รุ่งเช้าท่ามกลางเสียงโวกเวกโวยวาย ผู้คนเดินไปมา สลับวิ่งจนพื้นไม้ภายในบ้านสั่นสะเทือน ปวรุตม์รู้สึกว่าถูกรบกวนจากการนอนแสนสบาย จึงลืมตาปรือตื่น หันมองว่าร่างของแม่ข้างๆ หายไป คงจะสมทบกับญาติ ซึ่งกำลังทำอะไรสักอย่าง
“เร็วๆ เข้า!!! อุ้มคุณแม่ขึ้นรถ!!!” เสียงของผู้หลักผู้ใหญ่กำลังวุ่นวาย กับการนำร่างของคุณยายซึ่งเริ่มหายใจช้าลง หลับตาโดยไม่มีการตอบสนอง ครอบครัวญาติฝ่ายแม่ตกใจมาก
พวกเขาพาร่างของคุณยายขึ้นรถ ออกตัวจากบ้านไปอย่างรวดเร็ว รวมไปถึงญาติทุกๆ ต่างคนกลับไปที่รถของตัวเอง ต่างขับรถแห่ไปทีละคันจนหมดบ้าน...เหลือไว้เพียงเขายังยืนงงอยู่ภายในบ้านคนเดียว
“ไปกันหมดเลย” ปวรุตม์ไม่อาจจะพูดถามใคร ในช่วงเวลาอันฉุกละหุกได้เลย ว่าเขาควรทำตัวอย่างไร พ่อแม่เขาค่อนข้างวุ่นวายกับการพาร่างของคุณยายขึ้นรถ และรีบพาไปร.พ. ในขณะที่ญาติๆ คนอื่นๆ ต่างแยกย้ายขับรถตามไป
“กลิ่นจันทร์ไปกับเขาด้วยหรือเปล่านะ?” ปวรุตม์ยังคงนึกถึงสาวเมื่อคืนนี้ หากไม่อยู่ในพุ่มไม้มืด เขาอาจจะจำหน้าเธอได้ชัดกว่านี้ ตะวันในเช้านี้ทอแสงนวลแผ่วเบา แต่ท้องเขานี่สิ ร้องออกมาอย่างหิวโหย ไม่รู้ว่าตอนนี้จะเหลืออะไรใหเขากินได้บ้าง
******
ชายหนุ่มเดินไปทั่วบ้าน ไม่พบใครเลยนอกจากความเงียบสงัด และสายลมแทรกเข้ามากลบความเงียบให้ดังขึ้น ปวรุตม์พยายามเดินหาห้องครัว ซึ่งเดินไปเปิดตู้ไม้ หวังเพียงว่า เขาจะพบอาหารที่หลงเหลืออยู่ แต่กลับเป็นจานเปล่า ซึ่งยังไม่ได้เก็บล้างทำความสะอาด
ปวรุตม์ค่อนข้างผิดหวัง เมื่อเช้านี้ไม่มีอาหาร คงจะต้องแต่งตัวสวมเสื้อผ้า ต้องเดินทางออกไปนอกหมู่บ้านสินะ หากเดินตามถนน คงจะเจอร้านอาหารซื้ออะไรมากินฝากท้องได้บ้าง...
เมื่อคิดเช่นนั้นชายหนุ่มจึงดำเนินตามสิ่งที่คิด เพื่อเดินใส่รองเท้าหุ้มส้นคู่เดียว ออกไปเพียงลำพัง
ยังจะต้องเดินผ่านบริเวณหน้าบ้าน ซึ่งด้านข้างมีบ่อน้ำเก่าๆ คงไม่ได้ทำความสะอาดมานาน ... ครั้นเห็นเงาไหวๆ บนผิวน้ำ ปรากฏร่างของหญิงสาวหน้าหวาน สวมเสื้อลายลูกไม้นุ่งผ้าถุงสีชมพู แววตาเธอมองเขาผ่านใต้บ่อน้ำเก่านี้
“เอ๊ะ...นั้น...” ปวรุตม์เหลือบสายตาไปเห็นเงาของหญิงสาว เกือบจะคล้ายเมื่อคืน เขาคิดจะวิ่งไปหาเธอ เพื่อถามเสียหน่อยว่า ใช่กลิ่นจันทร์เมื่อคืนหรือเปล่า... เขาอยากให้เธอช่วยเหลือ เรื่องอาหารเช้าวันนี้เสียหน่อย...
