เมื่อหูฮูหยินเดินทางมาถึงโรงเก็บฟืนด้านหลังจวน นางตรงเข้าไปเรียกชายตัดฟืนคนใหม่ที่หน้าประตูห้อง
เด็กหนุ่มวัยสิบแปดที่มีรูปร่างสูงใหญ่ เปิดประตูออกมาท่ามกลางความมืดมิด เขาตกใจเมื่อเห็นฮูหยินของจวนมาเยือนบ่าวต้อยต่ำถึงที่นี่ “ฮูหยินมีอันใดให้ข้ารับใช้หรือขอรับ!” “อาเฟิงเจ้าไปเลือกฟืนท่อนใหญ่ในโรงเก็บฟืนเป็นเพื่อนข้าหน่อย ข้าจะรีบเอาไปใช้คืนนี้!” “ได้ขอรับฮูหยิน เชิญตามบ่าวมาทางนี้ขอรับ” อาเฟิงเดินนำหูฮูหยินเข้าไปในโรงเก็บฟืนข้างเรือนพัก สตรีสูงศักดิ์ปิดล็อคประตูจากด้านในก่อนจะเดินไปประกบที่แผ่นหลังใหญ่ของบ่าวตัดฟืน “ท่อนนี้ดีไหมครับฮูหยิน ตัดจากไม้เนื้อหอม วงปีของมันนับสิบปี ยิ่งโดนไฟเผาจะยิ่งส่งกลิ่นหอมขอรับ “แต่ข้าว่าท่อนนี้ดีกว่า ดูหนุ่มแน่นน่าดูดชิมมากกว่าท่อนไหนเสียอีก!” มือเรียวเอื้อมไปลูบคลำท่อนฟืนใหญ่ที่หลับไหลอยู่ใต้ร่มผ้า ก่อนจะปลดชุดปะชุนของชายหนุ่มตรงหน้าออก เหลือเพียงฟืนท่อนใหญ่ ที่ชูชันท้าทายนายสาวอยู่เบื้องหน้า ลิ้นเรียวเล็กไล้เลียจากปลายหัวหยักไปจนถึงโคน จนฟืนทั้งท่อนเปียกชุ่มไปด้วยน้ำลายของนาง ก่อนจะกลืนกินฟืนท่อนใหญ่เข้าไปจนมิดลำ บ่าวตัดฟืนที่ยังหนุ่มยังแน่นถึงกับครางกระเส่าด้วยความเสียวกระสัน เมื่อแก่นกายใหญ่ของเขาถูกสตรีสูงศักดิ์กำลังอมรูดราวกับกำลังกินถังหูลู่ “อ่าาส์!! ฮูหยิน” “เจ้าชอบไหม? อยากทำอันใดต่อหรือไม่?” “ข้าอยากให้มันเข้าไปในกายท่านขอรับ!!” “ทำไมจะมิได้กันเล่า!” ฮูหยินสูงศักดิ์วัยสามสิบถูกบ่าวตัดฟืนปลดเปลื้องชุดงดงามลงกองกับพื้น เหลือเพียงร่างอวบขาวที่ยืนยั่วยวนบุรุษหนุ่มเบื้องหน้า เพื่อจุดเพลิงกำหนัดในกายเขาปากหยักใหญ่ก้มลงดูดเต้าอวบอิ่มที่มีขนาดพอดีมืออย่างพึงใจ ในขณะที่สองนิ้วสากกำลังสอดใส่ในช่องทางรักของสตรีสูงศักดิ์เพื่อสำรวจความพร้อม
ต้นขาเรียวยกเกาะเกี่ยวเอวสอบขึ้นหนึ่งข้าง ก่อนที่ปลายหัวหยักถูกกดเข้าช่องทางรักของสตรีตรงหน้าจนมิดลำ หูฮูหยินครางกระเส่าด้วยความเสียดเสียวท่อนฟืนยักษ์ของบ่าวชั้นต่ำผู้นี้ช่างใหญ่โตมากกว่าชายใดที่นางเคยลิ้มรสมา
