แชร์

บทที่ 20

ผู้เขียน: มายุมายูมายา
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-12-01 21:02:50

#####บทที่ 20

            ตลอดเวลาหนึ่งสัปดาห์ที่ซูเมิ่งอยู่ในจวนช่างน่าเบื่อยิ่งนัก ไม่มีอะไรทำนอกจากนอน กิน ฝึกเย็บปักถักร้อย บางวันได้เรียนพิณบ้าง อักษรบ้างอย่างเช่นคุณหนูในห้องหอ ปีนี้อายุของนางก็ปาเข้าไปสิบห้าอ่อนๆแล้ว เลยวันปักปิ่นไปเเล้วเช่นกัน แต่เผอิญว่าช่วงนั้นซูเมิ่งป่วยหนักจึงไม่ได้จัดงานแต่อย่างใด ในเมืองหลวงจึงไม่มีคนรู้ว่าลูกสาวตระกูลไปถึงวัยออกเรือนแล้วซึ่งนั่นถือว่าเป็นเรื่องดีสำหรับนางเป็นอย่างมาก

            วันแรก ๆอาจารย์ที่มาสอนศิลปะทั้งสี่ให้ซูเมิ่งต่างก็พากันแปลกใจในทักษะที่เหมือนคนไม่เคยเรียนมาก่อนของนางเป็นอย่างมาก เพราะก่อนหน้านี้คุณหนูไป๋คนก่อนต่างทำได้ดีในทุกด้าน แต่นางกลับทำอะไรไม่เป็นเลยแม้กระทั่งการจับพู่กันเขียนอักษร จนเรื่องไปถึงท่านแม่ของนาง เฟยจินเคยมาดูการเรียนของซูเมิ่งครั้งหนึ่งแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรมากนัก ไม่ถามไถ่ ไม่ต่อว่า พูดเพียงว่าให้นางตั้งใจเรียนต่อไป ไม่ต้องกดดันตนเอง แล้วก็จากไป 

            แตกต่างจากท่านพี่ทั้งสองของนางที่พอรู้เรื่องต่างเผยสีหน้าเเปลกใจ ซูเมิ่งจึงโกหกไปว่าตนไม่ได้ฝึกฝนมานานและตอนลำบากอยู่ข้างนอกมีได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยทำให้ทักษะหลายอย่างนางลืมไปบ้าง เวลามีพี่ชายนางสงสัยอะไรนางมักเอาท่านจอมยุทธ์ผู้เฒ่ามาอ้างเสมอ ไม่ก็เอาความลำบากของเดือนที่ผ่านมามาอ้างทำให้พี่ชายทั้งสองรู้สึกสะเทือนใจ หลังจากนั้นพี่ชายนางก็จะหยุดถามไปเอง

            เช้าวันนี้เป็นวันหยุดของนางทั้งวันไม่มีเรียน ดังนั้นซูเมิ่งจึงคิดไว้ว่านางจะหาทางออกไปเที่ยวเมืองหลวงสักหน่อย ดังนั้นหลังกินข้าวเช้าเรียบร้อยแล้วซูเมิ่งจึงเดินมุ่งหน้าไปยังห้องหนังสือของท่านพ่อเพื่อขออนุญาติออกไปนอกจวน

            ซูเมิ่งเดินเข้าไปคารวะไป๋หย่งคังและเอ่ยขอออกไปซื้อของนอกจวนซึ่งไป๋หย่งคังก็อนุญาติแต่มีเงื่อนไขว่านางต้องมีพี่ชายคนใดคนหนึ่งไปด้วย ทำให้หลังจากที่ซูเมิ่งออกมาจากห้องหนังสือของไป๋หย่งคังแล้วนางก็เดินไปยังเรือนของเหิงซานผู้เป็นพี่ชายคนโต

