แชร์

บทที่ 20 (ต่อ)

ผู้เขียน: มายุมายูมายา
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-12-01 21:03:13

#####บทที่ 20 (ต่อ)

            ไป๋ลู่ซานมองไปที่สหายตนที่เปิดประตูเข้ามากระทันหันทั้งที่หน้าห้องมีคนของเขาเฝ้าอยู่แท้ ๆ เขามองไปที่ซูเมิ่งที่นั่งหันหลังให้ประตูอยู่ บนใบหน้าของลู่ซานเเสดงออกถึงความไม่พอใจอย่างชัดเจน เขาไม่อยากให้สหายมาเจอน้องสาวของเขาเสียหน่อย

            “เจ้าออกไปก่อน ถึงเวลานัดเเล้วค่อยเข้ามา” 

ไป๋ลู่ซานพยักหน้าให้บ่าวรับใช้ตนให้พาสหายตนออกไป แต่หาได้ง่ายเช่นนั้นไม่ ชายหนุ่มในชุดเครื่องแบบเบี่ยงตัวหลบ

            “เจ้าคุยกับแม่นางที่ไหน ไยไล่สหายรักอย่างข้าเช่นนี้ มาให้ข้าดูหน้าหน่อยซิ”

            พูดจบก็เดินเข้ามาหาลู่ซานและหันไปดูเเม่นางในชุดสีเขียวอ่อนที่นั่งฝั่งตรงข้ามทันที

            ตั้งแต่ที่ชายคนที่เป็นสหายของพี่รองเอ่ยปากเปล่งเสียงพูดคิ้วของซูเมิ่งก็ขมวดมุ่นแล้ว เพราะเสียงนี้นางรู้สึกเหมือนเคยได้ยินมาก่อน แต่จำไม่ได้ว่าเสียงใคร ทว่าพอได้เห็นหน้าชายเจ้าของเสียงดวงตาก็เบิกโพรง

            …มือปราบฉิงอี!!! คนที่นางเคยเจอเมื่อตอนอยู่ในฐานะจอมยุทธ์หนุ่มน้อยช่างหลิน ไม่คิดว่าจะเป็นสหายของพี่รองของนาง

            ซูเมิ่งนัยตาเบิกกว้างจ้องมองคนตรงหน้าที่มีสีหน้าตกใจเช่นกัน

เดี๋ยวนะ! ตอนนั้นนางใส่หน้ากากนี่นาแถมยังมีสถานะเป็นบุรุษ ไม่ว่าจะเขาสายตาเฉียบคมแค่ไหนก็ไม่น่าจะจำหน้านางได้ ตอนนี้นางทั้งใส่ชุดสตรีและก็อยู่เมืองหลวงฉิงอีไม่น่าจำนางได้อยู่แล้ว แต่ดูจากสีหน้าเขาตอนนี้เเล้วหรือว่า…จะจำนางได้!

            “รบกวนมือปราบฉิงอีสำรวมอาการด้วย”

            เป็นลู่ซานที่เอ่ยทำลายบรรยากาศเเปลกประหลาดที่เกิดขึ้น ซูเมิ่งกลับมาเก็บสีหน้าตกใจของตนหลุบสายตาลง หยิบถ้วยชาขึ้นจิบลอบสังเกตอาการของฉิงอีไปพลาง

            ส่วนฉิงอีก็สะบัดหัวเรียกสติ เขาเเค่ชะงักไปเพราะไม่คาดว่าสตรีตรงหน้าจะงดงามเช่นนี้ และพอสบตาอีกฝ่ายให้ความรู้สึกคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด พอเขารู้สึกตัวก็รับรู้ถึงรังสีสังหารของสหายที่นั่งอยู่ข้าง ๆเขา

            “ข้าเสียมารยาทแล้ว ขออภัยแม่นางด้วย” 

            ฉิงอีพูดพลางจัดท่าทางของตนให้นั่งข้างลู่ซานอย่างเรียบร้อย พูดจบก็หันไปพูดกับสหาย 

            “ห้องนี้เป็นข้าต่างหากที่จอง ข้าย่อมมีสิทธิ์ใช้ห้องนี้เช่นกัน”