เขาหยุดนิ่งอยู่ครู่ใหญ่แล้วจึงเริ่มโยกสะโพกสอบเข้าออกกลางกายของนายสาว มือไม้ของชายหนุ่มป่ายปะไปตามผิวเนียนนุ่มของสตรีสูงศักดิ์ ในขณะที่ปากหยักใหญ่กำลังลิ้มรสความร้อนเร่าจากปากของนาง
“อร๊างงงค์!! อาเฟิงแรงกว่านี้ได้หรือไม่?” ฟืนท่อนใหญ่พุ่งเข้าชนช่องแคบเล็กของนายสาวอย่างถี่รัว เหงื่อเม็ดใหญ่ผุดขึ้นเต็มแผ่นหลังของชายหนุ่ม หลังจากที่เขากับนายสาวควบขี่กันจนถึงฝั่งฝัน น้ำรักข้นเหนียวก็ถูกปล่อยลงในกลางกายของสตรีสูงศักดิ์เขากอดฟัดเนื้อเนียนนุ่มอยู่ชั่วครู่ก่อนจะถอนแก่นกายออกจากร่างหญิงสาว เสื้อชุดงามถูกสวมทาบทับร่างเดิมก่อนที่หูฮูหยินจะเดินจากไปที่เรือนใหญ่ด้วยร่องรักที่อิ่มเอม
หลิวจิ่นอิงยังคงทำหน้าที่เป็นแม่นมของจวนผู้ตรวจการจนครบหนึ่งเดือน ในตอนรุ่งสางนางต้องคอยให้นมคุณหนูอี้หลงกับจิ้งซูบุตรชายตัวอ้วนตลอดทั้งวัน พอตกกลางดึกแม้นางจะพยายามหลบเลี่ยงขุนนางเฒ่า แต่ต้องโดนเขาฉุดกระชากมาชำเราหาความสำราญจากกายนางทุกค่ำคืน ในคืนสุดท้ายก่อนกลับหมู่บ้าน หลังขุนนางเฒ่าได้ปลดปล่อยน้ำข้นเหนียวลงในกลางกายนางจนสมใจ เขาก็เผลอหลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อนก่อนที่นางจะหลบหลีกออกจากห้องหนังสือ สายตาเรียวเหลือบไปเห็นกล่องกำปั่นขนาดเล็กที่ถูกซ่อนไว้หลังกองตำรา ภายในบรรจุของมีค่าอยู่มากมาย หญิงสาวเก็บกล่องกำปั่นเอาไว้แนบอก ก่อนจะรีบเก็บของกลับหมู่บ้านเมื่อยามฟ้าสาง
เมื่อกลับถึงหมู่บ้าน หลิวจิ่นอิงฝากบุตรชายตัวอ้วนขาวไว้กับลี่จือที่แผงซาลาเปาในตลาด ก่อนที่นางจะออกหาเรือนหลังใหม่เพื่อหลบหลีกการตามตัว จากคนในจวนผู้ตรวจการนางเดินเท้ามาถึงเรือนร้างเชิงเขาที่ติดทางขึ้นบนยอดเขาเฮยจิวจู่ ด้านข้างมีแม่น้ำสายใหญ่ที่เชื่อมต่อกับลำน้ำเข้าสู่ตัวเมือง นางไต่ถามเช่าเรือนร้างจากผู้อาวุโสในหมู่บ้าน จนรู้ว่าเรือนร้างหลังดังกล่าวเป็นของอาจารย์ใหญ่ที่สอนอยู่สำนักศึกษาบนยอดเขา
