เข้าสู่ระบบ#####บทที่ 7
หลังจากกลับจากเรือนหย่งชางจิตใจนางก็คิดแต่เรื่องการหาหนทางออกจากจวนแห่งนี้ คราแรกนางขอมาอาศัยในจวนเพราะตอนนั้นนางเพิ่งย้อนมายุคโบราณ ทุกอย่างรอบตัวล้วนใหม่ไปหมด ประกอบกับร่างกายนางร่างนี้ไม่แข็งแรงจะให้รอนแรมข้างนอกโดยไร้เงินสักตำลึงนั้นเป็นเรื่องยาก พอเป็นบ่าวในจวนนี้ไปเรื่อย ๆ ค่อยคุ้นเคยขึ้นตอนนี้นางก็พอมีเงินไว้ประทังชีพ และพอจะรู้ว่าเมืองต่าง ๆในชาตินี้มีอะไรบ้าง หากนางยังอาศัยในจวนนี้ต่อไปคงยากจะได้กลับบ้าน วัน ๆได้แต่ขลุกอยู่ในจวน ทำงานในหน้าที่ของตนก็หมดวันแล้ว
…และวันนี้ก็เป็นวันที่ซูเมิ่งจะเริ่มแผนการหนีออกจากจวน นางจะได้รับอิสรภาพเสียที
ซูเมิ่งตื่นเช้าตามปรกติ นางล้างหน้าเสร็จแล้วจึงเดินไปยังห้องครัว งานในห้องครัวจะมีทั้งงานหนักและงานเบา ซึ่งงานหนักที่ว่าคือหน้าที่ก่อเตาไฟที่ใช้ทำกับข้าว ไฟที่ใช้ต้องมีคนคอยดูความแรงของไฟตลอดเวลา เนื่องด้วยตอนนี้เป็นฤดูคิมหันต์อากาศตอนกลางวันจะร้อนอบอ้าวมาก หน้าที่นี้จึงแทบไม่มีใครอยากทำ
ในทุกวันนางมักหาทางเลี่ยงงานก่อไฟเช่นกัน แต่วันนี้ไม่เป็นอย่างนั้น นางรับอาสาเองเสียเลย
สองสามวันที่ผ่านมามีคนทำไฟเกือบไหม้ครัวหลายคราจนทุกคนเห็นเป็นเรื่องปรกติ บ่าวผู้ชายอายุไม่เกินนางที่มาใหม่มักได้รับหน้าที่ก่อไฟ ด้วยความมือใหม่และอากาศที่ร้อนอบอ้าวใครเล่าจะเฝ้ากองไฟได้ตลอดเวลา บ่าวบุรุษผู้นั้นด้วยความเป็นคนใจร้อน ความอดทนต่ำ เฝ้าเตาไฟได้ไม่นานชอบแอบออกไปข้างนอกทำให้ไฟลามอยู่เรื่อยไป แต่ก็ไม่มีอะไรเสียหาย หัวหน้าบ่าวในครัวจึงตำหนิและปล่อยไปทุกครา
…และนั่นก็เป็นตัวจุดประกายเเผนการหนีของนาง
นางจะทำให้ไฟไหม้ครัวและเเสร้งให้ทุกคนคิดว่านางตายในกองไฟ จากนั้นตัวตนของนาง บ่าวที่ชื่อ เหมยฮวาผู้ที่มีใบหน้าน่าเกลียดน่ากลัวก็จะหายไปจากที่นี่
ตอนนี้บ่าวในครัวต่างขะมักเขม้นทำกับข้าวมื้อเช้าในนายในจวน ซูเมิ่งนั่งยองก่อไฟ เหงื่อใสหยดไหลรินเต็มหน้า เหนียวเหนอะหนะแต่มุมปากกลับไม่ไร้รอยยิ้ม
…ทำไงได้ คนมันมีความสุขที่อีกไม่นานจะได้เป็นอิสระอย่างไรเล่า
พอทำโจ๊กเสร็จ บ่าวในครัวจึงได้นั่งพักผ่อน เหลือซูเมิ่งที่ยังคงต้องคุมไฟเพื่อตุ๋นไก่ ที่นางเลือกวันนี้เพราะวันนี้มีตุ๋นไก่เนี่ยเเหละ ในทุกวันไม่จำเป็นต้องคุมไฟตลอดเวลา แต่วันนี้เจ้านายสักคนในเรือนสั่งไว้ล่วงหน้าจึงต้องทำ
“พี่สาวทั้งหลายออกไปสูดอากาศข้างนอกได้นะ เดี๋ยวข้าคอยดูแกงไก่นี้เอง”