            เรือนของเหิงซานนั้นไม่ได้มีกลิ่นหอมของดอกไม้อย่างกลิ่นของเรือนซูเมิ่ง เเต่เต็มไปด้วยความเขียวขจีของต้นไม้และมีบ่อขนาดไม่ใหญ่มากขวางอยู่ต้องเดินข้ามสะพานไป อย่างฤดูร้อนนี้นางคิดว่าเรือนของเหิงซานร่มเย็นที่สุด เพราะมีทั้งร่มเงาของต้นไม้ใหญ่และมีวิวงดงามของบ่อบงกช ไหนจะเก๋งกลางน้ำนั่นอีกเล่า แม้เก๋งนี้จะไม่ใช่ของเรือนนี้โดยตรงเเต่ก็อยู่ใกล้ที่สุด หากนางอยู่เรือนนี้คงมานั่งพักผ่อนที่เก๋งนี้บ่อยครั้ง

            ไป๋ซูเมิ่งเหลือบมองไปยังเก๋งที่ว่าก็เห็นมีพี่ชายใหญ่และชายอีกคนนั่งคุยกันอยู่ เเต่เป็นผู้ใดนั้นนางไม่สามารถระบุได้เพราะเขาหันหลังให้ นางรู้เพียงว่าเขาสวมชุดดำดูหรูหราเท่านั้น

            “จือฉี พี่ใหญ่ติดธุระอยู่รึ?” 

            ซูเมิ่งเดินเข้าไปถามบ่าวรับใช้คนสนิทของเหิงซานซึ่งทำหน้าที่ทั้งเป็นบ่าวและทหารคู่กาย

            “ใช่ขอรับ คุณหนูซูเมิ่ง ท่านมีธุระเร่งด่วนหรือไม่ขอรับ จะให้ข้าน้อยไปกล่าวแก่ท่านรองเเม่ทัพหรือไม่?”

            “ไม่ต้อง ข้าไม่รบกวนพี่ใหญ่แล้ว” 

            …ดูท่าแล้ววันนี้พี่ใหญ่ของนางจะไม่ว่าง นางคงต้องไปหาพี่รองเเทนเสียแล้ว

            คิดได้ดังนั้นซูเมิ่งก็หมุนตัวจากไป แล้วตามด้วยเย่าถิงแล้วไป๋จื่อที่เดินตามมา

            “คุณหนูจะไม่ไปข้างนอกแล้วหรือเจ้าคะ” 

            ไป๋จื่ออดสอดปากถามไม่ได้ ในใจของตนก็นึกดีใจว่าวันนี้จะได้ออกไปเที่ยวนอกจวนแล้วเชียว

            “ใครว่าเล่า ข้าจะไปหาท่านพี่รองต่างหาก ข้าไม่ได้มีพี่ชายคนเดียวเสียหน่อย”

            “เย่ คุณหนูฉลาดจริง ๆเจ้าค่ะ” 

            ไป๋จื่อกระโดดดีใจอย่างลืมตัว ทำให้เย่าถิงอดที่จะฟาดฝ่ามือไปที่สะโพกของบ่าวรุ่นน้องตนไม่ได้ ตั้งแต่เกิดมาที่นางเป็นบ่าวจนถึงตอนนี้ก็อายุเลยยี่สิบแล้วยังไม่เคยสอนใครได้ยากเท่าไป๋จื่อนางนี้เลย มารยาทที่นางอบรมไปดูเหมือนว่าจะไม่เข้าหัวเลยด้วยซ้ำ

            “โอ้ย พี่ไป๋จื่อตีข้าทำไม”

            “ถามมาได้นี่เจ้ายังไม่สำนึกอีกรึ” 

            เย่าถิงทำท่าจะยกมือขึ้นตีอีกทำให้ไป๋จื่อกระโดดไปเกาะเเขนซูเมิ่ง 

            “คุณหนูช่วยบ่าวด้วยเจ้าค่ะ อยู่ดีดีพี่ไป๋จื่อก็มาตีบ่าวทั้งที่บ่าวยังไม่ได้ทำอะไรผิดเลยแท้ ๆ” 

