บรรยากาศเงียบสงบภายในเรือนปัญญา บนโต๊ะที่เต็มไปด้วยกองตำรา มีร่างแน่งน้อยกำลังนั่งอ่านตำราเพิ่มพูนความรู้อย่างตั้งใจ เจ้าตัวน้อยเว่ยซือหงอยู่ในมิติมาสามวันแล้ว หากหิวนางจะเรียกผลไม้มากิน
เดิมทีนางต้องการอ่านข้อมูลพื้นฐานเพิ่มเติมเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ถึงอย่างไรนางก็ศึกษาเรื่องราวต่าง ๆ ตั้งแต่สามขวบ ทว่าหลังจากอ่านไปเรื่อย ๆ ข้อมูลพื้นฐานในตำราแต่ละประเภทกลับชัดเจนยิ่งกว่าตำราที่นางเคยอ่านเสียอีก อย่างเช่น ตำราพลังธาตุพื้นฐาน
ตำราที่นางได้อ่านด้านนอกมิติ นอกจากบอกเกี่ยวกับชื่อธาตุต่าง ๆ แล้ว ก็บอกเพียงเส้นทางฝึกฝนเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่น คนที่มีพลังธาตุพฤกษา ธาตุไฟ ธาตุน้ำ สามารถเลือกเส้นทางแห่งวิถีโอสถได้
ทว่าตำราพลังธาตุในมิตินี้ไม่เพียงบอกคุณลักษณะพิเศษของธาตุต่าง ๆ เท่านั้น ยังลงรายละเอียดเกี่ยวกับการเพิ่มพูนพลังธาตุให้หนาแน่นและบริสุทธิ์ขึ้นด้วย อย่าได้ชะล่าใจไป ขอเพียงพลังธาตุในตัวบริสุทธิ์และหนาแน่นขึ้น เราก็จะสามารถเรียกใช้พลังธาตุได้นานและควบคุมได้ง่ายขึ้นด้วย หากเป็นการโจมตี ก็จะทำให้การโจมตีของพลังธาตุรุนแรงขึ้น ยกตัวอย่างง่าย ๆ
เมื่อตกอยู่ในสถานการณ์คับขัน คู่ต่อสู้มีพลังมากกว่าหนึ่งขั้น แต่เรามีพลังธาตุหนาแน่นและบริสุทธิ์มากกว่า ความต่างเพียงเล็กน้อยนี้สามารถพลิกสถานการณ์กลับมาเป็นฝ่ายได้เปรียบได้
การเพิ่มความหนาแน่นพลังธาตุให้บริสุทธิ์ขึ้นมาทำได้ง่ายมาก แค่กินอาหารที่ทำมาจากวัตถุดิบพลังปราณหรือสมุนไพรพลังปราณเท่านั้นเอง เพียงแค่นี้ก็เพิ่มความบริสุทธิ์ของธาตุในตัวได้แล้ว
ทว่าด้วยสถานการณ์ในปัจจุบันที่แม้แต่พืชผักธรรมดายังหาได้ยากผู้คนอดอยาก จะไปหาพืชปราณมาจากไหนเล่า? สำหรับคนอื่นนับเป็นปัญหา แต่สำหรับเว่ยซือหงไม่ถือว่าเป็นอันใด ด้วยมิติพฤกษาสวรรค์ นางสามารถกินพืชผักผลไม้ปราณเท่าใดก็ได้!