ไป๋ซูเมิ่งเอ่ยขึ้นเสียงหวาน ซึ่งพอนางพูดจบบ่าวทั้งหลายก็รีบร้อนเดินเรียงกันออกไปข้างนอกทันทีราวกับรอใครสักคนเอ่ยอยู่แล้ว
…ใครจะอยากอยู่ในครัวอันร้อนอบอ้าวกันเล่า
เห็นในห้องครัวไม่เหลือใคร พอชะโงกหน้าไปดูข้างนอกก็ไร้ผู้คนเช่นกัน หญิงสาวเพียงคนเดียวก็ลุกขึ้นยืน สองมือประคองไม้ติดเปลวไฟไว้
“ขออภัยด้วยครัวตระกูลเย่ ไว้คราวหน้าหากมีโอกาส ข้าจะชดใช้ให้นะ”
พูดจบมือบางก็ปล่อยไม้ติดไฟในมือลง เปลวไฟร้อนระอุโหมลามจากจุดเล็กขยายกว้างขึ้น ใบหน้าเรียวเผยความมากเล่ห์ซ่อนเร้นขัดกับคำพูดก่อนหน้าอย่างยิ่ง
“ไฟไหม้!!! ช่วยด้วย ไฟไหม้!!!"
เสียงตะโกนโหวกเหวกโวยวายดังรอบทิศ ตอนนี้บ่าวทั้งจวนวิ่งวุ่น แต่ละคนที่วิ่งผ่านไปต่างแบกถังบรรจุน้ำคนละใบ
หนิงหลินเร่งฝีเท้าเดินตามบ่าวที่มาแจ้งข่าวว่าไฟไหม้ครัวเล็ก คราแรกนางลมแทบจับพอปรับลมหายใจให้เป็นปรกติได้จึงตามบ่าวมาดู พอนางมาถึงก็เห็นสามีของตนและฮูหยินรองยืนอยู่ก่อนแล้ว ใบหน้าเคร่งขรึมของสามีตนทำเอาหัวใจนางตกวูบไปที่เท้า
“ท่านพี่ ไยกลับมาจวนแต่หัววันเจ้าคะ”
ฮูหยินใหญ่เอ่ยถามสามีเสียงหวานซึ้ง หวังลดอารมณ์คุกกรุ่นบนหน้าสามีให้คลายลง
“ไม่กลับมาเร็วข้าจะเห็นหรือว่าเจ้าดูแลจวนได้ดีเพียงใด!”
ฮูหยินใหญ่ถึงกับผงะ สามีตนปรกติใบหน้าอบอุ่น นี่เป็นหนึ่งในไม่กี่ครั้งที่เห็นเขาโกรธ สาเหตุมาจากครัวของจวนไฟไหม้หรือมีใครใส่สีตีไข่กันแน่ พอคิดได้ดังนั้น ตาเรียวก็เลื่อนมองหญิงสาวในชุดเขียวมรกตที่ยืนข้าง ๆ
ฮูหยินรองมีหรือจะไม่รู้ นางก้าวไปหาสามีของนางหรือก็คือสามีของหนิงหลินก่อนเอ่ยเสียงหวานเสแสร้งเป็นห่วงหญิงอีกนาง
“อย่าว่าพี่หญิงเลยเจ้าค่ะ ไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดไฟไหม้ขึ้นได้ แต่ เอ มิใช่หน้าหนาวแท้ ๆไม่น่าเกิดไฟไหม้ได้นะเจ้าคะ”
พอฮูหยินใหญ่ได้ยินดังนั้นหน้าก็ขึ้นสีเเดงสลับซีด สองมือกำเเน่น
คำพูดของฮูหยินรองดูเหมือนจะช่วยนาง แต่จริงแล้วกลับยิ่งทำให้นางดูแย่กว่าเดิม คำพูดนั้นกล่าวเป็นนัยว่านางดูเเลจวนไม่ดี ไม่สอนสั่งบ่าวไพร่ให้ระวังฟืนไฟ หากเป็นหน้าหนาวอากาศแห้งสิ่งของติดไฟง่ายก็ว่าไปอย่างแต่นี่ฤดูร้อน ฉะนั้นที่ไฟไหม้ครานี้เป็นเพราะนางละเลยนั่นเอง
“ฮูหยินเจ้าคะ ดับไฟหมดได้แล้วเจ้าค่ะ”
บ่าวรับใช้ส่วนตัวของหนิงหลินวิ่งเข้ามารายงาน ใบหน้ามีรอยดำของเขม่าควันติดอยู่
“ครัวส่วนเตาไฟเสียหายมากสุดเจ้าค่ะ ส่วนบริเวณอื่นเสียหายเพียงเล็กน้อย”
นางลอบถอนใจ “เหตุใดเกิดไฟไหม้ที่ครัวได้ ไปเรียกบ่าวที่รับผิดชอบดูเเลครัวนี้มา!”