            ไม่พูดเปล่าเขาส่งสัญญาณให้เซียงอี้ซึ่งก็คือบ่าวรับใช้ของลู่ซานให้เพิ่มชุดน้ำชา เมื่อซูเมิ่งเห็นฉิงอีไร้ทีท่าจะจากไปตามที่ลู่ซานเอ่ยก่อนหน้าจึงถือโอกาสเอ่ยขึ้น

            “สหายพี่รองมาแล้วงั้นข้าไปก่อนแล้วกัน”

            ซูเมิ่งคารวะฉิงอีเตรียมตัวหมุนตัวเดินจากไป

            “อ้อ ที่เเท้แม่นางท่านนี้ก็คือคุณหนูซูเมิ่งนี่เอง ข้านามฉิงอี เป็นสหายคนสนิทของพี่ชายคุณหนูขอรับ ยินดีเป็นอย่างมากที่ได้พบคุณหนูซูเมิ่ง”

            ไม่พูดเปล่า ฉิงอียกถ้วยน้ำชาขึ้นดื่มทำให้ซูเมิ่งต้องหมุนตัวกลับมายกชาตนขึ้นเคารพกลับบ้าง

            “ยินดีเช่นกันเจ้าค่ะ” 

            ซูเมิ่งยิ้มหวานกลับไป นางมองไปยังพี่รองทั้งสอบสบตากันอย่างรู้ความหมาย

            “เมิ่งเอ๋อมีธุระไม่ใช่หรือ ตอนนี้สหายพี่มาแล้วเจ้าไม่ต้องอยู่เป็นเพื่อนพี่แล้วล่ะ”

            ซูเมิ่งพยักหน้ารับคำ ครานี้นางไม่แม้จะลาฉิงอี นางรีบหมุนตัวนำบ่าวรับใช้ทั้งสองของตนออกมาจากห้องทันที พอพ้นประตูซูเมิ่งก็พ่นลมหายใจออกมาหอบใหญ่ มือลูบอกที่หัวใจยังเต้นระรัว

            …นี่นางจะตื่นเต้นไปทำไมก็ไม่รู้ ฉิงอีหาจำนางได้ไม่สักหน่อย

            “เย่าถิง ก่อนหน้าเจ้าเคยพบมือปราบฉิงอีมาก่อนหรือไม่?” 

            “มีบ้างเจ้าค่ะ ท่านมือปราบฉิงอีกับคุณชายรองเป็นสหายกันตั้งเเต่สมัยเรียนเจ้าค่ะ ก่อนหน้าที่ยังเรียนที่สำนักการศึกษามีมาที่จวนบ้างเจ้าค่ะ พอหลังจากที่คุณชายทั้งสองเรียนจบดูเหมือนว่าจะหายไปช่วงนึงจนกระทั่งคุณชายรองไปช่วยงานที่สำนักตุลาการจึงพอเห็นท่านมือปราบฉิงอีบ้างเจ้าค่ะ”

            “อืม แสดงว่ามือปราบฉิงอีน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับพี่รอง” 

            นางพูดไปก็เดินนำบ่าวทั้งสองและองครักษ์ของจวนอีกจำนวนหนึ่งให้ลงไปชั้นล่าง และออกจากหอนี้ 

            “มือปราบฉิงอีมาจากตระกูลไหนหรอพี่เย่าถิง”

            เย่าถิงยิ้มมองซูเมิ่งด้วยสายตาเอ็นดู “ตระกูลโต่งเจ้าค่ะ”

            “อ้อ ตระกูลโต่งเองหรือ” 

            น้ำเสียงที่เปล่งออกมาของซูเมิ่งฟังดูเนือย เพราะแม้นางรู้สกุลแต่ก็ไม่รู้อยู่ดีว่าตระกูลนี้เป็นอย่างไร และเป็นเย่าถิงที่จับความสงสัยในน้ำเสียงนั้นได้

            “ตระกูลโต่งถือว่าเป็นตระกูลใหญ่อันดับสามในเมืองหลวงเจ้าค่ะ มีท่านโต่งหงอี้เป็นผู้นำตระกูลซึ่งตอนนี้ดำรงตำแหน่งเป็นผู้บังคับบัญชากรมตุลาการเจ้าค่ะ”

            …บุตรีของผู้บังคับบัญชากรมตุลาการเชียวหรือนี่

            “งั้นทำไมเขาต้องเป็นมือปราบด้วยล่ะ มีบิดาเป็นถึงคนตำแหน่งใหญ่โต”

            เย่าถิงเเย้มยิ้มก่อนตอบ “อันนี้บ่าวก็ไม่รู้เจ้าค่ะ”

            แม้คำตอบนั้นจะไม่เป็นที่พอใจแต่ซุเมิ่งก็ไม่คิดอะไรมากนางเดินเลยผ่านรถม้าของจวนที่จอดอยู่ เดินไปบนทางถนนที่มีคนเดินบ้างปะปราย

            “ข้าจะเดินไปนะ พวกเจ้าเฝ้ารถไม่ต้องตามก็ได้” ซูเมิ่งหันไปพูดกับเหล่าองครักษ์ 

            “ขอรับ” 

            พอได้ยินคำตอบดังนั้นรอยยิ้มหวานก็เกิดขึ้นบนใบหน้าหวานทันที

            …ให้มันว่านอนสอนง่ายอย่างนี้สิ 

            ซูเมิ่งออกเดิน สายตาก็สอดส่องสองข้างทาง หาร้านที่ตนอยากเข้าไปพลาง แต่พอเดินไปได้สักพักก็ชะงักเท้า หมุนตัวกลับหลังและสิ่งที่เห็นก็เป็นดังคาด

            “ข้าบอกให้อยู่เฝ้ารถไง เดินตามกันมาทำไมเนี่ย”

            เหล่าองครักษ์ตีหน้านิ่งไม่สะทกสะท้านต่อคำกล่าว และไม่มีทีท่าจะทำตามที่ซูเมิ่งบอกด้วย

            “ต้องขออภัยคุณหนูด้วยขอรับ พวกเราได้รับคำสั่งให้ติดตามรักษาความปลอดภัยให้คุณหนูเท่านั้นขอรับ” 

            ซูเมิ่งทำได้เเต่พ่นลมหายใจออกอย่างเเรง “ได้” พูดจบก็หันกลับเดินหน้าต่อ

            …ซูเมิ่งคิดไว้ว่าจะใช้โอกาสที่ได้ออกจากจวนครั้งนี้ในการไปสำรวจหอสรรพสิ่งสาขาเมืองหลวงเสียหน่อย นางคิดไว้ว่าสักวันหนึ่งนางอาจต้องพึ่งเจ้าหอนี้ เพราะด้วยสถานะนางตอนนี้ไม่สามารถขอให้ท่านพี่หรือท่านพ่อช่วยสืบเรื่องที่นางสงสัยอะไรได้เลย พวกเขาไม่ให้นางเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องการที่นางถูกลักพาตัวไป ซูเมิ่งจึงคิดว่านางคงต้องหาทางสืบเองโดยเริ่มจากสิ่งที่นางรู้ตอนนี้ก็คือ เจ้าพวกโจรที่ทำหน้าที่พานางไปส่งและหอนางโลมที่นางจะถูกนำไปขาย และพอสรรพสิ่งก็อาจเป็นประโยชน์ต่อการหาข้อมูลพวกนี้ วิธีนี้น่าจะง่ายและรวดเร็วกว่านางไปสุ่มถามคนเเถวนี้

            และนางก็จะไม่ยอมให้เหล่าองครักษ์พวกนี้เป็นอุปสรรคแน่นอน!

