เข้าสู่ระบบ#####บทที่ 21
“เป็นอย่างไรบ้าง?” ซูเมิ่งพยักหน้าให้ไป๋จื่อที่วิ่งเข้ามาหันกลับไปปิดประตูด้วย จากนั้นไป๋จื่อก็รีบเข้ามานั่งต่อหน้าซูเมิ่ง เจ้าตัวหายใจหอบชั่วครู่จึงเริ่มพูดได้ “ได้เรื่องมาแล้วเจ้าค่ะ จากที่คุณหนูให้บ่าวไปเฝ้าตามสังเกตการณ์บ่าวที่ทำหน้าที่เฝ้าประตูคนนั้นบ่าวเจอเรื่องประหลาดเรื่องนึงเจ้าค่ะ” “เรื่องอันใด?” ไป๋จื่อหันมองรอบข้างอีกรอบราวกลัวใครมาได้ยินทั้ง ๆที่ตอนนี้มีเเค่ซูเมิ่งและไป๋จื่อนั่งกันอยู่ในห้องนอนของซูเมิ่งเท่านั้น พอตนเองมั่นใจก็รีบเอ่ยขึ้น “คืออย่างนี้เจ้าค่ะ บ่าวคนนั้นนามว่า เป่าต้งเจ้าค่ะ เป็นบ่าวเฝ้าหน้าประตูมานานหลายปีแล้วเจ้าค่ะ แต่ที่วันนั้นไม่อยู่ยาม เป็นเพราะแม่ป่วยหนักไม่ทันได้บอกใครก็รีบไปเลยเจ้าค่ะ เห็นคนเฝ้ายามคนอื่นบอกว่าเป่าต้งไม่เคยทำผิดวินัยมาก่อนเจ้าค่ะ นี่เป็นครั้งแรก” ซูเมิ่งพยักหน้าในหัวกำลังประมวลผลเรื่องที่รับมา ในคืนวันหนึ่งที่ซูเมิ่งเดินเล่นอยู่ในจวนเพราะนางนอนไม่หลับ บังเอิญพบว่าประตูหลังของจวนขาดคนเฝ้ายามไปคนหนึ่งนางจึงเอะใจและให้ไป๋จื่อไปสืบว่าเวรนั้นเป็นของใครโดยยังไม่ได้บอกใครทั้งสิ้น จากนั้นก็ให้ไป๋จื่อไปเฝ้าและตามเป่าต้งโดยไม่ต้องมารับใช้นางนานราวเกือบสองวัน “อืม งั้นแม่เป่าต้งป่วยจริงหรือไม่?” “คาดว่าจริงเจ้าค่ะ เมื่อครู่บ่าวเพิ่งกลับมาจากนอกจวน บ่าวตามเป่าต้งไปและก็พบว่าเขาไปทางถนนทิศประจิมเข้าไปที่บ้านหลังโทรมหลังหนึ่งแต่บ่าวเข้าไปไม่ได้เลยรออยู่ข้างนอก จากนั้นไม่นานเป่าต้งก็ออกมาและก็ไปที่ร้านยาเเห่งหนึ่งเจ้าค่ะ แต่เขาออกมามือเปล่า จากนั้นบ่าวก็เลยเข้าไปถามเถ้าแก่ร้านยาเขาก็บอกว่าเป่าต้งมาหาซื้อยาเพื่อรักษาอาการป่วยเจ้าค่ะ แต่เงินไม่พอ พอได้เรื่องดังนี้บ่าวก็รีบกลับมารายงานคุณหนูเลยเจ้าค่ะ” …นางคิดไม่ผิดจริง ๆที่ช่วยไป๋จื่อในวันนั้น เพราะตั้งแต่อยู่ด้วยกันมาขอเเค่ซูเมิ่งเอ่ยไป๋ซื่อก็จะทำตามโดยไม่แม้เอ่ยถาม และดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะชอบงานทำนองนี้มากกว่าการทำงานเยี่ยงบ่าวรับใช้เสียด้วย “ดีมาก