หลิวจิ่นอิงจึงบากบั่นเข้าพบเขาที่สำนักศึกษาเพื่ออ้อนวอนขอเช่าเรือนร้าง ซุนเหว่ยจ้องมองหญิงสาววัยสิบเก้าที่บากบั่นขึ้นเขามาเพื่อขอเช่าบ้านต่อจากเขาด้วยความชื่นชม
เขาตกปากมอบบ้านหลังดังกล่าวให้นางกับบุตรชายได้อยู่อาศัย โดยมีเงื่อนไขว่านางจะต้องเตรียมอาหารส่งให้เขาวันละหนึ่งครั้งเพื่อจ่ายเป็นค่าเช่าบ้านของนาง
“ข้ากับลูกต้องขอบคุณเหล่าซือที่เมตตาเราสองแม่ลูกนะเจ้าคะ พวกเราจะไม่ลืมบุญคุณของท่านไปจนวันตายเลยเจ้าค่ะ” “อย่าเกรงใจเลย ข้าเองก็เป็นเพียงบุรุษม่ายตัวคนเดียว จะเก็บงำเงินทองไว้มากมายเพื่อสิ่งใดกัน สู้ช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยากเช่นเจ้าจะดีเสียกว่า เอาล่ะ! ข้าขอมอบกุญแจเรือนให้กับเจ้า พรุ่งนี้เจ้าก็ไปเก็บของตระเตรียมเข้าพักที่เรือนได้เลย” “ขอบคุณในน้ำใจของเหล่าซืออีกครั้งเจ้าค่ะ” หญิงสาวคารวะอาจารย์เฒ่าก่อนจะเดินทางลงเขาด้วยความลิงโลด ในวันรุ่งขึ้นนางขอฝากบุตรชายไว้กับสหายคนสนิทอีกหนึ่งวัน ก่อนที่หลิวจิ่นอิงจะกลับมาทำความสะอาดเรือนหลังใหม่เพียงลำพัง เรือนใหม่ของนางเป็นเรือนไม้หลังเล็กขนาดกะทัดรัด ตั้งอยู่ข้างต้นไม้ใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านสาขาออกมาเต็มลานกว้างภายในเรือนชั้นล่างมีห้องครัวขนาดพอเหมาะ กับห้องอาบน้ำที่ถูกแยกออกไปด้านข้าง ในขณะที่ชั้นบนสุดมีห้องนอนเล็กอยู่สามห้องรับกับระเบียงที่ยื่นออกไปรับทิวทัศน์ของลำน้ำสายใหญ่ที่อยู่ใกล้เพียงไม่กี่ชุ่น
นางขายเครื่องประดับที่ขโมยมาจากจวนผู้ตรวจการไปเล็กน้อย เพื่อหาซื้อโต๊ะเก้าอี้มือสองมาวางไว้ใต้ร่มไม้ใหญ่ พร้อมกับซื้อเมล็ดพันธ์ุถั่วเหลืองและหัวมันเทศเพื่อเพาะปลูกในแปลงเล็กหลังบ้านหลิวจิ่นอิงตั้งใจอยากเปิดร้านขายเซาปิ่งกับน้ำชาที่เรือนหลังใหม่แห่งนี้ นางรู้มาว่าอีกไม่นานสำนักศึกษาบนยอดเขาก็จะเริ่มเปิดเรียน เมื่อถึงเวลานั้นนางจะตั้งใจฝึกฝนการเคี่ยวโจ๊กออกขายเพิ่มเติม เพื่อเลี้ยงดูตนเองกับบุตรชาย