“ตำราในมิตินี้ดีมาก แม้จะเป็นข้อมูลพื้นฐานแต่ยังมีรายละเอียดเจาะลึกมากมายที่หาอ่านไม่ได้จากโลกภายนอกนั้น แค่ตำราเกี่ยวกับพลังธาตุ อาหงยังมีความรู้เพิ่มมากขนาดนี้ ถ้าอ่านครบทั้งหมดที่มีในเรือนปัญญา ไม่รู้ว่าอาหงจะมีความรู้มากขนาดไหน” เจ้าตัวน้อยพูดพลางยิ้ม แล้วหยิบตำราเล่มต่อไปขึ้นมาอ่านต่อทันที
ด้วยพรสวรรค์เรียนรู้ได้รวดเร็วกว่าคนทั่วไปและจำได้ไม่ลืม ตำราพื้นฐานส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น ตำราพลังธาตุ ตำราสมุนไพร ตำราระดับพลังประเภทต่าง ๆ ตำราฝึกปราณ ตำราโอสถ และตำราอักขระค่ายกล ล้วนถูกนางอ่านหมดแล้ว นี้เป็นแค่ตำราพื้นฐานเท่านั้น ยังมีตำราระดับสูงอีกมากมายที่รอให้นางเปิดอ่าน
“วันนี้พอแค่นี้ก่อนแล้วกัน ขออาหงทำความเข้าใจข้อมูลที่ได้อ่านมาหน่อย”
โลกลมปราณ ทั้งมนุษย์และสัตว์อสูรสามารถฝึกพลังปราณและพลังธาตุได้ พลังธาตุมีด้วยกัน 2 ประเภท คือธาตุปกติและธาตุพิเศษ
ธาตุปกติประกอบไปด้วย ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม และธาตุไฟ
ธาตุพิเศษประกอบไปด้วย ธาตุพฤกษา ธาตุน้ำแข็ง ธาตุแสง และธาตุมืด
โดยปกติมนุษย์เราต่างมีพลังทั้งสองชนิดในร่างกายตั้งแต่ถือกำเนิด น้อยนักที่จะมีคนไม่มีพลังธาตุ
ข้อได้เปรียบและความแตกต่างระหว่างพลังทั้งสองชนิดก็คือ หากมีเพียงพลังปราณไร้พลังธาตุ จะไม่สามารถเลือกฝึกสายวิชาอื่นได้นอกจากการฝึกยุทธ์ แต่ถ้ามีพลังธาตุจะสามารถเลือกสาขาวิชาร่ำเรียนได้หลายแขนงไม่ว่าจะเป็น สายยุทธ์ สายโอสถ สายอักขระ ส่วนใหญ่เมื่อสนใจสิ่งใดจะมุ่งเน้นไปที่สายเดียว
ความจริงคนที่เกิดมาไร้พลังธาตุนั้นสามารถเลือกฝึกสายวิชาอื่นได้เช่นกัน แต่น้อยนักที่จะมีคนรู้ เพราะสงครามใหญ่ระหว่างเทพกับมารครั้งก่อน ทำให้บรรพบุรุษผู้อาวุโสล้มตายไปมาก ความรู้เก่าแก่จึงเลือนหายไปตามกาลเวลา แต่ถึงจะมีคนล่วงรู้ข้อมูลนี้เข้า ก็ใช่ว่าจะฝึกฝนได้ง่าย ๆ เนื่องจากมีข้อจำกัดต่าง ๆ มากมาย ทั้งยังฝึกยากกว่าปกติ ดังนั้นต่อให้มีคนรู้เข้าพวกเขาก็เลือกจะฝึกสายยุทธ์อยู่ดี นับเป็นข้อมูลใหม่ที่เว่ยซือหงได้รับรู้หลังผ่านการอ่านตำราพลังธาตุในมิติจบ
“อาหงมีธาตุในกายถึงห้าธาตุ เช่นนั้นควรเลือกเส้นทางสายใดเล่า?”