งั้นเจ้าไปตามเป่าต้งให้ไปพบข้าที่ห้องหนังสือ” ไป๋ซูเมิ่งไม่ลืมยื่นถ้วยน้ำชาที่ด้านในมีน้ำชาอยู่เต็มให้ไป๋จื่อ “ดื่มซะก่อน พูดตั้งมากมาย” ตอนเเรกไป๋จื่อก็ไม่กล้ารับน้ำชามาดื่มแม่จะรู้สึกกระหายมากก็ตาม แต่พอเห็นว่าเจ้านายตนไม่มีทีท่าจะเอาชากลับไปจึงยื่นมือรับและกระดกอย่างรวดเร็ว “ขอบคุณคุณหนูมากเจ้าค่ะ” ซูเมิ่งพยักหน้ารับจากนั้นนางก็เดินไปยังห้องหนังสือที่แยกอยู่ไม่ไกล ส่วนไป๋จื่อก็รีบไปทำตามที่ซูเมิ่งบอก เวลาผ่านไปราวหนึ่งเค่อไป๋จื่อก็เดินเข้าแล้วตามด้วยบ่าวรับใช้ชายอีกคนที่น่าจะคือเป่าต้ง “คุณหนูมีอะไรให้บ่าวรับใช้หรือขอรับ” เป่าต้งนั่งก้มหน้ามองพื้นอยู่ห่างจากเก้าอี้ที่ซูเมิ่งนั่งประมาณนึง ตั้งเเต่ที่เขาเข้ามาซูเมิ่งก็สำรวจทั้งบุคลิกและท่าทางการเดินของเขาทั้งหมด จากรูปร่างที่ค่อนข้างมีกล้ามเนื้อคิดว่าน่าจะเป็นคนขยัน เพราะทั้งรูปร่าง ท่าทางการเดินดูทะมัดเเทมงเหมือนคนผ่านการทำงานมาหนัก และก็เป็นคนที่น่าใช้งาน เพราะจากเสื้อผ้าที่สวมใส่ถูกตามข้อกำหนดของจวนและดูสะอาดสะอ้าน เป็นคนจริงใจคนหนึ่ง “เมื่อสองวันก่อนช่วงกลางคืนเป็นเวรเฝ้ายามของเจ้าใช่หรือไม่?” สิ้นคำเป่าต้งก็เงยหน้าขึ้นสบตาซูเมิ่งโดยฉับพลัน ในใจของเขานั้นร้อนรนยิ่ง และคิดไม่ถึงว่าความผิดพลาดเพียงครั้งเดียวของตนจะถึงหูเจ้านายรวมถึงอดเเปลกใจที่คุณหนูซูเมิ่งเรียกเขามาด้วยเรื่องนี้ “อะ เอ่อ บ่าวมีเหตุจำเป็นมากขอรับ บ่าวจะรีบไปรับโทษกับพ่อบ้านเดี๋ยวนี้!” “เดี๋ยว เจ้ารู้หรือไม่โทษของเจ้าคืออะไร” ซูเมิ่งยังคงเอ่ยเสียงนิ่ง เป่าต่งนิ่งคิดสักครู่แต่ซูเมิ่งนั้นไม่รอให้เสียเวลา “โทษคือไล่ออกจากจวน และหากเจ้าถูกไล่ออกแล้วแม่ที่ป่วยหนักที่รอยาจากเจ้าจะทำอย่างไรล่ะ” “คะ คุณหนูระรู้เรื่อง…” เเววตาที่มองมาที่ซูเมิ่งเปลี่ยนไป เขานึกภาพตามก็รู้สึกร้อนรนยิ่งกว่าเดิม “เจ้าคิดว่าหากข้าอยากเจ้าถูกลงโทษตามกฎจวนแล้วข้าจะเรียกเจ้ามาหาเพื่อข้าอันใด” ซูเมิ่งพยักหน้าให้ไป๋จื่อทีหนึ่ง ถุงเงินถูกโยนลงไปตรงหน้าเป่าต้ง “เอาไปซื้อยารักษาแม่ซะ ข้ารู้ถึงเหตุจำเป็นของเจ้าขอเพียงครั้งหน้าไม่ทำอีกก็เป็นพอ” พูดจบนางก็สะบัดมือไล่ให้ทุกคนออกจากห้องทันที