ปิยาพัชรพยายามครุ่นคิดหาทางเอาตัวรอดจากเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ แล้วคำพูดพี่สาวก็แว่วเข้าหูมา แล้วถึงจะไม่แน่ใจว่าคำพูดหวานๆ และท่าทางเอียงอายมีจริตที่พี่สาวแนะนำนั้นจะใช้ได้กับชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าหรือเปล่า แต่ยังไงก็ดีกว่าไม่ได้ลองดู
ใบหน้าสวยค่อยๆ แปรเปลี่ยนจากตื่นตระหนกและซีดเผือดเป็นยิ้มหวานและเอียงอาย มือเล็กค่อยๆ ลากไล้ไปตามแขนใหญ่อย่างกึ่งกล้ากึ่งกลัว หัวใจเต้นแรงและเร็วเหมือนกับจะทะลุออกจากอก ริมฝีปากขบเม้มจนแทบจะห้อเลือด ในดวงตาเปล่งประกายเหมือนเป็นมีดแหลมคมบาดลงไปบนกายใหญ่
“อยากอยู่กับมัดหมี่ ทำไมคุณถึงไม่ยอมแนะนำตัวและก็คุยกันดีๆ ล่ะค่ะ ทำแบบนี้มัดหมี่ตกใจ...อาจถึงขั้นเกลียดและกลัวคุณไปเลยก็ได้นะคะ”
คิ้วคมเข้มเลิกขึ้นสูง เมื่อเห็นสาวน้อยที่เคยหวาดกลัวเปลี่ยนท่าทีกะทันหัน แต่ด้วยความจัดเจนก็ให้รู้ว่าหญิงสาวข่มความอายและกลัวไว้ภายใน ดึงเอาความกล้ามาต่อสู้กับเขา ปลายนิ้วยาวใหญ่ลากไล้ไปตามใบหน้าเนียนนุ่ม และหยุดบนเรียวปากอิ่มเต็ม
“เอาไว้เราค่อยไปรู้จักกันตอนที่อยู่ในห้องแล้วไม่ได้หรือไง ถึงตอนนั้นฉันชื่ออะไรเธอคงจะไม่ค่อยอยากสนใจก็ได้มั้ง ในเมื่อ...” ฟารฮานทอดเสียงยาวนุ่มทุ้ม ปลายนิ้วลากไล้ไปบนเรือนกายนุ่มแผ่วเบาและนุ่มนวล “ระหว่างเรามีอะไรให้ทำมากกว่าจะมาแนะนำตัวกัน” มือใหญ่ขยับไล้วนเวียนลงไปตามลำตัว แล้วหยุดตรงหน้าท้องแบนราบเรียบ
ถึงจะมีผ้าเนื้อนุ่มขวางกั้นอยู่ แต่ก็ไม่ได้ทำให้ความร้อนผ่าวจากมือใหญ่ที่ขยับไล้ลดน้อยลง ปิยาพัชรถึงกับขนลุกซู่ จะถอยหนีก็ไม่ได้เพราะติดผนังห้องแล้ว หรือจะขยับไปทางซ้ายและขวาก็ยังติดร่างหนาใหญ่ที่กางกั้นเอาไว้ทุกทาง ขาเรียวยาวสั่นเทาเมื่อมือใหญ่ขยับเข้าไปใกล้จุดสงวนเรื่อยๆ มือเล็กเรียวรีบยื่นไปจับแขนใหญ่ไว้ พร้อมกับค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออกจากปอดช้าๆ
“มะ...ไม่ดีค่ะ” ปิยาพัชรข่มกลั้นน้ำเสียงสั่นเทา พยายามเรียกรอยยิ้มให้เกิดขึ้นบนใบหน้า
