LOGIN#####บทที่ 8
“เสี่ยวเอ้อ ขอโต๊ะหนึ่ง มุมเงียบ ๆหน่อย”
ชายหนุ่มใบหน้าอ่อนเยาว์เดินเข้ามา รูปร่างบอบบาง ใบหน้าขาวผ่องมีหน้ากากสีขาวเรียบบดบังเสี้ยวใบหน้าบนด้านซ้ายไว้ทำให้ใบหน้าดูโหดระดับหนึ่ง สองมือเรียวยาวกอดอกตน ชุดสีดำเนื้อผ้าปานกลางที่เอวขวามีฝักกริชด้ามไม้เสียบอยู่ มองโดยรวมดูเป็นหนุ่มน้อยท่องยุทธภพคนหนึ่ง
เสี่ยวเอ้อจ้องมองตาค้างตะลึงตะลาน เมื่อครู่เขาเผลอสบสายตาหวานล้ำดั่งน้ำผึ้งของชายท่องยุทธภพตรงหน้า พอได้สติใบหน้าก็ขึ้นสีระเรื่อระคนขัดเขิน
…เมื่อครู่เขาหลงเสน่ห์ผู้ชายหรือเนี่ย บ้ารึ เขาไม่ใช่ชายตัดแขนเสื้อเสียหน่อย
โรงเตี๊ยมแห่งนี้มีขนาดไม่ใหญ่มากไม่ใช่โรงเตี๊ยมขึ้นชื่อของเมืองนี้ ฉะนั้นลูกค้าจึงเป็นชนชั้นล่างจนถึงกลาง และรวมถึงชาวยุทธภพที่ผ่านมาพักจิบน้ำชาระหว่างเดินทาง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นชาวยุทธภพที่หน้าหวานราวกับหญิงสาวขนาดนี้ ไม่ผิดแน่! ชายหนุ่มนัยน์ตาสวยคนนั้นพกอาวุธอย่างคนท่องยุทธภพ ไม่มีทางเป็นคุณชายของตระกูลไหนในเมืองแห่งนี้เพราะเขาไม่คุ้นหน้าเลย
เสี่ยวเอ้อกุลีกุจอเดินนำไปยังโต๊ะในสุดของชั้นล่าง ใช้ผ้าเช็ดโต้ะให้สะอาด เชื้อเชิญลูกค้าของตนนั่ง ก่อนยืนรอรับรายการอาหาร
“ขอหมั่นโถหนึ่ง กับเอ่อ กับ กับผัดเปรี้ยวหวานเนื้อหนึ่ง”
สายตาของชายในชุดดำเอ่ยหลังจากกวาดสายตาไปมองอาหารยังโต๊ะไม่ไกลพอเห็นว่าคืออะไรก็สั่งตามทันที
“ได้ขอรับ รอสักครู่” พูดจบก็วิ่งหายไป
พอเสี่ยวเอ้อไปแล้วนางก็เป่าลมหายใจออกอย่างโล่งอก
…นี่เป็นครั้งแรกเลยที่นางเข้าโรงเตี๊ยมมาสั่งอาหารกินเอง
ถูกต้อง! ชายหนุ่มในชุดดำที่ใบหน้าซ้ายมีหน้ากากสีขาวปิดอยู่คือ ไป๋ซูเมิ่ง!
