น้ำเสียงก้อนแป้งน้อยทั้งเศร้าและเห็นใจในเวลาเดียวกัน ปรารถนาแรงกล้าที่สุดของนางตอนนี้คือไม่ต้องการให้บิดาหรือคนในครอบครัวเข้าป่า นางไม่อยากให้พวกเขาได้รับอันตราย
หากท่านพ่อหรือคนในครอบครัวได้รับบาดเจ็บเพราะต้องการให้นางได้กินผักสด นางคงเสียใจและรู้สึกผิดมากแน่ ไม่มีทางเสียหรอก อย่างไรนางก็ไม่ยอมให้ครอบครัวต้องลำบากเพราะความอยากกินของนาง!
ด้านผู้ใหญ่ที่นั่งล้อมโต๊ะอาหารอยู่พลันเอ็นดูเจ้าตัวน้อย มีความสุขและเสียใจไปพร้อม ๆ กันที่ไม่สามารถหาผักสดมาให้นางกินได้ ทั้ง ๆ ที่พรุ่งนี้ก็เป็นวันเกิดอายุครบ 7 หนาวของนางแท้ ๆ
“ได้หรือไม่เจ้าคะท่านพ่อ ห้ามเข้าป่าอีกได้หรือไม่ พวกท่านด้วยนะเจ้าคะห้ามเข้าป่า อาหงรู้ ในป่านั้นอันตรายมาก ไม่ดี ไม่ดี!” หัวกลม ๆ ส่ายไปมาจนก้อนซาลาเปาที่ผูกไว้บนหัวสั่นตาม ใบหน้าน่ารักจริงจังจนคนมองอยู่อดแย้มยิ้มออกมาด้วยความรักและเอ็นดูไม่ได้
“ได้ ๆ พ่อรับปากเจ้า พวกเจ้าด้วยใช่หรือไม่” เว่ยซือซานรับปากบุตรสาวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนก่อนใช้เสียงเข้มพูดกับบุตรชาย
“ขอรับ” เว่ยซือหลางเว่ยซือเหลียงรับคำพร้อมกัน
เมื่อเห็นว่าทุกคนรับปาก เจ้าตัวน้อยก็ยิ้มออกมาด้วยความยินดี ราวกับมีดวงดาวนับหมื่นปรากฏในแววตากลมโตคู่นั้น เพราะมันระยิบระยับชวนมองเหลือเกิน
“ดียิ่งเจ้าค่ะ อาหงมีความสุขมาก ไม่มีผักสดกินแล้วอย่างไร อาหงกินเนื้อสัตว์ก็ได้ อร่อยเหมือนกัน อาหงจะกินให้อ้วนไปเลย อิอิ”
“เช่นนั้นปู่จะกินให้อ้วนเป็นเพื่อนเจ้าดีหรือไม่เสี่ยวหงของปู่”
“ยายก็จะกินเป็นเพื่อนเจ้าด้วย”
“แม่ด้วย/พี่ด้วย”
เจ้าตัวน้อยพยักหน้ารับคำคนในครอบครัวจนแก้มขาว ๆ กระเพื่อม ก่อนคีบเนื้อหมูที่ท่านปู่คีบมาวางใส่ถ้วยข้าวของนางเข้าปาก เจ้าตัวน้อยเคี้ยวตุ้ย ๆ หลับตาพริ้มรับรสชาติอาหาร คนอื่น ๆ จึงกินในส่วนของตัวเองตาม ทั้งยังมองท่าทางเจ้าตัวเล็กด้วย เพราะท่าทางเจ้าตัวน้อยนั้นชวนให้เจริญอาหารไม่หยอก
อิ่มแล้วก็พากันมานั่งเล่นในส่วนของห้องโถง เจ้าตัวน้อยที่อิ่มจุกจนพุงน้อย ๆ โผล่ออกมาจู่ ๆ ก็ทะลึ่งตัวพรวดขึ้นนั่งพานให้ท่านปู่ท่านย่าตกใจจนต้องยกมือตบอก
“เป็นอะไรของเจ้าเสี่ยวหง ย่าตกใจหมด” หลินซือเหยาถามพลางตบอกตัวเองเบา ๆ ไปด้วย