เป็นเพราะความเปียกชื้นน้ำค้างเมื่อคืน หรือเป็นโคลนเปียก ปวรุตม์เกิดลื่นถไลตกบ่อน้ำเก่า อีกทั้งมันลึกจนเท้าเขายืนไม่ได้ ชายหนุ่มเริ่มจะว่ายน้ำขึ้นมา แต่ลืมไปว่าเขาว่ายน้ำไม่เป็น
ยามนี้เขาร้องเรียกขอความช่วยเหลือ แต่ลืมไปว่าเขาอยู่บ้านเพียงลำพัง ทำให้ร่างของชายหนุ่มค่อยๆ จมลงไปใต้บ่อน้ำ สติสัมปะชัญญะเริ่มจางหายไป เขาคงจะต้องจมน้ำขาดอากาศหายใจ ตายภายในบ่อน้ำนี้แน่นอน...
“ผมยังไม่อยากตาย...!!!” จิตสำนึกของเขาดังออกมาเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะหมดสติไป เขาคิดว่าถึงคราวที่เขาอาจจะตายที่บ้านนอกนี่ ไม่ได้กลับไปอีกแล้ว กรุงเทพฯ ...
******
เพียงรู้สึกถึงความอบอุ่นทั่วร่างกาย ปวรุตม์เริ่มได้สติพบว่าตัวเขามาฟื้นอยู่ข้างบ่อน้ำใส่สะอาด เต็มไปด้วยดอกบัว และปลาเล็กปลาหมอ รวมไปถึงปลาสวยงามมากมายในนั้น... ปวรุตม์รู้สึกตกใจเมื่อพบว่าเขามาอยู่ในบ้านใครกัน
“ที่นี่... มันที่ไหนวะ?” ชายหนุ่มรู้สึกสับสนเมื่อเห็นว่าสภาพรอบด้าน มีแต่ต้นไม้และพื้นดิน ถนนปูด้วยยางมะตอยหายไป พบแต่ทางถนนเต็มไปด้วยดินโคลนและหินทราย บริเวณรอบด้านมีแต่ต้นไม้หลายชนิด และท้องนา
อีกทั้งกลิ่นเหม็นแปลกๆ มีแต่วัวและควาย พร้อมเกวียน... ปวรุตม์พยายามนึกคิดว่า ก่อนเขามาที่นี่จำได้ว่าไม่มีเกวียน มันเหลือแต่ล้อเกวียนซึ่งแขวนอยู่ตรงราวระเบียงบ้าง แถมยังใหม่ราวกับเพิ่งซื้อมาใหม่
สายตาชายหนุ่มเริ่มจะสับสน นี่เขาตายแล้วใช่มั๊ย หรือว่าเขามาโผล่ที่ไหนกันแน่ ก้นบึงของบ่อน้ำเก่านี่หรือ? เขาจึงคลานไปมองที่บ่อน้ำใส เต็มไปด้วยบ่อบัว... และก็พบกับเงาสาววัยแรกรุ่น ในชุดไทยลายลูกไม้ เขาพยายามนึกว่า มันเป็นชุดสมัยร.๕
“นั้นเธอเป็นใคร? เข้ามาในบ้านฉันได้อย่างไรกัน?” หญิงสาวมองชายหนุ่มแปลกหน้า พร้อมกับสำรวจเสื้อผ้าผิดกับยุคสมัย แววตาของเธอมองเขาอย่างไม่ไว้ใจ แต่ท่าทางเขาทำให้เธออยากถามมากกว่า เขามาจากไหน
“เอ่อ... ขอโทษครับ... ผมชื่อ ปวรุตม์ มาจากกรุงเทพฯ” เขาตอบตามปกติทุกครั้งที่ถาม หญิงสาวทำหน้าสับสน เพราะไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน
“กรุงเทพฯ ... มาเสียไกลขนาดนั้น เดินทางมาที่นี่ได้อย่างไร ต้องการมาพบใครรึ?” หญิงสาวถามอย่างสุภาพ หวานนุ่ม ชวนน่าฟัง อากัปกิริยามารยาทเรียบร้อยสุภาพ ทำให้ปวรุตม์อยู่ในอารามขัดเขิน
“ผมมาเยี่ยมยายแสงดาวครับ ท่านป่วยหนักไม่สบายมาก และเท่าที่ผมจำได้ บ้านหลังนี้เป็นบ้านของยายแสงดาว และผมก็ลื่นตกบ่อน้ำจนหมดสติไป...” ปวรุตม์พยายามบอกให้เธอเข้าใจว่า ที่นี่เป็นบ้านยายเขา...