หลังจากนางวางเพลิงครัวของจวนตระกูลเย่แล้วนางก็หลบหลีกผู้คนไปซ่อนตัวอยู่ในรถเทียมวัวที่บรรทุกเศษผัก และขยะรอตกเย็นซึ่งเป็นเวลาที่บ่าวประจำหน้าที่จะขับออกไปทิ้งของเสียนอกจวน พอรถพ้นประตูจวนออกมาสักพักนางก็ลอบกระโดดออกจากรถ มองหาที่พักได้เป็นโรงเตี๊ยมซอมซ่อแห่งหนึ่ง
เนื่องจากถนนสายประจิมนี้ส่วนใหญ่เป็นที่อยู่ของชนชั้นล่าง มีตั้งแต่ขอทาน ชาวนา พ่อค้า ราคาของที่นี่ถือว่าถูก เหมาะสำหรับคนทรัพย์น้อยอย่างนาง ขอแค่มีที่ให้นอน มีที่ให้อาบน้ำก็เพียงพอสำหรับนางแล้ว ตอนออกจากจวนนอกจากเสื้อชุดที่อยู่บนตัว เงินห้าตำลึงที่ได้จากการขายกำไลทอง และปิ่นทองอีกอันนางก็ไม่ได้เอาอะไรมาอีกเลย พอวันรุ่งขึ้นซูเมิ่งก็ตัดสินใจเข้าร้านขายผ้าซื้อชุดสำเร็จรูปแบบสตรีหนึ่งตัวและชุดบุรุษอีกสองตัว
ในระหว่างทางก่อนมาถึงโรงเตี๊ยมแห่งนี้นางเห็นหน้ากากวางขายก็นึกถึงคุณชายช่างอินเจ้าของใบหน้าสวมหน้ากากจึงเกิดความคิดอยากสวมบ้าง พอนางมองกระจกจากใบหน้าหวานผิวขาวราวหิมะพอมีหน้ากากปิดบังนี่ทำให้ดูเหมือนบุรุษมากขึ้น และช่วยให้นางปกปิดใบหน้าที่แท้จริงของตน เพราะตอนนี้ผื่นเเดงหายไปหมดแล้ว แล้วนางก็ไม่คิดจะทำเพิ่มเพราะนางละทิ้งตัวตนบ่าวชื่อเหมยฮวาให้ตายในกองเพลิงไปแล้ว
ยังดีที่ร่างนี้พอมีข้อดีที่ความสูงหน่อยน่าจะราว ๆบุรุษที่ยังโตไม่เต็มที่ ส่วนพวกส่วนเว้วส่วนโค้งก็พอมีบ้างโตตามวัย นางแค่นำผ้ามาพันรอบอกเล็กน้อย มองรวม ๆซูเมิ่งจึงกลายเป็นหนุ่มน้อยหน้าหวานคนนึง
“ได้แล้วขอรับ”
ผ่านไปไม่เกินหนึ่งเค่อเสี่ยวเอ้อคนเดิมก็กลับพร้อมอาหารในมือกลิ่นหอมฉุย ซูเมิ่งก้มหน้ากินไปพลางสอดสายตาเงี่ยหูฟังที่คนรอบข้างคุยไปด้วย
…วันนี้เป้าหมายที่นางเดินมาที่ถนนทิศบูรพาเพราะอยากมาหางานทำ คิดไว้ว่าวันนี้จะเดินไปเรื่อย ๆสังเกตร้านรวงต่าง ๆเผื่อมีโอกาสดี และถือโอกาสหาข่าวคราวสถานการณ์ปัจจุบันด้วย
พอนางกินจนอิ่ม จ่ายค่าอาหารแล้วจึงเดินออกจากร้าน ถนนฝั่งบูรพาต่างจากถนนทิศประจิมโดยสิ้นเชิง ฝั่งประจิมท้องถนนจะเต็มไปด้วยขอทาน และร้านค้าก็จะเป็นร้านเล็ก ๆ มีลูกค้าปะปราย นางจึงตัดสินใจเดินมาที่ถนนฝั่งนี้แม้จะเสี่ยงเจอคนของตระกูลเย่ แต่นางไม่สนใจเพราะนางเป็นคนใหม่แล้วอย่างไรเล่า
ซูเมิ่งเดินไปสักครู่นางก็เดินไปต่อไม่ได้เพราะเบื้องหน้ามีชาวบ้านมากหน้าหลายตามุงดูบางอย่างอยู่เป็นวงกว้าง พอนางเดินเข้าไปใกล้หน่อยก็เห็นว่าในวงล้อมนั้นมีคนยืนอยู่สามคน หนึ่งชายใส่เสื้อผ้าเนื้อหยาบและอีกสองคนเป็นแม่นาง คนทางขวายืนสงบนิ่งใบหน้าอ่อนโยนแต่หัวคิ้วขมวดมุ่นบุคลิคอย่างคนได้รับการอบรมมาอย่างดี ส่วนอีกคนน่าจะเป็นบ่าวเพราะท่าทางโวยวายและกำลังเถียงกับชายคนเดียวในกลุ่มนั้น
“เจ้าเอาเงินของคุณหนูข้าคืนมาเสียดีดีนะ!!!”