ตามตำรากล่าวไว้ว่า ทุกพลังธาตุสามารถฝึกสายยุทธ์ได้ แต่ถ้าเป็นสายโอสถ ธาตุที่เหมาะสมแก่การฝึกคือ ธาตุน้ำ ธาตุไฟ และธาตุพฤกษา สายอักขระ มีเพียงธาตุมืดและธาตุแสงเท่านั้นที่เหมาะแก่การฝึกฝน
ดังนั้นหากผู้ใดมีพลังธาตุในร่างกายมากกว่าหนึ่ง ย่อมสามารถเลือกเส้นทางฝึกฝนที่ชอบและเหมาะกับตัวเองได้ คนส่วนใหญ่ที่มีธาตุในร่างกายมากกว่าหนึ่ง มักมุ่งเน้นฝึกฝนเพียงสายเดียว เพื่อความเร็วในการฝึกฝนและความชำนาญ ด้วยเหตุนี้เองในปัจจุบัน จึงยากที่จะพบผู้ฝึกฝนมากกว่าสองสาย
เจ้าตัวน้อยหลุบตาคิด “อาหงมีห้าธาตุ ประกอบไปด้วย ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุพฤกษา ธาตุน้ำแข็ง และธาตุแสง เช่นนั้นอาหงสามารถเลือกฝึกได้ทั้งสามสายวิชา... ควรเลือกฝึกสายไหนดี”
นิ้วชี้เล็ก ๆ จิ้มเข้าหากันคิ้วเรียวขมวดมุ่นแววตากลัดกลุ้มด้วยคิดไม่ตก เพราะนางไม่รู้จะเลือกเดินเส้นทางไหน สายยุทธ์ก็ดี สายโอสถและสายอักขระก็ดี
หากเลือกเส้นทางฝึกยุทธ์ หนทางแข็งแกร่งนั้นไม่ไกลเกินเอื้อม ทว่าส่วนลึกในจิตใจร่ำร้องว่าต้องการอำนาจ และความยำเกรงจากผู้คน เช่นนั้นสายโอสถและสายอักขระนับว่าเหมาะสมยิ่ง เพราะเพียงแค่ฝึกวิชาสำเร็จจนกลายเป็นผู้ปรุงโอสถระดับต่ำหรือนักอักขระระดับต่ำ ผู้คนก็พร้อมยอมศิโรราบเข้าหาแล้ว
“ฮือ... เลือกยากจริง ไม่เลือกได้หรือไม่”
‘ได้ เจ้าสามารถฝึกทุกสายพร้อมกันได้ ด้วยมิติพฤกษาสวรรค์นี้ จะช่วยให้เจ้าก้าวหน้าเร็วกว่าผู้อื่น’
“โอ๊ะ! ผู้ใดเจ้าคะ เสียงใคร ทำไมดังเข้ามาในหัวอาหง” เจ้าตัวกลมสองมือจับหัวตัวเองพลางหันซ้ายหันขวาเพื่อมองหาต้นตอของเสียง หากไม่พบผู้ใด พอลองเรียกก็ไม่มีเสียงตอบกลับ
“ขอบคุณที่แนะนำอาหงเจ้าค่ะ อาหงจะตั้งใจฝึก ต่อไป อาหงจะต้องเป็นสตรีที่งดงาม ร่ำรวย และแข็งแกร่งที่สุดในใต้หล้า! โฮะ ๆ ๆ”
เจ้าตัวประกาศกร้าวยกแขนชูกำปั้นขึ้นเหนือศีรษะด้วยท่าทางมาดมั่น จนคนที่ลอบมองอยู่จากที่ไกลแสนไกลยกยิ้มกับความน่ารักน่าเอ็นดูของนาง
“อืม... ตอนนี้พลังปราณของอาหงอยู่ที่ระดับเริ่มต้นขั้นสูง นับว่าห่างไกลจากคนที่พลังปราณตื่นแรก ๆ นัก เช่นนั้นลดเหลือระดับเริ่มต้นขั้นต่ำก็พอ คนด้านนอกจะได้ไม่ตกใจ ท่านย่ายิ่งตกใจง่ายอยู่ด้วย” ว่าแล้วก็ส่งเจตจำนงไปที่แหวนปกปิดระดับเทพของตนทันที
ตอนนี้กลิ่นอายพลังปราณของเว่ยซือหงกลับมาอยู่ที่ระดับเริ่มต้นขั้นต่ำแล้ว
