แชร์

บทที่ 43(ต่อ)

ผู้เขียน: มายุมายูมายา
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-12-01 21:26:48

บทที่ 43(ต่อ)

 

พูดจบก็ดันตัวซูเมิ่งออกไปนอกห้องทันที พอใกล้มาถึงห้องโถงกลางบ่าวที่เคยเรียบร้อยก็หยุดชะงักหันกลับมายังคุณหนูตนช่วยจัดเสื้อผ้าและเผ้าผมให้ดีเท่าที่ทำได้ก่อนดันซูเมิ่งเข้าไปต่อ ส่วนซูเมิ่งก็ไม่ได้ขัดขืน นางติดจะเอ็นดูปนขำกับท่าทางประหลาดของเย่าถิงเสียด้วยซ้ำ นางอยากรู้ว่าอะไรในห้องโถงกลางที่ทำให้บ่าวที่เคยเรียบร้อยกลายเป็นเยี่ยงนี้ได้

ฟุบ!

สายตาหลายคู่ในห้องหันมองผู้เข้ามาใหม่ทันที

ซูเมิ่งในชุดฝึกดาบสีจืดและชุดค่อนข้างเน้นเรียบง่ายถูกออกแบบคล้ายชุดบุรุษ ส่วนใบหน้าก็ไร้เครื่องแต่งเติมอีกทั้งมีคราบเหงื่อทำเอาผู้เป็นมารดาหรือฮูหยินใหญ่ถึงกลับเกือบเป็นลมล้มไป ยังดีที่ได้หลานสุดที่รักคอยพยุงไว้

...โอ อยู่ห้องนี้กันครบเชียว โอ๊ะ

พลันสายตาก็ปะทะเข้ากับบุรุษที่เพิ่งบุกรุกเมื่อยามวิกาล และชายแปลกหน้าอีกคนนั่งข้างเคียง คนนี้น่าจะอายุราวห้าสิบกว่าเห็นจะได้ สวมใส่ชุดเนื้อผ้าดีดูน่าจะคือกงกงอาวุโสคนหนึ่งในวัง

“มานั่งนี่สิ”

ไป๋หย่งคังเอ่ยบอกในสายตาแฝงความเอ็นดูเต็มสิบส่วน

“ท่านชินหวังมาคุยเรื่องการแต่งงานน่ะ”

สิ้นคำซูเมิ่งก็หันขวับมองผู้เป็นบิดาทันที

แต่งงาน!

“ท่านชินหวังตรัสว่าพระองค์จะขอรับผิดชอบที่ทำให้เจ้าเสื่อมเสียชื่อเสียงโดยการแต่งตั้งเจ้าเป็นชายาเอกของพระองค์”

หย่งคังพูดจบก็แย้มยิ้มมองไปยังซือหมิง ก่อนหน้าเขาก็ตกใจเช่นกันแต่พอมาคิดดูก็ถือว่าเป็นเรื่องดี อย่างไรเสียบุตรสาวของเขาก็หายไปกับชินหวังเสียนาน อีกทั้งชินหวังยังคือผู้มีพระคุณช่วยเหลือบุตรสาวของเขาไว้ มิมีอะไรเสียหายสักเรื่อง

กงกงที่มากับชินหวังเร่งถือใบรายงานสินทรัพย์เข้ามามอบให้ยังหย่งคัง 

“รายงานสินสอดขอรับ ท่านหย่งคัง ส่วนหีบข้างนอกจะให้คนขนไปวางที่ไหนหรือ?”

“ขนไปไว้ที่เรือนด้านหลังเลย”

หลังจากนั้นกงกงก็ออกไปบอกให้คนขนหีบหลายร้อยใบเข้ามาเดินตามบ่าวของจวนตระกูลไป๋หายไป ส่วนซูเมิ่งก็ยังคงอึ้งนิ่งทำอะไรไม่ถูก 

นางลืมนึกไปว่าเรื่องชื่อเสียงตัวซูเมิ่งเองอาจไม่สน แต่บิดาของนางและคนในตระกูลไป๋ย่อมสนแน่นอน พอคิดดังนั้นก็หันไปสบตาซือหมิงซึ่งตั้งแต่นางเข้ามาเขาก็มองมายังไม่ละสายตาไปไหน

หากนางไม่ได้คิดไปเอง เหมือนนางจะเป็นแววตาเชิงหยอกเย้าในนัยน์ตาของเขาด้วย

 

พอตกลงเรื่องสำคัญเสร็จสิ้นชินหวังก็ขอตัวกลับไปส่วนซูเมิ่งก็เดินมุ่งหน้ากลับเรือนภายในหัวยังสับสนงงวย มิรู้ว่าควรจัดการอย่างไรต่อ