ไม่นานบ่าวหัวหน้าคนครัวถูกลากเข้ามา ร่างอวบอั๋นสั่นระริก ก้มหน้าแนบพื้น
“บ่าวไม่รู้เรื่องเจ้าค่ะ บ่าวให้นางเหมยฮวาเฝ้าเเกงไก่ที่ตุ๋นไว้ ก่อนออกไปทำงานอย่างอื่นข้างนอก พอกลับมาไฟก็ไหม้แล้วเจ้าค่ะ”
…เหมยฮวารึ ชื่อคุ้นนัก หยางเหวินที่เพิ่งเข้ามาก้มหน้ามองยังบ่าวที่พูดทันที เขาเดินมาหยุดห่างจากฮูหยินใหญ่เพียงสามก้าว
“ไปเรียกนางมา!!”
บ่าวที่หน้าเปื้อนรอยดำตะโกนบอกบ่าวคนอื่นอย่างรู้ใจนาย แต่พอเห็นสีหน้าอึกอักของเหล่าบ่าวดูเเลครัวก็นึกฉงนใจ
“ยังไม่รีบไปเรียกมาอีก!!!”
“เอ่อ นา นาง นางตายแล้วเจ้าค่ะ ไม่มีใครเห็นนางหลังจากนั้น แต่เห็นปิ่นอันนี้ตกอยู่ข้างในเจ้าค่ะ”
พูดพลางยื่นมือเปื้อนรอยดำที่สั่นเทาออกไปข้างหน้า ในมือมีปิ่นเงินตรงปลายมีผีเสื้อห้อย แต่ก่อนบ่าวข้างฮูหยินใหญ่จะรับไปก็มีอีกมือแย่งรับตัดหน้าเสียก่อน
เจ้าของมือก็คือ หยางเหวิน คุณชายใหญ่สกุลเย่นั่นเอง
“มีใครเห็นศพนางหรือไม่”
น้ำเสียงมั่นคงของหยางเหวินดังขึ้น ใครจะรู้ว่าทันทีที่ได้ยินคำพูดนั้นเขาตระหนกเพียงใด
“มะไม่มีเจ้าค่ะ นางเป็นคนเดียวที่อยู่ในครัวเป็นคนสุดท้ายก่อนไฟไหม้ บ่าวคิดว่า ว่า ร่างน่าจะถูกไฟเผาหมดเหลือเพียงปิ่นนี้”
หยางเหวินก้มมองปิ่นในมือด้วยใบหน้าครุ่นคิดแต่ไม่ได้พูดอะไรต่อ
ทางฮูหยินใหญ่ผู้ที่ได้รับหน้าที่ดูเเลความเรียบร้อยในจวนจึงสั่งลงโทษบ่าวที่ดูเเลครัวนี้ตามกฎ พอดับไฟแล้วทุกคนต่างแยกย้าย ส่วนเรื่องที่มีบ่าวรับใช้ตายย่อมปล่อยให้เงียบหายไปไม่มีใครใส่ใจเพียงบ่าวขั้นต่ำคนหนึ่งหรอก
…ผู้เป็นถึงฮูหยินใหญ่ได้เเต่มองตามสามีตนเดินเคียงคู่ไปกับร่างงามในชุดเขียวมรกต ส่วนหยางเหวินก็เดินกลับเรือนไปอย่างเงียบเชียบ
#####บทส่งท้ายมือหนาควานหาร่างอุ่นนุ่มอย่างที่ทำเป็นประจำทุกวัน ทว่าควานไปพบแต่ความว่างเปล่า สองตาค่อย ๆลืมขึ้น ไฉนวันนี้เขาถึงรู้สึกมึนหัวประหลาดหือ วันนี้เขาตื่นสายหรือ ไยเป็นภรรยาเขาที่ตื่นก่อนได้เล่า นางตื่นแล้วไยไม่เรียกเขาเสียหน่อยล่ะ“ใครอยู่ด้านนอกเข้ามาที”เป็นเย่าถิงที่เดินเข้ามา นางชะงักนิดหน่อยเพราะกลิ่นที่เกิดจากการทำกิจกรรมของสองข้าวใหม่ปลามันคละคลุ้งทั่วห้อง ซึ่งเมื่อคืนพวกนางต่างรู้ดีกว่าเกิดอะไรขึ้นในห้อง เพราะเสียงที่ดังทะลุกำแพงออกมาตลอดคืน“นายหญิงไปไหนหรือ?”