            พูดไปก็เอามือลูบก้นไปพลาง

            ซูเมิ่งยิ้มให้กับบ่าวรับใช้ต่างขั้วทั้งสอง เย่าถิงนั้นด้วยความเป็นบ่าวรับใช้ขั้นหนึ่งเกิดมาก็รับใช้ตระกูลสูงศักดิ์จึงเคร่งในกฎระเบียบมาก แต่ไป๋จื่อที่เพิ่งเคยเป็นบ่าวในตระกูลใหญ่ นิสัยร่าเริงและซนเหมือนเด็กทั้งที่อายุก็ปาเข้าไปสิบเเปดแล้ว แต่นางก็มักเอาทั้งคู่มาติดตามยามเดินไปไหนมาไหน เพราะหากตอนไหนนางไม่รู้อะไรก็จะถามเย่าถิงได้ ส่วนที่เอาไป๋จื่อมาเพราะนางรู้สึกว่ายามอยู่กับบ่าวคนนี้แล้วสบายใจเปิดใจคุยกันได้เหมือนเพื่อน

            “เย่าถิงอย่าเอ็ดนางเลย ไป๋จื่อนางยังเด็กกฎข้อไหนผ่อนปรนบ้างก็ผ่อนเถอะ” ซูเมิ่งเอ่ยยิ้ม ๆ

            “โถ่ คุณหนูให้ท้ายนางอย่างนี้ หากเอานางไปไหนมาไหนมิขายหน้าแย่หรือเจ้าคะ” 

            ไป๋จื่อที่พอได้ยินคำพูดของซูเมิ่งก็ยิ้มหน้าบานท้าทายเย่าถิงทันที แต่ก็ต้องรีบหุบยิ้มแทบไม่ทันเมื่อได้ยินประโยคต่อมาของเจ้านายตน

            “ไม่ต้องกลัวหรอก เพราะไปข้างนอกข้าก็ไม่พานางไปก็สิ้นเรื่อง เช่นนั้นข้าก็ไม่ขายหน้าแล้ว จริงไหมไป๋จื่อ” 

            ซูเมิ่งพูดไปอมยิ้มไป ต่างจากไป๋จื่อที่รีบเข้ามาออดอ้อนนางทันควัน

            “คุณหนูทำอย่างนี้ไม่ได้นะเจ้า คุณหนูอยู่ไหนบ่าวจะอยู่นั่น บ่าวรับรองเลยว่าจากนี้ไปจะทำตัวดีดีเจ้าค่ะ”

            “ฮึ่ม ๆ” 

            ทั้งเย่าถิงและซูเมิ่งมองไปที่แขนของไป๋จื่อที่ดึงชายชุดซูเมิ่งอยู่ซึ่งขัดกับคำพูดที่เจ้าตัวเอ่ย พอไป๋จื่อรู้ตัวก็รีบปล่อยมือและเดินมายืนสำรวมข้าง ๆเย่าถิงทันที

            “ไว้ข้าจะคอยดูแล้วกัน”

            ซูเมิ่งและสองบ่าวเดินไปหยุดที่หน้าเรือนของลู่ซาน เย่าถิงเข้าไปบอกบ่าวรับใช้ที่ยืนหน้าห้องหนังสือว่าซูเมิ่งต้องการพบ เวลาผ่านไปไม่ถึงเค่อบ่าวรับใช้คนนั้นก็กลับมา

            “คุณหนูรองตามบ่าวมาเจ้าค่ะ คุณชายรองกำลังแต่งตัว ท่านให้บ่าวพาคุณหนูไปรอที่เรือนรับรองก่อนเจ้าค่ะ” 

            ไป๋ซูเมิ่งพยักหน้าแล้วก็เดินตามบ่าวคนนั้นไป นางนั่งจิบชารอไม่นานลู่ซานก็เดินเข้ามา

            “มีอะไรรึ มาหาข้าแต่เช้าเชียว”

            “ข้าไปขอท่านพ่อออกไปนอกจวนได้เเล้วเจ้าค่ะ แต่ท่านพ่อบอกว่าต้องมีพวกท่านสักคนไปด้วย ข้าก็เลยนึกถึงพี่รองสุดที่รักของข้าก่อนเลย” 

            พูดไปพลางทำตาออดอ้อน เป็นการงัดมารยาหญิงมาใช้ครั้งแรกตอนที่นางอยู่ในร่างนี้ พอไป๋ลู่ซานได้ยินดังนั้นก็ยิ้มแก้มแทบปริ ลำพองใจที่ตนเป็นคนที่น้องคิดถึงคนแรกซึ่งนั่นก็เเปลว่าเขาเป็นพี่ชายที่นางรักมากที่สุด แต่หารู้ไม่เลยว่าคำพูดเหล่านั้นเป็นเพียงคำปดที่ซูเมิ่งยกขึ้นมาเท่านั้น