“นั่นสิเสี่ยวหง หรือเจ้าเจ็บตรงไหน บอกปู่มา ปู่จะช่วยเจ้าเดี๋ยวนี้” ท่านปู่ถามอย่างรีบร้อน หัวใจคนแก่เต้นเร็วรี่กลัวหลานน้อยสุดที่รักได้รับอันตราย ส่วนคนอื่น ๆ นั้นก็ตกใจไม่แพ้กัน แต่เก็บอาการได้ดีกว่าสองผู้เฒ่านัก
เสี่ยวหงยิ้มแห้งก้มหัวขอโทษปลก ๆ พลางว่า “อาหงขอโทษเจ้าค่ะ อาหงแค่คิดอะไรขึ้นมาได้”
“ฮืม เจ้าตัวน้อยของแม่คิดอะไรได้กัน” หลิวลี่หงถามบุตรสาว
“ก่อนหน้านี้อาหงคิดไม่ได้ แต่มาคิดได้เมื่อกี้เลยเจ้าค่ะ ในเมื่ออาหงชอบกินผักสด แต่ก็ไม่อยากให้ท่านพ่อท่านพี่เสี่ยงอันตรายเข้าไปในป่า ดังนั้นอาหงจึงอยากปลูกผักเจ้าค่ะ”
“ปลูกผัก!” หกเสียงประสานออกมาพร้อมกันลั่นห้องโถงจนก้อนแป้งน้อยยู่หน้า หากพยักหน้ารับคำ
“แต่ปลูกผักมันยากนะเสี่ยวหง มีคนมากมายพยายามปลูกแล้วก็ปลูกไม่ขึ้น ที่ปลูกขึ้นทั้งแคระทั้งแกร็น ไม่งาม ไม่น่ากินสักนิด” ท่านปู่อธิบายพร้อมมองสีหน้าเจ้าตัวน้อยไปด้วย เนื่องจากกลัวเจ้าตัวน้อยเสียใจ
“ใช่ ๆ อาหง ปลูกผักนั้นยากมาก ที่สำนักศึกษาของพี่ใหญ่มีผู้อาวุโสพยายามปลูกหลายคนแต่ก็ปลูกไม่ขึ้น” เว่ยซือหลางกล่าว
เขาศึกษาอยู่ที่สำนักพยัคฆ์ทมิฬเพราะเห็นว่าใกล้บ้าน เนื่องจากสถานศึกษาตั้งอยู่ระหว่างแคว้นโจวและแคว้นฮั่น ด้วยเป็นสำนักศึกษาขนาดใหญ่จึงต้องใช้ทรัพยากรในการเลี้ยงดูคนค่อนข้างมาก จะให้เข้าป่าหาของมีค่ากลับมาตลอดก็ไม่ได้ เพราะมันคือการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ
ผู้อาวุโสในสำนักศึกษาจึงได้รวมตัวประชุมและได้ข้อสรุปในการทำการเพาะปลูก ทว่าไม่ว่าจะพยายามเช่นไร เริ่มใหม่อีกกี่ครั้ง ผลที่ได้ก็ล้มเหลวเช่นเดิม ไม่เพียงแค่สำนักศึกษาของเขาเท่านั้น อีกสามสำนักใหญ่ก็สบชะตาเดียวกันทั้งสิ้น จนพากันล้มเลิกแล้วออกภารกิจให้ศิษย์ในสำนักหาทรัพยากรในป่ามากกว่าเดิม
เห็นพี่ใหญ่กล่าวเช่นนั้น เว่ยซือเหลียงที่เป็นพี่ชายคนรองจึงกล่าวบ้าง “ใช่ ถ้าอาหงอยากกินพี่จะพยายามหาซื้อมาให้ดีหรือไม่”
“นั่นสิอาหง แม่ว่าลูกทำอย่างอื่นดีหรือไม่” ท่านแม่พูดโดยมีท่านพ่อพยักหน้าเห็นด้วย หากเจ้าตัวน้อยกลับส่ายหน้า ทั้งยังมีสีหน้าตั้งอกตั้งใจมาก
“ไม่เจ้าค่ะ อาหงจะปลูกผัก อาหงปลูกได้แน่นอน พวกท่านรอดูได้เลย”
ด้วยสีหน้ามาดมั่นของเจ้าตัวน้อย คนอื่น ๆ ในครอบครัวก็ได้แต่ลอบมองหน้ากันพร้อมพยักหน้าเบา ๆ ก่อนท่านปู่จะเป็นคนพูดว่า