เป่าต้งนิ่งครู่หนึ่งก่อนคารวะให้ซูเมิ่งหลายครั้งและหยิบถุงเงินจากไป …ริมฝีปากบางหยักยิ้มอย่างพอใจมองตามคนที่ออกไปจนลับสายตา ซูเมิ่งรอพักหนึ่งก็นึกอยากออกไปสูดอากาศยามเย็นด้านนอก เวลานี้คือยามเซินแดดเริ่มอ่อนลง อากาศไม่ร้อนมาก อยู่ ๆซูเมิ่งก็คิดถึงเก๋งกลางน้ำใกล้เรือนพี่ใหญ่ขึ้นมาจึงคิดจะเดินไปที่นั่นเสียหน่อย เนื่องจากไป๋จื่อยังไม่กลับมา ส่วนเย่าถิงนางก็ไล่ให้ไปทำงานเพราะไม่อยากให้รับรู้เรื่องของนางมากนัก ซูเมิ่งจึงเดินไปที่เเห่งนั้นคนเดียว ปรายสายตาของซูเมิ่งเห็นแผ่นหลังชายคนหนึ่งนั่งอยู่ในเก๋งคนเดียวก็หยักยิ้ม รีบเร่งฝีเท้าเข้าไปหาทันที หลายคราที่นางมักเจอพี่ใหญ่มานั่งจิบชาพักผ่อนที่เก๋งแห่งนี้เพราะมันทั้งร่มรื่น อากาศถ่ายเท และที่สำคัญมันช่างใกล้เรือนพี่ใหญ่จนซูเมิ่งยังอิจฉา “เเหมพี่ใหญ่มานั่งคนเดียวไม่เหงาเเย่หรือเจ้า….” ยังไม่ทันพูดจบคนที่ซูเมิ่งคิดว่าคือพี่ใหญ่ก็หันมาทำให้นางเห็นใบหน้าชัดเจน …ชินหวัง!!! “ขออภัยเจ้าค่ะ ข้านึกว่าเป็นพี่ใหญ่ ขายหน้าท่านแล้ว งั้นข้าไม่รบกวนท่านแล้วกัน” พูดจบก็หมุนตัวกลับทางเดิมทันที …เป็นชินหวังอีกแล้ว หลายวันก่อนก็ถูกชินหวังทำเเผนล่ม วันนี้ยังมาขายหน้าอีก! “ช้าก่อน” ซูเมิ่งชะงักเท้าหยุดฉับพลันก่อนหันมายิ้มหวาน สองมือกุมไว้ด้านหน้า “มีอะไรหรือเจ้าคะท่านชินหวัง” “ข้ารู้สึกกระหายน้ำ” ซือหมิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงนิ่งดุจสายน้ำเเต่กลับแฝงด้วยอำนาจ คิ้วเรียวของซูเมิ่งขมวดเป็นปมมองไปที่ชุดน้ำชาที่วางอยู่บนโต๊ะตรงหน้าชินหวัง …เเค่เขาเทชาลงถ้วยก็ดื่มได้แล้วจำเป็นต้องให้คนเทให้ด้วยหรือกระไร นางหาใช่บ่าวรับใช่ไม่ “รบกวนท่านรอสักครู่ข้าจะไปตามบ่าวมารับใช้ท่านให้เจ้าค่ะ” เเต่ก่อนไป ซือหมิงหันมาสบตากับซูเมิ่งเเกมบังคับ ในใจนางก็เริ่มคิดว่าตนควรยอมหรือต่อต้านต่อไปดี เพราะคนตรงหน้าเป็นผู้มีอำนาจรองเพียงฮ่องเต้เท่านั้น แต่ชินหวังก็ไม่ได้ปล่อยให้ซูเมิ่งเป็นคนตัดสินใจ “พี่ชายเจ้าคงยังไม่รู้สินะว่าวันนั้นเจ้าหนีองครักษ์เพื่อไปที่ไหนสักเเห่ง” พอได้ยินดังนั้นซูเมิ่งก็รีบฉีกยิ้มหวานยิ่งกว่าเดิม