Share

บทที่ 24

last update Last Updated: 2025-12-01 21:05:37

#####บทที่ 24

            “ฮองเฮาเพคะคนที่หม่อมฉันส่งไปติดตามขบวนที่ไปรับบอกว่าใกล้ถึงวังเเล้วเพคะ” 

            นางกำนัลอาวุโสนามอิ่งจวนเร่งเข้ามารายงาน

            สตรีที่ถูกกล่าวเงยหน้าขึ้น พอได้ยินดังนั้นมุมปากก็หยักยิ้มพอใจ ผิวขาวดุจหยกเข้ากันได้ดีกับชุดกรุยกรายสีแดงเพลิงบนศีรษะก็ประดับด้วยเครื่องทองหรูหราสมฐานะ 

            “แล้ว…”

            “องค์ไท่จื่อประทับอยู่ตำหนักเพคะ ไม่มาเวลานี้แน่นอน” 

            “ดี งั้นหากนางมาเจ้าก็ให้นางรอข้างนอกชั่วครู่แล้วค่อยเข้ามาแล้วกัน”

            สิ้นคำฮองเฮา นางกำนัลอาวุโสก็ขอตัวลาออกไปทันที

            ไป๋ซูเมิ่งยืนรอหน้าตำหนักของฮองเฮามาสักพัก ท่ามกลางอากาศร้อนของฤดูคิมหันต์แม้จะมีนางกำลังที่นำทางมาตั้งแต่เข้าวังกลางร่มให้ แต่ก็ไม่สามารถบรรเทาความร้อนได้ นางกำนัลคนที่บอกว่าจะเข้าไปรายงานเจ้านายข้างในหายไปนานเกือบสองเค่อป่านนี้ยังไม่ออกมาเสียที จนในใจซูเมิ่งเริ่มรู้สึกตงิด ๆ นางคาดว่าตนอาจถูกแกล้งเสียแล้ว ทันใดนั้นก็มีเสียงคุ้นเคยของนางกำนัลคนเดิมดังขึ้นบอกให้นางเข้าไปได้ นางจึงหยุดคิดเรื่องนี้แล้วเดินตามนางกำนัลไป

            “ถวายพระพรฮองเฮาเพคะ” 

            ซูเมิ่งเอ่ยเสียงเรียบ ก้มหน้ามองพื้นจึงไม่เห็นสายตายิ้มเยาะของคนเบื้องหน้าที่นั่งตำเเหน่งสูงกว่าใคร

            “เชิญเจ้าตามสบายเถอะ ต้องลำบากเจ้าให้รอนานแล้ว ข้ามัวแช่น้ำเพลินไปหน่อย”

            พอซูเมิ่งได้ยินดังนั้นก็ยิ้มเยาะในใจ …จะหาข้ออ้างทั้งที ไยไม่ให้แนบเนียนหน่อยเสียเล่า

            “ไม่ลำบากหม่อมฉันเลยเพคะ” 

            เอ่ยจบก็เดินตามนางกำนัลน้อยคนหนึ่งไปนั่งบนตั่งด้านข้าง

            “หลังจากวันนั้นข้าก็ไม่ได้มีเวลาเรียกเจ้ามาคุยนานเลย แล้วอาการป่วยเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง หายดีแล้วหรือ?” 

            “เพคะ ดีขึ้นมากแล้วต้องขอบพระทัยฮองเฮาที่ทรงเป็นห่วงหม่อมฉันเพคะ” 

            พอเอ่ยจบความเงียบก็เข้าครอบงำ นางมิใช่คนอยากมาเสียหน่อย ฮองเฮาเป็นฝ่ายเรียกนางมาก็สมควรต้องมีเรื่องคุยสิ กลัวก็เเต่ว่าที่เรียกนางมาเพื่อจุดประสงค์อื่นไม่ได้กะเรียกมาคุยเล่นตามที่กล่าว

            “คุณหนูหานเผยหนิง เชิญ” สิ้นเสียงขันทีด้านนอกหานเผยหนิงในชุดสีเขียวสบายตาเฉกเช่นเดียวกับนางก็เดินเข้ามา 