เย่าถิงยกคิ้วฉงนก่อนตอบ “ก็ไม่ได้อยู่ในห้องหรอกหรือเพคะ” พูดพลางสอดส่องมองทั่วห้องก็ไม่เห็นคุณหนูของตนจริง จึงขออนุญาตเรียกไป๋จื่อและบ่าวคนอื่น ๆมาถามไถ่ แต่ก็ไม่มีใครพบเห็นเลย พอไม่เจอสตรีที่ตนเรียกหาจึงกลายเป็นเรื่องใหญ่ คนของชินหวังทั่วทั้งจวนต่างกระจายกำลังหาทั่วจวน แต่หานานหลายชั่วยามก็ไม่มีใครพบ“พวกเจ้าดูแลนางอย่างไรนายหญิงออกจากห้องไปไยไม่มีใครเห็น!”บรรยากาศโดยรอบของบุรุษผู้ทรงอำนาจเย็นยะเยือกลามไปทั่วทั้งจวน นัยน์ตาดุดันจ้องมองเขม็งไปที่เหล่าบ่าวใช้ที่คุกเข้าตรงหน้า“หม่อมฉันเฝ้าหน้าห้องตลอดไม่เห็
#####บทที่ 50นับจากวันที่กลับจากไปเยี่ยมจวนตระกูลไป๋ซูเมิ่งก็รอบางอย่างจนสิ่งที่นางรอคอยก็มาถึง ไป๋จื่อเข้ามาหาซูเมิ่งในห้องหนังสือพร้อมปิดประตูแน่น จนในห้องเหลือเพียงซูเมิ่งและไป๋จื่อสองคน“ครานี้ได้เรื่องแล้วเพคะพระชายา”“ว่ามา...”ตามที่ให้ไป๋จื่อออกไปรับเรื่องที่นางให้เป่าต้ง บ่าวบุรุษที่ซูเมิ่งไว้ใจในจวนตระกูลไป๋ทำเรื่องบางอย่างในจวน การมารายงานครานี้ของเป่าต้งนั้นต่างออกไปจากครั้งก่อน ๆแล้ว เรื่องที่ซูเมิ่งกำลังเฝ้าคอยเป็นเรื่องเกี่ยวกับไป๋หย่งคังบิดาของซูเมิ่งเอง ในวันที่นางกลับไปเยี่ยมบ้านนั้นนอกจากซูเมิ่งจะเข้าไปขอพบหย่งคังเป็นการส่วนตัวแล้วนางยังเรียกเป่าต้งเพื่อมอบหมายงานให้ทำด้วยนั่นก็คือ ให้เขาคอยจับตาดูไป๋หย่งคังตลอดทุกฝีก้าวตอนที่อยู่ในจวนไม่เว้นแม้กระทั่งช่วงกลางคืน และให้มารายงานนางทุก ๆสามวัน ในช่วงแรก ๆ สิ่งที่ไป๋หย่งคังทำนั้นซูเมิ่งคิดว่าปรกติทั่วไป แต่พอได้ฟังคำจากเป่าต้งรายงานหลาย ๆคราซูเมิ่งเริ่มสงสัยบางอย่างเข้าให้แล้ว กิจวัตรหนึ่งที่น่าสงสัยคือไป๋หย่งคังมักจะเทียวไปเรือน ๆหนึ่งทุก ๆสองหรือสามวันเสมอและใช้เวลาอยู่ที่นั่นราวสองเค่อ สิ่งที่น่าประหลาดคือเรือนแห่ง
#####บทที่ 49และแล้ววันที่ท่านหมอพิษมาถึงจวนชินหวังก็มาถึง เขาเข้ามาพร้อมกับหยางเหวินเพื่อมาตรวจอาการของซูเมิ่ง “แปลก พระชายาไม่น่ามีพิษชนิดนี้อยู่ในกายได้พะยะค่ะ”หมอพิษพูดพลางลองตรวจสอบพิษอีกรอบผลปรากฎว่าเลือดที่มาจากร่างกายซูเมิ่งนั้นเป็นพิษชนิดที่เขาคิดจริง ๆ“อย่างไรหรือท่านหมอ”ซูเมิ่งเอ่ยถาม