เมื่อหูฮูหยินเดินทางมาถึงโรงเก็บฟืนด้านหลังจวน นางตรงเข้าไปเรียกชายตัดฟืนคนใหม่ที่หน้าประตูห้อง
เด็กหนุ่มวัยสิบแปดที่มีรูปร่างสูงใหญ่ เปิดประตูออกมาท่ามกลางความมืดมิด เขาตกใจเมื่อเห็นฮูหยินของจวนมาเยือนบ่าวต้อยต่ำถึงที่นี่ “ฮูหยินมีอันใดให้ข้ารับใช้หรือขอรับ!” “อาเฟิงเจ้าไปเลือกฟืนท่อนใหญ่ในโรงเก็บฟืนเป็นเพื่อนข้าหน่อย ข้าจะรีบเอาไปใช้คืนนี้!” “ได้ขอรับฮูหยิน เชิญตามบ่าวมาทางนี้ขอรับ” อาเฟิงเดินนำหูฮูหยินเข้าไปในโรงเก็บฟืนข้างเรือนพัก สตรีสูงศักดิ์ปิดล็อคประตูจากด้านในก่อนจะเดินไปประกบที่แผ่นหลังใหญ่ของบ่าวตัดฟืน “ท่อนนี้ดีไหมครับฮูหยิน ตัดจากไม้เนื้อหอม วงปีของมันนับสิบปี ยิ่งโดนไฟเผาจะยิ่งส่งกลิ่นหอมขอรับ “แต่ข้าว่าท่อนนี้ดีกว่า ดูหนุ่มแน่นน่าดูดชิมมากกว่าท่อนไหนเสียอีก!” มือเรียวเอื้อมไปลูบคลำท่อนฟืนใหญ่ที่หลับไหลอยู่ใต้ร่มผ้า ก่อนจะปลดชุดปะชุนของชายหนุ่มตรงหน้าออก เหลือเพียงฟืนท่อนใหญ่ ที่ชูชันท้าทายนายสาวอยู่เบื้องหน้า ลิ้นเรียวเล็กไล้เลียจากปลายหัวหยักไปจนถึงโคน จนฟืนทั้งท่อนเปียกชุ่มไปด้วยน้ำลายของนาง ก่อนจะกลืนกินฟืนท่อนใหญ่เข้าไปจนมิดลำ บ่าวตัดฟืนที่ยังหนุ่มยังแน่นถึงกับครางกระเส่าด้วยความเสียวกระสัน เมื่อแก่นกายใหญ่ของเขาถูกสตรีสูงศักดิ์กำลังอมรูดราวกับกำลังกินถังหูลู่ “อ่าาส์!! ฮูหยิน” “เจ้าชอบไหม? อยากทำอันใดต่อหรือไม่?” “ข้าอยากให้มันเข้าไปในกายท่านขอรับ!!” “ทำไมจะมิได้กันเล่า!” ฮูหยินสูงศักดิ์วัยสามสิบถูกบ่าวตัดฟืนปลดเปลื้องชุดงดงามลงกองกับพื้น เหลือเพียงร่างอวบขาวที่ยืนยั่วยวนบุรุษหนุ่มเบื้องหน้า เพื่อจุดเพลิงกำหนัดในกายเขาปากหยักใหญ่ก้มลงดูดเต้าอวบอิ่มที่มีขนาดพอดีมืออย่างพึงใจ ในขณะที่สองนิ้วสากกำลังสอดใส่ในช่องทางรักของสตรีสูงศักดิ์เพื่อสำรวจความพร้อม
ต้นขาเรียวยกเกาะเกี่ยวเอวสอบขึ้นหนึ่งข้าง ก่อนที่ปลายหัวหยักถูกกดเข้าช่องทางรักของสตรีตรงหน้าจนมิดลำ หูฮูหยินครางกระเส่าด้วยความเสียดเสียวท่อนฟืนยักษ์ของบ่าวชั้นต่ำผู้นี้ช่างใหญ่โตมากกว่าชายใดที่นางเคยลิ้มรสมา
เขาหยุดนิ่งอยู่ครู่ใหญ่แล้วจึงเริ่มโยกสะโพกสอบเข้าออกกลางกายของนายสาว มือไม้ของชายหนุ่มป่ายปะไปตามผิวเนียนนุ่มของสตรีสูงศักดิ์ ในขณะที่ปากหยักใหญ่กำลังลิ้มรสความร้อนเร่าจากปากของนาง