“ที่นี่... ไม่มียายชื่อแสงดาวนะ... มีแต่ยายฉันชื่อกล้วยไม้ แกไปสบายแล้วจ๊ะ ปู่ฉันชื่อสุบรรณ บวชเป็นพระที่วัดโน้น... พ่อฉันเป็นเจ้าขุนเข้าเมืองไปเดือนก่อน และแม่ฉันกำลังทำกับข้าวอยู่...” หญิงสาวยิ้มแย้มแล้วบอกอธิบายให้ชายหนุ่มแปลกหน้าให้เข้าใจว่า เขามาผิดบ้านแล้ว...
“ไม่จริงหรอกครับ ผมจำไม่ผิด... ทำไมเขาจะจำไม่ได้ เพราะต้นไม้และบ่อน้ำนี้ มันยังอยู่ที่เดิม แต่ทำไมมันดูเล็กและสะอาดกว่าตอนมันรก... คงมีใครทำความสะอาดมั๊ง...” ปวรุตม์รู้สึกว่ามันมีอะไรแปลกๆ ไม่ชอบมาพากลเสียแล้ว
“สงสัยคงได้สติกลับมาไม่ครบ ถ้างั้นลองเข้าไปคุยกับแม่ฉันดูก่อนมั๊ย? เผื่อท่านจะช่วยอะไรเธอได้บ้างนะ คุณปวรุตม์” เธอใช้คำสุภาพมาก ให้เกียรติชายหนุ่มแปลกหน้าอย่างเขา
ทำให้ใจชายปวรุตม์รู้สึกแอบชื่นชมหญิงสาวชาวบ้านขึ้นมา เธอดูน่ารัก หน้าตาจิ้มลิ้มขนาดนี้ แทบทำให้หัวใจเขาสั่นไหว ไปกับคำพูดนุ่มนวล ให้อบอุ่นหัวใจ
“เอ่อ... ขอบคุณครับ... คุณ...” เขาจำได้ว่าถามเธอแล้ว แต่เธอเลี่ยงไม่บอกเขาทีแรก ครานี้ อยากถามชื่อของเธออีกสักครั้ง... เพื่อว่าจะไม่อยู่รบกวนอีกต่อไป
“ฉันชื่อ กลิ่นจันทร์ จ๊ะ ตามฉันเข้ามาสิ...” เธอตอบเขาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ค่อนข้างเขินอาย เพราะคุยกับผู้ชายแปลกหน้าไปหลายคำ นึกแอบใจเต้นแรง เพราะไม่ค่อยได้คุยกับใครอื่น หากไม่ใช่คนในครอบครัว...
“หา!!!” ปวรุตม์ตกใจเมื่อได้ทราบชื่อ ทำไมชื่อเดียวกับสาวในความมืดค่ำนั้น
“เป็นอะไรไปรึ?” สีหน้าของเธอหันกลับมา ถามเขาอย่างสงสัย มีอะไรทำให้เขาตกใจกับชื่อของเธอ
“ปะ...เปล่าครับ... ขอบคุณครับที่ช่วยเหลือ...” ชายหนุ่มชาวกรุง ผู้มาจากกรุงเทพฯ ตอบเธอตะกุกตะกัก แล้วเดินตามเข้าบ้านไปด้วยกัน
เขาเริ่มไม่แน่ใจเสียแล้วว่า เธอจะเป็นคนๆ เดียวกัน หรือว่าคนละคนที่บังเอิญชื่อเดียวกันนะ... ชายหนุ่มพยายามทำใจเก็บอาการ ก่อนจะเดินตามเข้าไปในบ้าน เพื่อขอคุยกับแม่ของกลิ่นจันทร์
******
หลังจากนางสร้อยเงินเดินทางกลับมาถึงบ้าน พบเห็นว่าลูกสาวอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า นั่งเย็บปักถักร้อยอยู่ภายในห้องขอตัวเอง โดยไม่ออกมาด้านนอกตามที่ตนสั่ง นางสร้อยเงินแวะไปเยี่ยมนายปวรุตม์เสียหน่อยว่ากำลังทำงานอยู่หรือเปล่าพบเห็นว่าชายหนุ่มดังกล่าว กำลังนั่งปอกเปลือกมะพร้าว