            “ได้สิ” 

            ลู่ซานพูดออกมาทั้งที่ยังไม่ได้ไตร่ตรองให้ดีก่อน พอเขาตั้งสติได้ก็รีบหุบยิ้มพร้อมมองไปที่น้องสาวอย่างรู้สึกผิด 

            “ไม่สิ เมิ่งเอ๋อ ไว้คราหลังได้หรือไม่ วันนี้ข้ามีนัดกับสหายแล้ว”

            ซูเมิ่งหุบยิ้มฉับพลัน “ไว้หลังพี่รองไปหาสหายแล้วกลับมารับข้าก็ได้เจ้าค่ะ”

            ลู่ซานมองไปยังน้องสาวของตนที่ตอนนี้ตาเป็นประกาย

            “ข้าเกรงว่าอาจกลับมามืดค่ำ ไม่ทันพาเจ้าออกไปข้างนอกล่ะสิ”

            “งั้นข้าออกไปพร้อมกับพี่รองในช่วงที่พี่รองคุยกับสหายข้าก็เเยกไปซื้อของได้ไหมเจ้าคะ วันนี้ข้ามีของที่ข้าต้องซื้อจริง ๆ” 

            …เมื่ออ้อนไม่พอก็ต้องใช้เหตุผลเข้าช่วย

            “ไม่ได้ อย่างนั้นหากเกิดเรื่องกับเจ้าจะทำอย่างไร ไว้คราหลังเถิด”

            “หากเป็นเรื่องนั้นพี่รองก็ให้คนติดตามข้าไปเยอะ ๆก็ได้นี่เจ้าคะ ให้ข้าไปเถอะนะนะ” 

            ซูเมิ่งเดินไปเกาะเเขนพี่ชายพร้อมส่งสายตาออดอ้อนกว่าเดิม พอเห็นว่าลู่ซานเริ่มออกอาการลังเลก็ปล่อยมือตนออก ก่อนเอ่ยเสียงเเข็ง

            “พี่รองไม่พาข้าไปด้วยงั้นข้าไปขอร้องพี่ใหญ่ก็ได้ พี่ใหญ่ต้องทำตามที่ข้าขอเป็นแน่” 

            พูดจบซูเมิ่งก็หมุนตัวเตรียมจากไป แต่นางก้าวย่างอย่างช้า ๆ นับ หนึ่ง สอง และ ….

            “ก็ได้ ยามซื่อเจ้าไปรอที่หน้าจวน”

            รอยยิ้มเล็ก ๆผุดขึ้นมุมปากของสาวเจ้าของใบหน้าหวานทันที …ดูเหมือนนางจะรู้จุดอ่อนของพี่รองเสียแล้ว

 

            กุบกับ ๆ

            ตอนนี้ซูเมิ่งนั่งอยู่ในรถม้ากับลู่ซานนี่เป็นคราแรกที่นางได้ออกนอกจวนหลังจากหมกตัวในจวนมานาน ลู่ซานบอกว่าเขามีนัดกับสหายที่หอเลี่ยงหลิงซึ่งถือเป็นหอขายอาหารที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวง ซูเมิ่งเลยคิดไว้ว่าระหว่างนั้นนางจะออกไปเดินเที่ยวเมืองหลวงเสียหน่อย ให้วันนี้ถือเป็นวันสำรวจเส้นทางเพราะฉะนั้นซูเมิ่งจึงพาเย่าถิงมาด้วยเพื่อให้คอยแนะนำเรื่องต่าง ๆ และแน่นอนนางต้องพาไป๋จื่อมาเช่นเดียวกัน

            เนื่องจากลู่ซานกะเวลาไว้ว่าให้มาถึงก่อนเวลาครึ่งชั่วยาม ลู่ซานจึงพาซูเมิ่งขึ้นมานั่งพักที่ห้องบนชั้นสองที่จองไว้นัดเจอสหาย ลู่ซานสั่งน้ำชาและขนมอีกสองสามอย่างที่เป็นที่เลื่องชื่อของหอเเห่งนี้