“มิรู้ว่าคุณหนูซูเมิ่งไปทำท่าไหนจึงทำให้ท่านชินหวังมาขอได้ หากไม่เป็นการรบกวนท่านพี่โปรดสอนข้าหน่อยเถอะ”

เสียงมาก่อนและตามด้วยร่างของเจียงเหมยในชุดสีชมพูลายดอกอิงฮวาเดินมาขวางทางซูเมิ่งไว้ ใบหน้านางนั้นเต็มไปด้วยความอิจฉาปิดอย่างไรก็ไม่มิด

ซูเมิ่งถอนหายใจหนึ่งเฮือกก่อนเอ่ยเสียงแข็ง

“ข้าทำท่าไหนคงมิต้องบอกเจ้าหรอก เพราะอย่างไรเจ้าก็คงไม่สามารถทำตามข้าได้อยู่ดี”

พูดจบก็เดินหลบร่างของสตรีที่เต้นเร่า ๆยังไม่ทันพ้นทางเจียงเหมยก็ยื่นขาตัวเองออกมาขวางทางฝั่งซูเมิ่งเดินผ่านกะว่าจะแก้แค้นที่ตนเสียหน้า ทว่าเรื่องไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ซูเมิ่งก้าวเหยียบเท้าของเจียงเหมยเต็ม ๆอย่างไม่คิดหลบเลี่ยงจากนั้นก็เดินต่อไป

“โอ้ย!”

เสียงแหลมบาดหูดังขึ้นตามหลัง แต่ซูเมิ่งหาได้หันกลับมามองไม่ นางเดินต่อไปอารมณ์แสนขุ่นมัว แต่มิใช่เพราะมีมารมาก่อกวนเมื่อครู่แต่เป็นเพราะเรื่องแต่งงานต่างหาก

นี่นางอายุเพียงสิบหกปีเท่านั้น นางควรได้ใช้ชีวิตเยี่ยงสตรีโสดอีกสักสิบปีสิ นางยังมีหลายแห่งของยุคนี้ที่ยังไม่ได้สำรวจ ไหนจะศาสตร์ต่าง ๆอีกมากมาย หากตนแต่งงานไป วัน ๆก็คงต้องอยู่แต่ในจวน เลี้ยงลูกและดูแลสามีหรอกหรือ?

...ไม่ได้การแล้ว นางจะต้องนัดคุยกับบุคคลผู้เป็นต้นเรื่องราวน่าปวดหัวสักครา

พอคิดได้ดังนั้นซูเมิ่งก็เรียกถิงเย่ให้ทำอย่างไรก็ได้ให้นัดเจ้านายของนางมาเจอกับซูเมิ่งให้ได้และขอเร็วที่สุดด้วย พอคุยเสร็จซูเมิ่งก็เข้าไปในเรือน อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าและมานั่งรอที่ห้องหนังสือในเรือนอิงฮวาของตน รอข่าวเรื่องการนัดหมายกับซือหมิงจากถิงเย่อย่างใจจดใจจ่อ

พอเสียงเปิดประตูเรือนที่นางอยู่ดังขึ้นร่างบางก็ผุดลุกอย่างรวดเร็ว แต่พอมองไปก็เห็นว่าไม่ใช่คนที่นางรอคอยแต่เป็นบ่าวคนสนิทของท่านแม่ตน ซึ่งหากไม่ได้มีเรื่องสำคัญจริงก็ไม่เคยเห็นมาที่นี่

“ฮูหยินใหญ่เรียกให้คุณหนูไปพบที่เรือนท่านเจ้าค่ะ”

ซูเมิ่งฉงนในใจแต่ก็ออกเดินไป พอนางไปถึงเรือนของผู้มีศักดิ์เป็นมารดา เห็นสตรีสองนางนั่งเคียงกันบนตั่งหน้าเรือนก็พอเข้าว่าเหตุใดเฟยจินถึงเรียกนางมาทันที

“คารวะท่านแม่เจ้าค่ะ” 

พอซูเมิ่งเข้ามาภายในห้องก็เห็นใบหน้าเปื้อนน้ำตาของเจียงเหมยพร้อมขาข้างที่ถูกนางเหยียบมีบ่าวคนหนึ่งกำลังนวดให้อยู่

“เจ้าคงรู้ว่าข้าเรียกเจ้ามาด้วยเหตุอันใดกระมัง”

เฟยจินละมือที่กำลังลูบหัวเจียงเหมยอยู่ออก นางหันมาเผชิญหน้ากับผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นบุตรีของตนด้วยสายตาแข็งกร้าว

“ลูกไม่รู้เจ้าค่ะ”

ซูเมิ่งนั่งลงที่ตั่งด้านข้างซึ่งเป็นบ่าวคนที่ไปตามนางมาพามานั่งก่อนเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย สายตานางมองไปยังมารดาด้วยสายตาว่างเปล่า

