องครักษ์นำตัวของชายสูงวัยที่พูดจาเลื่อนเปื้อนไปไต่สวน หลิวอี้รีบวิ่งมาขวางพวกเขาเอาไว้ “ช้าก่อน”
“แม่นางหลิวมีอะไรหรือ”
“ข้าได้รับคำสั่งจากท่านโหวให้ปล่อยตัวคนผู้นี้ไปเสีย”
ชายหนุ่มทั้งสองขมวดคิ้วยุ่งเหยิง พวกเขาเหลียวมองหน้ากัน แววตาเจือความคลางแคลง “แต่ว่า...”
“ไม่ต้องแต่แล้ว นี่เป็นคำสั่งของท่านโหวเชียวนะ หรือพวกท่านคิดจะขัดคำสั่ง” หลิวอี้ตัดบท พร้อมคว้าหยกขึ้นชูไปด้านหน้า
ครั้นเห็นหยกประจำตัวของหนิงโหวปรากฏอยู่เบื้องหน้า องครักษ์จึงไม่กล้าขัดขวางต่อ “เข้าใจแล้วขอรับ”
“พวกท่านไปเถิด เดี๋ยวข้าไปส่งเขาเอง”
“เช่นนั้นก็ได้ รบกวนแม่นางหลิวแล้ว”
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร พวกท่านไปทำอย่างอื่นต่อเถิด ทางนี้ข้าจัดการเอง”
ชายทั้งสองพยักหน้า แล้วถอยออกไป หลิวอี้มองตามกระทั่งแผ่นหลังกว้างกลายเป็นจุดสีดำ เสียงถอนหายใจจึงถูกพ่นออกมาด้วยความโล่งอก “เกือบไปแล้ว”
ชายสูงวัยโพล่ง “ข้าน่ะสิที่เกือบ หากเจ้ามาไม่ทันข้าคงถูกตัดลิ้นไปแล้ว”
“เอาน่า อย่าบ่นไปหน่อยเลย ข้าก็มาแล้วนี่ รับนี่ไปค่าตอบแทนของท่าน จากนี้ควรทำอย่าง
หลี่เสวี่ยซินหลุบเปลือกตาลงต่ำ พยายามเก็บซ่อนร่องรอยความบอบช้ำบนขอบตาเอาไว้ หญิงสาวสังเกตสิ่งที่เขาพกมาด้วย กล่องขนมจากร้านเฟิงมี่คล้ายกับกล่องที่นางวางเอาไว้หน้าหลุมศพไม่มีผิด หนำซ้ำยังมีจวี๋ฮวาสีเหลืองอร่ามอวดกลีบบานสะพรั่ง“ท่านหญิงหรอกหรือ เหตุใดท่านจึงมาอยู่ที่นี่”มือเรียวกำแน่นบริเวณท้องน้อย ยามนี้นางยืนบดบังของที่ตนเพิ่งเซ่นไหว้เอาไว้จนมิด ทำให้อีกฝ่ายมองไม่เห็น “...ข้าบังเอิญผ่านทางมาเท่านั้น ไม่คิดว่าจะพบนายกองหลี่ที่นี่”หลี่เจิงเวยยิ้มบาง แม้ประหลาดใจอยู่บ้างแต่ก็มิอยากยุ่มย่ามกับเรื่องส่วนตัวของผู้ใด “ข้าเองก็ไม่คิดว่าท่านหญิงจะมายังวัดเล็ก ๆ ท้ายหุบเขาอย่างนี้ ยามปกติมิใช่ว่าชนชั้นสูงอย่างท่านมักไปกราบไหว้ที่วัดเทียนอู่หรอกหรือ”“ข้าอยากเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง กราบไหว้ที่ใดก็เหมือนกันหากใจเราศรัทธา หรือข้าพูดไม่จริง”หลี่เจิงเวยพยักหน้า “ความคิดของท่านหญิงช่างน่านับถือ”“มิกล้าเจ้าค่ะ ทุกสิ่งข้ากล่าวล้วนเป็นไปตามเนื้อผ้า” หลี่เสวี่ยซินหาช่องทางปลีกตัว “ดูเหมือนท่านนายกองหลี่คงมีธุระ”หลี่เจิงเวยลดมองสิ่งของในมือตน แววตาเต็มเ