หลังจากที่ทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย หลิวจิ่นอิงก็โอบอุ้มเจ้าลิงน้อยจิ้งซู ที่ป่ะป่ายในอ้อมกอดของนางเข้ามาอยู่ในเรือนหลังใหม่ด้วยความอิ่มเอมใจทุกๆ เช้าหลังจากที่นางให้นมทารกน้อยจนหลับปุ๋ย หญิงสาวก็เริ่มเข้าครัวเพื่อทำเซาปิ่งที่นางเชี่ยวชาญ ก่อนจะวางขายที่แผงขายเซาปิ่งที่หน้าเรือน
ก่อนหน้านี้อาจารย์เฒ่าซุนเหว่ยให้คนงานมาสร้างท่าเรือขนาดใหญ่ริมแม่น้ำใกล้กับเรือนหลังเล็ก ทำให้มีผู้คนมากหน้าหลายตาสัญจรผ่านร้านเซาปิ่งของนางจนคึกคัก เซาปิ่งของหญิงสาวถูกขายจนหมดเกลี้ยงในตอนบ่ายของทุกวัน หลิวจิ่นอิงเก็บของเข้าเรือนจนเรียบร้อย ก่อนจะอุ้มบุตรชายไปนอนเล่นรอนางบนแคร่ในสวนหลังบ้าน นางลงมือขุดพรวนดินจนร่วนซุยแล้วจึงหว่านเมล็ดถั่วเหลืองไปทั่วทั้งแปลงหัวมันเทศถูกฝังกลบในแปลงผืนยาวด้านข้างจนเรียบร้อย จากนั้นนางจึงรดน้ำพวกมันจนเปียกชุ่ม จากนั้นจึงพาเจ้าก้อนแป้งที่กำลังนอนหลับอุตุอยู่บนแคร่เข้าไปพักผ่อนในเรือน
ฝ่ายเหล่าซือเฒ่าที่รอเวลาเพื่อไปรับอาหารที่เรือนของหญิงสาวด้วยใจจดจ่อ หนึ่งเดือนที่ผ่านมา หลังจากที่เขาได้ลิ้มรสอาหารฝีมือของหญิงสาว ทำให้บุรุษม่ายที่ร้างราเรื่องรักใคร่มานับสิบปี เริ่มมีความรู้สึกเยี่ยงบุรุษหนุ่มทุกครั้งที่เขาได้สัมผัสผิวเนียนนุ่มของนาง เป็นต้องเก็บเอาไปฝัน จนแก่นกลางกายต้องพ่นน้ำรักออกมาจนเปียกฉ่ำ
เมื่อยามอาทิตย์เข้าสู่อัสดง เหล่าซือเฒ่าเปิดประตูเรือนหลังเล็กเพื่อเข้ารับอาหารเย็นดุจเช่นเคย เขากลับพบแต่เสียงร้องไห้จ้าของเจ้าเด็กก้อนแป้ง กับร่างที่เป็นลมไม่ได้สติของหญิงสาวเขาไม่รอช้า รีบโอบอุ้มเด็กชายใส่ไว้ในย่ามใหญ่ที่สะพายไว้ด้านข้าง ก่อนจะอุ้มหญิงสาวขึ้นรถม้าของสำนักศึกษาไปที่โรงหมอที่ใกล้ที่สุด หลังจากส่งนางเข้ารับการรักษาจากหมอเทวดาได้ไม่นาน เขาก็ออกมาแจ้งอาการเจ็บป่วยของนาง
“ข้าน้อยขอแสดงความยินดีกับเหล่าซือด้วยนะขอรับ ฮูหยินของท่านตั้งครรภ์ได้สองเดือนแล้วขอรับ เด็กในครรภ์แข็งแรงดี""???"
"นี่ท่าจะเป็นบุตรชายคนโตใช่ไหมขอรับ? ครั้งก่อนฮูหยินของท่านเคยพาเขามารักษาที่นี่ ใบหน้าเขาช่างคล้ายคลึงกับท่านยิ่งนัก!!”
“แล้วข้าต้องทำเช่นใดบ้าง?”