“อร๊างงงค์!! อาเฟิงแรงกว่านี้ได้หรือไม่?” ฟืนท่อนใหญ่พุ่งเข้าชนช่องแคบเล็กของนายสาวอย่างถี่รัว เหงื่อเม็ดใหญ่ผุดขึ้นเต็มแผ่นหลังของชายหนุ่ม หลังจากที่เขากับนายสาวควบขี่กันจนถึงฝั่งฝัน น้ำรักข้นเหนียวก็ถูกปล่อยลงในกลางกายของสตรีสูงศักดิ์เขากอดฟัดเนื้อเนียนนุ่มอยู่ชั่วครู่ก่อนจะถอนแก่นกายออกจากร่างหญิงสาว เสื้อชุดงามถูกสวมทาบทับร่างเดิมก่อนที่หูฮูหยินจะเดินจากไปที่เรือนใหญ่ด้วยร่องรักที่อิ่มเอม
หลิวจิ่นอิงยังคงทำหน้าที่เป็นแม่นมของจวนผู้ตรวจการจนครบหนึ่งเดือน ในตอนรุ่งสางนางต้องคอยให้นมคุณหนูอี้หลงกับจิ้งซูบุตรชายตัวอ้วนตลอดทั้งวัน พอตกกลางดึกแม้นางจะพยายามหลบเลี่ยงขุนนางเฒ่า แต่ต้องโดนเขาฉุดกระชากมาชำเราหาความสำราญจากกายนางทุกค่ำคืน ในคืนสุดท้ายก่อนกลับหมู่บ้าน หลังขุนนางเฒ่าได้ปลดปล่อยน้ำข้นเหนียวลงในกลางกายนางจนสมใจ เขาก็เผลอหลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อนก่อนที่นางจะหลบหลีกออกจากห้องหนังสือ สายตาเรียวเหลือบไปเห็นกล่องกำปั่นขนาดเล็กที่ถูกซ่อนไว้หลังกองตำรา ภายในบรรจุของมีค่าอยู่มากมาย หญิงสาวเก็บกล่องกำปั่นเอาไว้แนบอก ก่อนจะรีบเก็บของกลับหมู่บ้านเมื่อยามฟ้าสาง
เมื่อกลับถึงหมู่บ้าน หลิวจิ่นอิงฝากบุตรชายตัวอ้วนขาวไว้กับลี่จือที่แผงซาลาเปาในตลาด ก่อนที่นางจะออกหาเรือนหลังใหม่เพื่อหลบหลีกการตามตัว จากคนในจวนผู้ตรวจการนางเดินเท้ามาถึงเรือนร้างเชิงเขาที่ติดทางขึ้นบนยอดเขาเฮยจิวจู่ ด้านข้างมีแม่น้ำสายใหญ่ที่เชื่อมต่อกับลำน้ำเข้าสู่ตัวเมือง นางไต่ถามเช่าเรือนร้างจากผู้อาวุโสในหมู่บ้าน จนรู้ว่าเรือนร้างหลังดังกล่าวเป็นของอาจารย์ใหญ่ที่สอนอยู่สำนักศึกษาบนยอดเขา
หลิวจิ่นอิงจึงบากบั่นเข้าพบเขาที่สำนักศึกษาเพื่ออ้อนวอนขอเช่าเรือนร้าง ซุนเหว่ยจ้องมองหญิงสาววัยสิบเก้าที่บากบั่นขึ้นเขามาเพื่อขอเช่าบ้านต่อจากเขาด้วยความชื่นชม
เขาตกปากมอบบ้านหลังดังกล่าวให้นางกับบุตรชายได้อยู่อาศัย โดยมีเงื่อนไขว่านางจะต้องเตรียมอาหารส่งให้เขาวันละหนึ่งครั้งเพื่อจ่ายเป็นค่าเช่าบ้านของนาง