เสียงเเหลมดังขึ้นเป็นครั้งที่เท่าไหร่ไม่รู้ แต่ทำอย่างไรชายตรงหน้าก็ไม่ยอมปล่อยถุงผ้าปักสีชมพูอ่อนในมือเสียที แขนนางข้างหนึ่งก็ถูกคุณหนูของตนเขย่าหลายครั้งเช่นกัน
“ไป๋จื่อ พอเถอะข้าไม่เอาเงินนั้นคืนก็ได้ เดี๋ยวเรื่องใหญ่โต ข้าไม่อยากให้ ‘คนคนนั้น’ รู้นะ”
แม่นางคนสวมชุดชมพูเนื้อผ้าเบาบางเหมาะกับหน้าร้อนเอ่ยเสียงเบา แต่ซูเมิ่งที่อยู่ข้างหลังของทั้งสองกลับบังเอิญได้ยิน
“ไม่ได้เจ้าค่ะคุณหนู นั่นมันเงินของคุณหนูแท้ ๆแต่กลับมีใครที่ไหนไม่รู้มาขโมยไปแถมยังหน้าหนาบอกว่าเป็นของตนเอง คุณหนูยังไม่ได้กินอะไรเลยนะเจ้าคะ”
พอคนที่ถูกกล่าวว่าหน้าหนาได้ยินก็ยังคงกำถุงเงินสีชมพูไว้เเน่น ใบหน้าไร้ร่องรอยความรู้สึกผิดใดใด
“เจ้ามีหลักฐานรึ ว่านี่เงินของพวกเจ้า”
พอซูเมิ่งในคราบชายผู้ท่องยุทธภพได้ยินดังนั้นก็เข้าใจทันทีว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ไม่ว่าใครมองก็รู้ว่าถุงเงินนั้นเป็นของฝ่ายหญิงแต่ก็ไม่มีใครคิดยื่นมือเข้าช่วย ส่วนชายในชุดผ้าเนื้อหยาบก็เหมือนจะรู้เช่นกันว่าชาวบ้านที่มามุงเหล่านี้มักชอบดูเรื่องสนุกแต่ไม่ชอบยุ่งเรื่องของคนอื่น บนใบหน้าของเขาเลยประดับยิ้มระรื่น
“เจ้า เจ้ามันไร้ยางอาย! นั่นมันถุงเงินที่ข้าปักไว้ใช้ชัด ๆ ข้าเดินไปซื้อเซาปิ้ง[6]มาให้คุณหนูยังหยิบเงินออกมาให้พ่อค้าอยู่เลย พอได้เงินทอนข้าก็นับอย่างดีและเก็บใส่ถุงใบนั้น แต่พอเดินกลับมาหาคุณหนูแล้วถูกเจ้าชนเงินก็หายไปแล้ว มันอยู่บนมือเจ้าชัด ๆ”
บ่าวใช้ชี้หน้าชายตรงหน้า มือสั่นด้วยความโกรธ
“มีหลักฐานหรือไม่ว่าถุงนี้เจ้าปัก แล้วก็เงินนี่เป็นของเจ้า มีก็เอาออกมาสิ ฮะฮ่า”
เหล่าคนที่รายล้อมบางคนก็หัวเราะตาม บางคนก็ชวนกันกระซิบด่าชายหน้าหนา แต่ก็ไม่มีใครเข้ามาช่วยหญิงสาวเจ้าของเงินสักคน ซูเมิ่งส่ายหน้าระอากับคนเหล่านนั้น แม้นางไม่ใช่คนดีแต่พอเห็นเพศเดียวกันถูกรังแกกันซึ่งหน้าก็อดร้อนรุ่มในใจไม่ได้
ไวเท่าความคิดเท้าบางก็ก้าวออกไปพร้อมเอ่ยเสียงดัง สายตาทุกคู่มองมายังเจ้าของใบหน้าขาวดั่งหิมะที่มีหน้ากากสีขาวบดบังทันที
“แม่นางทั้งสองพูดไปก็ไร้ประโยชน์ เอาเงินนั้นมาดูก็รู้เองว่าเป็นของใคร”