ส่วนกลุ่มคนที่มาจากขุมอำนาจหรือจวนขุนนางต่าง ๆ มีความต้องการผลผลิตปราณจำนวนมาก ต่างตรงไปที่ชั้นสองของร้าน แล้วแจ้งชนิดและจำนวนผักที่ต้องการเสร็จ คนของตระกูลเว่ยที่มีหน้าที่รับผิดชอบในส่วนนี้ จะนำผลผลิตออกมาจากแหวนมิติตามจำนวนที่ลูกค้าต้องการ หลังตรวจสอบความถูกต้องเรียบร้อย ทำการจ่ายเงินเป็นอันจบการซื้อขายงานในส่วนนี้ถูกดำเนินไปอย่างรวดเร็ว ขุมอำนาจต่าง ๆ ต่างชื่นชอบการจัดการด้วยวิธีนี้เช่นกัน ไม่จำเป็นต้องยื้อแย่งกับคนทั่วไป เพราะผลผลิตปราณถูกคนตระกูลเว่ยเตรียมพร้อมไว้อยู่แล้ว โดยผักผลไม้ปราณในร้านค้าตระกูลเว่ยมีราคาดังนี้ผักกาดขาว ผักบุ้ง กวางตุ้ง คะน้า ถั่วฝักยาว พริกชั่งละ 1 ตำลึงทองหัวไชเท้า แครอท แตงกวา ฟักทอง ฟักเขียว ชั่งละ 5 ตำลึงทอง มะเขือเทศ บัวหิมะ ชั่งละ 10 ตำลึงทองกล้วยชนิดต่าง ๆ ขายที่หวีละ 1 ตำลึงทอง แต่ละหวีมีถึงสิบลูกแตงโมขายผลละ 3 ตำลึงทอง ส้ม ผิงกั่ว(แอปเปิล) สับปะรด ชั่งละ 10 ตำลึงทององุ่น เฉ่าเหมย(สตรอว์เบอร์รี) และผลไม้ตระกูลเหมยทั้งหมดชั่งละ 20 ตำลึงทองลูกท้อ ทับทิม ลูกพลับจัดเป็นผลไม้มงคลขายชั่งละ 30 ตำลึงทองส่วนข้าว มันฝรั่งและมันเทศนั้นมีความต้องกา
ร้านค้าตระกูลเว่ย “สวรรค์ พวกเขาปลูกผักปราณได้จริง ๆ”“เจ้าดูแสงสีเขียวระยิบระยับนั่นสิ นี่มันผักปราณระดับสูง”“ตระกูลเว่ยจะเก่งกาจเกินไปแล้ว”หน้าร้านตระกูลเว่ยมีแต่เสียงพูดคุยหลายช่วงอายุทั้งชายหญิง ดังสลับกันไปมา เรื่องที่ตระกูลเว่ยจะเปิดขายผักปราณสร้างความแตกตื่นไปทั้งยุทธภพ จะเห็นได้ว่าแคว้นโจวมีคนเข้าออกค่อนข้างมาก ทั้งผู้ฝึกยุทธ์อิสระ คนจากสำนักศึกษาต่าง ๆ เหล่าบัณฑิต และคนจากดินแดนเบื้องบน ที่ยืนปลดปล่อยพลังความแข็งแกร่งออกมาจาง ๆ เพียงเท่านั้นก็สร้างความอึดอัดให้คนของดินแดนเบื้องล่างได้แล้ว“ไม่คิดว่าข่าวที่คนของเราส่งไปจะเป็นเรื่องจริง”“ถ้าไม่เห็นผักปราณจำนวนมากที่อยู่ในร้านรอขายข้าก็ไม่อยากเชื่อเช่นกันขอรับคุณชาย”“ถึงลมปราณดินแดนเบื้องล่างจะขาดแคลนทว่าก็ไม่อาจดูเบาพวกเขาได้เช่นกันขอรับคุณชาย”“ไม่ถูกต้อง คนที่เราไม่อาจดูเบาคือตระกูลเว่ยเจ้าของผักปราณระดับสูงมากมายนี้ต่างหาก...”คุณชายของกลุ่มวิเคราะห์ออกมา พลางมองผักปราณระดับสูงที่ถูกจัดเตรียมไว้บนชั้นวางของ และอยู่ในตะกร้าแบ่งแยกเป็นชนิดต่าง ๆ ชัดเจน ง่ายต่อการเลือกหา ทั้งยังสะดวกต่อการซื้อขายราคาบนป้ายไม้ที่เด่นหราอยู