นางเดินมานั่งรินชาและยกให้ชายตรงหน้าทันที เวลานี้นางอยากทำเสียยิ่งกว่าบ่าวรับใช้คนอื่นเป็นไหน ๆ “ข้าเปล่าหนีเลยเจ้าค่ะ แค่พัดหลงกับองครักษ์เท่านั้น ต้องลำบากท่านชิงหวังพาข้าไปส่งคืน” รอยยิ้มยังไม่จางหายไป ซูเมิ่งพอชงชาเสร็จก็ขยับมานั่งฝั่งตรงข้าม “ท่านมารอพี่ใหญ่หรือเจ้าคะ หรือท่านพ่อ ให้ข้าไปตามให้ไหม” ซือหมิงหยักยิ้มมุมปากชั่ววาบหนึ่งเมื่อเห็นถึงท่าทีที่เปลี่ยนไปของซูเมิ่ง เขายกชาขึ้นดื่มก่อนตอบ “ไม่ต้อง ข้าให้คนไปตามแล้ว” พูดยังไม่ทันสิ้นคำไป๋เหิงซานก็เดินเข้ามาภายในเก๋ง ตามด้วยคนติดตามของชินหวังและจือฉีที่ยกน้ำชากาใหม่ที่ดูในชุดกระเบื้องหรูหรากว่าที่วางบนโต๊ะ “อ้าวเมิ่งเอ๋อมาได้อย่างไร เจ้าได้ทำให้ท่านชินหวังลำบากใจอะไรหรือเปล่า” ซูเมิ่งแอบมองบนวาบหนึ่ง …นางถูกรังแกแท้ ๆแต่กลายเป็นนางทำให้ชินอ๋องลำบากซะงั้น “ไม่หรอก” สือหมิงส่ายหน้าเบาเบาเชิงปฏิเสธ …สองคนนี้ไปรู้จักกันตั้งแต่ตอนไหนไยเขาไม่รู้ ปกติชินหวังหาได้ชอบให้คนแปลกหน้าเข้าใกล้ไม่ เหิงซานได้เเต่สงสัยในใจพลางมองซูเมิ่งและซือหมิงสลับกัน จนซูเมิ่งเริ่มทำตัวไม่ถูก นางจึงยืนขึ้นก่อนกล่าวขอตัวออกมา นางไม่ชอบอยู่ในบรรยากาศที่ตนเองอยู่ภายใต้อำนาจคนอื่นเช่นนี้เลย ไว้คราหลังหากเจอชินหวังอีกนางคงต้องหาทางเลี่ยงเสียเเล้ว#####บทส่งท้ายมือหนาควานหาร่างอุ่นนุ่มอย่างที่ทำเป็นประจำทุกวัน ทว่าควานไปพบแต่ความว่างเปล่า สองตาค่อย ๆลืมขึ้น ไฉนวันนี้เขาถึงรู้สึกมึนหัวประหลาดหือ วันนี้เขาตื่นสายหรือ ไยเป็นภรรยาเขาที่ตื่นก่อนได้เล่า นางตื่นแล้วไยไม่เรียกเขาเสียหน่อยล่ะ“ใครอยู่ด้านนอกเข้ามาที”เป็นเย่าถิงที่เดินเข้ามา นางชะงักนิดหน่อยเพราะกลิ่นที่เกิดจากการทำกิจกรรมของสองข้าวใหม่ปลามันคละคลุ้งทั่วห้อง ซึ่งเมื่อคืนพวกนางต่างรู้ดีกว่าเกิดอะไรขึ้นในห้อง เพราะเสียงที่ดังทะลุกำแพงออกมาตลอดคืน“นายหญิงไปไหนหรือ?”เย่าถิงยกคิ้วฉงนก่อนตอบ “ก็ไม่ได้อยู่ในห้องหรอกหรือเพคะ” พูดพลางสอดส่องมองทั่วห้องก็ไม่เห็นคุณหนูของตนจริง จึงขออนุญาตเรียกไป๋จื่อและบ่าวคนอื่น ๆมาถามไถ่ แต่ก็ไม่มีใครพบเห็นเลย พอไม่เจอสตรีที่ตนเรียกหาจึงกลายเป็นเรื่องใหญ่ คนของชินหวังทั่วทั้งจวนต่างกระจายกำลังหาทั่วจวน แต่หานานหลายชั่วยามก็ไม่มีใครพบ“พวกเจ้าดูแลนางอย่างไรนายหญิงออกจากห้องไปไยไม่มีใครเห็น!”