            ซูเมิ่งลอบยิ้มอย่างชอบใจเพราะช่วงนี้นางกำลังรู้สึกเบื่อๆ อยู่พอดี กำลังอยากหาอะไรเร้าใจทำ ซึ่งการลับคมฝีปากก็เป็นสิ่งที่น่าสนใจไปอีกแบบ   …ซูเมิ่งกำลังสงสัยว่าคุณหนูซูเมิ่งคนก่อนถูกเรียกพบแบบนี้บ่อยหรือไม่ เพราะหากเป็นคนนิสัยยอมคนแบบนางนั้นแค่คนที่จวนยังรับมือไม่ได้ปล่อยให้ตนถูกคนที่มาขออาศัยข่มให้ด้อยกว่า อย่าหวังเลยว่าจะรับมือฮองเฮากับแม่นางเผยหนิงคนนี้ได้

            “ถวายพระพรฮองเฮงเพคะ อุ้ย หม่อมฉันรบกวนหรือเปล่าเพคะ หม่อมฉันไม่รู้ว่าฮองเฮามีแขก ไว้คราหน้าหม่อมฉันมาเข้าใหม่ก็ได้เพคะ” 

            สตรีชุดเขียวทำหน้ารู้สึกผิดก่อนหมุนตัวเตรียมจะกลับดังคำพูดเเต่ก็ต้องชะงักเพราะน้ำเสียงเเฝงความเอ็นดูของฮองเฮาดังขึ้น

            “ไม่รบกวนหรอก คนกันเอง เจ้านั่งเถิด”

            หานเผยหนิงจึงเดินไปนั่งตั่งด้านข้างตรงข้ามซูเมิ่งจากนั้นนางก็พยักหน้าให้บ่าวรับใช้ตนเอาของมาให้ก่อนหันไปแย้มยิ้มเอ่ยเสียงหวานกับสตรีตำเเหน่งสูงส่ง

            “หม่อมฉันเห็นว่าช่วงนี้อากาศร้อนยิ่งนักจึงนำสมุนไพรดับร้อนจัดใส่ในถุงหอมมาถวายฮองเฮาเพคะ”

            นางกำนัลอาวุโสนำถุงหอมที่เผยหนิงนำมาให้ขึ้นไปถวายเเด่ฮองเฮา ฮองเฮายกขึ้นดมจากนั้นก็หมุนถุงดูลายโดยรอบก่อนเอ่ย 

            “นอกจากกลิ่นจะหอมสดชื่นแล้ว ลายปักบนถุงก็งดงามยิ่งนัก ข้าเดาว่าคงเป็นฝีมือเจ้ากระมัง งามละเอียดเสียยิ่งกว่านางกำนัลปักผ้าตำหนักข้าหลายขุมเชียว”

            พอได้รับคำชมเช่นนั้นคนถูกชมก็ก้มหน้าเเสดงท่าทีเขินอาย 

            “เป็นเพราะบารมีฮองเฮาที่สอนหม่อมฉันเพคะ ฝีมือหม่อมฉันถึงพัฒนาเยี่ยงนี้”

            พอฮองเฮาได้ยินดังนั้นก็สรวลเสียงเบาอย่างถูกใจ ละเลยสตรีชุดเขียวอีกคนที่มาก่อนหน้า

            “อ้อ แล้วนี่เจ้าทำมาให้ข้าสองถุงเลยหรือ” 

            ฮองเฮาเอ่ยถึงถุงหอมสีน้ำเงินอีกใบที่มีกลิ่นเดียวกันแต่ต่างตรงลายปักและสีที่ดูเหมาะเเก่บุรุษใช้มากกว่า

            “หม่อมฉันเห็นว่าช่วงนี้ท่านพี่ไท่จื่อต้องทำงานข้างนอกบ่อยๆ อากาศร้อนอบอ้าวจึงทำมาเผื่อด้วยเพคะ” 

            พูดจบก็ก้มหน้า ปรางแก้มขึ้นสีเเดงระเรื่อ มือก็บิดผ้าไปมา

            “เดี๋ยวข้านำไปให้เขาแล้วกัน” 

            ฮองเฮาอมยิ้มอย่างพอใจ หางตาเหลือบมองซูเมิ่งดูท่าที แต่ก็เห็นเพียงสีหน้าเรียบเฉยดังเดิม จึงดึงสายตากลับ