            “เมิ่งเอ๋อคิดไว้หรือยังว่าจะไปร้านไหน”

            ลู่ซานยกชาขึ้นจิบ สายตามองไปยังน้องสาวที่นั่งฝั่งตรงข้าม วันนี้ซูเมิ่งเกล้าผมครึ่งหัวและปักปิ่นหยก ส่วนชุดก็เป็นสีเขียวอ่อนดูแล้วสบายสายตา มองภาพรวมแล้วน้องสาวของเขาสดใสสมวัยต่างกันสิ้นเชิงกับวันที่เปิดเผยตัวในงานวันพระราชสมภพของฮองเฮา

            “ข้าคิดว่าจะไปดูผ้าและสั่งตัดชุดเจ้าค่ะ” 

            …เพราะจากที่นางดูในคลังเสื้อผ้าของคุณหนูไป๋พบว่ามีเเต่สีขาวไม่ก็สีอ่อน ๆทั้งสิ้น ด้วยนางนั้นถือว่ามีผิวที่ขาวจัดยิ่งใส่เสื้อผ้าที่ไร้สีสันยิ่งดูจืดชืดไปกันใหญ่ นี่ชุดที่นางเลือกใส่วันนี้ถือว่าเป็นชุดที่มีสีสันมากที่สุดแล้ว

            “เจ้าไม่บอกท่านแม่เล่า เรื่องนี้สั่งให้ร้านมาที่จวนก็สิ้นเรื่อง”

            ซูเมิ่งยิ้มแหย ๆ …ไม่ใช่เรื่องนี้นางไม่รู้ แต่นางอยากหาเรื่องออกมานอกจวนต่างหาก 

            “ข้าไม่อยากรบกวนท่านแม่น่ะ อีกอย่างข้าก็มีอย่างอื่นที่ต้องซื้อด้วย”

            “อืม แล้ว…” 

            ทันใดนั้นประตูห้องก็เลื่อนเปิดออก

            “อ้าว นี่ข้านึกว่าข้ามาก่อนเวลาคนเดียวเสียอีก ไม่คิดว่าเจ้าจะมาเร็วเสียยิ่งกว่า”

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • เล่ห์รักบุปผาซ่อนพิษ   บทส่งท้าย

    #####บทส่งท้ายมือหนาควานหาร่างอุ่นนุ่มอย่างที่ทำเป็นประจำทุกวัน ทว่าควานไปพบแต่ความว่างเปล่า สองตาค่อย ๆลืมขึ้น ไฉนวันนี้เขาถึงรู้สึกมึนหัวประหลาดหือ วันนี้เขาตื่นสายหรือ ไยเป็นภรรยาเขาที่ตื่นก่อนได้เล่า นางตื่นแล้วไยไม่เรียกเขาเสียหน่อยล่ะ“ใครอยู่ด้านนอกเข้ามาที”เป็นเย่าถิงที่เดินเข้ามา นางชะงักนิดหน่อยเพราะกลิ่นที่เกิดจากการทำกิจกรรมของสองข้าวใหม่ปลามันคละคลุ้งทั่วห้อง ซึ่งเมื่อคืนพวกนางต่างรู้ดีกว่าเกิดอะไรขึ้นในห้อง เพราะเสียงที่ดังทะลุกำแพงออกมาตลอดคืน“นายหญิงไปไหนหรือ?”เย่าถิงยกคิ้วฉงนก่อนตอบ “ก็ไม่ได้อยู่ในห้องหรอกหรือเพคะ” พูดพลางสอดส่องมองทั่วห้องก็ไม่เห็นคุณหนูของตนจริง จึงขออนุญาตเรียกไป๋จื่อและบ่าวคนอื่น ๆมาถามไถ่ แต่ก็ไม่มีใครพบเห็นเลย พอไม่เจอสตรีที่ตนเรียกหาจึงกลายเป็นเรื่องใหญ่ คนของชินหวังทั่วทั้งจวนต่างกระจายกำลังหาทั่วจวน แต่หานานหลายชั่วยามก็ไม่มีใครพบ“พวกเจ้าดูแลนางอย่างไรนายหญิงออกจากห้องไปไยไม่มีใครเห็น!”บรรยากาศโดยรอบของบุรุษผู้ทรงอำนาจเย็นยะเยือกลามไปทั่วทั้งจวน นัยน์ตาดุดันจ้องมองเขม็งไปที่เหล่าบ่าวใช้ที่คุกเข้าตรงหน้า“หม่อมฉันเฝ้าหน้าห้องตลอดไม่เห็