            ซูเมิ่งเดินเข้าร้านขายผ้าร้านหนึ่งบริเวณข้างทาง ภายในร้านมีคนอยู่เยอะจนแน่นร้าน

            “คุณหนูไปร้านอื่นดีกว่าไหมเจ้าคะ” 

            ไป๋จื่อรีบเอ่ยทักก่อนที่ซูเมิ่งจะก้าวเท้าเข้าไป

            “ไม่ล่ะ ข้าจะเข้าร้านนี้” 

            หลังจากนั้นซูเมิ่งก็หันไปเอ่ยกับองครักษ์ที่ตามมาไม่ห่างต่อ 

            “พวกเจ้าเฝ้าอยู่ข้างนอก ไม่ต้องตามข้าเข้าไป หรือพวกเจ้าไม่เห็นว่าร้านคนเยอะขนาดไหน" 

            พอเห็นว่าพวกเขาทำท่าจะค้านนางก็รีบเอ่ยประโยคหลังขึ้นจึงทำให้คนหน้าสุดพยักหน้ารับคำอย่างไม่ค่อยเต็มใจ

            หลังจากนั้นซูเมิ่งก็หันมาเรียกให้ไป๋จื่อตามนางเข้าไปส่วนเย่าถิงให้รอข้างนอก

            พอนางเข้ามาในร้านแล้วนางก็หันไปกำชับให้ไป๋จื่อรอนางอยู่ภายในร้านห้ามไปไหนจนกว่านางจะกลับมา ส่วนตัวเองก็หยิบชุดสีชมพูเข้มเนื้อผ้าธรรมดาขึ้นมาตัวหนึ่ง เข้าไปเปลี่ยนและเดินออกมา ซูเมิ่งสังเกตบ่าวของฮูหยินท่านนึงที่กำลังจ่ายเงินใส่ชุดสีชมพูเข้มนางจึงหยิบตัวนี้มา และเดินมาใกล้ ๆสองนายบ่าวนั่น พอทั้งสองคนเดินออกนางก็เดินตามไปบ้างพอถึงบริเวณที่ใกล้เหล่าองครักษ์ยืนอยู่นางก็ก้มหน้าต่ำและเดินฮูหยินคนนั้นไป รอจนพ้นจุดนั้นก็แยกตัวออกมา

            …นางจะชักช้าลีลาไม่ได้ เพราะหากพวกนั้นเห็นซูเมิ่งออกมาสักทีต้องเข้าไปตามแน่ และพอเเผนแตกท่านพ่อรู้โอกาสการออกมานอกจวนก็ต้องน้อยลงไปอีก

            “ท่านน้าหอสรรพสิ่งไปทางไหนหรือ?” 

            สตรีที่นางเรียกไว้ชี้ไปทางนึง ซูเมิ่งเดินตามนั้นระหว่างทางก็มีถามคนข้างทางเรื่อย ๆ ทว่าก่อนที่นางจะได้ไปถึงจุดหมายก็ต้องหยุดชะงักเท้า หัวใจตกลงไปที่ตาตุ่ม

            “คุณหนูซูเมิ่งจะไปไหนรึ?” ซูเมิ่งค่อย ๆหันไปมองผู้ถาม 

            ใบหน้าเรียว นัยน์ตาดำสนิท ท่วงท่างามสง่าภายใต้ชุดดำเหลือบเทา…

            “คารวะชินหวังเจ้าค่ะ” 

            ซูเมิ่งหยักยิ้มเจื่อนส่งไปให้ ตรงหน้านางนอกจากชินหวังก็มีชายที่นางเคยเห็นในวันงานฉลองวันพระราชสมภพฮองเฮาซึ่งวันนั้นเขาก็ติดตามชินหวังเช่นกัน

            “เรียกนามข้าเถอะ” 

            พอซูเมิ่งได้ยินก็เลิกคิ้วขึ้นอย่างเเปลกใจ พอเจ้าของคำพูดเห็นดังขั้นก็เอ่ยต่อ “อยู่ข้างนอกข้าไม่อยากให้ใครรู้”

            ซูเมิ่งพยักหน้ารับคำ “งั้นหม่อมฉัน…ไม่สิ ข้าไม่รบกวนท่านซือหมิงแล้ว” 

            “เดี๋ยว นี่เจ้ามาคนเดียวหรือ?”