            “หากใครได้เจ้าเป็นลูกสะใภ้คงโชคดีน่าดู ทั้งมารยาทงาม มาหาข้ากี่ทีมีของมาให้ข้าทุกครา แล้วยังความใส่ใจที่เจ้ามีให้ไท่จื่ออีก” 

            ไม่พูดเปล่าขณะพูดสายตาของฮองเฮาก็หันมามองซูเมิ่งก่อนหันกลับไปทันที แสร้งเป็นไม่ได้ตั้งใจ แล้วยังเสียงถอนหายใจอย่างตัดพ้อนั่นอีก ไม่จำเป็นต้องเอ่ยออกมาเป็นคำพูดก็สามารถตีความได้เลยว่าหมายความว่าอย่างไร

            ซูเมิ่งหัวเราะในใจ นางไม่ได้เอาของมาถวายยามเจอหน้าแล้วอย่างไร ไม่ใส่ใจว่าที่สามีแล้วอย่างไร ก็นางไม่ได้รู้ก่อนนี่ว่าต้องมาพบ เล่นอยู่ดีดีก็เรียกพบปุบปับ แต่ก็คงสมใจฮองเฮาแล้วล่ะ จุดประสงค์ของการเรียกนางมาพบครั้งนี้คือ ต้องการแสดงออกชัดเจนว่าพระนางเลือกใครเป็นลูกสะใภ้ แล้วแถมด้วยจี้จุดว่าระหว่างนางกับเผยหนิงใครเหมาะสมกับตำเเหน่งพระชายากว่ากัน

            ระหว่างที่ทั้งสองคุยกันไม่ขาดปากทิ้งให้ซูเมิ่งนั่งเงียบอีกด้านราวกับนางไม่ได้นั่งอยู่ในห้องนี้ก็มีขันทีนายหนึ่งเดินเข้ามาขัดจังหวะ

            “ฮ่องเต้โปรดเรียกคุณหนูซูเมิ่งพบพะยะค่ะ” 

            ขันทีคนสนิทที่รับใช้อยู่ข้างพระหัตถ์ฮ่องเต้เอ่ยเสียงดังกังวาล เขาได้รับคำสั่งจากฮ่องเต้โดยตรงให้มาพาคุณหนูซูเมิ่งไปพบที่ห้องทรงพระอักษร ซึ่งนอกจากพระองค์เอง ชินหวัง และองค์ไท่จื่อแล้วยากที่จะทรงให้รับสั่งเข้าเฝ้าที่ห้องนี้

            ฮองเฮาหยุดพูดสีหน้าฉงน “ฮ่องเต้รึ? รับสั่งเรียกพบทำไม” น้ำเสียงแข็งขึ้นแฝงความไม่พอใจ

            “ไม่ทราบพะย่ะค่ะ พระองค์ทรงรับสั่งแต่ว่าให้กระหม่อมพาไปพบที่ห้องทรงพระอักษร” 

            พอได้ยินว่าพบที่ใดทั้งฮองเฮาและเผยหนิงก็จ้องไปที่ซูเมิ่งเขม็ง แววตาเเฝงความอิจฉาแทบปิดไม่มิด 

            …นางมีตำเเหน่งถึงฮองเฮายังมิเคยย่างกรายเข้าห้องทรงพระอักษรสักครา แล้วนี่ถึงขนาดถูกเรียกไปคุยเลยรึ

            เป็นฮองเฮาที่กดความอิจฉาไว้ได้ก่อน เปิดริมฝีปากพูดเสียงอ่อนโยนเเก่ซูเมิ่ง

            “งั้นเจ้าก็ไปเถิด ไว้คราหน้าข้าจะเรียกมาคุยเล่นอีกครา”

            พอได้ยินคำพูดดังนั้นซูเมิ่งก็แย้มยิ้มอ่อนหวานกลับไป “เป็นพระกรุณาแด่หม่อมฉันมากเพคะ คุยกับฮองเฮาสนุกมากเพคะ” 

            …หมายถึงฟังพวกเจ้าคุยกันสนุกมากน่ะนะ

            พูดจบนางก็คารวะก่อนเดินตามขันทีหนุ่มไป ระหว่างทางนางลอบชำเลืองมองโดยรอบสังเกตตำหนักต่าง ๆ จนกระทั่งขันทีหนุ่มที่เดินนำหยุด       ฝีเท้าลงและผายมือเชิญนางให้เข้าไปยังห้องหลังประตูบานหนึ่ง แค่นางยืนอยู่หน้าประตูก็รับรู้นึงแรงกดดันบางอย่างซึ่งน่าจะมาจากคนในห้องกระมัง