บรรยากาศโดยรอบของบุรุษผู้ทรงอำนาจเย็นยะเยือกลามไปทั่วทั้งจวน นัยน์ตาดุดันจ้องมองเขม็งไปที่เหล่าบ่าวใช้ที่คุกเข้าตรงหน้า“หม่อมฉันเฝ้าหน้าห้องตลอดไม่เห็
#####บทที่ 50นับจากวันที่กลับจากไปเยี่ยมจวนตระกูลไป๋ซูเมิ่งก็รอบางอย่างจนสิ่งที่นางรอคอยก็มาถึง ไป๋จื่อเข้ามาหาซูเมิ่งในห้องหนังสือพร้อมปิดประตูแน่น จนในห้องเหลือเพียงซูเมิ่งและไป๋จื่อสองคน“ครานี้ได้เรื่องแล้วเพคะพระชายา”“ว่ามา...”ตามที่ให้ไป๋จื่อออกไปรับเรื่องที่นางให้เป่าต้ง บ่าวบุรุษที่ซูเมิ่งไว้ใจในจวนตระกูลไป๋ทำเรื่องบางอย่างในจวน การมารายงานครานี้ของเป่าต้งนั้นต่างออกไปจากครั้งก่อน ๆแล้ว เรื่องที่ซูเมิ่งกำลังเฝ้าคอยเป็นเรื่องเกี่ยวกับไป๋หย่งคังบิดาของซูเมิ่งเอง ในวันที่นางกลับไปเยี่ยมบ้านนั้นนอกจากซูเมิ่งจะเข้าไปขอพบหย่งคังเป็นการส่วนตัวแล้วนางยังเรียกเป่าต้งเพื่อมอบหมายงานให้ทำด้วยนั่นก็คือ ให้เขาคอยจับตาดูไป๋หย่งคังตลอดทุกฝีก้าวตอนที่อยู่ในจวนไม่เว้นแม้กระทั่งช่วงกลางคืน และให้มารายงานนางทุก ๆสามวัน ในช่วงแรก ๆ สิ่งที่ไป๋หย่งคังทำนั้นซูเมิ่งคิดว่าปรกติทั่วไป แต่พอได้ฟังคำจากเป่าต้งรายงานหลาย ๆคราซูเมิ่งเริ่มสงสัยบางอย่างเข้าให้แล้ว กิจวัตรหนึ่งที่น่าสงสัยคือไป๋หย่งคังมักจะเทียวไปเรือน ๆหนึ่งทุก ๆสองหรือสามวันเสมอและใช้เวลาอยู่ที่นั่นราวสองเค่อ สิ่งที่น่าประหลาดคือเรือนแห่ง
#####บทที่ 49และแล้ววันที่ท่านหมอพิษมาถึงจวนชินหวังก็มาถึง เขาเข้ามาพร้อมกับหยางเหวินเพื่อมาตรวจอาการของซูเมิ่ง “แปลก พระชายาไม่น่ามีพิษชนิดนี้อยู่ในกายได้พะยะค่ะ”หมอพิษพูดพลางลองตรวจสอบพิษอีกรอบผลปรากฎว่าเลือดที่มาจากร่างกายซูเมิ่งนั้นเป็นพิษชนิดที่เขาคิดจริง ๆ“อย่างไรหรือท่านหมอ”ซูเมิ่งเอ่ยถาม นางอยากรู้อย่างที่สุดว่าพิษที่อยู่ในร่างกายนางแต่กำเนิดนั้นคือชนิดใดกันแน่โดยท่านหมอพิษบอกว่าพิษนี้คือพิษที่มีแหล่งกำเนิดจากอาณาจักรชิงจง