แชร์

บทที่ 45

ผู้เขียน: มายุมายูมายา
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-12-01 21:28:12

#####บทที่ 45

 

 

“ท่านแม่ทัพไป๋ไม่ต้องเป็นกังวลเดี๋ยวข้าพานางกลับไปส่งถึงจวนเอง”

ซือหมิงเอ่ยจากนั้นก็พาซูเมิ่งเดินแยกออกไป ตอนนี้การประชุมทั้งหมดเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว และเพื่อไม่เป็นการทำให้เอิกเกริก พวกเขาต้องค่อย ๆ ทยอยออกและปลอมตัวกันออกไปตามแผนที่เตรียมไว้ ซึ่งการทำแบบนี้ไม่ใช่เพื่อปิดบังฝ่าบาทแต่อย่างใดแต่เพื่อไม่ให้เป้าหมายไหวตัวล่วงหน้าเท่านั้นเอง

ส่วนเรื่องที่แล้วเหตุใดพวกเขาที่มาวันนี้ถึงรวมกลุ่มเพื่อทำอะไรแบบนี้ได้นั้นเป็นความประสงค์ของฝ่าบาทเองที่ต้องการลดทอนอำนาจตระกูลจ้าว และตระกูลหานหรือตระกูลเบื้องหลังฮองเฮาลงเนื่องด้วยเล็งเห็นว่าขอบเขตการแสวงอำนาจนั้นเพิ่มขึ้นและมีทิศเริ่มส่งผลเสียต่อความมั่นคงของอาณาจักรแล้ว แต่ในเรื่องพวกนี้นั้นบังเอิญว่ามีเรื่องการที่ตระกูลหานอยากโค่นล้มตระกูลไป๋มาเกี่ยวด้วย ทำให้ซือหมิงยิ่งยอมไม่ได้

ซือหมิงเดินนำจนมาถึงรถม้าคันที่จะพาซูเมิ่งกลับ ซูเมิ่งนั้นขึ้นมาข้างในน่ะไม่แปลก แต่ไยบุรุษหน้าตายเบื้องหลังถึงได้ตามทางขึ้นมาด้วยล่ะ

“ข้ารับปากบิดาเจ้าไว้แล้วว่าจะไปส่งเจ้าให้ปลอดภัยจนถึงจวน”

ซูเมิ่งถอนหายใจเฮือกใหญ่เพราะรู้ว่าตนหาได้ขัดได้ไม่ แต่ในใจก็รู้สึกอบอุ่นประหลาด

“ขอบคุณเพคะ”

พอได้ยินเสียงนุ่มเอ่ยแม้ไม่ดังมากแต่ก็ทำให้ปากของคนร่างหนาหยักยกสุขใจได้

“เพียงไปส่งเจ้าเอง หลังจากนี้ข้าคงไม่อยู่ที่เมืองหลวงหลายวัน เจ้าอยากใช้ใครหรืออยากได้อะไรบอกแก่ถิงเย่ได้เลย”

ซูเมิ่งพยักหน้าเบา ๆ ในใจนางยิ่งรู้สึกขอบคุณเขามากขึ้นไปอีก แต่ก่อนนางรู้เพียงว่าเขาอาจทำดีกับนางเพื่อผลประโยชน์บางอย่างแต่ครานี้นางเริ่มรู้สึกแล้วว่าสิ่งที่เขาทำนั้นหากเพียงแค่ผลประโยชน์ที่ไม่รู้ว่าคืออันใด ยิ่งใหญ่แค่ไหนก็ไม่จำเป็นต้องทำเพื่อนางขนาดนี้หรอก

“ขอบคุณท่านสำหรับทุกเรื่องเลยเพคะ โดยเฉพาะวันนี้”

เรื่องที่ทำให้นางได้เข้าไปฟังเรื่องที่สตรีไม่สามารถร่วมฟังได้ เขาทั้งไม่กีดกันนางแล้วยังคอยหนุนหลังนางอีกต่างหาก

“ข้ารู้หากยิ่งกันเจ้าออกจากเรื่องเหล่านี้ อย่างไรเจ้าก็จะพยายามเข้าหาให้ได้อยู่ดี มิสู้ให้เจ้ารับรู้และมีข้าคอยช่วยเหลือมิดีกว่าหรือ”

ซูเมิ่งเงยหน้ามองสบตาเฉียบคมของบุรุษตรงหน้าที่มีเพียงตั่งกั้นเราทั้งสอง สายตาแฝงความปลื้มปริ่มของซูเมิ่งถูกส่งไปถึงซือหมิงอย่างจงใจ