และกำลังผ่าฟืนตามสั่ง เพื่อเป็นเชื้อเพลิงให้นางสร้อยเงิน ทำอาหารมื้อเย็นและเช้าวันถัดไป“ทำงานอยู่รึ ระวังมีดบาดนะ”“ครับ ผมทำงานใกล้จะเสร็จแล้วครับ” ปวรุตม์ยิ้มแย้มก่อนจะตั้งใจทำงานต่อไป แววตาของนางสร้อยเงินมองชายหนุ่มอย่างไม่ไว้ใจ ระหว่างที่ไม่อยู่นางน่าจะพากลิ่นจันทร์ไปด้วย แต่อยากให้ลูกสาวประหลาดใจ เมื่ออีกไม่กี่วันบิดาของเธอจะกลับมาวันเวลาผ่านไปราวอาทิตย์หนึ่ง ปรากฏร่างของชายหนุ่มสูงวัย เดินทางมาถึงบ้านของนางสร้องเงิน ปวรุตม์กำลังขุดดินปลูกต้นไม้อยู่ข้างบ่อน้ำ เขาถอดเสื้อสวมผ้าถุงสีทึบเพียงชิ้นเดียว ปวรุตม์พบเห็นร่างของชายดูดีมีภูมิฐาน เขารู้สึกกลัวขึ้นมาในทันใด หน้าตาก็คล้ายๆ กับกลิ่นจันทร์“ไอ้หนุ่ม... เอ็งเป็นใครมาจากไหน มาอยู่บ้านข้าวะ?” แววตาที่ดุดันมองมายังชายหนุ่มอย่างไม่ไว้ใจ“สวัสดีครับ ผมชื่อ ปวรุตม์ คุณส
หลังจากนั้นเป็นต้นมา... ปวรุตม์จึงเปลี่ยนเสื้อผ้า ทำตัวกลมกลืนกับคนที่บ้านของกลิ่นจันทร์ ช่วยเหลืองานบ้าน และงานสวน ทำให้สร้อยเงินรู้สึกพอใจว่า ชายแปลกหน้าจากกรุงเทพฯ ซึ่งหาบ้านยายแสงดาวไม่เจอ กลายเป็นคนงานคนสวนไปโดยปริยายชายหนุ่มอาศัยอยู่ในเรือนรับรองเล็กๆ อีกแห่งของเขตบ้าน เพราะนางสร้อยเงินไม่ยอมให้อยู่ในบ้านเดียวกับลูกสาว หวังว่าจะไหว้วานผู้ใหญ่บ้าน ช่วยเขียนจดหมายไปบอกสามีในเมืองว่า ช่วยแวะกลับมาบ้าน เรื่องไอ้หนุ่มกรุงเทพฯ มาอาศัยอยู่ในบ้าน“แม่เดินทางปลอดภัย โชคดีนะจ๊ะ” หลังจากที่แอบลักลอบได้เสียกับปวรุตม์ เธอระมัดระวังตัวมิให้มารดารู้ว่า ลูกเสียสาวไปแล้วกับชายแปลกหน้า แต่เขาทำให้กลิ่นจันทร์มีความสุขยามเมื่อได้สวมกอด และบางสิ่งที่ทำให้เธอหลงใหล“แม่จะรีบไปรีบกลับนะ อยู่ดูแลบ้านดีๆ ล่ะ” นางสร้อยเงิน ใช้แรงงานทาสขับเกวียนไปส่งนางที่บ้านผู้ใหญ่ หวังจะขอให้ผู้มีความรู้เขียนจดหมายส่งไปให้สามีทราบเรื่องที่บ้านทีหลังจากนั้นเมื่อไม่มีใครอยู่เป็นเพื่อน กลิ่นจันทร์จึงเดินไปที่เรือนรับรองของปวรุตม์ เพื่อขอมีอะไรด้วยกันเพราะความคิดถึงมากมาย...ชายหนุ่มกำลังรอเวลานี้ที่จะได้อยู่กับกลิ่นจันท