“เช่นนั้นพวกเราก็จะช่วยเสี่ยวหงปลูกด้วย แต่เสี่ยวหงต้องรับปากปู่ก่อน หากปลูกแล้วผักไม่ขึ้น เสี่ยวหงต้องไม่งอแงเอาแต่ใจและเลิกปลูกผักไปอย่างไม่มีข้อแม้ ตกลงหรือไม่”
เจ้าตัวเล็กครุ่นคิด หากรับปากแล้วปลูกผักไม่สำเร็จนางคงไม่ได้ปลูกอีก แต่นางมั่นใจว่านางปลูกได้นะ นางรู้แค่ว่านางปลูกได้ เจ้าตัวน้อยจมอยู่ในความคิดตัวเองก่อนดวงตาสว่างวาบเมื่อเห็นภาพแปลก ๆ แวบเข้ามาในหัว
เว่ยซือหงก้มหน้าซ่อนแววตาเจ้าเล่ห์ของตัวเองก่อนยื่นมือขวาไปด้านหลังแล้วเอานิ้วกลางเกี่ยวกับนิ้วชี้ไว้ พลางว่า “ตกลงเจ้าค่ะ อาหงให้สัญญา หากปลูกไม่ขึ้นอาหงจะไม่ดื้ออีก”
เมื่อเจ้าตัวน้อยรับปากทุกคนจึงพยักหน้าและถอนหายใจออกมา โดยคิดเป็นเสียงเดียวกันว่า ไม่เป็นไร ในเมื่อนางอยากลองก็ให้นางลอง หากไม่สำเร็จพวกเขาค่อยปลอบและอธิบายให้นางฟังอีกครั้งก็ได้ ถึงนางจะฉลาดเกินวัย แต่อย่างไรนางก็ยังเป็นเด็ก จะคิดแบบเด็ก ๆ บ้างก็ไม่เสียหายอันใด
ส่วนก้อนแป้งน้อยเว่ยซือหงนั้นไม่สนใจผู้อื่น นางกำลังระริกระรี้กับความรู้ใหม่! เมื่อกี้ที่นางคิดไม่ตกว่าจะทำอย่างไรนางก็เห็นภาพแปลก ๆ แวบเข้ามาอีกแล้ว
ในภาพที่นางเห็นนั้นผู้คนมักแต่งตัวแปลก ๆ ไม่เหมือนพวกนางสักนิด แต่ช่างเรื่องการแต่งตัว ที่นางสนใจคือการไม่ผิดสัญญาดีกว่า
ในภาพที่เห็นนั้นบอกนางว่า หากไม่มั่นใจว่ารับปากแล้วจะทำได้หรือไม่ ให้เอานิ้วกลางเกี่ยวนิ้วชี้ไว้ เมื่อรับปากแล้วทำไม่ได้ หรือผิดคำพูดก็นับว่านางไม่ผิดมากนัก เพราะนางเกี่ยวนิ้วกันไว้ก่อนแล้วนั่นเอง
ดีละ! จากนี้ไปถ้านางไม่มั่นใจเรื่องอะไร นางจะแอบเกี่ยวนิ้วไว้ด้านหลังเสมอเลย แค่นี้นางก็ไม่ต้องผิดคำพูดแล้ว
วะฮะฮ่า นางฉลาดจริง ๆ ทั่วหล้านี้ใครฉลาดที่สุด ก็นางน่ะสิ นางน่ะสิ
“อิอิ หุหุ” แล้วเสียงหัวเราะชั่วร้ายระคนเจ้าเล่ห์ก็ดังออกมาจากปากเจ้าตัวน้อยโดยที่นางไม่รู้ตัว โดยมีสายตาคนในครอบครัวหรี่ตาจับผิดนางทีละคน ๆ
ส่วนกลุ่มคนที่มาจากขุมอำนาจหรือจวนขุนนางต่าง ๆ มีความต้องการผลผลิตปราณจำนวนมาก ต่างตรงไปที่ชั้นสองของร้าน แล้วแจ้งชนิดและจำนวนผักที่ต้องการเสร็จ คนของตระกูลเว่ยที่มีหน้าที่รับผิดชอบในส่วนนี้ จะนำผลผลิตออกมาจากแหวนมิติตามจำนวนที่ลูกค้าต้องการ หลังตรวจสอบความถูกต้องเรียบร้อย ทำการจ่ายเงินเป็นอันจบการซื้อขายงานในส่วนนี้ถูกดำเนินไปอย่างรวดเร็ว