อย่างไรก็ตามทัณฑ์สวรรค์มีเพียงสามสายเท่านั้น ทั้งยังทำอันใดกับหินแร่นิฬกาลไม่ได้ สมกับเป็นวัตถุดิบไร้ระดับ สมบัติประเมินค่าไม่ได้เช่นนี้ นางอยากครอบครองให้มากสักหน่อย ขนาดทัณฑ์สวรรค์ที่เป็นดังตำนานเล่าขาน ยังไม่สามารถสร้างรอยขีดข่วนให้มันได้เลย เป็นเช่นนี้จะไม่ให้นางโลภอยากได้เพิ่มได้อย่างไรเล่า!ตัวหินแร่นิฬกาลลอยนิ่งอยู่เช่นนั้นอย่างองอาจราวกับกำลังเยาะเย้ยสายฟ้าจากสวรรค์ ก่อนที่มันจะค่อย ๆ เลือนรางหายไปอันที่จริงหินแร่นิฬกาลยังอยู่ที่เดิม เพียงแต่มันหลบซ่อนตัวเองด้วยอักขระพรางตา จึงไม่มีใครมองเห็น นอกจากเว่ยซือหงเท่านั้น ซึ่งนับเป็นข้อดีอย่างมาก เพราะถ้ามีคนต้องการทำลายไร่ของนางขึ้นมา ก็จะทำได้ยาก เนื่องจากหาตาค่ายกลไม่เจอกระบวนการทุกอย่างเสร็จสิ้นลงไปแล้ว เว่ยซือหงยืนมองผลงานนี้ของตนด้วยความภาคภูมิใจท่ามกลางสายตาแตกตื่นของคนงานทั้งหมดรวมถึงครอบครัวตนเองด้วยแน่นอนว่าเหตุการณ์ที่เกิดในไร่ตระกูลเว่ยเช่นนี้ คนอื่น ๆ ต่างก็รับรู้แล้วเช่นกัน ม่านพลังสีทองที่ครอบคลุมทั่วไร่ตระกูลเว่ยมันชัดเจนเกินไป ราวกับเป็นพื้นที่ที่ตัดขาดจากโลกภายนอกนอกจากเหตุการณ์ในวันนี้จะสร้างความแตกตื่นให้ผู้ค
การจะปลูกผักปราณนั้นใช่ว่าเพียงพูดออกมาแล้วจะทำได้เลยทันที ตระกูลเว่ยต้องเตรียมตัวหลายอย่าง จนเมื่อทุกอย่างพร้อมสรรพ พวกเขาจึงพากันไปที่ไร่ตระกูลเว่ยประตูจวนที่ปิดมานานหลายวันของตระกูลเว่ยถึงได้เปิดออก รถม้าประจำตระกูลทั้งสองคัน เคลื่อนออกจากประตูจวนท่ามกลางสายตาของชาวเมือง และเหล่าขุนนางที่คอยจับตาดูความเคลื่อนไหวของพวกเขาเมื่อถึงไร่ตระกูลเว่ย คนงานทั้งหมดทั้งแรงงานที่เป็นชาวบ้าน บ่าวตระกูลเว่ย รวมถึงทหารที่คอยดูแลความปลอดภัย และความเรียบร้อยของไร่ถูกเรียกมารวมตัวกันที่จุดเดียวพวกเขาทั้งงุนงงและสับสนว่าเจ้านายเรียกรวมตัวด้วยเหตุใด บ้างกังวลกลัวจะถูกเลิกจ้าง ยิ่งบรรดาเจ้านายไม่ปริปาก ความคิดพลันล่องลอยไปไกลมากกว่าเดิม ก่อนทุกคนจะแตกตื่นไปมากกว่านี้ พ่อบ้านอวิ๋นจึงเข้ามาไขข้อข้องใจเสียก่อน“ไม่ต้องแตกตื่น เจ้านายของพวกเราไม่ได้คิดจะเลิกจ้างพวกเจ้า ที่เรียกมารวมตัวกันเพราะจะมีการปรับเปลี่ยนไร่ตระกูลเว่ย การให้พวกเจ้าอยู่รวมกันเป็นจุดเดียวจะทำให้ปลอดภัยและดูแลง่ายกว่าเดิม”คนงานที่เป็นชาวบ้านต่างพากันโล่งใจ หม้อข้าวของตนยังอยู่ ยังไม่ได้ถูกทุบแต่อย่างใด ทว่าความสงสัยใคร่รู้ก็กลับมาอีก