“หึ”

เฟยจินแค่นเสียงดังอย่างต้องการระบายอารมณ์ “หากเจ้ามีสามัญสำนึกก็ควรขอโทษเจียงเหมยเสีย”

สิ้นคำใบหน้าเจียงเหมยก็ปรากฏรอยยิ้มมุมปากอย่างสมใจ ทั้งที่ยังส่งเสียงสะอื้นไม่หยุด

“ท่านป้าเจ้าคะ อย่าให้ถึงขนาดนั้นเลยเจ้าค่ะ อย่างไรข้าก็เป็นเพียงคนมาอาศัย หากคุณหนูซูเมิ่งต้องการทำร้ายอะไรข้าก็ปล่อยให้นางทำไปเถอะเจ้าค่ะ”

ซูเมิ่งกลอกสายตามองบนพลางลอบเบ้ปาก ส่วนเฟยจินเมื่อได้ยินดังนั้นก็รีบจับแขนทั้งสองข้างของเจียงเหมยพลางบังคับให้นางเงยหน้าขึ้นมามองสบตาตนเอง

“ไยเจ้าถึงคิดเยี่ยงนั้น”

สิ้นคำเจียงเหมยก็สะอื้นเสียงดังขึ้น จากนั้นก็เอ่นเสียงกระท่อนกระแท่น

“คราก่อนนั้นคุณหนูซูเมิ่งเป็นคนเอ่ยกับข้าเจ้าค่ะ”

เฟยจินหันมามองซูเมิ่งโดยพลัน นัยน์ตาฉายแววโกรธเกรี้ยว

“เจ้าต้องขอโทษนางเดี๋ยวนี้!”

พูดพลางชี้นิ้วมายังซูเมิ่ง ส่วนเจ้าตัวก็ยังคงนั่งนิ่งมองสตรีสองนางตรงหน้าอย่างนึกสนุกพอเห็นว่าถึงคิวตัวเองก็ยักไหล่ก่อนเอ่ยบอกอย่างไม่แยแส

“ข้าไม่คิดว่าทำผิดอันใด คงจะให้ขอโทษนางตามที่ท่านแม่บอกมิได้”

“เจ้าทั้งทำร้ายจิตใจนางทั้งยังทำร้ายร่างกายนางถึงเพียงนี้ยังมิใช่ความผิดหรอกหรือ?!”

ยิ่งพูดเสียงที่เปล่งออกมาก็ยิ่งดังขึ้นตามอารมณ์ ตอนนี้ใบหน้าขาวผ่องเนื่องจากแป้งที่พอกหนาพลันเปลี่ยนสี

“เจ้าอย่าคิดนะว่าเจ้าจะได้แต่งกับชินหวังเป็นชายาเอกแล้วจะมีอำนาจจนไม่ยอมทำตามคำสั่งข้าได้ เจ้ามันก็เป็นได้เพียงกาฝากเท่านั้นแหละ!” 

แม้นางจะไม่ได้รู้สึกน้อยใจที่มารดาตนไม่รักแต่พอถูกชี้หน้าด่าเยี่ยงนี้ก็อดอารมณ์ขึ้นไม่ไหว และเพื่อไม่เป็นการทำอะไรที่ร้ายแรงไปมากกว่านี้ซูเมิ่งจึงตัดสินใจลุกขึ้นและเอ่ยลา เดินออกมาทันที

ระหว่างทางนางก็คิดถึงคำพูดก่อนหน้าที่เฟยจินเอ่ยว่า นางเป็นเพียงกาฝาก แล้วพอมาประกอบเข้ากับการกระทำตลอดมาที่เฟยจินดูไม่รักบุตรีอย่างนางอย่างไม่รู้สาเหตุจึงนึกเอะใจ

จนกระทั่งเดินเหม่อคิดรู้ตัวอีกทีก็มาถึงเรือนอิงฮวาของตัวเองเสียแล้ว และก็เจอถิงเย่รออยู่หน้าห้องหนังสือของนาง

ซึ่งซูเมิ่งก็ได้รับคำตอบรับจากซือหมิงว่าสามารถไปพบเขาได้ทันทีตอนนี้ ซูเมิ่งจึงปล่อยเรื่องเฟยจินทิ้งไปและให้ถิงเย่พาไปยังสถานที่ตามนัดทันที

ซูเมิ่งนั่งรถม้าของจวนออกมาพร้อมไป๋จื่อและถิงเย่ โดยให้เย่าถิงไปบอกให้ท่านพ่อรู้ว่านางจะขอออกไปข้างนอกครู่หนึ่ง นั่งบนรถม้ามาสักพักรถม้าก็หยุดลงหน้าหอเลี่ยงหลิว หออาหารที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวง

จากนั้นซูเมิ่งก็ถูกพาขึ้นชั้นสองไปยังห้องส่วนตัวชิดในสุด พอมาถึงก็เห็นองค์รักษ์คนหนึ่งที่นางคุ้นหน้าเฝ้าหน้าห้องคอยเปิดประตูให้นาง

“เชิญขอรับนายหญิง”

ได้ยินดังนั้นเท้าที่กำลังก้าวเข้าไปพลันกระตุกวูบทำให้ซูเมิ่งเกือบล้มไปกองอยู่กับพื้นหากไม่ได้ถิงเย่จับไว้

“นายหญิงเป็นอะไรไหมขอรับ”

เสียงของถงฝูดังขึ้นบนหัวไม่ไกล พอซูเมิ่งเงยหน้าขึ้นก็เห็นถงฝูในชุดเยี่ยงองครักษ์ประจำชินหวังยืนอยู่ด้านใน มองต่ำลงมาถึงเห็นบุรุษหน้าตายนั่งจิบน้ำชาสบายอุรา

นายหญิง!!! นางยังไม่แต่งเสียหน่อยไม่เห็นจำเป็นต้องเปลี่ยนสรรพนามเรียกเลย

“นายท่านขอรับ นายหญิงมาแล้ว”

ถงฝูเอ่ยเสียงเบาเพราะเห็นว่าเจ้านายตนเองไม่ขยับตัวทำราวกับซูเมิ่งยังไม่มา

“อืม ข้ารู้แล้ว”

พูดพลางยิ้มมุมปากอย่างชอบใจ และยิ่งเห็นสีหน้าไม่พอใจของสตรีตรงหน้ายิ่งรู้สึกสบายตัวกว่าเดิม เขาเป็นคนสั่งให้ลูกน้องเรียกนางว่านายหญิงเองนั่นแหละ ทุกคนเรียกเขานายท่านย่อมต้องเรียกชายาเขาว่านายหญิงสิถึงจะถูก

จะมีเพียงตอนที่อยู่ในวังหรือตามงานสำคัญเท่านั้นที่เขาถึงให้ลูกน้องเรียกตามตำแหน่ง ซึ่งยามนั้นลูกน้องเขาก็ต้องเรียกนางว่าชายาเอกแทน

คิดไปก็ยิ้มกรุ่มกริ่มไป ในใจแสนปริ่มเปรมผิดกับผู้ถูกให้คนอื่นเปลี่ยนคำเรียกอย่างซูเมิ่งยิ่งนัก

ใบหน้างองุ้มเดินเข้ามาก่อนนั่งลงตรงหน้าฝั่งตรงข้ามชินหวัง ส่วนถิงเย่ก็ขอตัวออกไปรอข้างนอก เหลือเพียงนาง ซือหมิง และถงฝูอยู่ในห้องสามคนเท่านั้น

“เจ้ามิพอใจสินสอดหรือ?”

ซือหมิงเอ่ยพลางรินน้ำชาให้สตรีตรงหน้าไปด้วย ซึ่งซูเมิ่งก็ยอมยกถ้วยขึ้นจิบดีดีเพราะกลิ่นหอมกรุ่นนั้นชวนกระหายน้ำยิ่งนัก

“หม่อมฉันไม่พอใจกับการที่พระองค์มาขอโดยไม่บอกกล่าวต่างหาก หม่อมฉันก็บอกแล้วว่าไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบอะไร”

ซูเมิ่งเอ่ยอย่างจริงจังและจริงใจ 

“หากข้าบอกล่ะว่าไม่ได้จะแต่งกับเจ้าเพื่อรับผิดชอบอะไรล่ะ”

คิ้วเรียวขมวดมุ่น “หรือพระองค์จะบอกว่าแต่งกับหม่อมฉันเพราะว่ารักหม่อมฉันอย่างนั้นหรือ? มิน่าใช่กระมัง”

“อะไรทำให้เจ้าคิดอย่างนั้นเล่า”

...เขาหมายถึงเรื่องแต่งเพราะรักหรือว่าเรื่องอะไรหนอ?

“ก็พระองค์บอกว่าไม่จะรับผิดชอบหม่อมฉัน หากไม่ใช่เพราะรักหม่อมฉันเข้า หรือว่า...”

“เพราะว่าพระองค์ต้องการอำนาจของตระกูลไป๋ แต่ก็มิน่าใช่ในเมื่อตอนนี้ตระกูลไป๋ก็มิได้มีอำนาจใดใดมากแล้ว อีกอย่างพระองค์เองก็มีอำนาจเป็นรองเพียงองค์ฮ่องเต้เท่านั้น”

ซูเมิ่งเอ่ยอย่างที่คิดจนหมดก็หยุดโดยพลันเมื่อถูกบุรุษตรงหน้าจ้องเขม็งมา

“ข้าหมายถึงเหตุใดเจ้าถึงคิดว่าไม่ใช่เล่า”

หือ ไม่ใช่หรือ? ไม่ใช่อันใดกัน หรือว่า!