...เขาคือคนแรกเลยที่เข้าใจความรู้สึกของนาง

อย่างนี้ต้องให้รางวัลเสียหน่อยล่ะมั้ง

สิ้นความคิด ร่างบอบบางก็ดันตัวเองให้ลุกขึ้นโน้มตัวไปข้างหน้าสายตาสองคู่สบกันไม่ขาดไปไหน สายตานางนั้นเต็มไปด้วยความปลื้มปริ่มแต่ของซือหมิงตอนนี้กลับเต็มไปด้วยความงุนงง

จุ๊บ

ความนุ่มนิ่มและเปียกชื้นจากริมฝีปากของสตรีเจ้าของกลิ่นหอมเย็นสัมผัสที่ปากของเขาเพียงชั่ววาบเดียว สร้างความตกตะลึงอย่างมากให้กับซือหมิง พอตั้งสติได้สายตาแหลมคมมองตามปากบางที่เมื่อครู่สัมผัสกับปากของตนด้วยความรู้สึกหลากหลาย ก่อนตัดสินใจเอื้อมมือหนาคว้าเอวของซูเมิ่งและออกแรงจนร่างบางที่ยืนย่ออย่างไม่สมดุลอยู่แล้วล้มลงมาบนตักตน พร้อมหยักยิ้มมุมปากเจ้าเล่ห์ สายตาจับจ้องใบหน้าเหลอหลาของซูเมิ่งอย่างชอบใจ

“เมื่อครู่หม่อมฉันให้รางวัลพระองค์เพคะ แต่สิ่งที่พระองค์ทำอยู่ตอนนี้มิใช่แล้ว นี่เรียกว่าล่วงเกินเพคะ”

ซูเมิ่งไม่พูดเปล่า นางดิ้นขลุกขลักเพื่อให้ตนลุกขึ้นออกจากตักให้ได้ แต่ก็หาได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงไม่ ซือหมิงเพียงโอบนางเบา ๆก็ทำให้นางลุกไปไม่ขึ้นแล้ว

“ข้าทำให้เจ้าตั้งมาก ขอรางวัลเพิ่มหน่อยเถอะ”

“อะไรนะเพค คะ...”

คำพูดที่กำลังออกจากปากบางถูกกลืนหายด้วยริมฝีปากของร่างหนาเจ้าของอ้อมกอด ซูเมิ่งดวงตาเบิกโพลง ร่างกายกระตุกตกใจ แต่ซือหมิงหาได้สนใจต่ออาการของคนในอ้อมอกไม่ ความรู้สึกนึกคิดของเขาตอนนี้สนใจเพียงทำตามสิ่งที่ตนอยากทำเท่านั้น จุมพิตครั้งนี้มิใช่เพียงปากสัมผัสปากอย่างครั้งที่ซูเมิ่งตั้งใจให้รางวัลอย่างก่อนหน้า ซือหมิงเคล้นคลึงริมฝีปากนุ่มอย่างโหยหา ดูดดึงปากบนล่างสลับกันน นานอย่างไรก็ไม่พอใจเสียทีจนคนในอ้อมอกทุบอกเขา จึงยอมผละออกมา แต่สายตายังคงจับจ้องมองสตรีใบหน้าขึ้นสีไม่เบี่ยงไปไหน และยิ่งเอ็นดูเมื่อซูเมิ่งสบตาเขาตาขวาง ยกมือเรียวนั่นขึ้นปิดปากบวมเป่งของตัวเอง

“จะจุมพิตกันไยไม่ขอกันดีดีเล่า ...” เล่นทำตอนนางไม่ทันตั้งตัว เกือบขาดอากาศหายใจตายแล้วไหมเล่า

เสียงแผ่วเบาดังจนซือหมิงที่อยู่ใกล้ยังได้ยินไม่ชัด แต่นางก็คิดจะบ่นไม่ได้อยากให้เขาได้ยินอยู่แล้ว นางเพียงตกใจเท่านั้นมิได้ไม่ชอบใจอันใดกับรสจูบสูบวิญญาณของบุรุษน่าตายที่เอาแต่จ้องนาง 

ขอดีดี นางก็ให้อยู่หรอก ชิ แต่ขอให้ตนได้เตรียมใจก่อนได้หรือไม่เล่า นี่คือจุมพิตแรกของนางที่ชาตินี้เชียวหนา