#####บทส่งท้ายมือหนาควานหาร่างอุ่นนุ่มอย่างที่ทำเป็นประจำทุกวัน ทว่าควานไปพบแต่ความว่างเปล่า สองตาค่อย ๆลืมขึ้น ไฉนวันนี้เขาถึงรู้สึกมึนหัวประหลาดหือ วันนี้เขาตื่นสายหรือ ไยเป็นภรรยาเขาที่ตื่นก่อนได้เล่า นางตื่นแล้วไยไม่เรียกเขาเสียหน่อยล่ะ“ใครอยู่ด้านนอกเข้ามาที”เป็นเย่าถิงที่เดินเข้ามา นางชะงักนิดหน่อยเพราะกลิ่นที่เกิดจากการทำกิจกรรมของสองข้าวใหม่ปลามันคละคลุ้งทั่วห้อง ซึ่งเมื่อคืนพวกนางต่างรู้ดีกว่าเกิดอะไรขึ้นในห้อง เพราะเสียงที่ดังทะลุกำแพงออกมาตลอดคืน“นายหญิงไปไหนหรือ?”เย่าถิงยกคิ้วฉงนก่อนตอบ “ก็ไม่ได้อยู่ในห้องหรอกหรือเพคะ” พูดพลางสอดส่องมองทั่วห้องก็ไม่เห็นคุณหนูของตนจริง จึงขออนุญาตเรียกไป๋จื่อและบ่าวคนอื่น ๆมาถามไถ่ แต่ก็ไม่มีใครพบเห็นเลย พอไม่เจอสตรีที่ตนเรียกหาจึงกลายเป็นเรื่องใหญ่ คนของชินหวังทั่วทั้งจวนต่างกระจายกำลังหาทั่วจวน แต่หานานหลายชั่วยามก็ไม่มีใครพบ“พวกเจ้าดูแลนางอย่างไรนายหญิงออกจากห้องไปไยไม่มีใครเห็น!”บรรยากาศโดยรอบของบุรุษผู้ทรงอำนาจเย็นยะเยือกลามไปทั่วทั้งจวน นัยน์ตาดุดันจ้องมองเขม็งไปที่เหล่าบ่าวใช้ที่คุกเข้าตรงหน้า“หม่อมฉันเฝ้าหน้าห้องตลอดไม่เห็
#####บทที่ 50นับจากวันที่กลับจากไปเยี่ยมจวนตระกูลไป๋ซูเมิ่งก็รอบางอย่างจนสิ่งที่นางรอคอยก็มาถึง ไป๋จื่อเข้ามาหาซูเมิ่งในห้องหนังสือพร้อมปิดประตูแน่น จนในห้องเหลือเพียงซูเมิ่งและไป๋จื่อสองคน“ครานี้ได้เรื่องแล้วเพคะพระชายา”“ว่ามา...”ตามที่ให้ไป๋จื่อออกไปรับเรื่องที่นางให้เป่าต้ง บ่าวบุรุษที่ซูเมิ่งไว้ใจในจวนตระกูลไป๋ทำเรื่องบางอย่างในจวน การมารายงานครานี้ของเป่าต้งนั้นต่างออกไปจากครั้งก่อน ๆแล้ว เรื่องที่ซูเมิ่งกำลังเฝ้าคอยเป็นเรื่องเกี่ยวกับไป๋หย่งคังบิดาของซูเมิ่งเอง ในวันที่นางกลับไปเยี่ยมบ้านนั้นนอกจากซูเมิ่งจะเข้าไปขอพบหย่งคังเป็นการส่วนตัวแล้วนางยังเรียกเป่าต้งเพื่อมอบหมายงานให้ทำด้วยนั่นก็คือ ให้เขาคอยจับตาดูไป๋หย่งคังตลอดทุกฝีก้าวตอนที่อยู่ในจวนไม่เว้นแม้กระทั่งช่วงกลางคืน และให้มารายงานนางทุก ๆสามวัน ในช่วงแรก ๆ สิ่งที่ไป๋หย่งคังทำนั้นซูเมิ่งคิดว่าปรกติทั่วไป แต่พอได้ฟังคำจากเป่าต้งรายงานหลาย ๆคราซูเมิ่งเริ่มสงสัยบางอย่างเข้าให้แล้ว กิจวัตรหนึ่งที่น่าสงสัยคือไป๋หย่งคังมักจะเทียวไปเรือน ๆหนึ่งทุก ๆสองหรือสามวันเสมอและใช้เวลาอยู่ที่นั่นราวสองเค่อ สิ่งที่น่าประหลาดคือเรือนแห่ง