“ข้าเขียนเทียบยาบำรุงให้ท่านแล้ว ขอเพียงนางบำรุงร่างกาย ไม่ใช้ร่างกายหักโหม แล้วต้มยาบำรุงให้นางกินทุกวันก็พอแล้วขอรับ” “อืมม!!” “อ้อ!! ส่วนเรื่องในยามค่ำคืน ช่วงนี้ให้งดก่อนนะขอรับ รอให้ครรภ์ฮูหยินโตขึ้นสักสี่ถึงหกเดือน พวกท่านก็ละเล่นท่าง่ายๆ ได้ขอรับ!!” “ขอบคุณท่านหมอ ข้าเข้าใจแล้ว!!”เหล่าซือเฒ่าตอบกลับหมอเทวดาด้วยใบหน้าขึ้นสีราวกับลูกท้อสุกเหล่าซือเฒ่าโอบอุ้มสตรีในดวงใจ กับเจ้าก้อนแป้งน้อยที่อยู่ในย่ามใหญ่กลับเรือนหลังเล็กด้วยใบหน้าฉาบสีแดงก่ำ จากบุรุษม่ายกลับกลายเป็นหัวหน้าครอบครัวใหญ่ที่มีทั้งฮูหยิน และเจ้าก้อนแป้งทั้งสองหน่อในชั่วข้ามคืน เขาเฝ้าดูแลหลิวจิ่นอิงกับเด็กน้อยอาซูจนถึงเช้า กระทั่งนางฟื้นจากอาการเป็นลมด้วยกลิ่นหอมฉุยของโจ๊กปูฝีมือของเหล่าซือเฒ่าด้านเจ้าหนูน้อยอาซูที่เคล้าคลออยู่ไม่ห่างจากมารดาก็ถูกเขาป้อนน้ำนมวัวจนหลับตาพริ้มอยู่บนเตียง “เจ้าฟื้นแล้วหรือจิ่นอิง ไม่สบายตรงไหนบ้างหรือไม่?” “ข้าหายดีแล้วเจ้าค่ะ ขอบคุณเหล่าซือที่ดูแลเราสองคนแม่ลูกนะเจ้าคะ” “เช่นนั้นข้าขอกลับสำนักก่อนนะ ยาบำรุงกับโจ๊กปู ข้าเคี่ยวไว้ในครัวแล้ว ถ้าเจ้าหิวก็ตักกินได้เลย ไม่ต้องเป็นห่วงอาซูนะ ข้าป้อนนมวัวให้เขาจนอิ่มแล้ว กว่าจะตื่นก็คงอีกหลายชั่วยาม” “ขอบคุณเจ้าค่ะ” หลิวจิ่นอิงมองตามหลังบุรุษเฒ่าด้วยความตื้นตัน คล้อยหลังจากเขาออกไปเพียงชั่วครู่ ลี่จือสหายคนสนิทของนางก็กึ่งเดินกึ่งวิ่ง มาที่เรือนหลังเล็กติดเชิงเขาเพื่อบอกเล่าข่าวลือของนางที่กระจายไปทั่วเมือง “จิ่นอิง เจ้ายังเห็นข้าเป็นสหายอยู่หรือไม่? เหตุใดจึงไม่ยอมบอกว่าเจ้
วันเวลาล่วงเลยไปนานแปดเดือนเศษ ร้านขายเซาปิ่งของหลิวจิ่นอิงนับวันจะขายดีขึ้นเรื่อยๆ หญิงสาวเจรจาให้ลี่จือสหายคนสนิทนำหมั่นโถวกับซาลาเปามาเปิดแผงเพิ่มที่ร้านของนาง ทำให้เหล่านักเดินทางที่ลงเรือที่ท่าน้ำ กับบรรดาศิษย์ของสำนักศึกษาที่อยู่บนเขา ต่างแวะเวียนมานั่งพักรับความสำราญอยู่ที่นี่เป็นประจำก่อนหน้านี้เหล่าซือเฒ่ากว้านซื้อที่ดินบริเวณรอบเรือนเล็กเพื่อให้หลิวจิ่นอิงได้ต่อเติมกิจการร้านค้า