“ถึงตอนนั้นมัดหมี่จะมั่นใจได้ไงกันล่ะว่า คนที่อยู่ด้วยมี่ตอนนี้และคนที่อยู่ด้วยในห้องจะเป็นคนเดียวกัน คุณ...แนะนำชื่อให้มัดมี่รู้จักก่อนไม่ได้หรือคะ” เข่ามนค่อยๆ ย่อลงอย่างช้าๆ มือก็พยายามยื่นไปควานหาชั้นในที่ตกหล่นอยู่ใกล้ๆ กับปลายเท้า ใบหน้าก็เบือนหนีจมูกโด่งคมที่โน้มลงมา จึงกลายเป็นว่าริมฝีปากหนาร้อนที่จะประทับบนริมฝีปากนุ่ม ประทับลงไปบนบ่ากว้างแทน
“ถ้าเธออยากให้เป็นคนเดียวกัน เธอก็เดินตามฉันไปทั่วทั้งงานซิมัดหมี่ รับรองได้ว่า คนที่อยู่กับเธอตอนนี้กับคนที่จะอยู่กับเธอบนเตียงเป็นคนเดียวกันแน่นอน” เพราะรู้ว่าปิยาพัชรกำลังทำอะไร ฟารฮานจึงยอมเล่นด้วย ร่างหนาใหญ่ถอยออกมาเล็กน้อย มือควานหาบราตัวเล็กที่กองอยู่บนพื้นขึ้นมาชูสูงๆ
“หานี่อยู่หรือมัดหมี่”
แขนเรียวยาวรีบคว้าชั้นในตัวน้อยจากมือใหญ่ แต่เหมือนกับเป็นการแกล้ง แขนหนาขยับขึ้นสูงจนร่างบอบบางถลาจมหายไปในอ้อมอกกว้าง จนหูได้ยินเสียงหัวใจชายหนุ่มเต้น ใบหน้าขาวสวยเห่อแดงขึ้นอย่างรวดเร็ว มือก็รีบยันตัวออกจากอ้อมอกกว้าง แต่เมื่อชายหนุ่มไม่ยินยอมแขนใหญ่โอบรัดร่างบอบบางแน่นขึ้นเสียอีก
“หืม...อยากอยู่กับฉันจนอดใจรอให้งานเลิกไม่ไหวเชียวหรือมัดหมี่ ได้จ้ะสาวน้อย งั้นเราไปเปิดห้องกันเลยนะ” ฟารฮานถามพร้อมเสียงหัวเราะ
ใบหน้าคมโน้มลงประทับจุมพิตบางเบาเหมือนกับผีเสื้อดมดอมหาน้ำหวานจากดอกไม้งาม มือใหญ่ตวัดแผ่วพลิ้วไปหาบัวตูมเต่งตึง ยามที่กดน้ำหนักมือลงไปมันก็ตอบสนองกลับมาอย่างรวดเร็วทันควัน ปลายนิ้วยาวลากไล้วนเวียนรอบป้านบัว กดคลึงเบาๆ ให้กายสาวน้อยสั่นสะท้านและชินกับกายใหญ่ เมื่อถึงตอนที่สองร่างแนบชิดกันสาวน้อยมัดหมี่จะได้ไม่เขินอายที่จะแสดงความรักตอบ
ริมฝีปากอวบอิ่มขบเม้ม สะกดกลั้นความอายและโกรธที่โอบล้อมรอบเรือนกาย ทำไมผู้ชายคนนี้ถึงได้หน้าด้านหน้าทนและน่ารังเกียจเหลือเกิน นึกว่าผู้หญิงเหมือนกันทุกคนหรือไง เสียดายจริงๆ ถ้าพี่มัดหวายมาด้วยก็ดี จะได้ชกให้หน้าหงายไปเลย สองมือเรียวกำแน่น ลมหายใจหญิงสาวหอบแรงอย่างพยายามสะกดกลั้นอารมณ์โกรธและตกใจไว้ภายใน
“เปล่าเสียหน่อย มัดหมี่แค่อยากได้นั่นคืน คุณคืนให้นะคะ แล้วเอ่อ...ป่านนี้เพื่อนมัดหมี่คงจะรอนานและออกตามหาแล้ว ขอมัดหมี่ไปหาเพื่อนแล้วเราก็เข้าไปคุยกันในงานดีกว่าไหมคะ”