หญิงสาวหันหลังขวับ“เป็นอะไรเจ้าคะ” หลิวอี้ถาม จากนั้นเหลียวมองทิศทางที่หลี่เสวี่ยซินเอาแต่กวาดสายตาสำรวจ ซ้ำยังขมวดคิ้วจนแทบผูกปมได้หลี่เสวี่ยซินถอนหายใจ “เปล่าหรอก ข้าไม่ได้ออกไปเปิดหูเปิดตานาน ก็เลยรู้สึกว่ามันแปลกไปเสียหน่อย”หลิวอี้ยิ้ม “ถ้าเช่นนั้นก็ขึ้นรถม้าเถิดเจ้าค่ะ”หลี่เสวี่ยซินพยักหน้า “อือ”สายตาคมกริบจับจ้องหญิงสาวไม่กะพริบตา รอยยิ้มเจ้าเล่ห์พลันปรากฏ “ความรู้สึกว่องไวใช้ได้ แต่ยังอ่อนหัดไปหน่อย”จูเหิงฉงน “นายท่านหมายถึงข้าหรือ”ลั่วเทียนเฉินหันมององครักษ์ข้างกาย “เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ”“ขออภัยนายท่าน ต่อไปข้าจะฝึกฝนวรยุทธ์ให้มากกว่านี้ขอรับ แต่ว่าเหตุใดวันนี้นายท่านจะต้องติดตามท่านหญิงด้วยตนเองหรือ มีข้าอยู่นายท่านไม่ต้องห่วง”แขนแกร่งที่ค้ำยันไม้ก้านโตเกือบลื่นวืด ฝ่ามือกว้างตบเปาะแปะลงบนบ่าของจูเหิง “เรื่องนี้ข้าจำเป็นต้องทำด้วยตัวเอง ส่วนเจ้าไม่ต้องตามนางแล้ว วันนี้ข้ามีงานอื่นให้ไปทำ”“งานใดขอรับ”มือหยาบระคายยื่นกระดาษแผ่นเล็กส่งให้อีกฝ่าย จูเหิงเปิดอ่านจากนั้นยัดเก็บไว้ในสาบเสื้อ เสีย
องครักษ์นำตัวของชายสูงวัยที่พูดจาเลื่อนเปื้อนไปไต่สวน หลิวอี้รีบวิ่งมาขวางพวกเขาเอาไว้ “ช้าก่อน”“แม่นางหลิวมีอะไรหรือ”“ข้าได้รับคำสั่งจากท่านโหวให้ปล่อยตัวคนผู้นี้ไปเสีย”ชายหนุ่มทั้งสองขมวดคิ้วยุ่งเหยิง พวกเขาเหลียวมองหน้ากัน แววตาเจือความคลางแคลง “แต่ว่า...”“ไม่ต้องแต่แล้ว นี่เป็นคำสั่งของท่านโหวเชียวนะ หรือพวกท่านคิดจะขัดคำสั่ง” หลิวอี้ตัดบท พร้อมคว้าหยกขึ้นชูไปด้านหน้าครั้นเห็นหยกประจำตัวของหนิงโหวปรากฏอยู่เบื้องหน้า องครักษ์จึงไม่กล้าขัดขวางต่อ “เข้าใจแล้วขอรับ”“พวกท่านไปเถิด เดี๋ยวข้าไปส่งเขาเอง”“เช่นนั้นก็ได้ รบกวนแม่นางหลิวแล้ว”“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร พวกท่านไปทำอย่างอื่นต่อเถิด ทางนี้ข้าจัดการเอง”ชายทั้งสองพยักหน้า แล้วถอยออกไป หลิวอี้มองตามกระทั่งแผ่นหลังกว้างกลายเป็นจุดสีดำ เสียงถอนหายใจจึงถูกพ่นออกมาด้วยความโล่งอก “เกือบไปแล้ว”ชายสูงวัยโพล่ง “ข้าน่ะสิที่เกือบ หากเจ้ามาไม่ทันข้าคงถูกตัดลิ้นไปแล้ว”“เอาน่า อย่าบ่นไปหน่อยเลย ข้าก็มาแล้วนี่ รับนี่ไปค่าตอบแทนของท่าน จากนี้ควรทำอย่าง
“นี่ท่าน! ข้าไม่ได้…”“ท่านหญิงหมายความเช่นนี้” ลั่วเทียนเฉินตัดบท เขาพูดต่อ “ไม่ต้องกังวล ท่านหญิงก็รู้ว่าแต่เดิมข้าได้รับหน้าที่อารักขาท่าน เสื้อคลุมข้าท่านเอาไปแล้ว หรืออยากเปลี่ยนเป็นเสื้อตัวในแทน ถ้าอยากแนบเนียนหน่อยก็ต้องทำเช่นนี้ ล่วงเกินอีกแล้ว”หลี่เสวี่ยซินอ้าปากค้างพูดไม่ออก ร่างระหงถูกชายหนุ่มหิ้วขึ้นมาด้วยแขนเพียงหนึ่งข้าง เขาทำราวกับว่าหากต้องกายนางแล้วจะติดโรคระบาดหลี่เสวี่ยซินขบฟันแน่น “ท่านอุ้มสตรีเช่นนี้รึ”ลั่วเทียนเฉินแค่นยิ้ม “เปล่า”“ท่านทำเช่นนี้ไม่น่าอายไปหน่อยหรือไง รู้จักหรือเปล่าวีรบุรุษช่วยสาวงามน่ะ ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะ” หลี่เสวี่ยซินอับอายอย่างมากเขาทำราวกับว่าตนกำลังหิ้วตุ๊กตาตนหนึ่งแนบข้างเอวลั่วเทียนเฉินหัวเราะครืน “ก็ต้องดูว่าสาวงามผู้นั้นคือใคร อีกอย่างการอุ้มอย่างทะนุถนอมข้าไว้ใช้เพียงกับภรรยาของข้าผู้เดียวเท่านั้น”หลี่เสวี่ยซินหูอื้ออึง แม้ใบหน้าเปื้อนคราบขี้เถ้า แต่ก็ไม่อาจบดบังสีแดงระเรื่อที่ปรากฏได้ อยู่ ๆ เหตุการณ์เมื่อวันวานก็ผุดขึ้นย้ำเตือน บุรุษผู้นี้เคยโอบอุ้ม เคยปกป้อง และให้ความอบอุ่นกับ
ควันสีขาวขุ่นลอยโขมงขึ้นกลางหลังคาหอตำราเล็กซึ่งเยื้องจากลานจัดแสดงไม่ไกลนัก ความอลหม่านทวีขึ้นอีกครั้ง“ท่านหญิง ทำเช่นนี้จะดีหรือเจ้าคะ” หม่าเซียวแทบหลั่งน้ำตา จู่ ๆ ท่านหญิงของนางก็เอาอ่างไฟขนาดใหญ่มาไว้หลังหอตำรา ไม่เพียงเท่านั้นยังจุดไฟเผาเศษกระดาษสร้างเรื่องวุ่นวายยกใหญ่หลี่เสวี่ยซินโบกพัดในมือแรงขึ้น “อาเซียว ออกไป เร็วเข้า”“ท่านหญิง”“เถิดน่า ข้าปลอดภัยดี แค่ก แค่ก” กล่าวไปก็สำลักควันไป หลี่เสวี่ยซินกำชับต่อ “แล้วอย่าลืมทำตามที่ข้าบอก เข้าใจหรือไม่”หม่าเซียวพยักหน้าด้วยความจำใจ ซ้ำยังสำลักควันเสียจนตาแดงจมูกแดง แผนการตลกร้ายอันใดของท่านหญิง เพียงแค่ไม่อยากแสดงความสามารถต่อหน้าผู้คนนางถึงกับต้องลงทุนเอาร่างมารมควัน หม่าเซียวออกวิ่งไม่คิดชีวิตหลี่เสวี่ยซินมองตามแผ่นหลังหม่าเซียวจนลับสายตาก็หยุดพัดในมือ เศษกระดาษที่ถูกโยนลงในอ่างไฟถูกเผาไหม้จนกลายเป็นเขม่าสีดำ มือเรียวคว้ามันขึ้นมาป้ายแก้มแปะคางเพื่อให้ตนมอมแมมที่สุดแปะแปะแปะเสียงปรบมือจากใครบางคนพลันดังขึ้น“ใคร!?”“นี่คือความสามา
“ฮื่อ…ท่านพี่เทียนเฉิน ช่วยข้าด้วย ข้าถูกคนรังแกแล้ว ฮื่อ...” สตรีร่างบอบบางกึ่งเดินกึ่งวิ่งถลันเข้ามา ผู้คนในงานต่างรีบหลบนางด้วยท่าทีรังเกียจ เพราะทางใดที่นางก้าวผ่านไปมักทิ้งกลิ่นเหม็นสาบเอาไว้ หนำซ้ำทั้งใบหน้ายังเต็มไปด้วยดินโคลนสีดำคล้ำ ทำให้มองเห็นเพียงลูกตาสีขาว หลายคนหัวเราะร่วนออกมาจนท้องคัดท้องแข็งราวกำลังชมเรื่องตลกขบขันลั่วเหมิงถอยหลังกรูด ยกมือปัดป้องพลางปิดจมูกด้วยความอับอาย “อาเหยา นี่เจ้ารึ เหตุใดจึงมีสภาพเช่นนี้”หวางเหยาเบะปาก น้ำตาไหลพรากไม่หยุด “ท่านป้าเจ้าคะ ท่านหญิงนาง...ฮึก...” หวางเหยาคิดจะฟ้องแต่ก็พูดไม่ออก เพราะสายตาของลั่วเทียนเฉินกำลังจับจ้องมาที่นาง ท่าทางของเขาไม่มีอาการตกใจเจืออยู่เลยสักนิด“ก่อนจะพูดอะไร เจ้าควรไตร่ตรองให้ดี นี่คือจวนหนิงโหว หากเจ้าปรักปรำลูกสาวของเขาก็เท่ากับเป็นปรปักษ์อย่างโจ่งแจ้ง” ลั่วเทียนเฉินตัดบทหวางเหยาหุบปากฉับ พลางก้มหน้างุด “เจ้าค่ะ เป็นข้าที่เดินไม่ระวังเอง”“ซุ่มซ่ามเสียจริง เฉินเอ๋อร์ เอาอย่างไรดี”“ท่านแม่พานางกลับไปก่อนเถิดขอรับ”“แล้วเจ้าล่ะ ไม่กลับพร้อมกั