ซือหมิงมองสบตาแฝงความไม่พอใจของซูเมิ่งอย่างไม่ยอมละสายตา นัยน์ตาของบุรุษหนุ่มลึกล้ำเสียยิ่งกว่าสายน้ำในลำธารยามค่ำคืน มองไปสักครู่พอเห็นซูเมิ่งเริ่มมองสบจ้องกลับอย่างไม่ยอมแพ้ก็ชอบใจอยากลิ้มลองรสชาติแสนนุ่มละมุนนั้นอีก ฉับพลันทันใดที่เรียวลิ้นเล็กของนางแลบเลียริมฝีปากของตนเองก็ทำให้ความอดทนของเขาขาดผึง

แขนข้างที่รองศีรษะมนอยู่เปลี่ยนเป็นช่วยยกร่างซูเมิ่งให้สูงขึ้นพร้อมกับใบหน้าคมก้มต่ำลงเอียงมุมพอเหมาะและปากนุ่มทั้งสองก็สัมผัสกันอีกครา แต่ครานี้เรียวลิ้นของเขาพุ่งเข้าสำรวจโพรงปากของซูเมิ่งลัดเลาะตามแนวฟันทั่วปากซึ่งเจ้าของโพรงปากก็เผยอปากออกไปตามอารมณ์นำพา รสจุมพิตครานี้ช่างรุกรานและดุดันจนซูเมิ่งตั้วตัวไม่ทัน สมองโปร่งโล่งปล่อยกายไปตามที่ซือหมิงนำ ส่วนซือหมิงนั้นไม่ต่างกัน สมองเขาคิดเพียงต้องการสัมผัสนางให้มากกว่าที่ทำอยู่ไม่สนใจว่าตอนนี้ทั้งสองคนกำลังนั่งอยู่ที่ใด หรือพวกเขาทั้งสองนั้นเป็นเพียงคู่ที่กำลังจะแต่งงานมิใช่แต่งกันแล้วเสียหน่อย

“ถึงแล้วขอรับนายท่าน”

และก่อนสองบุรุษสตรีในรถม้าจะเกินเลยไปมากกว่านี้เสียงเข้มแข็งของถงฝูก็ดังขึ้นพร้อมรถม้าที่หยุดเคลื่อนที่ลง

ซูเมิ่งลืมตาโดยฉับพลันและออกแรงที่มีอยู่ผลักร่างหนาออกไปแทบจะทันที ส่วนตัวเองพอริมฝีปากเป็นอิสระก็หอบหายใจแรงกอบโกยอากาศเข้าปอด ดวงตาแดงคลอน้ำใสดูเย้ายวนมองไปยังซือหมิงตาขวาง มือบางดันตัวเองจากอ้อมกอดและกลับไปนั่งฝั่งเดิมพลางจัดชุดตัวเองให้เป็นระเบียบ

ส่วนซือหมิงนั้นพอเขาพลาดโอกาสทองไปเพราะลูกน้องตัวดีก็ส่งเสียงเบาในลำคออย่างขัดใจ มือหนายกขึ้นเช็ดน้ำสีใสที่มุกปากพร้อมหันหน้าออกไปอีกฝั่งพยายามไม่มองสตรีตรงหน้าเพื่อหักห้ามอารมณ์หวามไหวในกายลง

พอซูเมิ่งจัดตัวเองจนคิดว่าเรียบร้อยแล้วก็ลุกขึ้นเปิดผ้าม่านประตูรถเดินลงไปทันที ไม่แม้แต่เอ่ยลาบุรุษในรถม้าอีกคน

เอ่ยลาบ่าบออะไรกันเล่า เพียงเท่านี้นางก็เขินและอับอายจะแย่แล้ว ที่เผลอตอบรับรสจูบนั่นไม่ห้ามซือหมิงสักนิด หากไม่ถึงจวนก่อนมิรู้ว่านางกับเขาจะทำไปถึงไหนต่อไหนแล้ว

พอร่างบางเดินเข้าจวนจนลับสายตาไปเสียงอันดุดันของบุรุษหนึ่งเดียวในรถม้าก็ดังขึ้น

“ถงฝู! ขากลับเจ้าหาทางกลับเอง รถม้าข้าไม่ต้อนรับเจ้า ไป!” 