ขุมอำนาจต่าง ๆ ต่างชื่นชอบการจัดการด้วยวิธีนี้เช่นกัน ไม่จำเป็นต้องยื้อแย่งกับคนทั่วไป เพราะผลผลิตปราณถูกคนตระกูลเว่ยเตรียมพร้อมไว้อยู่แล้ว โดยผักผลไม้ปราณในร้านค้าตระกูลเว่ยมีราคาดังนี้ผักกาดขาว ผักบุ้ง กวางตุ้ง คะน้า ถั่วฝักยาว พริกชั่งละ 1 ตำลึงทองหัวไชเท้า แครอท แตงกวา ฟักทอง ฟักเขียว ชั่งละ 5 ตำลึงทอง มะเขือเทศ บัวหิมะ ชั่งละ 10 ตำลึงทองกล้วยชนิดต่าง ๆ ขายที่หวีละ 1 ตำลึงทอง แต่ละหวีมีถึงสิบลูกแตงโมขายผลละ 3 ตำลึงทอง ส้ม ผิงกั่ว(แอปเปิล) สับปะรด ชั่งละ 10 ตำลึงทององุ่น เฉ่าเหมย(สตรอว์เบอร์รี) และผลไม้ตระกูลเหมยทั้งหมดชั่งละ 20 ตำลึงทองลูกท้อ ทับทิม ลูกพลับจัดเป็นผลไม้มงคลขายชั่งละ 30 ตำลึงทองส่วนข้าว มันฝรั่งและมันเทศนั้นมีความต้องกา
ร้านค้าตระกูลเว่ย “สวรรค์ พวกเขาปลูกผักปราณได้จริง ๆ”“เจ้าดูแสงสีเขียวระยิบระยับนั่นสิ นี่มันผักปราณระดับสูง”“ตระกูลเว่ยจะเก่งกาจเกินไปแล้ว”หน้าร้านตระกูลเว่ยมีแต่เสียงพูดคุยหลายช่วงอายุทั้งชายหญิง ดังสลับกันไปมา เรื่องที่ตระกูลเว่ยจะเปิดขายผักปราณสร้างความแตกตื่นไปทั้งยุทธภพ จะเห็นได้ว่าแคว้นโจวมีคนเข้าออกค่อนข้างมาก ทั้งผู้ฝึกยุทธ์อิสระ คนจากสำนักศึกษาต่าง ๆ เหล่าบัณฑิต และคนจากดินแดนเบื้องบน ที่ยืนปลดปล่อยพลังความแข็งแกร่งออกมาจาง ๆ เพียงเท่านั้นก็สร้างความอึดอัดให้คนของดินแดนเบื้องล่างได้แล้ว“ไม่คิดว่าข่าวที่คนของเราส่งไปจะเป็นเรื่องจริง”“ถ้าไม่เห็นผักปราณจำนวนมากที่อยู่ในร้านรอขายข้าก็ไม่อยากเชื่อเช่นกันขอรับคุณชาย”“ถึงลมปราณดินแดนเบื้องล่างจะขาดแคลนทว่าก็ไม่อาจดูเบาพวกเขาได้เช่นกันขอรับคุณชาย”“ไม่ถูกต้อง คนที่เราไม่อาจดูเบาคือตระกูลเว่ยเจ้าของผักปราณระดับสูงมากมายนี้ต่างหาก...”คุณชายของกลุ่มวิเคราะห์ออกมา พลางมองผักปราณระดับสูงที่ถูกจัดเตรียมไว้บนชั้นวางของ และอยู่ในตะกร้าแบ่งแยกเป็นชนิดต่าง ๆ ชัดเจน ง่ายต่อการเลือกหา ทั้งยังสะดวกต่อการซื้อขายราคาบนป้ายไม้ที่เด่นหราอยู
