับขันรองน้ำอุ่น คอยนวดส่วนไม่งามและอาจผิดครูให้ลูกที่ไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขของตนทั้งที่ไม่จำเป็นเลยด้วยซ้ำแน่นอนว่าเขาเองไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ถึงเข้ามาทำเช่นนี้โดยไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย หลังเห็นว่าลูกสาวที่พากลับมาที่บ้านกำลังพยายามนวดปลายนิ้วเท้าของตนเอง อาการชาน่าจะมาจากท้องที่ใหญ่โตเกินร่างกายไปกระมังแม้นิสัยจะไม่ใช่คนที่มีความละเอียดอ่อนอะไรนัก แต่เขาเองก็พอเคยดูแลเมียท้องแก่ที่ไม่ได้รักเขาเลยอยู่บ้าง จะให้มาดูแลลูกเลี้ยงที่ไม่มีแม้แต่เลือดเนื้อของตนเองเลยอีกก็ไม่เห็นเป็นอะไรเลยนี่ก็แค่... อาจเพราะว่าดวงของเขาดึงดูดมาแต่คนที่ไม่ได้เป็นของตัวเองมาทั้งชีวิตก็ได้ล่ะมั้งหากแต่สิ่งเดียวที่ชัดเจนในวันนี้... คือหลังจากที่วาดรักได้กลับมาที่นี่ ความรู้สึกสงบในจิตใจจึงได้หวนคืนกลับมาอีกครั้ง อาจเพราะได้เจอกับผู้หญิงคนนั้นชีวิตที่ผ่านมาจึงปั่นป่วนรวนเร ทั้งความรู้สึกแย่ๆ จิตใจอันคิดลบและความฟุ้งซ่านเกี่ยวกับอดีตที่เลวร