เรือนกายหญิงสาวยืนพิงหลังต้นไม้ใหญ่ บดบังเรือนร่าของเธอและปวรุตม์ให้พ้นสายตาใครอื่น สองแขนหญิงสาวซึ่งกันเอาไว้ระหว่างอกเขาและกายบางได้ลดลง แขนบางทั้งสองโอบกอดตอบรับชายหนุ่มเบื้องหน้าทำให้ปวรุตม์ดีใจเหลือเกินเมื่อเธอยินยอมเขาแล้ว มือของชายหนุ่มทั้งสองจึงทำงานปลดตะขอกางเกง ทำให้แววตาหญิงสาวตกใจว่า นี่เขาจะแก้ผ้าทำไมกันนะ...“ปวรุตม์ คุณจะทำอะไรรึ?” เธอไม่เข้าใจว่า เขากำลังทำอะไรแปลกๆ ออกมา หลังจากบอกรักเธอ ต้องแก้ผ้าด้วยรึ?“ผมอยากได้คุณ ปลดผ้าถุงสิ” เขาบอกให้เธอทำบ้าง หญิงสาวยังรู้สึกสับสนว่า ทำไม แต่ถ้าลองดูก็อาจจะคลายความสงสัยได้บ้างเพียงช่วงล่างเปล่าเปลือยปวรุตม์ไม่เห็นมีที่ร่วมรักใดได้ คิดเสียว่าคงต้องเลือกท่ายืนนอกสถานที่ในป่าลับเช่นนี้เขาโอบอุ้มเธอเอาไว้ใต้สองแขน ทำให้กายบางหญิงสาวลอยสูง ปลายเท้าไม่แตะพื้นและช่วงต้นขาของเธอต้องกางออก เพราะเขาดึงร่างบางเข้าหาชายหนุ่ม เรือนหน้าหญิงสาวตกใจและหน้าแดงก่ำ เธอรู้สึกอายจริงๆ“อย่าตกใจนะ กลิ่นจันทร์... ผมจะทำให้คุณรู้สึกดีเอง” ชายหนุ่มพยายามกระซิบข้างหู มิให้เธอตกใจดิ้นหลุดจากแขนเขา เธอกลัวจนตัวสั่น ระหว่างถูกดึงเข้าหาร่างชายหนุ่ม ต้นข
หลังจากเขาแนะนำตัวเองกับแม่ของกลิ่นจันทร์ เธอชื่อสร้อยเงิน กำลังทำอาหารกับทาสสองคน สีหน้าของเธอไม่ค่อยไว้ใจที่มีผู้ชายแปลกหน้ามาคุยกับลูกสาว“แม่ อย่าไปว่าเขาสิ เขาคงหลงทางมาถึงบ้าน ถามหายายแสงดาว แม่พอจะรู้จักคุณยายแสงดาวไหม” กลิ่นจันทร์ถามด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม คิดว่าหากช่วยเหลือเขาไปแล้ว เธอกับแม่จะได้บุญ และเขาคงจะไปทำธุระเรื่องครอบครัวได้เสียที“โอ๊ย...อยู่มาตั้งนาน ไม่เคยได้ยินยายชื่อแสงดาวอะไรนั้นเลยนะ พ่อหนุ่มมาจากกรุงเทพฯ ลองไปถามญาติตัวเองใหม่เถอะ... กลับไปได้แล้ว ลูกสาวฉันจะเสียชื่อหมด” นางสร้อยเงินตอบปัด จึงอยากให้ทาสพาเขาออกจากเรือน“ไม่เป็นไรจ้าแม่... ให้ทาสช่วยแม่ทำอาหารเถอะ ฉันจะไปส่งเขาเองจ๊ะ” กลิ่นจันทร์รับอาสาเอง เพราะคิดว่าตนคงเป็นเหตุนำพาเรื่องวุ่นวายเข้าบ้าน คิดเสียว่าแนะนำให้เขาไปคุยกับผู้ใหญ่บ้าน เผื่อจะได้รับความช่วยเหลือที่ดีกว่านี้“ขอโทษนะครับ คุณแม่สร้อยเงิน ผมขอตัวกลับก่อนนะครับ” ปวรุตม์รู้สึกเสียใจที่ไม่ได้พบญาติหรือแม่ ทุกคนหายไปไหนหมด อีกทั้งทุกๆ คนที่นี่ใส่ชุดสมัยร.๕ทั้งนั้น เขามาหลงอยู่บ้านใครกันเนี่ย... ชายหนุ่มแอบคิด******กลิ่นจันทร์พาเขาเดินออกจากบร