นางอยากรู้อย่างที่สุดว่าพิษที่อยู่ในร่างกายนางแต่กำเนิดนั้นคือชนิดใดกันแน่โดยท่านหมอพิษบอกว่าพิษนี้คือพิษที่มีแหล่งกำเนิดจากอาณาจักรชิงจง ซึ่งคืออาณาจักรข้างเคียงที่เป็นศัตรูกับอาณาจักรที่นางอยู่นี้มาช้านานแล้ว โดยพิษนี้เป็นพิษที่หากออกฤทธิ์จะค่อย ๆทำลายอวัยวะทั้งหมดในร่างกาย แต่เงื่อนไขการออกฤทธิ์จะออกฤทธิ์เมื่ออยู่ในกระแสเลือดของบุคคลผู้นั้นนานเป็นเวลาสองปี ซึ่งพิษนี้ไม่ค่อยมีผู้คนนำมาใช้เท่าไหร่นัก แทบไม่มีคนในอาณาจักรนี้รู้จักเลยด้วยซ้ำ แต่สำหรับอาณาจักรชิงจงพิษชนิดนี้จะใช้เฉพาะกับทหารที่ฝึกไว้เพื่อเป็นสายลับเท่านั้น ด้วยเงื่อนไขการออกฤทธิ์นี้ทำให้สามารถใช้เพื่อควบคุมเหล่าทหารยามต้องออกไปปฏิบัติการได้ โดยการให้สายลับทุกคนดื่มพิษชนิดนี้เข้าไปและหากต้องการมีชีวิตต่อเพียงแค่กลับไปที่ฐาน
#####บทที่ 48“คุณหนูเจ้าคะ ตื่นได้แล้วเจ้าค่ะ”เป็นเย่าถิงที่เข้ามาปลุกซูเมิ่งที่กำลังกอดกองผ้าห่มนุ่มด้วยอาการมึนงง นางลืมตามองเย่าถิงอย่างเกียจคร้าน“ข้าขอนอนอีกหน่อยได้หรือไม่”ไม่พูดเปล่าซูเมิ่งปิดเปลือกตาลงอีกครั้ง นางรู้สึกอ่อนเพลีย และปวดเนื้อปวดตัวไปหมดจนไม่อยากขยับเขยื้อน แต่ก็ต้องลืมตาขึ้นอีกครั้งเพราะแขนตัวเองถูกดึงให้ลุกขึ้นและทันทีที่เย่าถิงดึงแขนของซูเมิ่งพ้นผ้าห่มก็ต้องตกใจ นางมองไปยังรอยสีกุหลาบบนผิวขาวผุดผาดของผู้เป็นนายที่ตอนนี้ขึ้นรอยแดงราวถูกแมลงกัดต่อย และยิ่งพอซูเมิ่งเอนตัวขึ้นตามแรงดึงของเย่าถิงแล้วผ้าห่มที่คลุมร่างอยู่ไหลกองลงปิดเพียงเอวยิ่งตระหนกไปใหญ่ ทั้งรอยมือและบางแห่งเกิดเป็นรอยช้ำ เย่าถิงพอนึกถึงว่าที่มารอยพวกนี้มาจากไหนจึงใบหน้าแดงขึ้นลามจนถึงใบหู“ไป๋จื่อเตรียมน้ำอุ่นผสมสมุนไพรให้แล้วเจ้าค่ะ ให้บ่าวพยุงไปนะเจ้าคะ”ซูเมิ่งพยักหน้ารับคำอย่างว่าง่าย นางรู้สึกล้าเกินจะลืมตาตื่นด้วยซ้ำ แต่ก็รู้ว่าตามธรรมเนียมแล้วตนจะต้องไปไหว้บุพการีของซือหมิง ซูเมิ่งแทบจะอยากไปหักคอของบุรุษน่าตายนามซือหมิงให้ตายคามือเสียเดี๋ยวนี้เลย เมื่อคืนเขารู้ทั้งรู้แท้ ๆว่าไม่ควรเข้