“ข้ากับลูกต้องขอบคุณเหล่าซือที่เมตตาเราสองแม่ลูกนะเจ้าคะ พวกเราจะไม่ลืมบุญคุณของท่านไปจนวันตายเลยเจ้าค่ะ” “อย่าเกรงใจเลย ข้าเองก็เป็นเพียงบุรุษม่ายตัวคนเดียว จะเก็บงำเงินทองไว้มากมายเพื่อสิ่งใดกัน สู้ช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยากเช่นเจ้าจะดีเสียกว่า เอาล่ะ! ข้าขอมอบกุญแจเรือนให้กับเจ้า พรุ่งนี้เจ้าก็ไปเก็บของตระเตรียมเข้าพักที่เรือนได้เลย” “ขอบคุณในน้ำใจของเหล่าซืออีกครั้งเจ้าค่ะ” หญิงสาวคารวะอาจารย์เฒ่าก่อนจะเดินทางลงเขาด้วยความลิงโลด ในวันรุ่งขึ้นนางขอฝากบุตรชายไว้กับสหายคนสนิทอีกหนึ่งวัน ก่อนที่หลิวจิ่นอิงจะกลับมาทำความสะอาดเรือนหลังใหม่เพียงลำพัง เรือนใหม่ของนางเป็นเรือนไม้หลังเล็กขนาดกะทัดรัด ตั้งอยู่ข้างต้นไม้ใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านสาขาออกมาเต็มลานกว้างภายในเรือนชั้นล่างมีห้องครัวขนาดพอเหมาะ กับห้องอาบน้ำที่ถูกแยกออกไปด้านข้าง ในขณะที่ชั้นบนสุดมีห้องนอนเล็กอยู่สามห้องรับกับระเบียงที่ยื่นออกไปรับทิวทัศน์ของลำน้ำสายใหญ่ที่อยู่ใกล้เพียงไม่กี่ชุ่น
นางขายเครื่องประดับที่ขโมยมาจากจวนผู้ตรวจการไปเล็กน้อย เพื่อหาซื้อโต๊ะเก้าอี้มือสองมาวางไว้ใต้ร่มไม้ใหญ่ พร้อมกับซื้อเมล็ดพันธ์ุถั่วเหลืองและหัวมันเทศเพื่อเพาะปลูกในแปลงเล็กหลังบ้านหลิวจิ่นอิงตั้งใจอยากเปิดร้านขายเซาปิ่งกับน้ำชาที่เรือนหลังใหม่แห่งนี้ นางรู้มาว่าอีกไม่นานสำนักศึกษาบนยอดเขาก็จะเริ่มเปิดเรียน เมื่อถึงเวลานั้นนางจะตั้งใจฝึกฝนการเคี่ยวโจ๊กออกขายเพิ่มเติม เพื่อเลี้ยงดูตนเองกับบุตรชาย
หลังจากที่ทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย หลิวจิ่นอิงก็โอบอุ้มเจ้าลิงน้อยจิ้งซู ที่ป่ะป่ายในอ้อมกอดของนางเข้ามาอยู่ในเรือนหลังใหม่ด้วยความอิ่มเอมใจทุกๆ เช้าหลังจากที่นางให้นมทารกน้อยจนหลับปุ๋ย หญิงสาวก็เริ่มเข้าครัวเพื่อทำเซาปิ่งที่นางเชี่ยวชาญ ก่อนจะวางขายที่แผงขายเซาปิ่งที่หน้าเรือน
ก่อนหน้านี้อาจารย์เฒ่าซุนเหว่ยให้คนงานมาสร้างท่าเรือขนาดใหญ่ริมแม่น้ำใกล้กับเรือนหลังเล็ก ทำให้มีผู้คนมากหน้าหลายตาสัญจรผ่านร้านเซาปิ่งของนางจนคึกคัก เซาปิ่งของหญิงสาวถูกขายจนหมดเกลี้ยงในตอนบ่ายของทุกวัน หลิวจิ่นอิงเก็บของเข้าเรือนจนเรียบร้อย ก่อนจะอุ้มบุตรชายไปนอนเล่นรอนางบนแคร่ในสวนหลังบ้าน นางลงมือขุดพรวนดินจนร่วนซุยแล้วจึงหว่านเมล็ดถั่วเหลืองไปทั่วทั้งแปลงหัวมันเทศถูกฝังกลบในแปลงผืนยาวด้านข้างจนเรียบร้อย จากนั้นนางจึงรดน้ำพวกมันจนเปียกชุ่ม จากนั้นจึงพาเจ้าก้อนแป้งที่กำลังนอนหลับอุตุอยู่บนแคร่เข้าไปพักผ่อนในเรือน