พอเข้าใจในความนัยน์ที่ซือหมิงเอ่ยฉับพลันใบหน้าขาวนวลก็แดงปลั่งอย่างมิอาจควบคุมพร้อมอัตราการเต้นของหัวใจที่เร็วขึ้น

...เขาหมายถึงเรื่องที่ทำไมนางถึงคิดว่าไม่ใช่เหตุผลที่ว่าเขาแต่งกับนางเพราะรักอย่างนั้นหรือ?

ซือหมิงเห็นความปลี่ยนไปของซูเมิ่งก็รู้ทันทีว่านางเข้าใจความหมายที่เขาต้องการสื่อแล้ว จึงนั่งผ่อนคลายมากขึ้นเพราะก่อนหน้าเขาเกร็งตัวแทบแข็งลุ้นว่าสตรีตรงหน้าที่จะปฏิเสธหรือไม่ หากเป็นสตรีนางอื่นเขาก็คงไม่ต้องหวั่นเช่นนี้หรอก แต่ก็เถอะชาตินี้เขาคงมิคิดจะรักใครได้อีกแล้วล่ะ

...แล้วนางล่ะ รักเขาหรือเปล่า? ไม่ว่าชาติไหนซูเมิ่งก็ไม่รู้จักคำว่ารักเสียด้วยสิ 

“งั้นหม่อมฉันจะแต่งงานกับพระองค์ก็ได้เพคะ แต่มีข้อแม้ว่าพระองค์ต้องทำตามที่หม่อมฉันขอให้ได้ทุกข้อเสียก่อน”

ใบหน้ากระอักกระอ่วนของนางสร้างความเอ็นดูให้แก่ฝ่ายตรงข้ามอย่างมาก เขาจึงยอมพยักหน้า

“ว่ามาสิ”

“อย่างแรกเลยหม่อมฉันอยากได้อิสระเพคะ หลังแต่งงานไปแล้วพระองค์ต้องไม่บังคับให้หม่อมฉันอยู่แต่ในตำหนักหรือในจวน หม่อมฉันอยากไปไหนต้องได้ไป...”

ซูเมิ่งหยุดพูดเพื่อลอบสังเกตดูสีหน้าของเขา พอเห็นว่าเขายังดูสบาย ๆจึงเอ่ยต่อ

“เงินทองของพระองค์ก็ต้องให้หม่อมฉันเป็นคนดูและไม่ใช้อำนาจของพระองค์สั่งหม่อมฉัน และท้ายที่สุดพระองค์ต้องห้ามมีความลับกับหม่อมฉันด้วย”

ข้อสุดท้ายสำหรับนางแล้วสำคัญมาก เพราะนางรู้ว่าตนตรงหน้านั้นมากไปด้วยความลับ หากนางจะต้องใช้ชีวิตที่เหลืออยู่กับเขาแล้วอย่างไรเขาต้องเชื่อใจนางต้องไม่มีความลับแก่นาง

“ได้”

“หา...” เขาไม่ใช้เวลาคิดเสียหน่อยหรือ? 

“หากหม่อมฉันต้องการใช้ให้คนของพระองค์ไปทำงาน...”

“ย่อมได้”

“หรือหากหม่อมฉันจะเข้าไปแทรกแซงงานที่หอสรรพสิ่ง...”

“แล้วแต่เจ้า”

เขารับปากง่ายจนซูเมิ่งรู้สึกตงิดประหลาด

“หวังว่าพระองค์จะไม่กลับกลอกภายหลังนะเพคะ”

“ข้ารับรองโดยเอาตัวข้าเป็นประกันเลย หากผิดสัญญาที่ให้ไว้ เจ้าจะทำอันใดข้าก็ได้”

“งั้นหม่อมฉันขอให้เขียนออกมาเป็นลายลักษณ์อักษรเพคะ และลงลายมือท่านด้วย”

ไม่รอช้าถงฝูที่ยืนข้างเคียงก็ให้คนนำน้ำหมึกและกระดาษเข้ามา ซูเมิ่งเขียนสัญญาจนครบเงื่อนไขทุกข้อพอซือหมิงลงลายมือก็เป็นอันเสร็จสิ้น

“งั้นหม่อมฉันตกลงแต่งกับพระองค์เพคะ”

...สายเปย์ขนาดนี้ใครไม่แต่งด้วยก็บ้าแล้ว!