            “ถวายพระพรฮองเต้เพคะ ถวายพระพรองค์ไท่จื่อ”

            เว่ยซือเยียนผู้เป็นฮ่องเต้ไล่สายตาสังเกตสตรีบอบบางตรงหน้าอีกครา ในวันฉลองวันเกิดของฮองเฮานั้นเขาจำได้เเค่ว่าคุณหนูตระกูลไป๋คือสตรีที่บอบบางมีใบหน้าซีดขาวดูน่าสงสารขัดกับท่าทางกริยาต่างๆดูสง่างามเฉกเช่นแม่ทัพใหญ่ พอมาวันนี้ใบหน้าผ่องใสสมวัย ถือได้ว่าเป็นสตรีงามล่มเมืองคนนึง ซึ่งไม่แม้เเต่ผู้เป็นฮ่องเต้เท่านั้นแต่รวมไปถึงเว่ยเทียนเหิงผู้เป็นไท่จื่อด้วย เขาจับจ้องซูเมิ่งตั้งแต่ก้าวพ้นประตู จนกระทั่งนางเอ่ยคารวะสายตาก็ยังไม่ละไปไหน

            …นางชั่งต่างจากวันวานที่อยู่ในเสี้ยวความทรงจำเขายิ่งนัก และไหนจะคำเรียกอันห่างเหินนั่นอีกล่ะ

            “เรานึกว่าคนละคนกับวันนั้นเสียอีก อาการป่วยเจ้าคงดีขึ้นมากแล้วกระมัง” 

            ซือเยียนกล่าวน้ำเสียงอ่อนลงจากตอนที่คุยเรื่องงานกับเหล่าขุนนาง ซึ่งเสียงนี้ได้เรียกสติขององค์ไท่จื่อให้หลุดออกจากภวังค์

            “เพคะ หม่อมฉันมักเป็น ๆหาย ๆจนเริ่มชินแล้วเพคะ" 

            นางยังคงคุกเข่ากล่าวตอบอยู่บนพื้น จนกระทั่งได้รับคำอนุญาติให้ขึ้นมานั่งบนตั่งได้ ถ้าเป็นบุคคลตรงหน้านางกลับรู้สึกอยากสนทนาด้วยมากกว่าฮองเฮา หากไม่ติดว่ามีชายอีกคนอยู่ด้วยคงจะดีกว่านี้ ไม่รู้เป็นเพราะว่านางหมั่นไส้ที่ไท่จื่อปฏิบัติกับซูเมิ่งคนเดิมอย่างไร้เยื่อใย หรือเป็นเพราะเขาคือโอรสของฮองเฮาที่ไม่ชอบหน้านางจึงทำให้นางรู้สึกชังน้ำหน้าแปลก ๆ

            “แม่ทัพไป๋ก็บอกเราเช่นนั้นเหมือนกัน ที่เราเรียกมาไม่ได้มีเรื่องอันใดหรอกเราแค่อยากเห็นกับตาว่าเจ้าอาการป่วยดีขึ้นอย่างที่พ่อเจ้าบอกหรือเปล่า พอเห็นแล้วเราก็สบายใจขึ้น” 

            พูดจบก็ยกชาขึ้นดื่มดับกระหาย จึงทำให้นึกถึงรสชาที่ซูเมิ่งทำวันนั้นขึ้นจึงสั่งให้คนไปยกของมาให้เจ้าของสูตรทำอีกครา ซูเมิ่งชงชาใส่นมแล้วจึงให้กงกงที่อยู่ด้านข้างนำส่งให้ และรินชาใส่อีกถ้วยให้ขันทีอีกคนนำไปส่งให้ชายอีกคนในห้อง

            “ชาวันนี้อาจไม่เลิศรสเท่าวันวานนะเพคะ เพราะในห้องพระองค์เป็นชุดชาทำจากทองมิใช่กระเบื้อง”

            ซูเมิ่งพูดจบพลางอมยิ้มเบา ๆให้กับสีหน้าฉงนของชายตรงหน้าทั้งสอง และเป็นไท่จื่อที่อดใจไม่ไหวเอ่ยถามขึ้น

            “เกี่ยวด้วยรึ รสชาไม่ได้ขึ้นอยู่ที่ใบชาหรือวัตถุดิบในการทำหรือ?”