ฝ่ายเหล่าซือเฒ่าที่รอเวลาเพื่อไปรับอาหารที่เรือนของหญิงสาวด้วยใจจดจ่อ หนึ่งเดือนที่ผ่านมา หลังจากที่เขาได้ลิ้มรสอาหารฝีมือของหญิงสาว ทำให้บุรุษม่ายที่ร้างราเรื่องรักใคร่มานับสิบปี เริ่มมีความรู้สึกเยี่ยงบุรุษหนุ่มทุกครั้งที่เขาได้สัมผัสผิวเนียนนุ่มของนาง เป็นต้องเก็บเอาไปฝัน จนแก่นกลางกายต้องพ่นน้ำรักออกมาจนเปียกฉ่ำ
เมื่อยามอาทิตย์เข้าสู่อัสดง เหล่าซือเฒ่าเปิดประตูเรือนหลังเล็กเพื่อเข้ารับอาหารเย็นดุจเช่นเคย เขากลับพบแต่เสียงร้องไห้จ้าของเจ้าเด็กก้อนแป้ง กับร่างที่เป็นลมไม่ได้สติของหญิงสาวเขาไม่รอช้า รีบโอบอุ้มเด็กชายใส่ไว้ในย่ามใหญ่ที่สะพายไว้ด้านข้าง ก่อนจะอุ้มหญิงสาวขึ้นรถม้าของสำนักศึกษาไปที่โรงหมอที่ใกล้ที่สุด หลังจากส่งนางเข้ารับการรักษาจากหมอเทวดาได้ไม่นาน เขาก็ออกมาแจ้งอาการเจ็บป่วยของนาง
“ข้าน้อยขอแสดงความยินดีกับเหล่าซือด้วยนะขอรับ ฮูหยินของท่านตั้งครรภ์ได้สองเดือนแล้วขอรับ เด็กในครรภ์แข็งแรงดี""???"
"นี่ท่าจะเป็นบุตรชายคนโตใช่ไหมขอรับ? ครั้งก่อนฮูหยินของท่านเคยพาเขามารักษาที่นี่ ใบหน้าเขาช่างคล้ายคลึงกับท่านยิ่งนัก!!”
“แล้วข้าต้องทำเช่นใดบ้าง?”
“ข้าเขียนเทียบยาบำรุงให้ท่านแล้ว ขอเพียงนางบำรุงร่างกาย ไม่ใช้ร่างกายหักโหม แล้วต้มยาบำรุงให้นางกินทุกวันก็พอแล้วขอรับ” “อืมม!!” “อ้อ!! ส่วนเรื่องในยามค่ำคืน ช่วงนี้ให้งดก่อนนะขอรับ รอให้ครรภ์ฮูหยินโตขึ้นสักสี่ถึงหกเดือน พวกท่านก็ละเล่นท่าง่ายๆ ได้ขอรับ!!” “ขอบคุณท่านหมอ ข้าเข้าใจแล้ว!!”เหล่าซือเฒ่าตอบกลับหมอเทวดาด้วยใบหน้าขึ้นสีราวกับลูกท้อสุกกว่าจะเสร็จสิ้นการสอนงานปั้นในชั้นเรียนก็กินเวลาถึงพลบค่ำ คนทั้งสองออกจากสำนักช่างฝีมือในต้นยามสวี่ (19.00-21.00) ในขณะที่ทั้งสองกำลังลัดเลาะบนถนนสายเล็ก ต่างปกคลุมไปด้วยป่าไผ่ที่กำลังสั่นไหวโอนเอน จู่ๆพายุฝนก็โหมกระหน่ำใส่คนทั้งคู่อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย หยางจิ่งถงพาหญิงสาวเข้าหลบฝนที่ใต้ร่มไม้ใหญ่ ก่อนจะมีเสียงฟ้าผ่าขึ้นในจุดที่ไม่ไกลจากคนทั้งคู่ หญิงสาวข้างกายกรีดร้องด้วยความหวาดกลัว