คำหลังซือหมิงหันมาเอ่ยกับคนขับรถม้า ทิ้งให้ถงฝูที่ไม่ได้รับอนุญาตให้ขึ้นมามองด้วยสายตางุนงง ระหว่างที่มองรถม้าที่ขามาเขายังนั่งสบายตรงตำแหน่งข้างคนขับเคลื่อนผ่านไปเขาก็ต้องตระหนกซ้ำสองเมื่อผู้เป็นนายเปิดม่านหน้าต่างออกมาเอ่ยเพิ่มเติม

“และหากข้ากลับไปถึงจวนแล้วยังไม่เจอเจ้าจำต้องถูกลงโทษสถานหนักอีก”

สิ้นเสียงรถม้าก็เคลื่อนเร็วขึ้นและค่อย ๆหายลับไป

 

“คุณหนูเจ้าคะรอบ่าวบ่าวด้วยเจ้าค่ะ”

ไป๋จื่อตะโกนเรียกพร้อมเดินตามเจ้านายตนที่เดินเร็วจนแทบเหาะ พวกนางเพิ่งลงจากรถม้าคันที่ตามหลังคันของซูเมิ่งมา ยังไม่ทันตั้งตัวดีก็เห็นเพียงแผ่นหลังไวไวของผู้เป็นเจ้านายเดินเข้าจวนเสียแล้ว

“พวกเจ้ามิต้องตามข้ามาหรอก แยกย้ายกันไปทำงานได้แล้วไป”

ซูเมิ่งไม่หยุดไม่พอ นางใช้วิชาตัวเบาที่ร่ำเรียนมาวิ่งหนีหายจากบ่าวทั้งสามอย่างรวดเร็วราวกำลังปกปิดอะไรเสียอย่างนั้น

“พี่เย่าถิงว่าคุณหนูเป็นอะไรหรือเปล่าเจ้าคะ”

สองบ่าวต่างมีสีหน้างุนงงไม่ต่างกัน แต่ถึงถามกันอย่างไรก็คงไม่ได้คำตอบจึงแยกย้ายกันไปทำงานตามที่คุณหนูตัวเองบอกเมื่อครู่

 

สตรีร่างบอบบางนั่งแผ่นหลังเหยียดตรงเข้าหากระจกบานเดียวในห้องนอนตัวเอง 

ใครจะคิดเล่าว่าการจุมพิตเพียงสองคราทำให้ปากบวมเจ่อได้ขนาดนี้ คิดไปมือยกขึ้นลูบริมฝีปากตนเองไปพลันก็ทำให้นึกถึงเรื่องในรถม้าเมื่อครู่ สองแก้มอยู่ ๆก็แดงสุดปลั่งดั่งลูกพีชทำให้ซูเมิ่งตัดสินใจลุกขึ้นและพาตัวเองออกไปนอกห้องเพื่อรับลมหนาวคลายความร้อนในตัว

“อุ้ย ! พี่รอง”

ไป๋ลู่ซานฉีกยิ้มกว้างทันทีที่พบน้องสาวที่ตนสุดแสนจะคิดถึง เขาเดินเข้ามายังตำแหน่งที่ซูเมิ่งยืนอยู่แต่ก่อนเอ่ยคำใดฉับพลันคิ้วคมก็ขมวดมุ่น

“ปากเจ้าเป็นอันใด บวมแดงเชียว” 

ซูเมิ่งยกมือขึ้นปิดปากทันที “อ่อ เป็นตัวแมลงต่อยปากเจ้าค่ะ เดี๋ยวก็หายพี่รองอย่าได้เป็นกังวลเลย”

“แมลงที่ไหนช่างทำร้ายน้องพี่ได้ บอกพี่มาพี่จะไปจัดการให้เจ้าเอง”

ไป๋ลู่ซานไม่พูดเปล่าเขาทำท่าโกรธเกรี้ยวเสียเกินจริงทำราวจะไปท้าตีท้าต่อยคู่อริที่ไม่ใช่แมลง

“เอ่อ ไม่ใช่ที่นี่หรอกเจ้าค่ะ เป็นแมลงที่จวนของชินหวัง”

“อย่างนั้นหรือ ข้าว่าเจ้าอาจไม่ถูกกับจวนนั่นเสียแล้วล่ะ ข้าว่าเจ้าอย่าไปที่นั่นบ่อยเลย อยู่จวนเราดีกว่า หรือว่าจะให้ท่านพ่อเลื่อนงานแต่งออกไปก่อนดี เพราะวันดีคืนดีเจ้าไม่เคยถูกแมลงต่อยปากฉะนั้นการเกิดเหตุการณ์เยี่ยงนี้ย่อมหมายถึงเจ้ากับชินหวังดวงไม่สมพงศ์กันเป็นแน่”

ลู่ซานรีบใช้โอกาสนี้ไปบอกท่านพ่อดีกว่าว่าอย่าให้น้องเมิ่งเอ๋อแต่งออกไปเลย นี่ขนาดไปจวนชินหวังคราแรกน้องสาวเขาก็ได้แผลกลับมาแล้ว ต้องเป็นอย่างที่เขาคิดเป็นแน่