            ซูเมิ่งส่ายหน้าเบา ๆ “ให้ฝ่าบาทลองชิมดูก็รู้เพคะ”

            สิ้นคำซือเยียนก็ยกชาขึ้นดื่ม ก่อนพยักหน้า 

            “จริงอย่างเจ้าว่า ชาวันนี้กับวันนั้นรสชาติต่างกันจริง ข้ายังจำรสชาติวันนั้นได้ดี ทั้งหอมและกลมกล่อมกว่า” ฮ่องเต้พูดจบก็แย้มพระโอรส

            …มิคิดว่าสตรีในห้องหอที่ป่วยมาค่อนชีวิตนางนี้จะมักทำให้เขาแปลกใจได้ทุกคราที่พบ

            “งั้นเดี๋ยวหม่อมฉันจะเขียนสูตรอย่างละเอียดไว้ให้กงกงชงให้พระองค์นะเพคะ”

            “มิคิดว่าเจ้าจะมีวิชาชงชาที่ดีเยี่ยงนี้ เราล่ะอิจฉาไป๋หย่งคังเสียจริง” 

            การที่เขาพูดติดเล่น หากเหล่าขุนนางเข้ามาได้ยินคงพากันตกใจ เพราะคงไม่มีใครคิดว่าฮ่องเต้ที่เเสนเที่ยงตรงสั่งทำโทษคนผิดเป็นผักเป็นปลาจะมีทีท่าเช่นนี้

            “อย่าทรงอิจฉาเลยเพคะ หม่อมฉันอาศัยอยู่แต่หออ่านหนังสือเดินทางจึงได้รู้งู ๆปลา ๆ ส่วนศาสตร์อื่นหม่อมฉันสู้คุณหนูคนอื่นมิได้สักนิดเพคะ”

            ซูเมิ่งเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาไม่ได้เกินจริงแต่อย่างใด นางทำเป็นแต่สิ่งที่คนอื่นไม่น่าจะทำได้ ส่วนทักษะสตรี นางล้วนถูกอาจารย์ที่ท่านพ่อมาสอนดุทุกครั้ง

            “ฮ่า ฮ่า ดีดี เจ้าพูดตรงไปตรงมาดี…” 

            ก่อนที่ฮ่องเต้จะเอ่ยจบ เสียงทุ้มต่ำก็เอ่ยขัดขึ้น พร้อมร่างสูงสง่าก้าวเข้ามาโดยไร้ซึ่งเสียงขันทีขานบอกเหมือนอย่างเคย

            “ท่านหัวเราะเสียงดังออกไปข้างนอกเสียจนข้านึกว่าท่านเอางิ้วมาแสดงข้างในเสียอีก”

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • เล่ห์รักบุปผาซ่อนพิษ   บทส่งท้าย

    #####บทส่งท้ายมือหนาควานหาร่างอุ่นนุ่มอย่างที่ทำเป็นประจำทุกวัน ทว่าควานไปพบแต่ความว่างเปล่า สองตาค่อย ๆลืมขึ้น ไฉนวันนี้เขาถึงรู้สึกมึนหัวประหลาดหือ วันนี้เขาตื่นสายหรือ ไยเป็นภรรยาเขาที่ตื่นก่อนได้เล่า นางตื่นแล้วไยไม่เรียกเขาเสียหน่อยล่ะ“ใครอยู่ด้านนอกเข้ามาที”เป็นเย่าถิงที่เดินเข้ามา นางชะงักนิดหน่อยเพราะกลิ่นที่เกิดจากการทำกิจกรรมของสองข้าวใหม่ปลามันคละคลุ้งทั่วห้อง ซึ่งเมื่อคืนพวกนางต่างรู้ดีกว่าเกิดอะไรขึ้นในห้อง เพราะเสียงที่ดังทะลุกำแพงออกมาตลอดคืน“นายหญิงไปไหนหรือ?”เย่าถิงยกคิ้วฉงนก่อนตอบ “ก็ไม่ได้อยู่ในห้องหรอกหรือเพคะ” พูดพลางสอดส่องมองทั่วห้องก็ไม่เห็นคุณหนูของตนจริง จึงขออนุญาตเรียกไป๋จื่อและบ่าวคนอื่น ๆมาถามไถ่ แต่ก็ไม่มีใครพบเห็นเลย พอไม่เจอสตรีที่ตนเรียกหาจึงกลายเป็นเรื่องใหญ่ คนของชินหวังทั่วทั้งจวนต่างกระจายกำลังหาทั่วจวน แต่หานานหลายชั่วยามก็ไม่มีใครพบ“พวกเจ้าดูแลนางอย่างไรนายหญิงออกจากห้องไปไยไม่มีใครเห็น!”บรรยากาศโดยรอบของบุรุษผู้ทรงอำนาจเย็นยะเยือกลามไปทั่วทั้งจวน นัยน์ตาดุดันจ้องมองเขม็งไปที่เหล่าบ่าวใช้ที่คุกเข้าตรงหน้า“หม่อมฉันเฝ้าหน้าห้องตลอดไม่เห็