“ทุกคนเจ้าคะ อาหงมีเรื่องจะคุยด้วยเจ้าค่ะ” “ว่าเช่นไรลูกรัก มีเรื่องอะไรจะคุยกับพวกเราหรือ” เว่ยซือซานถามบุตรสาวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน“เราเลิกขายผักกันเถอะเจ้าค่ะ”“เลิกขายผัก? เลิกแล้วผักที่ปลูกอยู่พันหมู่จะทำอย่างไร” ถึงจะแปลกใจที่เว่ยซือหงเอ่ยเรื่องการยกเลิกกิจการที่กำลังรุ่งเรืองในตอนนี้ แต่พวกเขาไม่ได้แตกตื่น เรื่องราวที่ผ่านมาได้สอนพวกเขาแล้ว ว่าเจ้าตัวน้อยเป็นคนมีเหตุผลเพียงใด การเอ่ยว่าจะไม่ขายผักแล้ว ไม่ใช่คำพูดที่เอ่ยออกมาเพราะต้องการล้อเล่นแน่“ไม่ต้องทำอันใดเลยเจ้าค่ะ แค่เปลี่ยนจากผักธรรมดาพวกนั้นเป็นผักปราณให้หมด”“เจ้าหมายความว่าอยากปลูกผักผลไม้ปราณแทนการปลูกผักธรรมดาหรือ”“เจ้าค่ะท่านแม่”สมาชิกในตระกูลเว่ยนิ่งคิด ความต้องการของบุตรสาวใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ด้วยน้ำพลังปราณที่เจ้าตัวมี การเปลี่ยนจากผักธรรมดาเป็นผักปราณนั้นทำได้ง่ายราวพลิกฝ่ามือ ไม่ใช่ว่าทุกวันนี้พวกตนก็กินผักผลไม้ปราณและเห็ดปราณ ที่ปลูกอยู่หลังเรือนของเว่ยซือหงหรอกหรือหลินซือเหยาถอนหายใจมองหลานสาวพลางว่า “บอกเหตุผลให้ย่าและพวกเราทุกคนฟังได้หรือไม่ ว่าเหตุใดจึงอยากปลูกและขายผักปราณ”ซึ่งคำถามของฮูหยินผู้เฒ่
ช่วงนี้เว่ยซือหงไม่ได้เคลื่อนไหวหรือทำอะไรเป็นพิเศษ นางทุ่มเวลาทั้งหมดให้ครอบครัว ทดแทนที่ตนหายไปตลอดระยะเวลาหนึ่งเดือน คนในตระกูลก็พอใจมากที่เจ้าตัวน้อยใช้ชีวิตสมกับที่เป็นเด็กเสียทีทว่าเป็นคนตระกูลใหญ่ ทั้งยังเป็นสตรี สิ่งที่ควรเรียนยังต้องเรียน นางจึงถูกท่านย่าคุมเข้มเรื่องศาสตร์ทั้งสี่เป็นประจำ ถึงจะไม่ค่อยชอบแต่เว่ยซือหงก็เข้าใจและทำได้ดี ทั้งนี้ยังต้องออกไปร่วมงานเลี้ยงกับท่านย่าหรือท่านแม่ยังจวนอื่น ๆ ตามบัตรเชิญที่ถูกส่งมาเป็นครั้งคราว เจ้าตัวน้อยเลยไม่รู้สึกเบื่อนักการออกไปพบปะผู้คนและเจอเพื่อนบ้างนับเป็นเรื่องดี เช่นวันนี้ที่นางมาเดินเที่ยวตลาดกับหลินหว่าน เด็กสาวจากตระกูลหลินที่เพิ่งทำความรู้จักกันไปเมื่อครั้งงานเลี้ยงต้อนรับคณะทูตที่ผ่านมานั่นเอง“เจ้าว่าปิ่นอันนี้สวยหรือไม่” หลินหว่านเอ่ยถามสหายพร้อมยื่นปิ่นดอกหมู่ตาน(โบตั๋น) ให้ดูเว่ยซือหงดูแล้วทั้งตัวรูปปิ่นและขนาดที่ไม่ใหญ่มากเกินไป เหมาะกับเด็ก ๆ อย่างพวกหน้า ก็พยักหน้ารับตอบคำทันทีเช่นกัน “สวยมาก เหมาะกับเจ้า”“จริงหรือ”“จริง”“เช่นนั้นข้าเอาอันนี้เจ้าค่ะ” คุณหนูตระกูลหลินส่งปิ่นให้สาวใช้ที่ติดตามมานำไปคิดเงิน“