พอคิดตกได้ข้อสรุปว่าเมิ่งเอ๋อควรเลื่อนงานแต่งเขาก็หมุนตัวเดินออกไปทันที ในใจปลื้มปริ่มเป็นที่สุดที่น้องสาวเขาจะไม่ต้องจากอกเขาไปไหนแล้ว ส่วนผู้เป็นน้องก็อ้าปากค้างยังคงอึ้งไม่หายกับเรื่องที่พี่ชายนางคิดเป็นตุเป็นตะเสียขนาดนั้น

 

กุกกัก ๆ

ซือหมิงในชุดดำล้วนเนื้อผ้าเรียบลื่นเงางามค่อย ๆก้าวเข้าห้องของซูเมิ่งด้วยฝีเท้าเบาไร้เสียง แต่หารู้ไม่ว่าเจ้าของห้องนั้นรู้สึกตัวตั้งแต่เขาแงะบานหน้าต่างของนางออกแล้ว!

ทันทีที่เท้าหนาวางและยืนมั่นคงบนพื้นอุ่นภายในห้องตะเกียงที่ถูกดับไฟพลันสว่างวาบ เปลวไฟถูกจุดอีกคราโดยสตรีในชุดคลุมตัวใหญ่สีเขียวอ่อนยืนอยู่ข้าง ๆ

“ข้าผ่านมาจึงแวะมาหาเจ้าก่อนออกเดินทางน่ะ มิคิดว่าจะทำเสียงดังรบกวนการนอนพักผ่อนของเจ้าได้”

เมื่อความแตกซือหมิงก็หาได้ถอยไม่ เขาสลับมาเป็นเดินด้วยฝีเท้าธรรมดามานั่งยังเก้าอี้ซึ่งโต๊ะในชุดเดียวกันมีชุดน้ำชาที่เย็นชืดวางอยู่ แต่ด้วยอยากหาอะไรทำแก้เก้อจึงหยิบเทและยกซดไม่สนใจอื่นใด

วันนี้เขาต้องออกเดินทางไปตรวจสอบเรื่องเหมืองแร่ที่นอกเมืองหลวงจึงคิดอยากมาแอบมองใบหน้าที่เขาโหยหาให้หายคิดถึงเสียหน่อย

สาบานต่อท่านเทพเซียนได้ว่าเขาแค่อยากมามองหน้านางจริง มิได้คิดอย่างอื่นเลย

“ที่จวนพระองค์ไม่มีชาหรืออย่างไร รีบคุยธุระของพระองค์มาเถอะเพคะ หม่อมฉันอยากนอน”

ยิ่งมองท่าทีไร้ความสำนึกผิดนั่นแล้วนางยิ่งไม่ชอบใจ ซูเมิ่งยังแค้นใจเรื่องที่เขาทำปากตนบวมจนถึงตอนนี้ยังไม่หายอยู่เลย และยิ่งรู้สึกเลือดขึ้นหน้าเพิ่มขึ้นอีกเมื่อมองไปที่ริมฝีปากของซือหมิงแล้วเห็นว่าดูปรกติ ไม่แดงหรือบวมอย่างนาง ทำให้จิตใจพลันรู้สึกไม่เป็นธรรมยิ่ง เขากับนางก็จูบด้วยกันไยนางแสดงอาการอยู่คนเดียวหนา ไยเป็นนางที่ต้องหลบหน้าหลบตาคนอื่นเพราะไม่อยากตอบคำถามเรื่องปากบวมเป่งอยู่คนเดียว แล้วเจ้าตัวต้นปัญหาถึงได้สามารถเอ้อระเหยลอยชายไม่อายใคร

“นี่ รับไปสิข้าเอาไว้ให้เจ้าพก”

 

 

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • เล่ห์รักบุปผาซ่อนพิษ   บทส่งท้าย