  • เล่ห์รักบุปผาซ่อนพิษ   บทที่ 50

    #####บทที่ 50นับจากวันที่กลับจากไปเยี่ยมจวนตระกูลไป๋ซูเมิ่งก็รอบางอย่างจนสิ่งที่นางรอคอยก็มาถึง ไป๋จื่อเข้ามาหาซูเมิ่งในห้องหนังสือพร้อมปิดประตูแน่น จนในห้องเหลือเพียงซูเมิ่งและไป๋จื่อสองคน“ครานี้ได้เรื่องแล้วเพคะพระชายา”“ว่ามา...”ตามที่ให้ไป๋จื่อออกไปรับเรื่องที่นางให้เป่าต้ง บ่าวบุรุษที่ซูเมิ่งไว้ใจในจวนตระกูลไป๋ทำเรื่องบางอย่างในจวน การมารายงานครานี้ของเป่าต้งนั้นต่างออกไปจากครั้งก่อน ๆแล้ว เรื่องที่ซูเมิ่งกำลังเฝ้าคอยเป็นเรื่องเกี่ยวกับไป๋หย่งคังบิดาของซูเมิ่งเอง ในวันที่นางกลับไปเยี่ยมบ้านนั้นนอกจากซูเมิ่งจะเข้าไปขอพบหย่งคังเป็นการส่วนตัวแล้วนางยังเรียกเป่าต้งเพื่อมอบหมายงานให้ทำด้วยนั่นก็คือ ให้เขาคอยจับตาดูไป๋หย่งคังตลอดทุกฝีก้าวตอนที่อยู่ในจวนไม่เว้นแม้กระทั่งช่วงกลางคืน และให้มารายงานนางทุก ๆสามวัน ในช่วงแรก ๆ สิ่งที่ไป๋หย่งคังทำนั้นซูเมิ่งคิดว่าปรกติทั่วไป แต่พอได้ฟังคำจากเป่าต้งรายงานหลาย ๆคราซูเมิ่งเริ่มสงสัยบางอย่างเข้าให้แล้ว กิจวัตรหนึ่งที่น่าสงสัยคือไป๋หย่งคังมักจะเทียวไปเรือน ๆหนึ่งทุก ๆสองหรือสามวันเสมอและใช้เวลาอยู่ที่นั่นราวสองเค่อ สิ่งที่น่าประหลาดคือเรือนแห่ง