รุ่งเช้าท่ามกลางเสียงโวกเวกโวยวาย ผู้คนเดินไปมา สลับวิ่งจนพื้นไม้ภายในบ้านสั่นสะเทือน ปวรุตม์รู้สึกว่าถูกรบกวนจากการนอนแสนสบาย จึงลืมตาปรือตื่น หันมองว่าร่างของแม่ข้างๆ หายไป คงจะสมทบกับญาติ ซึ่งกำลังทำอะไรสักอย่าง“เร็วๆ เข้า!!! อุ้มคุณแม่ขึ้นรถ!!!” เสียงของผู้หลักผู้ใหญ่กำลังวุ่นวาย กับการนำร่างของคุณยายซึ่งเริ่มหายใจช้าลง หลับตาโดยไม่มีการตอบสนอง ครอบครัวญาติฝ่ายแม่ตกใจมากพวกเขาพาร่างของคุณยายขึ้นรถ ออกตัวจากบ้านไปอย่างรวดเร็ว รวมไปถึงญาติทุกๆ ต่างคนกลับไปที่รถของตัวเอง ต่างขับรถแห่ไปทีละคันจนหมดบ้าน...เหลือไว้เพียงเขายังยืนงงอยู่ภายในบ้านคนเดียว“ไปกันหมดเลย” ปวรุตม์ไม่อาจจะพูดถามใคร ในช่วงเวลาอันฉุกละหุกได้เลย ว่าเขาควรทำตัวอย่างไร พ่อแม่เขาค่อนข้างวุ่นวายกับการพาร่างของคุณยายขึ้นรถ และรีบพาไปร.พ. ในขณะที่ญาติๆ คนอื่นๆ ต่างแยกย้ายขับรถตามไป“กลิ่นจันทร์ไปกับเขาด้วยหรือเปล่านะ?” ปวรุตม์ยังคงนึกถึงสาวเมื่อคืนนี้ หากไม่อยู่ในพุ่มไม้มืด เขาอาจจะจำหน้าเธอได้ชัดกว่านี้ ตะวันในเช้านี้ทอแสงนวลแผ่วเบา แต่ท้องเขานี่สิ ร้องออกมาอย่างหิวโหย ไม่รู้ว่าตอนนี้จะเหลืออะไรใหเขากินได้บ้าง******ช
ในความเงียบภายในรถยนต์ ระหว่างเดินทางออกมาตจว. นอกเขตเมือง สู่ชนบทในท้องนา ภาพบรรยากาศของตึกราบ้านช่องหายไปจากสายตาของชายหนุ่มคนหนึ่ง ซึ่งเป็นคนหนุ่มสมัยใหม่ อาศัยอยู่ในเมืองเขาจำใจต้องเดินทางมากับพ่อแม่ เพื่อไปบ้านของยายแสงดาวซึ่งอยู่ตจว. เขาเบื่อมากกับการไปอยู่บ้านนอก โบราณ คนแก่หัวเก่าๆ ซึ่งมันไม่มีอะไรน่าสนใจสำหรับเขาเลยปวรุตม์ (ปะ-วะ-รุด) หยิบมือถือสมาร์ทโฟนขึ้นมาเพื่อแชทกับเพื่อน และนัดกันว่ากลับบ้านจากญาติแล้ว จะไปดื่มเหล้าเที่ยวผับ ควงสาวมาฟันให้สนุกแก้เบื่อเสียเลย เขายิ้มเงียบๆ โดยมิให้พ่อซึ่งกำลังขับรถหันมาดุได้อีกแม่ของเขานั่งอยู่หน้ารถ กำลังชี้ทางบอกไปทางคุณยาย คือคุณแม่ของเธอค่อนข้างมีอายุมากแล้ว พวกเขาทั้งครอบครัวถูกเรียกให้มาบ้านญาติตจว. เพื่อให้มารับทราบว่า คุณยายใกล้จะไปสบายดีแล้ว ญาติคนอื่นๆ เรียกพ่อแม่และปวรุตม์ ให้มาดูใจกันครั้งท้าย ก่อนคุณยายจะเสีย“ทำตัวดีๆ นะแกไอ้รุตม์ เดี๋ยวจะไม่ได้รับมรดกกันพอดี” คุณพ่อของเขา เป็นลูกเขยของญาติข้างแม่ ชายหนุ่มอายุราวยี่สิบสองปี ทำตัวสงบเสงี่ยมเจียมตัวเรียบร้อย อย่างน้อยเขาอยากจะกลับเมือง มากกว่านอนค้างอยู่บ้านนอกตจว.แบบนี้