 

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • เล่ห์รักบุปผาซ่อนพิษ   บทส่งท้าย

    #####บทส่งท้ายมือหนาควานหาร่างอุ่นนุ่มอย่างที่ทำเป็นประจำทุกวัน ทว่าควานไปพบแต่ความว่างเปล่า สองตาค่อย ๆลืมขึ้น ไฉนวันนี้เขาถึงรู้สึกมึนหัวประหลาดหือ วันนี้เขาตื่นสายหรือ ไยเป็นภรรยาเขาที่ตื่นก่อนได้เล่า นางตื่นแล้วไยไม่เรียกเขาเสียหน่อยล่ะ“ใครอยู่ด้านนอกเข้ามาที”เป็นเย่าถิงที่เดินเข้ามา นางชะงักนิดหน่อยเพราะกลิ่นที่เกิดจากการทำกิจกรรมของสองข้าวใหม่ปลามันคละคลุ้งทั่วห้อง ซึ่งเมื่อคืนพวกนางต่างรู้ดีกว่าเกิดอะไรขึ้นในห้อง เพราะเสียงที่ดังทะลุกำแพงออกมาตลอดคืน“นายหญิงไปไหนหรือ?”เย่าถิงยกคิ้วฉงนก่อนตอบ “ก็ไม่ได้อยู่ในห้องหรอกหรือเพคะ” พูดพลางสอดส่องมองทั่วห้องก็ไม่เห็นคุณหนูของตนจริง จึงขออนุญาตเรียกไป๋จื่อและบ่าวคนอื่น ๆมาถามไถ่ แต่ก็ไม่มีใครพบเห็นเลย พอไม่เจอสตรีที่ตนเรียกหาจึงกลายเป็นเรื่องใหญ่ คนของชินหวังทั่วทั้งจวนต่างกระจายกำลังหาทั่วจวน แต่หานานหลายชั่วยามก็ไม่มีใครพบ“พวกเจ้าดูแลนางอย่างไรนายหญิงออกจากห้องไปไยไม่มีใครเห็น!”บรรยากาศโดยรอบของบุรุษผู้ทรงอำนาจเย็นยะเยือกลามไปทั่วทั้งจวน นัยน์ตาดุดันจ้องมองเขม็งไปที่เหล่าบ่าวใช้ที่คุกเข้าตรงหน้า“หม่อมฉันเฝ้าหน้าห้องตลอดไม่เห็

  • เล่ห์รักบุปผาซ่อนพิษ   บทที่ 50

    #####บทที่ 50นับจากวันที่กลับจากไปเยี่ยมจวนตระกูลไป๋ซูเมิ่งก็รอบางอย่างจนสิ่งที่นางรอคอยก็มาถึง ไป๋จื่อเข้ามาหาซูเมิ่งในห้องหนังสือพร้อมปิดประตูแน่น จนในห้องเหลือเพียงซูเมิ่งและไป๋จื่อสองคน“ครานี้ได้เรื่องแล้วเพคะพระชายา”“ว่ามา...”ตามที่ให้ไป๋จื่อออกไปรับเรื่องที่นางให้เป่าต้ง บ่าวบุรุษที่ซูเมิ่งไว้ใจในจวนตระกูลไป๋ทำเรื่องบางอย่างในจวน การมารายงานครานี้ของเป่าต้งนั้นต่างออกไปจากครั้งก่อน ๆแล้ว เรื่องที่ซูเมิ่งกำลังเฝ้าคอยเป็นเรื่องเกี่ยวกับไป๋หย่งคังบิดาของซูเมิ่งเอง ในวันที่นางกลับไปเยี่ยมบ้านนั้นนอกจากซูเมิ่งจะเข้าไปขอพบหย่งคังเป็นการส่วนตัวแล้วนางยังเรียกเป่าต้งเพื่อมอบหมายงานให้ทำด้วยนั่นก็คือ ให้เขาคอยจับตาดูไป๋หย่งคังตลอดทุกฝีก้าวตอนที่อยู่ในจวนไม่เว้นแม้กระทั่งช่วงกลางคืน และให้มารายงานนางทุก ๆสามวัน ในช่วงแรก ๆ สิ่งที่ไป๋หย่งคังทำนั้นซูเมิ่งคิดว่าปรกติทั่วไป แต่พอได้ฟังคำจากเป่าต้งรายงานหลาย ๆคราซูเมิ่งเริ่มสงสัยบางอย่างเข้าให้แล้ว กิจวัตรหนึ่งที่น่าสงสัยคือไป๋หย่งคังมักจะเทียวไปเรือน ๆหนึ่งทุก ๆสองหรือสามวันเสมอและใช้เวลาอยู่ที่นั่นราวสองเค่อ สิ่งที่น่าประหลาดคือเรือนแห่ง