            ซูเมิ่งชะงักฝีเท้า “เปล่าเจ้าค่ะ ข้ามากับคนที่จวน พวกเขารออยู่ที่ถนนทางด้านโน้น” 

            ซูเมิ่งชี้ไปทางที่นางกำลังจะไป ซึ่งไม่ใช่ทางที่คนของจวนนางอยู่แต่อย่างใด พอซูเมิ่งสบตาอีกฝ่ายก็รู้ได้ทันทีว่าเขาไม่ใช่ที่นางพูด

            “เดี๋ยวข้าให้คนไปส่งเจ้าที่จวน”

            …จวนตระกูลไป๋ถูกเพ่งเล็งจากหลายฝ่ายมีหรือที่ไป๋หย่งคังจะปล่อยให้บุตรีออกมาเตร็ดเตร่คนเดียว เขารู้ว่านางต้องหนีออกมาเป็นแน่

            “เอ่อ งั้นไปส่งข้าที่ทางนู้นก็พอเจ้าค่ะ” 

            แม้น้ำเสียงจะแฝงความไม่พอใจแต่เท้านางก็จำต้องเดินกลับไปทางเดิม

            …นางรู้ว่าตนดื้อไปก็ไร้ประโยชน์จึงยอมละทิ้งเป้าหมายวันนี้ก่อน ให้คนของซือหมิงไปส่งที่ร้านใกล้ ๆร้านผ้าและจากนั้นก็รอโอกาสแอบเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้ากลับมาเป็นชุดตัวเองและออกมาหาเหล่าองครักษ์ จากนั้นก็พากันกลับไปยังรถม้ารอให้ลู่ซานคุยธุระเสร็จและตรงกลับจวน

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • เล่ห์รักบุปผาซ่อนพิษ   บทส่งท้าย

    #####บทส่งท้ายมือหนาควานหาร่างอุ่นนุ่มอย่างที่ทำเป็นประจำทุกวัน ทว่าควานไปพบแต่ความว่างเปล่า สองตาค่อย ๆลืมขึ้น ไฉนวันนี้เขาถึงรู้สึกมึนหัวประหลาดหือ วันนี้เขาตื่นสายหรือ ไยเป็นภรรยาเขาที่ตื่นก่อนได้เล่า นางตื่นแล้วไยไม่เรียกเขาเสียหน่อยล่ะ“ใครอยู่ด้านนอกเข้ามาที”เป็นเย่าถิงที่เดินเข้ามา นางชะงักนิดหน่อยเพราะกลิ่นที่เกิดจากการทำกิจกรรมของสองข้าวใหม่ปลามันคละคลุ้งทั่วห้อง ซึ่งเมื่อคืนพวกนางต่างรู้ดีกว่าเกิดอะไรขึ้นในห้อง เพราะเสียงที่ดังทะลุกำแพงออกมาตลอดคืน“นายหญิงไปไหนหรือ?”เย่าถิงยกคิ้วฉงนก่อนตอบ “ก็ไม่ได้อยู่ในห้องหรอกหรือเพคะ” พูดพลางสอดส่องมองทั่วห้องก็ไม่เห็นคุณหนูของตนจริง จึงขออนุญาตเรียกไป๋จื่อและบ่าวคนอื่น ๆมาถามไถ่ แต่ก็ไม่มีใครพบเห็นเลย พอไม่เจอสตรีที่ตนเรียกหาจึงกลายเป็นเรื่องใหญ่ คนของชินหวังทั่วทั้งจวนต่างกระจายกำลังหาทั่วจวน แต่หานานหลายชั่วยามก็ไม่มีใครพบ“พวกเจ้าดูแลนางอย่างไรนายหญิงออกจากห้องไปไยไม่มีใครเห็น!”บรรยากาศโดยรอบของบุรุษผู้ทรงอำนาจเย็นยะเยือกลามไปทั่วทั้งจวน นัยน์ตาดุดันจ้องมองเขม็งไปที่เหล่าบ่าวใช้ที่คุกเข้าตรงหน้า“หม่อมฉันเฝ้าหน้าห้องตลอดไม่เห็