    #####บทส่งท้ายมือหนาควานหาร่างอุ่นนุ่มอย่างที่ทำเป็นประจำทุกวัน ทว่าควานไปพบแต่ความว่างเปล่า สองตาค่อย ๆลืมขึ้น ไฉนวันนี้เขาถึงรู้สึกมึนหัวประหลาดหือ วันนี้เขาตื่นสายหรือ ไยเป็นภรรยาเขาที่ตื่นก่อนได้เล่า นางตื่นแล้วไยไม่เรียกเขาเสียหน่อยล่ะ“ใครอยู่ด้านนอกเข้ามาที”เป็นเย่าถิงที่เดินเข้ามา นางชะงักนิดหน่อยเพราะกลิ่นที่เกิดจากการทำกิจกรรมของสองข้าวใหม่ปลามันคละคลุ้งทั่วห้อง ซึ่งเมื่อคืนพวกนางต่างรู้ดีกว่าเกิดอะไรขึ้นในห้อง เพราะเสียงที่ดังทะลุกำแพงออกมาตลอดคืน“นายหญิงไปไหนหรือ?”เย่าถิงยกคิ้วฉงนก่อนตอบ “ก็ไม่ได้อยู่ในห้องหรอกหรือเพคะ” พูดพลางสอดส่องมองทั่วห้องก็ไม่เห็นคุณหนูของตนจริง จึงขออนุญาตเรียกไป๋จื่อและบ่าวคนอื่น ๆมาถามไถ่ แต่ก็ไม่มีใครพบเห็นเลย พอไม่เจอสตรีที่ตนเรียกหาจึงกลายเป็นเรื่องใหญ่ คนของชินหวังทั่วทั้งจวนต่างกระจายกำลังหาทั่วจวน แต่หานานหลายชั่วยามก็ไม่มีใครพบ“พวกเจ้าดูแลนางอย่างไรนายหญิงออกจากห้องไปไยไม่มีใครเห็น!”บรรยากาศโดยรอบของบุรุษผู้ทรงอำนาจเย็นยะเยือกลามไปทั่วทั้งจวน นัยน์ตาดุดันจ้องมองเขม็งไปที่เหล่าบ่าวใช้ที่คุกเข้าตรงหน้า“หม่อมฉันเฝ้าหน้าห้องตลอดไม่เห็

  • เล่ห์รักบุปผาซ่อนพิษ   บทที่ 50

    #####บทที่ 50นับจากวันที่กลับจากไปเยี่ยมจวนตระกูลไป๋ซูเมิ่งก็รอบางอย่างจนสิ่งที่นางรอคอยก็มาถึง ไป๋จื่อเข้ามาหาซูเมิ่งในห้องหนังสือพร้อมปิดประตูแน่น จนในห้องเหลือเพียงซูเมิ่งและไป๋จื่อสองคน“ครานี้ได้เรื่องแล้วเพคะพระชายา”“ว่ามา...”ตามที่ให้ไป๋จื่อออกไปรับเรื่องที่นางให้เป่าต้ง บ่าวบุรุษที่ซูเมิ่งไว้ใจในจวนตระกูลไป๋ทำเรื่องบางอย่างในจวน การมารายงานครานี้ของเป่าต้งนั้นต่างออกไปจากครั้งก่อน ๆแล้ว เรื่องที่ซูเมิ่งกำลังเฝ้าคอยเป็นเรื่องเกี่ยวกับไป๋หย่งคังบิดาของซูเมิ่งเอง ในวันที่นางกลับไปเยี่ยมบ้านนั้นนอกจากซูเมิ่งจะเข้าไปขอพบหย่งคังเป็นการส่วนตัวแล้วนางยังเรียกเป่าต้งเพื่อมอบหมายงานให้ทำด้วยนั่นก็คือ ให้เขาคอยจับตาดูไป๋หย่งคังตลอดทุกฝีก้าวตอนที่อยู่ในจวนไม่เว้นแม้กระทั่งช่วงกลางคืน และให้มารายงานนางทุก ๆสามวัน ในช่วงแรก ๆ สิ่งที่ไป๋หย่งคังทำนั้นซูเมิ่งคิดว่าปรกติทั่วไป แต่พอได้ฟังคำจากเป่าต้งรายงานหลาย ๆคราซูเมิ่งเริ่มสงสัยบางอย่างเข้าให้แล้ว กิจวัตรหนึ่งที่น่าสงสัยคือไป๋หย่งคังมักจะเทียวไปเรือน ๆหนึ่งทุก ๆสองหรือสามวันเสมอและใช้เวลาอยู่ที่นั่นราวสองเค่อ สิ่งที่น่าประหลาดคือเรือนแห่ง