  • เล่ห์รักบุปผาซ่อนพิษ   บทที่ 50

    #####บทที่ 50นับจากวันที่กลับจากไปเยี่ยมจวนตระกูลไป๋ซูเมิ่งก็รอบางอย่างจนสิ่งที่นางรอคอยก็มาถึง ไป๋จื่อเข้ามาหาซูเมิ่งในห้องหนังสือพร้อมปิดประตูแน่น จนในห้องเหลือเพียงซูเมิ่งและไป๋จื่อสองคน“ครานี้ได้เรื่องแล้วเพคะพระชายา”“ว่ามา...”ตามที่ให้ไป๋จื่อออกไปรับเรื่องที่นางให้เป่าต้ง บ่าวบุรุษที่ซูเมิ่งไว้ใจในจวนตระกูลไป๋ทำเรื่องบางอย่างในจวน การมารายงานครานี้ของเป่าต้งนั้นต่างออกไปจากครั้งก่อน ๆแล้ว เรื่องที่ซูเมิ่งกำลังเฝ้าคอยเป็นเรื่องเกี่ยวกับไป๋หย่งคังบิดาของซูเมิ่งเอง ในวันที่นางกลับไปเยี่ยมบ้านนั้นนอกจากซูเมิ่งจะเข้าไปขอพบหย่งคังเป็นการส่วนตัวแล้วนางยังเรียกเป่าต้งเพื่อมอบหมายงานให้ทำด้วยนั่นก็คือ ให้เขาคอยจับตาดูไป๋หย่งคังตลอดทุกฝีก้าวตอนที่อยู่ในจวนไม่เว้นแม้กระทั่งช่วงกลางคืน และให้มารายงานนางทุก ๆสามวัน ในช่วงแรก ๆ สิ่งที่ไป๋หย่งคังทำนั้นซูเมิ่งคิดว่าปรกติทั่วไป แต่พอได้ฟังคำจากเป่าต้งรายงานหลาย ๆคราซูเมิ่งเริ่มสงสัยบางอย่างเข้าให้แล้ว กิจวัตรหนึ่งที่น่าสงสัยคือไป๋หย่งคังมักจะเทียวไปเรือน ๆหนึ่งทุก ๆสองหรือสามวันเสมอและใช้เวลาอยู่ที่นั่นราวสองเค่อ สิ่งที่น่าประหลาดคือเรือนแห่ง

  • เล่ห์รักบุปผาซ่อนพิษ   บทที่ 49

    #####บทที่ 49และแล้ววันที่ท่านหมอพิษมาถึงจวนชินหวังก็มาถึง เขาเข้ามาพร้อมกับหยางเหวินเพื่อมาตรวจอาการของซูเมิ่ง “แปลก พระชายาไม่น่ามีพิษชนิดนี้อยู่ในกายได้พะยะค่ะ”หมอพิษพูดพลางลองตรวจสอบพิษอีกรอบผลปรากฎว่าเลือดที่มาจากร่างกายซูเมิ่งนั้นเป็นพิษชนิดที่เขาคิดจริง ๆ“อย่างไรหรือท่านหมอ”ซูเมิ่งเอ่ยถาม นางอยากรู้อย่างที่สุดว่าพิษที่อยู่ในร่างกายนางแต่กำเนิดนั้นคือชนิดใดกันแน่โดยท่านหมอพิษบอกว่าพิษนี้คือพิษที่มีแหล่งกำเนิดจากอาณาจักรชิงจง ซึ่งคืออาณาจักรข้างเคียงที่เป็นศัตรูกับอาณาจักรที่นางอยู่นี้มาช้านานแล้ว โดยพิษนี้เป็นพิษที่หากออกฤทธิ์จะค่อย ๆทำลายอวัยวะทั้งหมดในร่างกาย แต่เงื่อนไขการออกฤทธิ์จะออกฤทธิ์เมื่ออยู่ในกระแสเลือดของบุคคลผู้นั้นนานเป็นเวลาสองปี ซึ่งพิษนี้ไม่ค่อยมีผู้คนนำมาใช้เท่าไหร่นัก แทบไม่มีคนในอาณาจักรนี้รู้จักเลยด้วยซ้ำ แต่สำหรับอาณาจักรชิงจงพิษชนิดนี้จะใช้เฉพาะกับทหารที่ฝึกไว้เพื่อเป็นสายลับเท่านั้น ด้วยเงื่อนไขการออกฤทธิ์นี้ทำให้สามารถใช้เพื่อควบคุมเหล่าทหารยามต้องออกไปปฏิบัติการได้ โดยการให้สายลับทุกคนดื่มพิษชนิดนี้เข้าไปและหากต้องการมีชีวิตต่อเพียงแค่กลับไปที่ฐาน