บทที่ 47 (ต่อ)“คุณหนู พร้อมแล้วออกมาได้เลยนะเจ้าคะขบวนของชินหวังใกล้มาถึงแล้วคุณหนูออกมาได้เลยเจ้าค่ะ”ร่างงามระหงเดินตามนางกำนัลเจี่ยงและคนอื่นออกจากห้องนอนเพื่อไปยังโถงจัดงานไม่นานขบวนเสด็จของชินหวังก็หยุดลง ทั้งขุนนาง และทหารรักษาพระองค์ตั้งขบวนจนหางยาวไปไกลลิบตา บนม้าต้นขบวนร่างกำยำงามสง่าในชุดแดงผ่าเผย นัยน์ตานิ่งลึกล้ำยากคาดเดา ยามปรายตาไปทางใดเหล่าบ่าวใช้ที่ติดตามเจ้านายจวนตระกูลไป๋ออกมาต้อนรับต่างเขินหน้าแดงเป็นลูกตำลึง ซือหมิงเหวี่ยงตัวลงจากอานม้าท่าทางงามสง่าเต็มไปด้วยอำนาจแม้วันนี้เขาจะยังคงท่าทาดุดันเข้าถึงยากอยู่แต่หากเป็นคนสนิทของซือหมิงย่อมมองออกมาเจ้านายของพวกเขานั้นนัยน์ตาเปล่งประกายเจิดจ้ากว่าวันใด และริมฝีปากบางนั่นก็หยักยกเล็กน้อยด้วยพอซือหมิงถูกเชิญเข้ามาในจวนเพื่อไปยังห้องโถงกลาง ก็พอดีกับที่นางกำนัลเจี่ยงจูงมือซูเมิ่งซึ่งมีผ้าสีแดงผืนใหญ่ปิดใบหน้าเดินออกมา ขนาดไม่เห็นหน้าตาซือหมิงยังรู้สึกใจเต้นแรงขึ้นมา เขามองเห็นเพียงทรวดทรงและท่าทางการเดินนั่นก็รู้สึกภาคภูมิใจเป็นไหน ๆ พอถึงย้อนไปคราที่เขาพบนางครั้งแรก ท่ามความมืดมิดในค่ำคืนหนึ่งในป่ากว้าง ร่างงามสง่าผิวข
#####บทที่ 47วันรุ่งขึ้นตื่นขึ้นมาร่างกายของซูเมิ่งก็เริ่มกลับมาปรกติแล้ว ความเจ็บปวดเมื่อตอนก่อนได้รับเทียบยาถอนพิษคลายลง ทำให้ร่างกายซูเมิ่งกลับมามีแรงอีกครา เมื่อคืนตอนที่นางนั่งคุยกับหยางเหวินทำให้ได้รู้ว่าหมอพิษคนที่ท่านหมอจูบอกว่าเป็นหมอกำจัดพิษที่เก่งที่สุดนั้นแท้จริงคืออาจารย์ผู้สอนหยางเหวินนั่นเอง จากคำกล่าวของหยางเหวิน เขาบอกว่าอาจารย์ของเขาผู้นี้รักความสงบมากมักจะเร้นกายไม่ให้คนขอพบได้ง่าย และเนื่องด้วยเขาอายุมากแล้วไม่แข็งแรงกำยำเหมือนสมัยหนุ่ม ๆจึงไม่รับรักษาคนอีก เหมือนว่าหยางเหวินจะคือลูกศิษย์คนสุดท้ายของเขา แต่แม้หยางเหวินจะได้รับการถ่ายทอดวิชาแต่ด้วยประสบการณ์ตรงในความรอบรู้เรื่องพิษต่าง ๆก็ไม่สู้อาจารย์ได้อยู่ดี แต่หยางเหวินอาจสามารถขอให้อาจารย์มารักษาซูเมิ่งได้เป็นกรณีพิเศษ นี่คือเหตุผลที่ซูเมิ่งคุยกับหยางเหวินจนดึกดื่นใครจะไม่ตื่นเต้นเล่าที่พบหนทางกำจัดพิษได้ นางไม่อยากเป็นสตรีอ่อนแออย่างนี้หรอกนะ ซูเมิ่งตื่นขึ้นมาอีกทีก็ยามเว่ยแล้ว ไป๋จื่อนำอาหารอ่อนเข้ามาให้ซูเมิ่งกินถึงหน้าเตียง พอทานเสร็จก็ขอร้องแกมบังคับให้นางนอนพักผ่อนต่ออีก แต่ด้วยความที่นางเพิ่งทานข้าวไป