  • เล่ห์รักบุปผาซ่อนพิษ   บทที่ 50

    #####บทที่ 50นับจากวันที่กลับจากไปเยี่ยมจวนตระกูลไป๋ซูเมิ่งก็รอบางอย่างจนสิ่งที่นางรอคอยก็มาถึง ไป๋จื่อเข้ามาหาซูเมิ่งในห้องหนังสือพร้อมปิดประตูแน่น จนในห้องเหลือเพียงซูเมิ่งและไป๋จื่อสองคน“ครานี้ได้เรื่องแล้วเพคะพระชายา”“ว่ามา...”ตามที่ให้ไป๋จื่อออกไปรับเรื่องที่นางให้เป่าต้ง บ่าวบุรุษที่ซูเมิ่งไว้ใจในจวนตระกูลไป๋ทำเรื่องบางอย่างในจวน การมารายงานครานี้ของเป่าต้งนั้นต่างออกไปจากครั้งก่อน ๆแล้ว เรื่องที่ซูเมิ่งกำลังเฝ้าคอยเป็นเรื่องเกี่ยวกับไป๋หย่งคังบิดาของซูเมิ่งเอง ในวันที่นางกลับไปเยี่ยมบ้านนั้นนอกจากซูเมิ่งจะเข้าไปขอพบหย่งคังเป็นการส่วนตัวแล้วนางยังเรียกเป่าต้งเพื่อมอบหมายงานให้ทำด้วยนั่นก็คือ ให้เขาคอยจับตาดูไป๋หย่งคังตลอดทุกฝีก้าวตอนที่อยู่ในจวนไม่เว้นแม้กระทั่งช่วงกลางคืน และให้มารายงานนางทุก ๆสามวัน ในช่วงแรก ๆ สิ่งที่ไป๋หย่งคังทำนั้นซูเมิ่งคิดว่าปรกติทั่วไป แต่พอได้ฟังคำจากเป่าต้งรายงานหลาย ๆคราซูเมิ่งเริ่มสงสัยบางอย่างเข้าให้แล้ว กิจวัตรหนึ่งที่น่าสงสัยคือไป๋หย่งคังมักจะเทียวไปเรือน ๆหนึ่งทุก ๆสองหรือสามวันเสมอและใช้เวลาอยู่ที่นั่นราวสองเค่อ สิ่งที่น่าประหลาดคือเรือนแห่ง

  • เล่ห์รักบุปผาซ่อนพิษ   บทที่ 49

    #####บทที่ 49และแล้ววันที่ท่านหมอพิษมาถึงจวนชินหวังก็มาถึง เขาเข้ามาพร้อมกับหยางเหวินเพื่อมาตรวจอาการของซูเมิ่ง “แปลก พระชายาไม่น่ามีพิษชนิดนี้อยู่ในกายได้พะยะค่ะ”หมอพิษพูดพลางลองตรวจสอบพิษอีกรอบผลปรากฎว่าเลือดที่มาจากร่างกายซูเมิ่งนั้นเป็นพิษชนิดที่เขาคิดจริง ๆ“อย่างไรหรือท่านหมอ”ซูเมิ่งเอ่ยถาม นางอยากรู้อย่างที่สุดว่าพิษที่อยู่ในร่างกายนางแต่กำเนิดนั้นคือชนิดใดกันแน่โดยท่านหมอพิษบอกว่าพิษนี้คือพิษที่มีแหล่งกำเนิดจากอาณาจักรชิงจง ซึ่งคืออาณาจักรข้างเคียงที่เป็นศัตรูกับอาณาจักรที่นางอยู่นี้มาช้านานแล้ว โดยพิษนี้เป็นพิษที่หากออกฤทธิ์จะค่อย ๆทำลายอวัยวะทั้งหมดในร่างกาย แต่เงื่อนไขการออกฤทธิ์จะออกฤทธิ์เมื่ออยู่ในกระแสเลือดของบุคคลผู้นั้นนานเป็นเวลาสองปี ซึ่งพิษนี้ไม่ค่อยมีผู้คนนำมาใช้เท่าไหร่นัก แทบไม่มีคนในอาณาจักรนี้รู้จักเลยด้วยซ้ำ แต่สำหรับอาณาจักรชิงจงพิษชนิดนี้จะใช้เฉพาะกับทหารที่ฝึกไว้เพื่อเป็นสายลับเท่านั้น ด้วยเงื่อนไขการออกฤทธิ์นี้ทำให้สามารถใช้เพื่อควบคุมเหล่าทหารยามต้องออกไปปฏิบัติการได้ โดยการให้สายลับทุกคนดื่มพิษชนิดนี้เข้าไปและหากต้องการมีชีวิตต่อเพียงแค่กลับไปที่ฐาน