นางจึงรวบรวมเงินที่ได้จากน้ำพักน้ำแรงมาสร้างโรงเตี๊ยมขนาดเล็กขึ้นที่ริมแม่น้ำด้านข้าง ขนาดห้องพักมีรูปแบบเรียบง่าย เข้ากับบรรยากาศริมแม่น้ำกับทุ่งข้าวฟ่างที่กำลังชูช่อสีเหลืองทองอยู่เต็มผืนดิน และแล้วโรงเตี๊ยมก็สร้างเสร็จทันกำหนดคลอดของหลิวจิ่นอิงเมื่อเข้าสู่ยามเหม่า (5.00-7.00) ของเช้าวันหนึ่ง รถม้าจากสำนักศึกษาได้พาหมอเทวดามาทำคลอดฮูหยินของเหล่าซือเฒ่าที่กำลังเจ็บท้องใกล้คลอด ในเรือนหลังเล็กท่ามกลางความเงียบสงบของเมืองเฮยจิวจู่ในเวลาไม่นาน บุตรีตัวอ้วนขาวก็คลอดออกมาทักทายมารดาของนางด้วยความปลอดภัย ท่ามกลางการลุ้นระทึกของเหล่าซือเฒ่า ที่ผุดลุกผุดนั่งที่หน้าห้องทำคลอด เขาโอบอุ้มบุตรีตัวอ้วนด้วยควา
เมื่อเข้าสู่ยามพระอาทิตย์อัสดง พระสนมหวงสตรีงามล่มเมืองแห่งวังหลังกำลังถูกเหล่าขันทีห่อหุ้มร่างเปลือยเปล่าด้วยผ้าหนานุ่ม ก่อนจะโอบอุ้มร่างอวบอิ่มเข้าสู่ตำหนักเฉียนชิงอันเป็นที่ประทับของโอรสสวรรค์วัยยี่สิบห้าปี พระนามว่าหยางจิ่งถง หูฮองเฮามองผ่านขบวนของขันทีที่โอบอุ้มอนุภรรยาเข้าหาสามีในนามของตนด้วยความเฉยเมย นับตั้งแต่ที่นางเข้าพิธีแต่งงานกับหยางจิ่งถงมาได้นับห้าปี บุรุษใจแข็งผู้นี้ก็มิเคยร่วมหลับนอนกับนางเยี่ยงสามีภรรยาทั่วไป ในแต่ละวันเขาได้แต่เลือกป้ายของสนมนางในคนอื่นๆ โดยมองข้ามตำหนักคุนหนิงของนางจนหญิงสาวชินชา แม้นางจะรู้ว่าโอรสสวรรค์ใช้การแต่งงานครั้งนี้เพื่อกุมอำนาจฝ่ายบุ๋นบู๊ให้เป็นปึกแผ่น หาใช่รักใคร่ชอบพอนางไม่ แต่หญิงสาวก็มิอาจตัดใจจากผู้ชายคนแรกที่นางหลงรักได้ หูอี้หลงจึงเร่งเร้าบิดาเพื่อให้ได้แต่งงาน เป็นฮองเฮาเคียงคู่กับเขา แต่สุดท้ายนางก็รู้ว่าตนเองใช้ความพยายามในทางที่ผิด บุรุษสูงศักดิ์ผู้นั้นมิเคยเหลียวแลนางแม้แต่น้อย ชีวิตในวังหลังของนางมีเพียงนักพรตเหลียวตั๋วลู่ผู้เป็นขุนนางในกรมพิธีการ ที่คอยปลอบโยนนาง หูฮองเฮาทอดสายตามองกระถางกำยานที่ทำจากกระเบื้องเคลือบ