  • เล่ห์รักบุปผาซ่อนพิษ   บทที่ 49

    #####บทที่ 49และแล้ววันที่ท่านหมอพิษมาถึงจวนชินหวังก็มาถึง เขาเข้ามาพร้อมกับหยางเหวินเพื่อมาตรวจอาการของซูเมิ่ง “แปลก พระชายาไม่น่ามีพิษชนิดนี้อยู่ในกายได้พะยะค่ะ”หมอพิษพูดพลางลองตรวจสอบพิษอีกรอบผลปรากฎว่าเลือดที่มาจากร่างกายซูเมิ่งนั้นเป็นพิษชนิดที่เขาคิดจริง ๆ“อย่างไรหรือท่านหมอ”ซูเมิ่งเอ่ยถาม นางอยากรู้อย่างที่สุดว่าพิษที่อยู่ในร่างกายนางแต่กำเนิดนั้นคือชนิดใดกันแน่โดยท่านหมอพิษบอกว่าพิษนี้คือพิษที่มีแหล่งกำเนิดจากอาณาจักรชิงจง ซึ่งคืออาณาจักรข้างเคียงที่เป็นศัตรูกับอาณาจักรที่นางอยู่นี้มาช้านานแล้ว โดยพิษนี้เป็นพิษที่หากออกฤทธิ์จะค่อย ๆทำลายอวัยวะทั้งหมดในร่างกาย แต่เงื่อนไขการออกฤทธิ์จะออกฤทธิ์เมื่ออยู่ในกระแสเลือดของบุคคลผู้นั้นนานเป็นเวลาสองปี ซึ่งพิษนี้ไม่ค่อยมีผู้คนนำมาใช้เท่าไหร่นัก แทบไม่มีคนในอาณาจักรนี้รู้จักเลยด้วยซ้ำ แต่สำหรับอาณาจักรชิงจงพิษชนิดนี้จะใช้เฉพาะกับทหารที่ฝึกไว้เพื่อเป็นสายลับเท่านั้น ด้วยเงื่อนไขการออกฤทธิ์นี้ทำให้สามารถใช้เพื่อควบคุมเหล่าทหารยามต้องออกไปปฏิบัติการได้ โดยการให้สายลับทุกคนดื่มพิษชนิดนี้เข้าไปและหากต้องการมีชีวิตต่อเพียงแค่กลับไปที่ฐาน

  • เล่ห์รักบุปผาซ่อนพิษ   บทที่ 48

    #####บทที่ 48“คุณหนูเจ้าคะ ตื่นได้แล้วเจ้าค่ะ”เป็นเย่าถิงที่เข้ามาปลุกซูเมิ่งที่กำลังกอดกองผ้าห่มนุ่มด้วยอาการมึนงง นางลืมตามองเย่าถิงอย่างเกียจคร้าน“ข้าขอนอนอีกหน่อยได้หรือไม่”ไม่พูดเปล่าซูเมิ่งปิดเปลือกตาลงอีกครั้ง นางรู้สึกอ่อนเพลีย และปวดเนื้อปวดตัวไปหมดจนไม่อยากขยับเขยื้อน แต่ก็ต้องลืมตาขึ้นอีกครั้งเพราะแขนตัวเองถูกดึงให้ลุกขึ้นและทันทีที่เย่าถิงดึงแขนของซูเมิ่งพ้นผ้าห่มก็ต้องตกใจ นางมองไปยังรอยสีกุหลาบบนผิวขาวผุดผาดของผู้เป็นนายที่ตอนนี้ขึ้นรอยแดงราวถูกแมลงกัดต่อย และยิ่งพอซูเมิ่งเอนตัวขึ้นตามแรงดึงของเย่าถิงแล้วผ้าห่มที่คลุมร่างอยู่ไหลกองลงปิดเพียงเอวยิ่งตระหนกไปใหญ่ ทั้งรอยมือและบางแห่งเกิดเป็นรอยช้ำ เย่าถิงพอนึกถึงว่าที่มารอยพวกนี้มาจากไหนจึงใบหน้าแดงขึ้นลามจนถึงใบหู“ไป๋จื่อเตรียมน้ำอุ่นผสมสมุนไพรให้แล้วเจ้าค่ะ ให้บ่าวพยุงไปนะเจ้าคะ”ซูเมิ่งพยักหน้ารับคำอย่างว่าง่าย นางรู้สึกล้าเกินจะลืมตาตื่นด้วยซ้ำ แต่ก็รู้ว่าตามธรรมเนียมแล้วตนจะต้องไปไหว้บุพการีของซือหมิง ซูเมิ่งแทบจะอยากไปหักคอของบุรุษน่าตายนามซือหมิงให้ตายคามือเสียเดี๋ยวนี้เลย เมื่อคืนเขารู้ทั้งรู้แท้ ๆว่าไม่ควรเข้

  • เล่ห์รักบุปผาซ่อนพิษ   บทที่ 47 (ต่อ)