  • เล่ห์รักบุปผาซ่อนพิษ   บทที่ 48

    #####บทที่ 48“คุณหนูเจ้าคะ ตื่นได้แล้วเจ้าค่ะ”เป็นเย่าถิงที่เข้ามาปลุกซูเมิ่งที่กำลังกอดกองผ้าห่มนุ่มด้วยอาการมึนงง นางลืมตามองเย่าถิงอย่างเกียจคร้าน“ข้าขอนอนอีกหน่อยได้หรือไม่”ไม่พูดเปล่าซูเมิ่งปิดเปลือกตาลงอีกครั้ง นางรู้สึกอ่อนเพลีย และปวดเนื้อปวดตัวไปหมดจนไม่อยากขยับเขยื้อน แต่ก็ต้องลืมตาขึ้นอีกครั้งเพราะแขนตัวเองถูกดึงให้ลุกขึ้นและทันทีที่เย่าถิงดึงแขนของซูเมิ่งพ้นผ้าห่มก็ต้องตกใจ นางมองไปยังรอยสีกุหลาบบนผิวขาวผุดผาดของผู้เป็นนายที่ตอนนี้ขึ้นรอยแดงราวถูกแมลงกัดต่อย และยิ่งพอซูเมิ่งเอนตัวขึ้นตามแรงดึงของเย่าถิงแล้วผ้าห่มที่คลุมร่างอยู่ไหลกองลงปิดเพียงเอวยิ่งตระหนกไปใหญ่ ทั้งรอยมือและบางแห่งเกิดเป็นรอยช้ำ เย่าถิงพอนึกถึงว่าที่มารอยพวกนี้มาจากไหนจึงใบหน้าแดงขึ้นลามจนถึงใบหู“ไป๋จื่อเตรียมน้ำอุ่นผสมสมุนไพรให้แล้วเจ้าค่ะ ให้บ่าวพยุงไปนะเจ้าคะ”ซูเมิ่งพยักหน้ารับคำอย่างว่าง่าย นางรู้สึกล้าเกินจะลืมตาตื่นด้วยซ้ำ แต่ก็รู้ว่าตามธรรมเนียมแล้วตนจะต้องไปไหว้บุพการีของซือหมิง ซูเมิ่งแทบจะอยากไปหักคอของบุรุษน่าตายนามซือหมิงให้ตายคามือเสียเดี๋ยวนี้เลย เมื่อคืนเขารู้ทั้งรู้แท้ ๆว่าไม่ควรเข้

  • เล่ห์รักบุปผาซ่อนพิษ   บทที่ 47 (ต่อ)