เขาจึงตัดสินใจช้อนร่างอวบอิ่มที่กำลังสั่นเทาวิ่งฝ่าสายฝนเข้าไปหลบในอารามร้างที่อยู่ไม่ไกลนักจักรพรรดิ์หนุ่มบรรจงวางนางลงบนท่อนฟางนุ่มที่เขาเก็บรวบรวมในอารามร้าง ก่อนจะลุกออกไปนั่งที่มุมห้องอีกด้าน มือเรียวเล็กคว้าแขนท่อนใหญ่เอาไว้ได้ทัน ก่อนจะร้องเรียกเขาด้วยเสียงแผ่วเบา“อาถง อยู่ข้างๆข้าได้หรือไม่? ข้ากลัวเสียงฟ้าร้อง”“อืมม! ไม่ต้องกลัว ข้าอยู่นี่แล้ว”“เจ้าหิวหรือไม่? ข้ามีเซาปิ่งติดตัวมาด้วย เราแบ่งกันคนละชิ้นนะ”คนทั้งคู่นั่งกินเซาปิ่งเงียบๆ ท่ามกลางพายุฝนที่ไม่มีทีท่าว่าจะสงบลงแต่อย่างใด ชายหนุ่มกินเซาปิ่งในมือด้วยความเอร็ดอร่อยพลางเอ่ยถามหญิงสาวตรงหน้าด้วยความสนใจ“เซาปิ่งพวกนี้เจ้าทำเองหรือ? รส
เช้าวันต่อมา นักพรตหนุ่มเหลียงตั๋วลู่กับศิษย์น้องต่างเตรียมตัวเดินทางต่อ ก่อนออกเดินทางเขาจึงพานางมารับสำรับที่ลานกว้างใต้ร่มไม้ใหญ่ ชายหนุ่มลิ้มรสโจ๊กปูด้วยความเอร็ดอร่อยในขณะที่ศิษย์น้องฟ่านฟ่านกำลังกินเซาปิ่งหมดเป็นชิ้นที่สาม“สำรับอาหารที่นี่ช่างรสชาติดีกว่าสำนักของเราเป็นหลายร้อยเท่าเลยนะศิษย์พี่” “เช่นนั้น ข้าจะลองไปคุยกับแม่ครัว เผื่อจะชักชวนให้เขาไปทำอาหารที่สำนักของเราได้ เจ้าว่าดีไหม?”“ดีเจ้าค่ะ”เมื่อเดินไปในครัวเขาก็พบกับหญิงสาวหน้าตาพริ้มเพรากำลังเดินออกจากครัวเล็ก หลังจากที่เพิ่งทำสำรับเสร็จเขาตกตะลึงในความงดงามของหญิงสาวตรงหน้าก่อนจะรวบรวมสติสอบถามนางด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน“แม่นาง เจ้าเป็นคนทำสำรับเหล่านี้หรือ? เจ้าสนใจไปทำอาหารที่สำนักของอาจารย์ข้าหรือไม่ ข้าจะขอให้อาจารย์จ่ายให้เจ้าเป็นสองเท่าเลยนะ”“เห็นทีต้องทำให้คุณชายผิดหวังแล้วเจ้าค่ะ ข้าเป็นเจ้าของร้านที่นี่ มิอาจรับทำอาหารในสำนักคุณชายได้เจ้าค่ะ”“อ่า! ข้าขออภัยแม่นางเป็นอย่างยิ่ง ข้ามิได้ตั้งใจแย่งชิงแม่ครัวในร้านของเจ้า เพียงแต่ประทับใจในรสชาติอาหารเท่านั้น”“ขอบคุณเจ้าค่ะ เช่นนั้นข้าขอตัวก่อนนะเจ้าคะ”“ข้าช