อย่างไรก็ตามทัณฑ์สวรรค์มีเพียงสามสายเท่านั้น ทั้งยังทำอันใดกับหินแร่นิฬกาลไม่ได้ สมกับเป็นวัตถุดิบไร้ระดับ สมบัติประเมินค่าไม่ได้เช่นนี้ นางอยากครอบครองให้มากสักหน่อย ขนาดทัณฑ์สวรรค์ที่เป็นดังตำนานเล่าขาน ยังไม่สามารถสร้างรอยขีดข่วนให้มันได้เลย เป็นเช่นนี้จะไม่ให้นางโลภอยากได้เพิ่มได้อย่างไรเล่า!ตัวหินแร่นิฬกาลลอยนิ่งอยู่เช่นนั้นอย่างองอาจราวกับกำลังเยาะเย้ยสายฟ้าจากสวรรค์ ก่อนที่มันจะค่อย ๆ เลือนรางหายไปอันที่จริงหินแร่นิฬกาลยังอยู่ที่เดิม เพียงแต่มันหลบซ่อนตัวเองด้วยอักขระพรางตา จึงไม่มีใครมองเห็น นอกจากเว่ยซือหงเท่านั้น ซึ่งนับเป็นข้อดีอย่างมาก เพราะถ้ามีคนต้องการทำลายไร่ของนางขึ้นมา ก็จะทำได้ยาก เนื่องจากหาตาค่ายกลไม่เจอกระบวนการทุกอย่างเสร็จสิ้นลงไปแล้ว เว่ยซือหงยืนมองผลงานนี้ของตนด้วยความภาคภูมิใจท่ามกลางสายตาแตกตื่นของคนงานทั้งหมดรวมถึงครอบครัวตนเองด้วยแน่นอนว่าเหตุการณ์ที่เกิดในไร่ตระกูลเว่ยเช่นนี้ คนอื่น ๆ ต่างก็รับรู้แล้วเช่นกัน ม่านพลังสีทองที่ครอบคลุมทั่วไร่ตระกูลเว่ยมันชัดเจนเกินไป ราวกับเป็นพื้นที่ที่ตัดขาดจากโลกภายนอกนอกจากเหตุการณ์ในวันนี้จะสร้างความแตกตื่นให้ผู้ค
การจะปลูกผักปราณนั้นใช่ว่าเพียงพูดออกมาแล้วจะทำได้เลยทันที ตระกูลเว่ยต้องเตรียมตัวหลายอย่าง จนเมื่อทุกอย่างพร้อมสรรพ พวกเขาจึงพากันไปที่ไร่ตระกูลเว่ยประตูจวนที่ปิดมานานหลายวันของตระกูลเว่ยถึงได้เปิดออก รถม้าประจำตระกูลทั้งสองคัน เคลื่อนออกจากประตูจวนท่ามกลางสายตาของชาวเมือง และเหล่าขุนนางที่คอยจับตาดูความเคลื่อนไหวของพวกเขาเมื่อถึงไร่ตระกูลเว่ย คนงานทั้งหมดทั้งแรงงานที่เป็นชาวบ้าน บ่าวตระกูลเว่ย รวมถึงทหารที่คอยดูแลความปลอดภัย และความเรียบร้อยของไร่ถูกเรียกมารวมตัวกันที่จุดเดียวพวกเขาทั้งงุนงงและสับสนว่าเจ้านายเรียกรวมตัวด้วยเหตุใด บ้างกังวลกลัวจะถูกเลิกจ้าง ยิ่งบรรดาเจ้านายไม่ปริปาก ความคิดพลันล่องลอยไปไกลมากกว่าเดิม ก่อนทุกคนจะแตกตื่นไปมากกว่านี้ พ่อบ้านอวิ๋นจึงเข้ามาไขข้อข้องใจเสียก่อน“ไม่ต้องแตกตื่น เจ้านายของพวกเราไม่ได้คิดจะเลิกจ้างพวกเจ้า ที่เรียกมารวมตัวกันเพราะจะมีการปรับเปลี่ยนไร่ตระกูลเว่ย การให้พวกเจ้าอยู่รวมกันเป็นจุดเดียวจะทำให้ปลอดภัยและดูแลง่ายกว่าเดิม”คนงานที่เป็นชาวบ้านต่างพากันโล่งใจ หม้อข้าวของตนยังอยู่ ยังไม่ได้ถูกทุบแต่อย่างใด ทว่าความสงสัยใคร่รู้ก็กลับมาอีก