  • เล่ห์รักบุปผาซ่อนพิษ   บทที่ 49

    #####บทที่ 49และแล้ววันที่ท่านหมอพิษมาถึงจวนชินหวังก็มาถึง เขาเข้ามาพร้อมกับหยางเหวินเพื่อมาตรวจอาการของซูเมิ่ง “แปลก พระชายาไม่น่ามีพิษชนิดนี้อยู่ในกายได้พะยะค่ะ”หมอพิษพูดพลางลองตรวจสอบพิษอีกรอบผลปรากฎว่าเลือดที่มาจากร่างกายซูเมิ่งนั้นเป็นพิษชนิดที่เขาคิดจริง ๆ“อย่างไรหรือท่านหมอ”ซูเมิ่งเอ่ยถาม นางอยากรู้อย่างที่สุดว่าพิษที่อยู่ในร่างกายนางแต่กำเนิดนั้นคือชนิดใดกันแน่โดยท่านหมอพิษบอกว่าพิษนี้คือพิษที่มีแหล่งกำเนิดจากอาณาจักรชิงจง ซึ่งคืออาณาจักรข้างเคียงที่เป็นศัตรูกับอาณาจักรที่นางอยู่นี้มาช้านานแล้ว โดยพิษนี้เป็นพิษที่หากออกฤทธิ์จะค่อย ๆทำลายอวัยวะทั้งหมดในร่างกาย แต่เงื่อนไขการออกฤทธิ์จะออกฤทธิ์เมื่ออยู่ในกระแสเลือดของบุคคลผู้นั้นนานเป็นเวลาสองปี ซึ่งพิษนี้ไม่ค่อยมีผู้คนนำมาใช้เท่าไหร่นัก แทบไม่มีคนในอาณาจักรนี้รู้จักเลยด้วยซ้ำ แต่สำหรับอาณาจักรชิงจงพิษชนิดนี้จะใช้เฉพาะกับทหารที่ฝึกไว้เพื่อเป็นสายลับเท่านั้น ด้วยเงื่อนไขการออกฤทธิ์นี้ทำให้สามารถใช้เพื่อควบคุมเหล่าทหารยามต้องออกไปปฏิบัติการได้ โดยการให้สายลับทุกคนดื่มพิษชนิดนี้เข้าไปและหากต้องการมีชีวิตต่อเพียงแค่กลับไปที่ฐาน

  • เล่ห์รักบุปผาซ่อนพิษ   บทที่ 48

    #####บทที่ 48“คุณหนูเจ้าคะ ตื่นได้แล้วเจ้าค่ะ”เป็นเย่าถิงที่เข้ามาปลุกซูเมิ่งที่กำลังกอดกองผ้าห่มนุ่มด้วยอาการมึนงง นางลืมตามองเย่าถิงอย่างเกียจคร้าน“ข้าขอนอนอีกหน่อยได้หรือไม่”ไม่พูดเปล่าซูเมิ่งปิดเปลือกตาลงอีกครั้ง นางรู้สึกอ่อนเพลีย และปวดเนื้อปวดตัวไปหมดจนไม่อยากขยับเขยื้อน แต่ก็ต้องลืมตาขึ้นอีกครั้งเพราะแขนตัวเองถูกดึงให้ลุกขึ้นและทันทีที่เย่าถิงดึงแขนของซูเมิ่งพ้นผ้าห่มก็ต้องตกใจ นางมองไปยังรอยสีกุหลาบบนผิวขาวผุดผาดของผู้เป็นนายที่ตอนนี้ขึ้นรอยแดงราวถูกแมลงกัดต่อย และยิ่งพอซูเมิ่งเอนตัวขึ้นตามแรงดึงของเย่าถิงแล้วผ้าห่มที่คลุมร่างอยู่ไหลกองลงปิดเพียงเอวยิ่งตระหนกไปใหญ่ ทั้งรอยมือและบางแห่งเกิดเป็นรอยช้ำ เย่าถิงพอนึกถึงว่าที่มารอยพวกนี้มาจากไหนจึงใบหน้าแดงขึ้นลามจนถึงใบหู“ไป๋จื่อเตรียมน้ำอุ่นผสมสมุนไพรให้แล้วเจ้าค่ะ ให้บ่าวพยุงไปนะเจ้าคะ”ซูเมิ่งพยักหน้ารับคำอย่างว่าง่าย นางรู้สึกล้าเกินจะลืมตาตื่นด้วยซ้ำ แต่ก็รู้ว่าตามธรรมเนียมแล้วตนจะต้องไปไหว้บุพการีของซือหมิง ซูเมิ่งแทบจะอยากไปหักคอของบุรุษน่าตายนามซือหมิงให้ตายคามือเสียเดี๋ยวนี้เลย เมื่อคืนเขารู้ทั้งรู้แท้ ๆว่าไม่ควรเข้