#####บทที่ 49และแล้ววันที่ท่านหมอพิษมาถึงจวนชินหวังก็มาถึง เขาเข้ามาพร้อมกับหยางเหวินเพื่อมาตรวจอาการของซูเมิ่ง “แปลก พระชายาไม่น่ามีพิษชนิดนี้อยู่ในกายได้พะยะค่ะ”หมอพิษพูดพลางลองตรวจสอบพิษอีกรอบผลปรากฎว่าเลือดที่มาจากร่างกายซูเมิ่งนั้นเป็นพิษชนิดที่เขาคิดจริง ๆ“อย่างไรหรือท่านหมอ”ซูเมิ่งเอ่ยถาม นางอยากรู้อย่างที่สุดว่าพิษที่อยู่ในร่างกายนางแต่กำเนิดนั้นคือชนิดใดกันแน่โดยท่านหมอพิษบอกว่าพิษนี้คือพิษที่มีแหล่งกำเนิดจากอาณาจักรชิงจง ซึ่งคืออาณาจักรข้างเคียงที่เป็นศัตรูกับอาณาจักรที่นางอยู่นี้มาช้านานแล้ว โดยพิษนี้เป็นพิษที่หากออกฤทธิ์จะค่อย ๆทำลายอวัยวะทั้งหมดในร่างกาย แต่เงื่อนไขการออกฤทธิ์จะออกฤทธิ์เมื่ออยู่ในกระแสเลือดของบุคคลผู้นั้นนานเป็นเวลาสองปี ซึ่งพิษนี้ไม่ค่อยมีผู้คนนำมาใช้เท่าไหร่นัก แทบไม่มีคนในอาณาจักรนี้รู้จักเลยด้วยซ้ำ แต่สำหรับอาณาจักรชิงจงพิษชนิดนี้จะใช้เฉพาะกับทหารที่ฝึกไว้เพื่อเป็นสายลับเท่านั้น ด้วยเงื่อนไขการออกฤทธิ์นี้ทำให้สามารถใช้เพื่อควบคุมเหล่าทหารยามต้องออกไปปฏิบัติการได้ โดยการให้สายลับทุกคนดื่มพิษชนิดนี้เข้าไปและหากต้องการมีชีวิตต่อเพียงแค่กลับไปที่ฐาน
#####บทที่ 48“คุณหนูเจ้าคะ ตื่นได้แล้วเจ้าค่ะ”เป็นเย่าถิงที่เข้ามาปลุกซูเมิ่งที่กำลังกอดกองผ้าห่มนุ่มด้วยอาการมึนงง นางลืมตามองเย่าถิงอย่างเกียจคร้าน“ข้าขอนอนอีกหน่อยได้หรือไม่”ไม่พูดเปล่าซูเมิ่งปิดเปลือกตาลงอีกครั้ง นางรู้สึกอ่อนเพลีย และปวดเนื้อปวดตัวไปหมดจนไม่อยากขยับเขยื้อน แต่ก็ต้องลืมตาขึ้นอีกครั้งเพราะแขนตัวเองถูกดึงให้ลุกขึ้นและทันทีที่เย่าถิงดึงแขนของซูเมิ่งพ้นผ้าห่มก็ต้องตกใจ นางมองไปยังรอยสีกุหลาบบนผิวขาวผุดผาดของผู้เป็นนายที่ตอนนี้ขึ้นรอยแดงราวถูกแมลงกัดต่อย และยิ่งพอซูเมิ่งเอนตัวขึ้นตามแรงดึงของเย่าถิงแล้วผ้าห่มที่คลุมร่างอยู่ไหลกองลงปิดเพียงเอวยิ่งตระหนกไปใหญ่ ทั้งรอยมือและบางแห่งเกิดเป็นรอยช้ำ เย่าถิงพอนึกถึงว่าที่มารอยพวกนี้มาจากไหนจึงใบหน้าแดงขึ้นลามจนถึงใบหู“ไป๋จื่อเตรียมน้ำอุ่นผสมสมุนไพรให้แล้วเจ้าค่ะ ให้บ่าวพยุงไปนะเจ้าคะ”ซูเมิ่งพยักหน้ารับคำอย่างว่าง่าย นางรู้สึกล้าเกินจะลืมตาตื่นด้วยซ้ำ แต่ก็รู้ว่าตามธรรมเนียมแล้วตนจะต้องไปไหว้บุพการีของซือหมิง ซูเมิ่งแทบจะอยากไปหักคอของบุรุษน่าตายนามซือหมิงให้ตายคามือเสียเดี๋ยวนี้เลย เมื่อคืนเขารู้ทั้งรู้แท้ ๆว่าไม่ควรเข้