“ก็ช่างซิ ฉันไม่เห็นจะสนใจเลย” เรื่องอะไรจะยอมปล่อยแม่มัดหมี่เนื้อหวานไปง่ายๆ ล่ะ กว่าจะมีโอกาสอยู่ด้วยกันสองต่อสองก็ยากอยู่แล้ว ปล่อยให้เข้าไปนั่งในงานก็เป็นเป้าสายตาคนอีกนะซิ ไม่ดีกว่า อยู่แบบนี้แหละดีแล้ว นึกอยากกอดก็กอดได้ อยากจูบแนบชิดเท่าไหร่ก็ทำได้
“คุณพูดแบบนี้ไม่ดีเลยนะคะ คุณไม่เห็นใจมัดหมี่เลย ขนาดเจอกันครั้งแรกคุณก็ลวนลามกันเสียแล้ว ชื่อก็ไม่ยอมบอกให้รู้” น้ำตาอุ่นร้อนเอ่อล้นคลอเบ้า ค่อยๆ เบือนหน้าหนีไปอีกทาง แล้วพูดจาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาอย่างตัดพ้อต่อว่า “มัดหมี่จะรู้ได้ยังไง คุณจริงใจกับมัดหมี่ ไม่ได้หลอกฟันแล้วทิ้ง”
ช่างพูดจริงๆ นะมัดหมี่ แต่ขอโทษนะสาวน้อย เพราะฉันไม่หลงกลเธอง่ายๆ หรอก
ฟารฮานยิ้มเล็กน้อยที่มุมปาก ยอมลดมือลง ส่งชั้นในตัวเล็กให้หญิงสาวได้ใส่ แต่ถ้าจะให้ใส่เฉยๆ ก็คงจะง่ายไปหน่อย ยามที่มือเล็กและสั่นเทาพยายามติดตะขอเสื้อ ปลายนิ้วยาวใหญ่กลับลากไล้กดคลึงปทุมถันอิ่มเต็มแรงๆ
“อันนี้ฉันก็บอกไม่ได้หรอกนะมัดหมี่ เพราะมันขึ้นอยู่กับการทำตัวมากกว่า จะเป็นผู้หญิงแบบไหนกัน จู้จี้ขี้บ่น ทำตัวไร้สาระ หรือว่าจะเป็นคนน่ารัก เอาอกเอาใจเก่งและลีลาบนเตียงเยี่ยมยอด”
ปิยาพัชรเกือบจะส่งเสียงกรีดร้องออกมาด้วยความโกรธ จิกปลายเล็บลงไปบนผิวเนื้อ ลมหายใจหอบแรง ริมฝีปากขบเม้มจนห้อเลือด แต่ก็รีบดึงสติกลับมาโดยไว มือเล็กพยายามดึงซิปตัวเสื้อขึ้นสูง แต่ก็เหมือนกับโชคร้ายเกิดขึ้นมาอีกแล้ว เมื่อซิปกลับกินเข้าไปในเนื้อผ้าจนรูดไม่ขึ้น ถ้าดึงแรงไปก็กลัวผ้าจะขาด แต่ถ้าปล่อยแบบนี้คนอื่นๆ ก็ต้องเห็น
โอ๊ย!! มันจะอะไรหนักหนานะวันนี้ ทำไมมีแต่เรื่องซวยทั้งวันเลยวุ้ย
“พาหม่อมฉันกลับมาอีกทำไม หม่อมฉันไม่อยากเห็นหน้าคนใจร้าย คนหลอกลวง”“ถ้าไม่ใจร้ายและหลอกลวงอีก จะอยู่ด้วยไหมล่ะ” น้ำเสียงนุ่มทุ้มและเว้าวอนทำเอาคนที่พยายามจะใจแข็งถึงกับสั่นระรัว ด้วยรู้ชะตาตัวเองดีตั้งแต่ถูกจับได้นั่นแหละว่าอาจหนีไม่พ้นอ้อมแขนใหญ่นี้ไปตลอดชีวิต“จะรู้ได้ไง พระองค์จะไม่หลอกหม่อมฉันอีก ทั้งพี่ทั้งน้องช่างวางแผนและเจ้าเล่ห์เหลือเกินนี่”“ใช้หัวใจแลกหัวใจไง”“เชอะ...คนอย่างองค์นาสเซอร์ ประมุขผู้ครองแคว้นซัลจาร์บาเมีย ชายหนุ่มที่มีผู้หญิงนับสิบอ๋อ...นับร้อยมากกว่าคอยถวายตัวเป็นข้ารองบาทน่ะหรือจะยอมหยุดอยู่ที่ผู้หญิงอย่างหม่อมฉันเพียงคนเดียว เชื่อตายละ” กัญญาพัชรยังคงปากแข็งแม้ใจจะยอมผ่อนตามไปเกือบจะครึ่งแล้ว“อ้าว...