  • เล่ห์รักบุปผาซ่อนพิษ   บทที่ 47 (ต่อ)

    บทที่ 47 (ต่อ)“คุณหนู พร้อมแล้วออกมาได้เลยนะเจ้าคะขบวนของชินหวังใกล้มาถึงแล้วคุณหนูออกมาได้เลยเจ้าค่ะ”ร่างงามระหงเดินตามนางกำนัลเจี่ยงและคนอื่นออกจากห้องนอนเพื่อไปยังโถงจัดงานไม่นานขบวนเสด็จของชินหวังก็หยุดลง ทั้งขุนนาง และทหารรักษาพระองค์ตั้งขบวนจนหางยาวไปไกลลิบตา บนม้าต้นขบวนร่างกำยำงามสง่าในชุดแดงผ่าเผย นัยน์ตานิ่งลึกล้ำยากคาดเดา ยามปรายตาไปทางใดเหล่าบ่าวใช้ที่ติดตามเจ้านายจวนตระกูลไป๋ออกมาต้อนรับต่างเขินหน้าแดงเป็นลูกตำลึง ซือหมิงเหวี่ยงตัวลงจากอานม้าท่าทางงามสง่าเต็มไปด้วยอำนาจแม้วันนี้เขาจะยังคงท่าทาดุดันเข้าถึงยากอยู่แต่หากเป็นคนสนิทของซือหมิงย่อมมองออกมาเจ้านายของพวกเขานั้นนัยน์ตาเปล่งประกายเจิดจ้ากว่าวันใด และริมฝีปากบางนั่นก็หยักยกเล็กน้อยด้วยพอซือหมิงถูกเชิญเข้ามาในจวนเพื่อไปยังห้องโถงกลาง ก็พอดีกับที่นางกำนัลเจี่ยงจูงมือซูเมิ่งซึ่งมีผ้าสีแดงผืนใหญ่ปิดใบหน้าเดินออกมา ขนาดไม่เห็นหน้าตาซือหมิงยังรู้สึกใจเต้นแรงขึ้นมา เขามองเห็นเพียงทรวดทรงและท่าทางการเดินนั่นก็รู้สึกภาคภูมิใจเป็นไหน ๆ พอถึงย้อนไปคราที่เขาพบนางครั้งแรก ท่ามความมืดมิดในค่ำคืนหนึ่งในป่ากว้าง ร่างงามสง่าผิวข

  • เล่ห์รักบุปผาซ่อนพิษ   บทที่ 47

    #####บทที่ 47วันรุ่งขึ้นตื่นขึ้นมาร่างกายของซูเมิ่งก็เริ่มกลับมาปรกติแล้ว ความเจ็บปวดเมื่อตอนก่อนได้รับเทียบยาถอนพิษคลายลง ทำให้ร่างกายซูเมิ่งกลับมามีแรงอีกครา เมื่อคืนตอนที่นางนั่งคุยกับหยางเหวินทำให้ได้รู้ว่าหมอพิษคนที่ท่านหมอจูบอกว่าเป็นหมอกำจัดพิษที่เก่งที่สุดนั้นแท้จริงคืออาจารย์ผู้สอนหยางเหวินนั่นเอง จากคำกล่าวของหยางเหวิน เขาบอกว่าอาจารย์ของเขาผู้นี้รักความสงบมากมักจะเร้นกายไม่ให้คนขอพบได้ง่าย และเนื่องด้วยเขาอายุมากแล้วไม่แข็งแรงกำยำเหมือนสมัยหนุ่ม ๆจึงไม่รับรักษาคนอีก เหมือนว่าหยางเหวินจะคือลูกศิษย์คนสุดท้ายของเขา แต่แม้หยางเหวินจะได้รับการถ่ายทอดวิชาแต่ด้วยประสบการณ์ตรงในความรอบรู้เรื่องพิษต่าง ๆก็ไม่สู้อาจารย์ได้อยู่ดี แต่หยางเหวินอาจสามารถขอให้อาจารย์มารักษาซูเมิ่งได้เป็นกรณีพิเศษ นี่คือเหตุผลที่ซูเมิ่งคุยกับหยางเหวินจนดึกดื่นใครจะไม่ตื่นเต้นเล่าที่พบหนทางกำจัดพิษได้ นางไม่อยากเป็นสตรีอ่อนแออย่างนี้หรอกนะ ซูเมิ่งตื่นขึ้นมาอีกทีก็ยามเว่ยแล้ว ไป๋จื่อนำอาหารอ่อนเข้ามาให้ซูเมิ่งกินถึงหน้าเตียง พอทานเสร็จก็ขอร้องแกมบังคับให้นางนอนพักผ่อนต่ออีก แต่ด้วยความที่นางเพิ่งทานข้าวไป

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status