ซึ่งคืออาณาจักรข้างเคียงที่เป็นศัตรูกับอาณาจักรที่นางอยู่นี้มาช้านานแล้ว โดยพิษนี้เป็นพิษที่หากออกฤทธิ์จะค่อย ๆทำลายอวัยวะทั้งหมดในร่างกาย แต่เงื่อนไขการออกฤทธิ์จะออกฤทธิ์เมื่ออยู่ในกระแสเลือดของบุคคลผู้นั้นนานเป็นเวลาสองปี ซึ่งพิษนี้ไม่ค่อยมีผู้คนนำมาใช้เท่าไหร่นัก แทบไม่มีคนในอาณาจักรนี้รู้จักเลยด้วยซ้ำ แต่สำหรับอาณาจักรชิงจงพิษชนิดนี้จะใช้เฉพาะกับทหารที่ฝึกไว้เพื่อเป็นสายลับเท่านั้น ด้วยเงื่อนไขการออกฤทธิ์นี้ทำให้สามารถใช้เพื่อควบคุมเหล่าทหารยามต้องออกไปปฏิบัติการได้ โดยการให้สายลับทุกคนดื่มพิษชนิดนี้เข้าไปและหากต้องการมีชีวิตต่อเพียงแค่กลับไปที่ฐาน
#####บทที่ 48“คุณหนูเจ้าคะ ตื่นได้แล้วเจ้าค่ะ”เป็นเย่าถิงที่เข้ามาปลุกซูเมิ่งที่กำลังกอดกองผ้าห่มนุ่มด้วยอาการมึนงง นางลืมตามองเย่าถิงอย่างเกียจคร้าน“ข้าขอนอนอีกหน่อยได้หรือไม่”ไม่พูดเปล่าซูเมิ่งปิดเปลือกตาลงอีกครั้ง นางรู้สึกอ่อนเพลีย และปวดเนื้อปวดตัวไปหมดจนไม่อยากขยับเขยื้อน แต่ก็ต้องลืมตาขึ้นอีกครั้งเพราะแขนตัวเองถูกดึงให้ลุกขึ้นและทันทีที่เย่าถิงดึงแขนของซูเมิ่งพ้นผ้าห่มก็ต้องตกใจ นางมองไปยังรอยสีกุหลาบบนผิวขาวผุดผาดของผู้เป็นนายที่ตอนนี้ขึ้นรอยแดงราวถูกแมลงกัดต่อย และยิ่งพอซูเมิ่งเอนตัวขึ้นตามแรงดึงของเย่าถิงแล้วผ้าห่มที่คลุมร่างอยู่ไหลกองลงปิดเพียงเอวยิ่งตระหนกไปใหญ่ ทั้งรอยมือและบางแห่งเกิดเป็นรอยช้ำ เย่าถิงพอนึกถึงว่าที่มารอยพวกนี้มาจากไหนจึงใบหน้าแดงขึ้นลามจนถึงใบหู“ไป๋จื่อเตรียมน้ำอุ่นผสมสมุนไพรให้แล้วเจ้าค่ะ ให้บ่าวพยุงไปนะเจ้าคะ”ซูเมิ่งพยักหน้ารับคำอย่างว่าง่าย นางรู้สึกล้าเกินจะลืมตาตื่นด้วยซ้ำ แต่ก็รู้ว่าตามธรรมเนียมแล้วตนจะต้องไปไหว้บุพการีของซือหมิง ซูเมิ่งแทบจะอยากไปหักคอของบุรุษน่าตายนามซือหมิงให้ตายคามือเสียเดี๋ยวนี้เลย เมื่อคืนเขารู้ทั้งรู้แท้ ๆว่าไม่ควรเข้