หลังจากควบม้าผ่านท่าน้ำหน้าวังหลัง โอรสสวรรค์ชะงักงันเพียงชั่วครู่ก่อนจะหันไปสั่งการกับองค์รักษ์ที่คอยติดตามอยู่ด้านข้าง“พวกเจ้าล่วงหน้าไปรอเราที่สำนักศึกษาก่อนเถิด เราอยากเที่ยวเล่นในเมืองสักพัก ใกล้ถึงวันแข่งขันเราจะไปที่นั่นเอง”“แล้วความปลอดภัยของพระองค์เล่าพะย่ะค่ะ!”“ไม่ต่องห่วงอันใด พวกเจ้าลืมแล้วหรือว่ายังมีองครักษ์เงาอยู่กับเราทุกๆที่”“น้อมรับคำสั่งพะย่ะค่ะ”หยางจิ่งถงฝากม้าโลหิตไว้ที่โรงเลี้ยงม้าด้านข้าง ก่อนจะกระโดดขึ้นเรือรับจ้างที่มุ่งสู่จุดหมายปลายทาง เรือลำใหญ่ลัดเลาะตามลำน้ำอย่างอ้อยอิ่ง สายลมเย็นพัดโชยเอื่อยตลอดเส้นทางจนทำให้โอรสสวรรค์เผลอหลับไป ระหว่างทางเรือลำใหญ่จอดรับนักเดินทางที่ท่าเรือกลางตลาดในเมืองเฮยจิวจู่ ด้วยความแออัดของนักเดินทางที่เต็มลำเรือ ข้างกายโอรสสวรรค์ปรากฏร่างหญิงสาวใบหน้างามล่มเมืองในชุดแต่งกายสีเรียบ ที่เพิ่งกลับจากงานสอนเครื่องปั้นในสำนักช่างฝีมือ ชายหนุ่มสูงศักดิ์ตื่นขึ้นมาสบตากับสตรีด้านข้างที่มีใบหน้าพริ้มเพราด้วยความตะลึงงัน หลังจากถูกบุรุษแปลกหน้าจดจ้องเป็นนานสองนาน ซุนซูหลินจึงเอ่ยขึ้นเพื่อทำลายความเงียบ“ใบหน้าข้ามีอันใดติดอยู่หรื
หยางจิ่งถง โอรสองค์เดียวของชินอ๋อง (หรือที่เหล่าชาวเมืองต่างขนานนามว่า องค์ชายห้า)ที่เกิดกับจางฮองเฮา เขามีน้องสาวต่างมารดาที่เกิดจากหลิวกุ้ยเฟยอยู่คนหนึ่ง นางมีนามว่าองค์หญิงหยางจิงฮวา จักรพรรดิ์หยางจิ่งถงขึ้นครองราชย์แทนบิดาที่สละราชสมบัติเพื่อท่องเที่ยวยุทธภพพร้อมกับมารดาตั้งแต่ตอนที่เขาอายุได้สิบแปดปี บุรุษสูงศักดิ์เติบโตขึ้นเป็นบุรุษรูปร่างสูงใหญ่ที่ถอดเค้าโครงหน้ามาจากบิดาไม่มีผิดเพี้ยน ความรูปงามของโอรสสวรรค์ล้วนเป็นที่เลื่องลือออกไปต่างแคว้น จนบรรดาแคว้นเล็กแคว้นน้อยต่างมอบบุตรีให้เป็นสตรีวังหลังของจักรพรรดิ์หนุ่มถึงแม้จะมีสตรีวังหลังอยู่มากมาย แต่เขามิอาจแต่งตั้งผู้ใดขึ้นเป็นฮองเฮาคู่ใจได้ เพราะในวัยเยาว์เขาได้หมั้นหมายกับบุตรีของเสนาบดีฝ่ายซ้ายผู้กุมความลับของราชวงศ์เอาไว้อย่างแน่นหนาเช้าวันครบรอบของการครองราชสมบัติครบปีที่สอง เสนาบดีฝ่ายซ้ายหูจวี่ได้ยื่นฎีกาในท้องพระโรง เพื่อขอพระราชทานสมรสและแต่งตั้งบุตรีของเขาขึ้นเป็นฮองเฮา หลังจากที่จักรพรรดิ์หยางจิ่งถงมีอายุครบยี่สิบปีบริบูรณ์เหมาะแก่การมีคู่บารมี เพื่อให้กำเนิดองค์รัชทายาทเพื่อความมั่นคงของราชสำนัก ท่ามกลางการส