ทำไมล่ะ เราแตกต่างกับชายหนุ่มคนอื่นอย่างไร ถึงจะหยุดอยู่ที่ผู้หญิงเพียงคนเดียวไม่ได้น่ะ ผู้หญิงไม่ใช่สิ่งสำคัญเสมอไปในชีวิตนะมัดหวาย สำหรับเราเมื่อเราพบคนที่ใช่ เราก็พร้อมที่จะหยุดทุกอย่างไว้ที่เธอคนนั้นเพียงคนเดียว และตอนนี้เราก็คิดว่าเราพบนางคนนั้นของเราแล้ว”หัวใจดวงน้อยเต้นตึกตักๆ ไม่เป็นจังหวะ นาสเซอร์หมายถึงเธอใช่ไหม ‘ไม่นะมัดหวาย แกอย่าลืมซิว่าเขาหลอกลว
“ไม่ใช่หรอกมัดหมี่ ถ้าเพียงแค่ความต้องการของผู้ชายคนหนึ่ง ฉันว่าเขาไม่ทำถึงขนาดนี้หรอก” ใบหน้าคมคร้ามแต่งแต้มด้วยรอยยิ้ม มือใหญ่จับมือเล็กเรียวมาวางบนแผงอกกว้างตรงที่มีหัวใจกำลังเต้นอยู่“สิ่งที่ฉันทำด้วยความเจ้าเล่ห์และร้ายกาจก็จริง แรกเริ่มมาจากเพียงแค่ความปรารถนาก็จริง แต่สิ่งหนึ่งนับจากวันแรกที่ฉันได้ครอบครองความบริสุทธิ์ของสาวน้อยคนนั้น มันเป็นคำสั่งมาจากหัวใจทั้งสิ้น” สองมือใหญ่จับรั้งใบหน้าขาวสวยให้จ้องเข้าไปในดวงตาคมกริบ“ฉันอยากจะบอกให้มัดหมี่รู้เหมือนกัน ฉัน...รัก...มัดหมี่”ปิยาพัชรแทบไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน ดวงตากลมโตเบิกกว้าง ริมฝีปากอ้าค้าง หากว่าไม่ถูกจับรั้งไว้ศีรษะทุยคงจะส่ายบอกว่าไม่เชื่อและไม่จริง แต่คำพูดที่หนักแน่น ดวงตาที่มั่นคงดุจดังภูเขาหินที่ไม่อาจพังทลายลงมาได้ ไม่ว่าจะเจอพายุร้ายเพียงใดเป็นคำตอบที่ชัดเจน และที่สำคัญคือหัวใจของเธอมันก็เลือกที่จะเชื่อคำพูดนั้นซะด้วยสองแขนเรียวโอบรอบกายแข็งแกร่ง “จริงๆ นะคะ คุณฟารฮานพูดจริงๆ นะคะ ไม่ได้หลอกให้มัดหมี่ดีใจเล่นนะคะ”“จริงซิ ฉันจะโกหกมัดหมี่ทำไมล่ะ เพราะรัก ฉันเลยต้องวางแผนการร้ายทุกอย่าง เพื่อส่งแม่สาวจอมหว
“แสดงว่าพวกนายรู้แผนการของเราทุกอย่างเลยใช่ไหม แล้วรู้ได้ยังไง รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วทำไมถึงไม่ขัดขวางตั้งแต่ต้น”“เอาเป็นว่าฉันจะเล่าให้เธอฟังวันหลังนะ แต่วันนี้ขอฉันลงโทษคนที่ทำให้ใจเสียก่อนละกัน”ใบหน้าขาวสวยแย้มยิ้ม ดวงตาเป็นประกายพราวระยับ สองแขนเรียวยกขึ้นโอบรอบลำคอแกร่ง “เสียใจด้วยนะอินซอฟ เผอิญว่าวันนี้เครื่องซักผ้ามันดันเกิดแอ๊กซิเดนท์ ทำงานไม่ได้อ่ะ”จันฑีราหัวเราะคิกคักชอบอกชอบใจ ยิ่งได้เห็นใบหน้าเสียอารมณ์ของอินซอฟก็ยิ่งอยากแกล้งยั่วเย้าให้หนักขึ้นอีก แต่รู้ดีว่าเมื่อไหร่ที่เธอหายจากสิ่งที่เป็นอยู่ ย่อมจะต้องถูกเขาเอาคืนจนอาจจะลุกจากเตียงไม่ได้เพราะความเพลียมือเล็กจับแขนใหญ่วางยาวแนบไปกับพื้นเตียง พร้อมกับวางศีรษะลงไปนอนหนุน อีกมือก็จับแขนใหญ่มาพาดรอบเรือนกายเล็ก กายบางขยับจนแนบชิดกับเรือนกายใหญ่ นับจากวันนี้ชีวิตที่เคยมีเคยอยู่คนเดียวได้มีชายหนุ่มคนหนึ่งเข้ามาเติมเต็มด้วยความรักและความอบอุ่น“ขอบใจนะอินซอฟที่รักฉัน เมื่อก่อนที่ฉันเคยทำร้ายและทำไม่ดีกับนายไว้ ขอให้นายยกโทษและให้อภัยฉันด้วยนะ ฉันสัญญาว่าต่อไปนี้ฉันจะทำตัวดีๆ และรักนายให้มากที่สุดเท่าที่ผู้หญิงคนหนึ่งจะทำ
“จะไปไหนล่ะมัดหมี่...” แขนแข็งแกร่งสอดเข้าระหว่างเอวเล็กคอดและดึงเข้าหาตัว ศีรษะทุยโน้มลงกระซิบเบาๆ ข้างใบหูนุ่ม น้ำเสียงกึ่งกระเซ้าและยั่วเย้า“รู้ไหมว่าโทษของคนที่คิดหนีฉันน่ะมันร้ายแรงมากนะ”“ปล่อยน้องสาวฉันนะนายฟารฮาน” แม้จะห้อยต่องแต่งอยู่บนร่างสูงใหญ่ แต่กัญญาพัชรก็ไม่วายส่งเสียงแว้ดๆ ใส่ฟารฮาน สองมือยันแผ่นหลังกว้างเพื่อจะได้นำเอาตัวเองลงไปขัดขวาง“ฉันว่าเธอเอาตัวให้รอดพ้นจากพี่ชายฉันก่อนดีกว่านะมัดหวาย ก่อนที่จะมาช่วยเหลือคนอื่นเขาน่ะ” ฟารฮานตอบกลับด้วยน้ำเสียงยิ้มๆ คิ้วคมเข้มข้างหนึ่งเลิกขึ้นสูงเป็นจังหวะ“ไปกันเถอะมัดหมี่ เรามีเรื่องที่จะต้องคุยเหมือนกัน”“ว้าย!!” สองแขนเรียวโอบรอบลำคอแกร่งอย่างรวดเร็ว เมื่อร่างกายลอยขึ้นจากพื้นอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว “ทำอะไรก็ไม่รู้คุณฟารฮานน่ะ”“ก็พาคนที่กล้าหนีฉันไปลงโทษไง” ใบหน้าคมโน้มลงจนจมูกโด่งคมประชิดติดแก้มนุ่ม“บ้า...” ปิยาพัชรส่งค้อนให้คนพูดวงโตด้วยความอบอุ่นในหัวใจ เพราะฟังจากน้ำเสียงฟารฮานไม่ได้โกรธเคืองเธอแม้แต่น้อยนิด อาจมีน้อยใจบ้าง แต่ถ้าอธิบายให้ฟังเขาก็พร้อมที่จะเข้าใจ“โว้ย...ปล่อยฉันนะคนบ้า คนเฮ็งซวย ไอ้ผู้ชายเส็งเคร็ง รัง