  • เล่ห์รักบุปผาซ่อนพิษ   บทที่ 48

    #####บทที่ 48“คุณหนูเจ้าคะ ตื่นได้แล้วเจ้าค่ะ”เป็นเย่าถิงที่เข้ามาปลุกซูเมิ่งที่กำลังกอดกองผ้าห่มนุ่มด้วยอาการมึนงง นางลืมตามองเย่าถิงอย่างเกียจคร้าน“ข้าขอนอนอีกหน่อยได้หรือไม่”ไม่พูดเปล่าซูเมิ่งปิดเปลือกตาลงอีกครั้ง นางรู้สึกอ่อนเพลีย และปวดเนื้อปวดตัวไปหมดจนไม่อยากขยับเขยื้อน แต่ก็ต้องลืมตาขึ้นอีกครั้งเพราะแขนตัวเองถูกดึงให้ลุกขึ้นและทันทีที่เย่าถิงดึงแขนของซูเมิ่งพ้นผ้าห่มก็ต้องตกใจ นางมองไปยังรอยสีกุหลาบบนผิวขาวผุดผาดของผู้เป็นนายที่ตอนนี้ขึ้นรอยแดงราวถูกแมลงกัดต่อย และยิ่งพอซูเมิ่งเอนตัวขึ้นตามแรงดึงของเย่าถิงแล้วผ้าห่มที่คลุมร่างอยู่ไหลกองลงปิดเพียงเอวยิ่งตระหนกไปใหญ่ ทั้งรอยมือและบางแห่งเกิดเป็นรอยช้ำ เย่าถิงพอนึกถึงว่าที่มารอยพวกนี้มาจากไหนจึงใบหน้าแดงขึ้นลามจนถึงใบหู“ไป๋จื่อเตรียมน้ำอุ่นผสมสมุนไพรให้แล้วเจ้าค่ะ ให้บ่าวพยุงไปนะเจ้าคะ”ซูเมิ่งพยักหน้ารับคำอย่างว่าง่าย นางรู้สึกล้าเกินจะลืมตาตื่นด้วยซ้ำ แต่ก็รู้ว่าตามธรรมเนียมแล้วตนจะต้องไปไหว้บุพการีของซือหมิง ซูเมิ่งแทบจะอยากไปหักคอของบุรุษน่าตายนามซือหมิงให้ตายคามือเสียเดี๋ยวนี้เลย เมื่อคืนเขารู้ทั้งรู้แท้ ๆว่าไม่ควรเข้

  • เล่ห์รักบุปผาซ่อนพิษ   บทที่ 47 (ต่อ)