“ทุกคนเจ้าคะ อาหงมีเรื่องจะคุยด้วยเจ้าค่ะ” “ว่าเช่นไรลูกรัก มีเรื่องอะไรจะคุยกับพวกเราหรือ” เว่ยซือซานถามบุตรสาวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน“เราเลิกขายผักกันเถอะเจ้าค่ะ”“เลิกขายผัก? เลิกแล้วผักที่ปลูกอยู่พันหมู่จะทำอย่างไร” ถึงจะแปลกใจที่เว่ยซือหงเอ่ยเรื่องการยกเลิกกิจการที่กำลังรุ่งเรืองในตอนนี้ แต่พวกเขาไม่ได้แตกตื่น เรื่องราวที่ผ่านมาได้สอนพวกเขาแล้ว ว่าเจ้าตัวน้อยเป็นคนมีเหตุผลเพียงใด การเอ่ยว่าจะไม่ขายผักแล้ว ไม่ใช่คำพูดที่เอ่ยออกมาเพราะต้องการล้อเล่นแน่“ไม่ต้องทำอันใดเลยเจ้าค่ะ แค่เปลี่ยนจากผักธรรมดาพวกนั้นเป็นผักปราณให้หมด”“เจ้าหมายความว่าอยากปลูกผักผลไม้ปราณแทนการปลูกผักธรรมดาหรือ”“เจ้าค่ะท่านแม่”สมาชิกในตระกูลเว่ยนิ่งคิด ความต้องการของบุตรสาวใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ด้วยน้ำพลังปราณที่เจ้าตัวมี การเปลี่ยนจากผักธรรมดาเป็นผักปราณนั้นทำได้ง่ายราวพลิกฝ่ามือ ไม่ใช่ว่าทุกวันนี้พวกตนก็กินผักผลไม้ปราณและเห็ดปราณ ที่ปลูกอยู่หลังเรือนของเว่ยซือหงหรอกหรือหลินซือเหยาถอนหายใจมองหลานสาวพลางว่า “บอกเหตุผลให้ย่าและพวกเราทุกคนฟังได้หรือไม่ ว่าเหตุใดจึงอยากปลูกและขายผักปราณ”ซึ่งคำถามของฮูหยินผู้เฒ่
ช่วงนี้เว่ยซือหงไม่ได้เคลื่อนไหวหรือทำอะไรเป็นพิเศษ นางทุ่มเวลาทั้งหมดให้ครอบครัว ทดแทนที่ตนหายไปตลอดระยะเวลาหนึ่งเดือน คนในตระกูลก็พอใจมากที่เจ้าตัวน้อยใช้ชีวิตสมกับที่เป็นเด็กเสียทีทว่าเป็นคนตระกูลใหญ่ ทั้งยังเป็นสตรี สิ่งที่ควรเรียนยังต้องเรียน นางจึงถูกท่านย่าคุมเข้มเรื่องศาสตร์ทั้งสี่เป็นประจำ ถึงจะไม่ค่อยชอบแต่เว่ยซือหงก็เข้าใจและทำได้ดี ทั้งนี้ยังต้องออกไปร่วมงานเลี้ยงกับท่านย่าหรือท่านแม่ยังจวนอื่น ๆ ตามบัตรเชิญที่ถูกส่งมาเป็นครั้งคราว เจ้าตัวน้อยเลยไม่รู้สึกเบื่อนักการออกไปพบปะผู้คนและเจอเพื่อนบ้างนับเป็นเรื่องดี เช่นวันนี้ที่นางมาเดินเที่ยวตลาดกับหลินหว่าน เด็กสาวจากตระกูลหลินที่เพิ่งทำความรู้จักกันไปเมื่อครั้งงานเลี้ยงต้อนรับคณะทูตที่ผ่านมานั่นเอง“เจ้าว่าปิ่นอันนี้สวยหรือไม่” หลินหว่านเอ่ยถามสหายพร้อมยื่นปิ่นดอกหมู่ตาน(โบตั๋น) ให้ดูเว่ยซือหงดูแล้วทั้งตัวรูปปิ่นและขนาดที่ไม่ใหญ่มากเกินไป เหมาะกับเด็ก ๆ อย่างพวกหน้า ก็พยักหน้ารับตอบคำทันทีเช่นกัน “สวยมาก เหมาะกับเจ้า”“จริงหรือ”“จริง”“เช่นนั้นข้าเอาอันนี้เจ้าค่ะ” คุณหนูตระกูลหลินส่งปิ่นให้สาวใช้ที่ติดตามมานำไปคิดเงิน“