    บทที่ 47 (ต่อ)“คุณหนู พร้อมแล้วออกมาได้เลยนะเจ้าคะขบวนของชินหวังใกล้มาถึงแล้วคุณหนูออกมาได้เลยเจ้าค่ะ”ร่างงามระหงเดินตามนางกำนัลเจี่ยงและคนอื่นออกจากห้องนอนเพื่อไปยังโถงจัดงานไม่นานขบวนเสด็จของชินหวังก็หยุดลง ทั้งขุนนาง และทหารรักษาพระองค์ตั้งขบวนจนหางยาวไปไกลลิบตา บนม้าต้นขบวนร่างกำยำงามสง่าในชุดแดงผ่าเผย นัยน์ตานิ่งลึกล้ำยากคาดเดา ยามปรายตาไปทางใดเหล่าบ่าวใช้ที่ติดตามเจ้านายจวนตระกูลไป๋ออกมาต้อนรับต่างเขินหน้าแดงเป็นลูกตำลึง ซือหมิงเหวี่ยงตัวลงจากอานม้าท่าทางงามสง่าเต็มไปด้วยอำนาจแม้วันนี้เขาจะยังคงท่าทาดุดันเข้าถึงยากอยู่แต่หากเป็นคนสนิทของซือหมิงย่อมมองออกมาเจ้านายของพวกเขานั้นนัยน์ตาเปล่งประกายเจิดจ้ากว่าวันใด และริมฝีปากบางนั่นก็หยักยกเล็กน้อยด้วยพอซือหมิงถูกเชิญเข้ามาในจวนเพื่อไปยังห้องโถงกลาง ก็พอดีกับที่นางกำนัลเจี่ยงจูงมือซูเมิ่งซึ่งมีผ้าสีแดงผืนใหญ่ปิดใบหน้าเดินออกมา ขนาดไม่เห็นหน้าตาซือหมิงยังรู้สึกใจเต้นแรงขึ้นมา เขามองเห็นเพียงทรวดทรงและท่าทางการเดินนั่นก็รู้สึกภาคภูมิใจเป็นไหน ๆ พอถึงย้อนไปคราที่เขาพบนางครั้งแรก ท่ามความมืดมิดในค่ำคืนหนึ่งในป่ากว้าง ร่างงามสง่าผิวข

  • เล่ห์รักบุปผาซ่อนพิษ   บทที่ 47

    #####บทที่ 47วันรุ่งขึ้นตื่นขึ้นมาร่างกายของซูเมิ่งก็เริ่มกลับมาปรกติแล้ว ความเจ็บปวดเมื่อตอนก่อนได้รับเทียบยาถอนพิษคลายลง ทำให้ร่างกายซูเมิ่งกลับมามีแรงอีกครา เมื่อคืนตอนที่นางนั่งคุยกับหยางเหวินทำให้ได้รู้ว่าหมอพิษคนที่ท่านหมอจูบอกว่าเป็นหมอกำจัดพิษที่เก่งที่สุดนั้นแท้จริงคืออาจารย์ผู้สอนหยางเหวินนั่นเอง จากคำกล่าวของหยางเหวิน เขาบอกว่าอาจารย์ของเขาผู้นี้รักความสงบมากมักจะเร้นกายไม่ให้คนขอพบได้ง่าย และเนื่องด้วยเขาอายุมากแล้วไม่แข็งแรงกำยำเหมือนสมัยหนุ่ม ๆจึงไม่รับรักษาคนอีก เหมือนว่าหยางเหวินจะคือลูกศิษย์คนสุดท้ายของเขา แต่แม้หยางเหวินจะได้รับการถ่ายทอดวิชาแต่ด้วยประสบการณ์ตรงในความรอบรู้เรื่องพิษต่าง ๆก็ไม่สู้อาจารย์ได้อยู่ดี แต่หยางเหวินอาจสามารถขอให้อาจารย์มารักษาซูเมิ่งได้เป็นกรณีพิเศษ นี่คือเหตุผลที่ซูเมิ่งคุยกับหยางเหวินจนดึกดื่นใครจะไม่ตื่นเต้นเล่าที่พบหนทางกำจัดพิษได้ นางไม่อยากเป็นสตรีอ่อนแออย่างนี้หรอกนะ ซูเมิ่งตื่นขึ้นมาอีกทีก็ยามเว่ยแล้ว ไป๋จื่อนำอาหารอ่อนเข้ามาให้ซูเมิ่งกินถึงหน้าเตียง พอทานเสร็จก็ขอร้องแกมบังคับให้นางนอนพักผ่อนต่ออีก แต่ด้วยความที่นางเพิ่งทานข้าวไป

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status