    บทที่ 47 (ต่อ)“คุณหนู พร้อมแล้วออกมาได้เลยนะเจ้าคะขบวนของชินหวังใกล้มาถึงแล้วคุณหนูออกมาได้เลยเจ้าค่ะ”ร่างงามระหงเดินตามนางกำนัลเจี่ยงและคนอื่นออกจากห้องนอนเพื่อไปยังโถงจัดงานไม่นานขบวนเสด็จของชินหวังก็หยุดลง ทั้งขุนนาง และทหารรักษาพระองค์ตั้งขบวนจนหางยาวไปไกลลิบตา บนม้าต้นขบวนร่างกำยำงามสง่าในชุดแดงผ่าเผย นัยน์ตานิ่งลึกล้ำยากคาดเดา ยามปรายตาไปทางใดเหล่าบ่าวใช้ที่ติดตามเจ้านายจวนตระกูลไป๋ออกมาต้อนรับต่างเขินหน้าแดงเป็นลูกตำลึง ซือหมิงเหวี่ยงตัวลงจากอานม้าท่าทางงามสง่าเต็มไปด้วยอำนาจแม้วันนี้เขาจะยังคงท่าทาดุดันเข้าถึงยากอยู่แต่หากเป็นคนสนิทของซือหมิงย่อมมองออกมาเจ้านายของพวกเขานั้นนัยน์ตาเปล่งประกายเจิดจ้ากว่าวันใด และริมฝีปากบางนั่นก็หยักยกเล็กน้อยด้วยพอซือหมิงถูกเชิญเข้ามาในจวนเพื่อไปยังห้องโถงกลาง ก็พอดีกับที่นางกำนัลเจี่ยงจูงมือซูเมิ่งซึ่งมีผ้าสีแดงผืนใหญ่ปิดใบหน้าเดินออกมา ขนาดไม่เห็นหน้าตาซือหมิงยังรู้สึกใจเต้นแรงขึ้นมา เขามองเห็นเพียงทรวดทรงและท่าทางการเดินนั่นก็รู้สึกภาคภูมิใจเป็นไหน ๆ พอถึงย้อนไปคราที่เขาพบนางครั้งแรก ท่ามความมืดมิดในค่ำคืนหนึ่งในป่ากว้าง ร่างงามสง่าผิวข

  • เล่ห์รักบุปผาซ่อนพิษ   บทที่ 47

    #####บทที่ 47วันรุ่งขึ้นตื่นขึ้นมาร่างกายของซูเมิ่งก็เริ่มกลับมาปรกติแล้ว ความเจ็บปวดเมื่อตอนก่อนได้รับเทียบยาถอนพิษคลายลง ทำให้ร่างกายซูเมิ่งกลับมามีแรงอีกครา เมื่อคืนตอนที่นางนั่งคุยกับหยางเหวินทำให้ได้รู้ว่าหมอพิษคนที่ท่านหมอจูบอกว่าเป็นหมอกำจัดพิษที่เก่งที่สุดนั้นแท้จริงคืออาจารย์ผู้สอนหยางเหวินนั่นเอง จากคำกล่าวของหยางเหวิน เขาบอกว่าอาจารย์ของเขาผู้นี้รักความสงบมากมักจะเร้นกายไม่ให้คนขอพบได้ง่าย และเนื่องด้วยเขาอายุมากแล้วไม่แข็งแรงกำยำเหมือนสมัยหนุ่ม ๆจึงไม่รับรักษาคนอีก เหมือนว่าหยางเหวินจะคือลูกศิษย์คนสุดท้ายของเขา แต่แม้หยางเหวินจะได้รับการถ่ายทอดวิชาแต่ด้วยประสบการณ์ตรงในความรอบรู้เรื่องพิษต่าง ๆก็ไม่สู้อาจารย์ได้อยู่ดี แต่หยางเหวินอาจสามารถขอให้อาจารย์มารักษาซูเมิ่งได้เป็นกรณีพิเศษ นี่คือเหตุผลที่ซูเมิ่งคุยกับหยางเหวินจนดึกดื่นใครจะไม่ตื่นเต้นเล่าที่พบหนทางกำจัดพิษได้ นางไม่อยากเป็นสตรีอ่อนแออย่างนี้หรอกนะ ซูเมิ่งตื่นขึ้นมาอีกทีก็ยามเว่ยแล้ว ไป๋จื่อนำอาหารอ่อนเข้ามาให้ซูเมิ่งกินถึงหน้าเตียง พอทานเสร็จก็ขอร้องแกมบังคับให้นางนอนพักผ่อนต่ออีก แต่ด้วยความที่นางเพิ่งทานข้าวไป

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status