ยามราตรีที่ท้องฟ้ามีแสงดาวส่องนำทาง สามร่างเดินตามกันไปอย่างรีบเร่ง โดยมีร่างสูงโปร่งเดินนำและร่างบอบบางอีกสองร่างเดินตามไปติดๆ ศีรษะทุยสอดส่ายเหลียวซ้ายแลขวา ทุกย่างก้าวเต็มไปด้วยความระมัดระวัง ถึงแม้จะรู้ว่าคืนนี้นาสเซอร์ ฟารฮาน และอินซอฟกำลังอยู่ร่วมการประชุมในการกำหนดนโยบายของแคว้นว่าจะให้เดินไปในทิศทางใดหลังจากนี้ แต่ใครจะรู้เล่าเกิดว่าคนหนึ่งคนใดเกิดสงสัยในพฤติกรรมลับๆ ล่อๆ และกระซิบกระซาบที่เธอและน้องๆ ทั้งสองคนมีมีหลายครั้งที่ร่างโปร่งบางหยุดยืนและหันไปจะเอ่ยปากถามสองสาวที่ตามมาด้วยว่าตัดสินใจดีแล้วใช่ไหมที่จะตามเธอไปน่ะ แต่พอเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความรักและห่วงใยของสองสาวก็ทำให้พูดไม่ออก ใจจริงกัญญาพัชรไม่ได้อยากชวนปิยาพัชรและจันฑีราหนีไปด้วย แต่เพราะความเป็นห่วงเป็นใยในสวัสดิภาพของสองสาว ที่ไม่รู้ว่าจะต้องโดนหางเลขจากคนที่ไม่หวังดีด้วยเมื่อไหร่ มันก็ทำให้เธอต้องคะยั้นคะยอชักแม่น้ำทั้งห้าให้สองสาวเดินทางหลบหนีกลับบ้านด้วย อีกทั้งเมื่อน้องสาวทั้งสองคนรู้ว่าเธอจะหนีกลับ ทั้งสองก็ไม่ยอมให้เธอต้องเดินทางเพียงลำพังปิยาพัชรและจันฑีราเดินตามกัญญาพัชรไปด้วยใจที่เจ็บปวดและหวาดกลัว
“อ้าว...พี่มัดหวายหลับแล้วละแก” ปิยาพัชรที่เล่าเรื่องของตัวเองจ๋อยๆ ด้วยความดีใจและสุขล้นหยุดอย่างรวดเร็ว ดวงตากลมโตแปรเปลี่ยนเป็นหมองเศร้าลง เธอเล่าเรื่องทุกอย่างให้พี่สาวฟังแทบทั้งหมด ยกเว้นเรื่องที่เธอตกเป็นของฟารฮานแล้วและเรื่องถูกปองร้ายหมายเอาชีวิต“ใจเย็นๆ นะแก ฉันเชื่อว่าอีกไม่นานอินซอฟจะต้องหาคนที่คิดร้ายกับแกเจอ” จันฑีรายกมือขึ้นตบบ่ากว้างของเพื่อนรักเบาๆ เธอเองก็เป็นกังวลไม่น้อยไปกว่าปิยาพัชร แต่ตอนนี้เมื่อเห็นว่ากัญญาพัชรมีอาการดีขึ้น ความเหนื่อยจากการเดินทางไกลก็เริ่มประท้วง ริมฝีปากอวบอิ่มอ้าหาวหวอดๆ ดวงตาก็เริ่มที่จะหรี่ลง“ฉันไม่ไหวแล้วแก ขอนอนกอดพี่มัดหวายก่อนนะ” ร่างบอบบางคลานขึ้นไปบนเตียงนอนใหญ่ เอนตัวนอนแนบชิดร่างกัญญาพัชร“เฮ้ย...ไม่เอาซิแก ฉันนอนด้วย” ปิยาพัชรบอก เพราะเธอก็เหนื่อยและเพลียเหมือนกัน ร่างบอบบางรีบเอนตัวลงอิงแอบแนบซบกับร่างพี่สาว แขนเรียวยาวพาดไปโอบร่างโปร่งไว้ แต่ด้วยความไม่ระมัดระวังทำให้ปลายมือไปถูกเอาที่บาดแผล ทำให้คนที่หลับอยู่ถึงกับสะดุ้งตื่นขึ้นมาอย่างงงๆ และเจ็บปวดเล็กน้อย“ขอมัดหมี่นอนด้วยนะพี่มัดหวาย คิดถึง อยากนอนกอดพี่” ปิยาพัชรบอกเสียงหว