    บทที่ 47 (ต่อ)“คุณหนู พร้อมแล้วออกมาได้เลยนะเจ้าคะขบวนของชินหวังใกล้มาถึงแล้วคุณหนูออกมาได้เลยเจ้าค่ะ”ร่างงามระหงเดินตามนางกำนัลเจี่ยงและคนอื่นออกจากห้องนอนเพื่อไปยังโถงจัดงานไม่นานขบวนเสด็จของชินหวังก็หยุดลง ทั้งขุนนาง และทหารรักษาพระองค์ตั้งขบวนจนหางยาวไปไกลลิบตา บนม้าต้นขบวนร่างกำยำงามสง่าในชุดแดงผ่าเผย นัยน์ตานิ่งลึกล้ำยากคาดเดา ยามปรายตาไปทางใดเหล่าบ่าวใช้ที่ติดตามเจ้านายจวนตระกูลไป๋ออกมาต้อนรับต่างเขินหน้าแดงเป็นลูกตำลึง ซือหมิงเหวี่ยงตัวลงจากอานม้าท่าทางงามสง่าเต็มไปด้วยอำนาจแม้วันนี้เขาจะยังคงท่าทาดุดันเข้าถึงยากอยู่แต่หากเป็นคนสนิทของซือหมิงย่อมมองออกมาเจ้านายของพวกเขานั้นนัยน์ตาเปล่งประกายเจิดจ้ากว่าวันใด และริมฝีปากบางนั่นก็หยักยกเล็กน้อยด้วยพอซือหมิงถูกเชิญเข้ามาในจวนเพื่อไปยังห้องโถงกลาง ก็พอดีกับที่นางกำนัลเจี่ยงจูงมือซูเมิ่งซึ่งมีผ้าสีแดงผืนใหญ่ปิดใบหน้าเดินออกมา ขนาดไม่เห็นหน้าตาซือหมิงยังรู้สึกใจเต้นแรงขึ้นมา เขามองเห็นเพียงทรวดทรงและท่าทางการเดินนั่นก็รู้สึกภาคภูมิใจเป็นไหน ๆ พอถึงย้อนไปคราที่เขาพบนางครั้งแรก ท่ามความมืดมิดในค่ำคืนหนึ่งในป่ากว้าง ร่างงามสง่าผิวข

  • เล่ห์รักบุปผาซ่อนพิษ   บทที่ 47

    #####บทที่ 47วันรุ่งขึ้นตื่นขึ้นมาร่างกายของซูเมิ่งก็เริ่มกลับมาปรกติแล้ว ความเจ็บปวดเมื่อตอนก่อนได้รับเทียบยาถอนพิษคลายลง ทำให้ร่างกายซูเมิ่งกลับมามีแรงอีกครา เมื่อคืนตอนที่นางนั่งคุยกับหยางเหวินทำให้ได้รู้ว่าหมอพิษคนที่ท่านหมอจูบอกว่าเป็นหมอกำจัดพิษที่เก่งที่สุดนั้นแท้จริงคืออาจารย์ผู้สอนหยางเหวินนั่นเอง จากคำกล่าวของหยางเหวิน เขาบอกว่าอาจารย์ของเขาผู้นี้รักความสงบมากมักจะเร้นกายไม่ให้คนขอพบได้ง่าย และเนื่องด้วยเขาอายุมากแล้วไม่แข็งแรงกำยำเหมือนสมัยหนุ่ม ๆจึงไม่รับรักษาคนอีก เหมือนว่าหยางเหวินจะคือลูกศิษย์คนสุดท้ายของเขา แต่แม้หยางเหวินจะได้รับการถ่ายทอดวิชาแต่ด้วยประสบการณ์ตรงในความรอบรู้เรื่องพิษต่าง ๆก็ไม่สู้อาจารย์ได้อยู่ดี แต่หยางเหวินอาจสามารถขอให้อาจารย์มารักษาซูเมิ่งได้เป็นกรณีพิเศษ นี่คือเหตุผลที่ซูเมิ่งคุยกับหยางเหวินจนดึกดื่นใครจะไม่ตื่นเต้นเล่าที่พบหนทางกำจัดพิษได้ นางไม่อยากเป็นสตรีอ่อนแออย่างนี้หรอกนะ ซูเมิ่งตื่นขึ้นมาอีกทีก็ยามเว่ยแล้ว ไป๋จื่อนำอาหารอ่อนเข้ามาให้ซูเมิ่งกินถึงหน้าเตียง พอทานเสร็จก็ขอร้องแกมบังคับให้นางนอนพักผ่อนต่ออีก แต่ด้วยความที่นางเพิ่งทานข้าวไป

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status