บทที่ 47 (ต่อ)“คุณหนู พร้อมแล้วออกมาได้เลยนะเจ้าคะขบวนของชินหวังใกล้มาถึงแล้วคุณหนูออกมาได้เลยเจ้าค่ะ”ร่างงามระหงเดินตามนางกำนัลเจี่ยงและคนอื่นออกจากห้องนอนเพื่อไปยังโถงจัดงานไม่นานขบวนเสด็จของชินหวังก็หยุดลง ทั้งขุนนาง และทหารรักษาพระองค์ตั้งขบวนจนหางยาวไปไกลลิบตา บนม้าต้นขบวนร่างกำยำงามสง่าในชุดแดงผ่าเผย นัยน์ตานิ่งลึกล้ำยากคาดเดา ยามปรายตาไปทางใดเหล่าบ่าวใช้ที่ติดตามเจ้านายจวนตระกูลไป๋ออกมาต้อนรับต่างเขินหน้าแดงเป็นลูกตำลึง ซือหมิงเหวี่ยงตัวลงจากอานม้าท่าทางงามสง่าเต็มไปด้วยอำนาจแม้วันนี้เขาจะยังคงท่าทาดุดันเข้าถึงยากอยู่แต่หากเป็นคนสนิทของซือหมิงย่อมมองออกมาเจ้านายของพวกเขานั้นนัยน์ตาเปล่งประกายเจิดจ้ากว่าวันใด และริมฝีปากบางนั่นก็หยักยกเล็กน้อยด้วยพอซือหมิงถูกเชิญเข้ามาในจวนเพื่อไปยังห้องโถงกลาง ก็พอดีกับที่นางกำนัลเจี่ยงจูงมือซูเมิ่งซึ่งมีผ้าสีแดงผืนใหญ่ปิดใบหน้าเดินออกมา ขนาดไม่เห็นหน้าตาซือหมิงยังรู้สึกใจเต้นแรงขึ้นมา เขามองเห็นเพียงทรวดทรงและท่าทางการเดินนั่นก็รู้สึกภาคภูมิใจเป็นไหน ๆ พอถึงย้อนไปคราที่เขาพบนางครั้งแรก ท่ามความมืดมิดในค่ำคืนหนึ่งในป่ากว้าง ร่างงามสง่าผิวข
#####บทที่ 47วันรุ่งขึ้นตื่นขึ้นมาร่างกายของซูเมิ่งก็เริ่มกลับมาปรกติแล้ว ความเจ็บปวดเมื่อตอนก่อนได้รับเทียบยาถอนพิษคลายลง ทำให้ร่างกายซูเมิ่งกลับมามีแรงอีกครา เมื่อคืนตอนที่นางนั่งคุยกับหยางเหวินทำให้ได้รู้ว่าหมอพิษคนที่ท่านหมอจูบอกว่าเป็นหมอกำจัดพิษที่เก่งที่สุดนั้นแท้จริงคืออาจารย์ผู้สอนหยางเหวินนั่นเอง จากคำกล่าวของหยางเหวิน เขาบอกว่าอาจารย์ของเขาผู้นี้รักความสงบมากมักจะเร้นกายไม่ให้คนขอพบได้ง่าย และเนื่องด้วยเขาอายุมากแล้วไม่แข็งแรงกำยำเหมือนสมัยหนุ่ม ๆจึงไม่รับรักษาคนอีก เหมือนว่าหยางเหวินจะคือลูกศิษย์คนสุดท้ายของเขา แต่แม้หยางเหวินจะได้รับการถ่ายทอดวิชาแต่ด้วยประสบการณ์ตรงในความรอบรู้เรื่องพิษต่าง ๆก็ไม่สู้อาจารย์ได้อยู่ดี แต่หยางเหวินอาจสามารถขอให้อาจารย์มารักษาซูเมิ่งได้เป็นกรณีพิเศษ นี่คือเหตุผลที่ซูเมิ่งคุยกับหยางเหวินจนดึกดื่นใครจะไม่ตื่นเต้นเล่าที่พบหนทางกำจัดพิษได้ นางไม่อยากเป็นสตรีอ่อนแออย่างนี้หรอกนะ ซูเมิ่งตื่นขึ้นมาอีกทีก็ยามเว่ยแล้ว ไป๋จื่อนำอาหารอ่อนเข้ามาให้ซูเมิ่งกินถึงหน้าเตียง พอทานเสร็จก็ขอร้องแกมบังคับให้นางนอนพักผ่อนต่ออีก แต่ด้วยความที่นางเพิ่งทานข้าวไป