สิบแปดปีผ่านไป ร้านเซาปิ่งอันเลื่องชื่อกลับมาครึกครื้นไปด้วยลูกค้ามากหน้าหลายตาอีกครั้ง หลังจากที่ฮูหยินเจ้าของเรือนล้มป่วยจากไปปรโลกเมื่อสามปีก่อน ทั้งโรงเตี๊ยมริมน้ำและร้านเซาปิ่งแห่งนี้ก็ปิดตัวลงอย่างกะทันหันเมื่อจัดการงานศพไว้ทุกข์ให้กับมารดาเป็นที่เรียบร้อย ซุนซูหลินก็กลับมาเปิดร้านเซาปิ่งและโรงเตี๊ยมริมน้ำของมารดาดังเช่นกาลก่อน โรงเตี๊ยมที่เคยตกแต่งอย่างเรียบง่ายถูกเพิ่มเติมด้วยเครื่องปั้นงานศิลปะที่หญิงสาวเชี่ยวชาญในขณะทิวทัศน์ด้านหลังของโรงเตี๊ยมถูกโอบล้อมด้วยทุ่งข้าวฟ่างกับไร่ถั่วเหลืองนับร้อยหมู่ที่ชูช่อสีเหลืองทองเป็นทิวแถว จนทำให้เหล่าบัณฑิตและเหล่ากวีเอกต่างเข้าจับจองที่พักในฤดูการเก็บเกี่ยวเพื่อชื่นชมความงามที่ถูกรังสรรค์ขึ้นจากธรรมชาติร้านเซาปิ่งหน้าเรือนหลังเล็กถูกมารดานางต่อเติมพื้นที่เรือนให้ใหญ่โตกว้างขวาง ระแนงไม้ข้างบ้านต่างรายล้อมไปด้วยดอกไม้นานาพรรณ หลังจากที่มารดาของนางจากไปปรโลกเมื่อสามปีก่อน บิดาได้แต่เก็บตัวเงียบอยู่ในสำนักศึกษา วันนี้หลังจากนางกลับมาจากงานสอนช่างฝีมือเครื่องปั้น ซุนซูหลินจึงเข้าครัวตั้งใจเตรียมข้าวห่อใบบัวกับน้ำแกงไก่ป่าซึ่งเป็นของโปรดข
วันเวลาล่วงเลยไปนานแปดเดือนเศษ ร้านขายเซาปิ่งของหลิวจิ่นอิงนับวันจะขายดีขึ้นเรื่อยๆ หญิงสาวเจรจาให้ลี่จือสหายคนสนิทนำหมั่นโถวกับซาลาเปามาเปิดแผงเพิ่มที่ร้านของนาง ทำให้เหล่านักเดินทางที่ลงเรือที่ท่าน้ำ กับบรรดาศิษย์ของสำนักศึกษาที่อยู่บนเขา ต่างแวะเวียนมานั่งพักรับความสำราญอยู่ที่นี่เป็นประจำก่อนหน้านี้เหล่าซือเฒ่ากว้านซื้อที่ดินบริเวณรอบเรือนเล็กเพื่อให้หลิวจิ่นอิงได้ต่อเติมกิจการร้านค้า นางจึงรวบรวมเงินที่ได้จากน้ำพักน้ำแรงมาสร้างโรงเตี๊ยมขนาดเล็กขึ้นที่ริมแม่น้ำด้านข้าง ขนาดห้องพักมีรูปแบบเรียบง่าย เข้ากับบรรยากาศริมแม่น้ำกับทุ่งข้าวฟ่างที่กำลังชูช่อสีเหลืองทองอยู่เต็มผืนดิน และแล้วโรงเตี๊ยมก็สร้างเสร็จทันกำหนดคลอดของหลิวจิ่นอิงเมื่อเข้าสู่ยามเหม่า (5.00-7.00) ของเช้าวันหนึ่ง รถม้าจากสำนักศึกษาได้พาหมอเทวดามาทำคลอดฮูหยินของเหล่าซือเฒ่าที่กำลังเจ็บท้องใกล้คลอด ในเรือนหลังเล็กท่ามกลางความเงียบสงบของเมืองเฮยจิวจู่ในเวลาไม่นาน บุตรีตัวอ้วนขาวก็คลอดออกมาทักทายมารดาของนางด้วยความปลอดภัย ท่ามกลางการลุ้นระทึกของเหล่าซือเฒ่า ที่ผุดลุกผุดนั่งที่หน้าห้องทำคลอด เขาโอบอุ้มบุตรีตัวอ้วนด้วยควา