ประตูเรือนหลังเล็กท้ายหมู่บ้านถูกเปิดขึ้นในยามพระอาทิตย์อัสดง หลิวจิ่นอิงสตรีวัยสิบแปดกลับจากขายเซาปิ่งในตลาดด้วยความสภาพร่างกายเปียกปอนจากสายฝนโปรยปราย ในขณะที่นางกำลังขายดีเป็นเทน้ำเทท่า เมฆฝนก็ตั้งเค้ามาแต่ไกล จนนางต้องตัดใจเก็บเซาปิ่งกลับบ้าน หญิงกวาดตามองหาบิดาที่ออกไปทำนาตั้งแต่เช้า มาบัดนี้ยังไม่พบแม้แต่เงาของผู้อาวุโสทันใดนั้นก็มีมีเสียงชายหญิงคู่หนึ่งครางกระเส่ามาจากกำแพงทางด้านหลังบ้าน หลิวจิ่นอิงจึงเดินไปดูด้วยความระคนสงสัย นางมองลอดผ่านรูกำแพงติดกับเรือนหลังเล็กของครอบครัวสกุลกวง ที่บัดนี้เหลือเพียงกวงฮูหยินที่กลายเป็นม่ายสาวอยู่เฝ้าเรือนเพียงลำพังกับแม่สามีตาบอด เพราะสามีนางที่เป็นมือปราบได้จากไปปรโลกเมื่อครึ่งปีก่อนมือของม่ายสาววัยสามสิบกำลังจับที่ขอบบ่อบาดาลอย่างแน่นหนา เพื่อรองรับแรงกระแทกจากบุรุษเฒ่าวัยสี่สิบห้า บั้นท้ายขาวร่อนรับแก่นกายยักษ์ด้วยความระริกระรี้ ในขณะที่เต้าอวบใหญ่ถูกเขาบีบเคล้นอย่างเต็มไม้เต็มมือ ด้วยแรงกำหนัดที่เปี่ยมล้น เสียงต้นขาแกร่งกระทบบั้นท้ายขาวเคล้าคลอกับเสียงครางกระเส่าของหญิงม่ายดังระงมไปทั่วสวนหลังบ้าน“อร๊างงค์!! พี่เส้าเหิง เบาๆ หน่อย
สตรีทั้งสองเดินลัดเลาะมาตามแม่น้ำจนมาถึงค่ายทหารที่ตั้งอยู่เต็มลานกว้างติดชายป่า พอพวกนางไปถึงก็พบกับพ่อค้าแม่ค้ามากหน้าหลายตา ที่ตั้งแถวรอนำของมาขายก่อนหน้าพวกนาง หญิงสาวทั้งสองเข้าไปต่อท้ายแถวเพื่อรอหัวหน้ากองเข้าตรวจสินค้า หากตกลงราคากันได้เรียบร้อยก็จะเข้าไปรับเงินที่นายกองจัดหาเสบียงที่กระโจมด้านข้างหลิวจิ่นอิงลอบสังเกตการณ์ด้วยความสงสัย หากเป็นพ่อค้าหรือแม่ค้าที่อยู่ในวัยแก่เฒ่าพวกเขามักขายเสบียงได้ในราคาไม่สูงนัก ยกเว้นแม่ค้าที่เป็นสตรีแรกรุ่นที่ขายเสบียงได้ราคามากกว่าคนกลุ่มแรกหลายเท่าตัวเมื่อถึงคิวของหญิงสาวทั้งสอง ลี่จือวางตระกร้าหมั่นโถวสองใบใหญ่ลงบนโต๊ะกลางตรวจสินค้า เหล่าทหารต่างเข้ามารุมล้อมดูสตรีขายหมั่นโถวที่มีเรือนกายอวบอิ่มด้วยความหื่นกระหาย อกอวบขาวของลี่จือล้นทะลักออกมานอกร่มผ้าในขณะที่หญิงสาวกำลังก้มนับหมั่นโถวเพื่อมอบให้กับหัวหน้านายกอง“เจ้าจะขายหมั่นโถวเท่าไหร่? ““ทั้งหมดห้าร้อยอีแปะเจ้าค่ะ”“ข้าให้เจ้าหนึ่งตำลึง แต่ต้องไปรับเงินที่กระโจมใหญ่ฝั่งนู้น เจ้ายินดีหรือไม่??”“ข้ายินดีเจ้าค่ะ!!!”ด้วยความดีใจที่ขายหมั่นโถวได้มากกว่าที่คิดไว้ตั้งหลายเท่า ลี่จือรีบ