บทที่ 47 (ต่อ)“คุณหนู พร้อมแล้วออกมาได้เลยนะเจ้าคะขบวนของชินหวังใกล้มาถึงแล้วคุณหนูออกมาได้เลยเจ้าค่ะ”ร่างงามระหงเดินตามนางกำนัลเจี่ยงและคนอื่นออกจากห้องนอนเพื่อไปยังโถงจัดงานไม่นานขบวนเสด็จของชินหวังก็หยุดลง ทั้งขุนนาง และทหารรักษาพระองค์ตั้งขบวนจนหางยาวไปไกลลิบตา บนม้าต้นขบวนร่างกำยำงามสง่าในชุดแดงผ่าเผย นัยน์ตานิ่งลึกล้ำยากคาดเดา ยามปรายตาไปทางใดเหล่าบ่าวใช้ที่ติดตามเจ้านายจวนตระกูลไป๋ออกมาต้อนรับต่างเขินหน้าแดงเป็นลูกตำลึง ซือหมิงเหวี่ยงตัวลงจากอานม้าท่าทางงามสง่าเต็มไปด้วยอำนาจแม้วันนี้เขาจะยังคงท่าทาดุดันเข้าถึงยากอยู่แต่หากเป็นคนสนิทของซือหมิงย่อมมองออกมาเจ้านายของพวกเขานั้นนัยน์ตาเปล่งประกายเจิดจ้ากว่าวันใด และริมฝีปากบางนั่นก็หยักยกเล็กน้อยด้วยพอซือหมิงถูกเชิญเข้ามาในจวนเพื่อไปยังห้องโถงกลาง ก็พอดีกับที่นางกำนัลเจี่ยงจูงมือซูเมิ่งซึ่งมีผ้าสีแดงผืนใหญ่ปิดใบหน้าเดินออกมา ขนาดไม่เห็นหน้าตาซือหมิงยังรู้สึกใจเต้นแรงขึ้นมา เขามองเห็นเพียงทรวดทรงและท่าทางการเดินนั่นก็รู้สึกภาคภูมิใจเป็นไหน ๆ พอถึงย้อนไปคราที่เขาพบนางครั้งแรก ท่ามความมืดมิดในค่ำคืนหนึ่งในป่ากว้าง ร่างงามสง่าผิวข
#####บทที่ 47วันรุ่งขึ้นตื่นขึ้นมาร่างกายของซูเมิ่งก็เริ่มกลับมาปรกติแล้ว ความเจ็บปวดเมื่อตอนก่อนได้รับเทียบยาถอนพิษคลายลง ทำให้ร่างกายซูเมิ่งกลับมามีแรงอีกครา เมื่อคืนตอนที่นางนั่งคุยกับหยางเหวินทำให้ได้รู้ว่าหมอพิษคนที่ท่านหมอจูบอกว่าเป็นหมอกำจัดพิษที่เก่งที่สุดนั้นแท้จริงคืออาจารย์ผู้สอนหยางเหวินนั่นเอง จากคำกล่าวของหยางเหวิน เขาบอกว่าอาจารย์ของเขาผู้นี้รักความสงบมากมักจะเร้นกายไม่ให้คนขอพบได้ง่าย และเนื่องด้วยเขาอายุมากแล้วไม่แข็งแรงกำยำเหมือนสมัยหนุ่ม ๆจึงไม่รับรักษาคนอีก เหมือนว่าหยางเหวินจะคือลูกศิษย์คนสุดท้ายของเขา แต่แม้หยางเหวินจะได้รับการถ่ายทอดวิชาแต่ด้วยประสบการณ์ตรงในความรอบรู้เรื่องพิษต่าง ๆก็ไม่สู้อาจารย์ได้อยู่ดี แต่หยางเหวินอาจสามารถขอให้อาจารย์มารักษาซูเมิ่งได้เป็นกรณีพิเศษ นี่คือเหตุผลที่ซูเมิ่งคุยกับหยางเหวินจนดึกดื่นใครจะไม่ตื่นเต้นเล่าที่พบหนทางกำจัดพิษได้ นางไม่อยากเป็นสตรีอ่อนแออย่างนี้หรอกนะ ซูเมิ่งตื่นขึ้นมาอีกทีก็ยามเว่ยแล้ว ไป๋จื่อนำอาหารอ่อนเข้ามาให้ซูเมิ่งกินถึงหน้าเตียง พอทานเสร็จก็ขอร้องแกมบังคับให้นางนอนพักผ่อนต่ออีก แต่ด้วยความที่นางเพิ่งทานข้าวไป