  • เล่ห์รักบุปผาซ่อนพิษ   บทที่ 49

    #####บทที่ 49และแล้ววันที่ท่านหมอพิษมาถึงจวนชินหวังก็มาถึง เขาเข้ามาพร้อมกับหยางเหวินเพื่อมาตรวจอาการของซูเมิ่ง “แปลก พระชายาไม่น่ามีพิษชนิดนี้อยู่ในกายได้พะยะค่ะ”หมอพิษพูดพลางลองตรวจสอบพิษอีกรอบผลปรากฎว่าเลือดที่มาจากร่างกายซูเมิ่งนั้นเป็นพิษชนิดที่เขาคิดจริง ๆ“อย่างไรหรือท่านหมอ”ซูเมิ่งเอ่ยถาม นางอยากรู้อย่างที่สุดว่าพิษที่อยู่ในร่างกายนางแต่กำเนิดนั้นคือชนิดใดกันแน่โดยท่านหมอพิษบอกว่าพิษนี้คือพิษที่มีแหล่งกำเนิดจากอาณาจักรชิงจง ซึ่งคืออาณาจักรข้างเคียงที่เป็นศัตรูกับอาณาจักรที่นางอยู่นี้มาช้านานแล้ว โดยพิษนี้เป็นพิษที่หากออกฤทธิ์จะค่อย ๆทำลายอวัยวะทั้งหมดในร่างกาย แต่เงื่อนไขการออกฤทธิ์จะออกฤทธิ์เมื่ออยู่ในกระแสเลือดของบุคคลผู้นั้นนานเป็นเวลาสองปี ซึ่งพิษนี้ไม่ค่อยมีผู้คนนำมาใช้เท่าไหร่นัก แทบไม่มีคนในอาณาจักรนี้รู้จักเลยด้วยซ้ำ แต่สำหรับอาณาจักรชิงจงพิษชนิดนี้จะใช้เฉพาะกับทหารที่ฝึกไว้เพื่อเป็นสายลับเท่านั้น ด้วยเงื่อนไขการออกฤทธิ์นี้ทำให้สามารถใช้เพื่อควบคุมเหล่าทหารยามต้องออกไปปฏิบัติการได้ โดยการให้สายลับทุกคนดื่มพิษชนิดนี้เข้าไปและหากต้องการมีชีวิตต่อเพียงแค่กลับไปที่ฐาน

  • เล่ห์รักบุปผาซ่อนพิษ   บทที่ 48

    #####บทที่ 48“คุณหนูเจ้าคะ ตื่นได้แล้วเจ้าค่ะ”เป็นเย่าถิงที่เข้ามาปลุกซูเมิ่งที่กำลังกอดกองผ้าห่มนุ่มด้วยอาการมึนงง นางลืมตามองเย่าถิงอย่างเกียจคร้าน“ข้าขอนอนอีกหน่อยได้หรือไม่”ไม่พูดเปล่าซูเมิ่งปิดเปลือกตาลงอีกครั้ง นางรู้สึกอ่อนเพลีย และปวดเนื้อปวดตัวไปหมดจนไม่อยากขยับเขยื้อน แต่ก็ต้องลืมตาขึ้นอีกครั้งเพราะแขนตัวเองถูกดึงให้ลุกขึ้นและทันทีที่เย่าถิงดึงแขนของซูเมิ่งพ้นผ้าห่มก็ต้องตกใจ นางมองไปยังรอยสีกุหลาบบนผิวขาวผุดผาดของผู้เป็นนายที่ตอนนี้ขึ้นรอยแดงราวถูกแมลงกัดต่อย และยิ่งพอซูเมิ่งเอนตัวขึ้นตามแรงดึงของเย่าถิงแล้วผ้าห่มที่คลุมร่างอยู่ไหลกองลงปิดเพียงเอวยิ่งตระหนกไปใหญ่ ทั้งรอยมือและบางแห่งเกิดเป็นรอยช้ำ เย่าถิงพอนึกถึงว่าที่มารอยพวกนี้มาจากไหนจึงใบหน้าแดงขึ้นลามจนถึงใบหู“ไป๋จื่อเตรียมน้ำอุ่นผสมสมุนไพรให้แล้วเจ้าค่ะ ให้บ่าวพยุงไปนะเจ้าคะ”ซูเมิ่งพยักหน้ารับคำอย่างว่าง่าย นางรู้สึกล้าเกินจะลืมตาตื่นด้วยซ้ำ แต่ก็รู้ว่าตามธรรมเนียมแล้วตนจะต้องไปไหว้บุพการีของซือหมิง ซูเมิ่งแทบจะอยากไปหักคอของบุรุษน่าตายนามซือหมิงให้ตายคามือเสียเดี๋ยวนี้เลย เมื่อคืนเขารู้ทั้งรู้แท้ ๆว่าไม่ควรเข้

  • เล่ห์รักบุปผาซ่อนพิษ   บทที่ 47 (ต่อ)

    บทที่ 47 (ต่อ)“คุณหนู พร้อมแล้วออกมาได้เลยนะเจ้าคะขบวนของชินหวังใกล้มาถึงแล้วคุณหนูออกมาได้เลยเจ้าค่ะ”ร่างงามระหงเดินตามนางกำนัลเจี่ยงและคนอื่นออกจากห้องนอนเพื่อไปยังโถงจัดงานไม่นานขบวนเสด็จของชินหวังก็หยุดลง ทั้งขุนนาง และทหารรักษาพระองค์ตั้งขบวนจนหางยาวไปไกลลิบตา บนม้าต้นขบวนร่างกำยำงามสง่าในชุดแดงผ่าเผย นัยน์ตานิ่งลึกล้ำยากคาดเดา ยามปรายตาไปทางใดเหล่าบ่าวใช้ที่ติดตามเจ้านายจวนตระกูลไป๋ออกมาต้อนรับต่างเขินหน้าแดงเป็นลูกตำลึง ซือหมิงเหวี่ยงตัวลงจากอานม้าท่าทางงามสง่าเต็มไปด้วยอำนาจแม้วันนี้เขาจะยังคงท่าทาดุดันเข้าถึงยากอยู่แต่หากเป็นคนสนิทของซือหมิงย่อมมองออกมาเจ้านายของพวกเขานั้นนัยน์ตาเปล่งประกายเจิดจ้ากว่าวันใด และริมฝีปากบางนั่นก็หยักยกเล็กน้อยด้วยพอซือหมิงถูกเชิญเข้ามาในจวนเพื่อไปยังห้องโถงกลาง ก็พอดีกับที่นางกำนัลเจี่ยงจูงมือซูเมิ่งซึ่งมีผ้าสีแดงผืนใหญ่ปิดใบหน้าเดินออกมา ขนาดไม่เห็นหน้าตาซือหมิงยังรู้สึกใจเต้นแรงขึ้นมา เขามองเห็นเพียงทรวดทรงและท่าทางการเดินนั่นก็รู้สึกภาคภูมิใจเป็นไหน ๆ พอถึงย้อนไปคราที่เขาพบนางครั้งแรก ท่ามความมืดมิดในค่ำคืนหนึ่งในป่ากว้าง ร่างงามสง่าผิวข

  • เล่ห์รักบุปผาซ่อนพิษ   บทที่ 47

    #####บทที่ 47วันรุ่งขึ้นตื่นขึ้นมาร่างกายของซูเมิ่งก็เริ่มกลับมาปรกติแล้ว ความเจ็บปวดเมื่อตอนก่อนได้รับเทียบยาถอนพิษคลายลง ทำให้ร่างกายซูเมิ่งกลับมามีแรงอีกครา เมื่อคืนตอนที่นางนั่งคุยกับหยางเหวินทำให้ได้รู้ว่าหมอพิษคนที่ท่านหมอจูบอกว่าเป็นหมอกำจัดพิษที่เก่งที่สุดนั้นแท้จริงคืออาจารย์ผู้สอนหยางเหวินนั่นเอง จากคำกล่าวของหยางเหวิน เขาบอกว่าอาจารย์ของเขาผู้นี้รักความสงบมากมักจะเร้นกายไม่ให้คนขอพบได้ง่าย และเนื่องด้วยเขาอายุมากแล้วไม่แข็งแรงกำยำเหมือนสมัยหนุ่ม ๆจึงไม่รับรักษาคนอีก เหมือนว่าหยางเหวินจะคือลูกศิษย์คนสุดท้ายของเขา แต่แม้หยางเหวินจะได้รับการถ่ายทอดวิชาแต่ด้วยประสบการณ์ตรงในความรอบรู้เรื่องพิษต่าง ๆก็ไม่สู้อาจารย์ได้อยู่ดี แต่หยางเหวินอาจสามารถขอให้อาจารย์มารักษาซูเมิ่งได้เป็นกรณีพิเศษ นี่คือเหตุผลที่ซูเมิ่งคุยกับหยางเหวินจนดึกดื่นใครจะไม่ตื่นเต้นเล่าที่พบหนทางกำจัดพิษได้ นางไม่อยากเป็นสตรีอ่อนแออย่างนี้หรอกนะ ซูเมิ่งตื่นขึ้นมาอีกทีก็ยามเว่ยแล้ว ไป๋จื่อนำอาหารอ่อนเข้ามาให้ซูเมิ่งกินถึงหน้าเตียง พอทานเสร็จก็ขอร้องแกมบังคับให้นางนอนพักผ่อนต่ออีก แต่ด้วยความที่นางเพิ่งทานข้าวไป

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status