หลังจากที่หลิวจิ่นอิงพักผ่อนที่เรือนจนหายดี นางก็เข้าไปสอบถามข่าวคราวของลี่จือถึงในเรือน ก็ได้รับทราบว่า หลังจากพักฟื้นจากอาการบอบช้ำ สหายของนางก็ถูกบิดานำไปอยู่พักกับญาติที่เมืองหลวงชั่วคราวเพื่อหลบหนีจากเรื่องอับอายที่เกิดขึ้นสองเดือนให้หลัง หลังจากทัพใหญ่เคลื่อนย้ายออกไปจากหมู่บ้าน น้ำข้นรักที่แม่ทัพใหญ่ได้ฝากฝังไว้ก็เติบโตเป็นหน่อเนื้ออ่อนในครรภ์ของนาง เรื่องของหลิวจิ่งอิงกลายเป็นที่ติฉินนินทาจากคนทั้งหมู่บ้าน แต่ถึงกระนั้นนางก็ยอมอดทนอดกลั้นใช้เงินก้อนสุดท้ายที่ได้จากแม่ทัพใหญ่มาเลี้ยงดูตนกับบุตรในท้องจวบจนถึงวันคลอด ในขณะที่บิดาของนางก็ย้ายไปอยู่กับกวงฮูหยินที่เรือนข้างๆ โดยมิได้สนใจบุตรีเยี่ยงนางเลยแม้แต่น้อยบุตรชายตัวอ้วนขาวของหลิวจิ่นอิงคลอดออกมาอย่างปลอดภัยด้วยความโล่งใจของนางกับสหาย หลังจากลี่จือได้ข่าวว่าหลิวจิ่นอิงกำลังใกล้คลอด นางก็เดินทางออกจากบ้านญาติที่เมืองหลวงมาดูแลสหายกับบุตรชายของนางอยู่มาวันหนึ่ง บุตรชายตัวอ้วนของนางเกิดไม่สบายอย่างหนัก หลิวจิ่นอิงจึงโอบอุ้มเด็กชายขึ้นรถม้ารับจ้างเพื่อไปรักษาที่โรงหมอชื่อดังในตัวเมือง หลังรักษาเสร็จหมอเทวดาจึงคิดค่ารักษากับห
วันเวลาล่วงเลยไปนานแปดเดือนเศษ ร้านขายเซาปิ่งของหลิวจิ่นอิงนับวันจะขายดีขึ้นเรื่อยๆ หญิงสาวเจรจาให้ลี่จือสหายคนสนิทนำหมั่นโถวกับซาลาเปามาเปิดแผงเพิ่มที่ร้านของนาง ทำให้เหล่านักเดินทางที่ลงเรือที่ท่าน้ำ กับบรรดาศิษย์ของสำนักศึกษาที่อยู่บนเขา ต่างแวะเวียนมานั่งพักรับความสำราญอยู่ที่นี่เป็นประจำก่อนหน้านี้เหล่าซือเฒ่ากว้านซื้อที่ดินบริเวณรอบเรือนเล็กเพื่อให้หลิวจิ่นอิงได้ต่อเติมกิจการร้านค้า นางจึงรวบรวมเงินที่ได้จากน้ำพักน้ำแรงมาสร้างโรงเตี๊ยมขนาดเล็กขึ้นที่ริมแม่น้ำด้านข้าง ขนาดห้องพักมีรูปแบบเรียบง่าย เข้ากับบรรยากาศริมแม่น้ำกับทุ่งข้าวฟ่างที่กำลังชูช่อสีเหลืองทองอยู่เต็มผืนดิน และแล้วโรงเตี๊ยมก็สร้างเสร็จทันกำหนดคลอดของหลิวจิ่นอิงเมื่อเข้าสู่ยามเหม่า (5.00-7.00) ของเช้าวันหนึ่ง รถม้าจากสำนักศึกษาได้พาหมอเทวดามาทำคลอดฮูหยินของเหล่าซือเฒ่าที่กำลังเจ็บท้องใกล้คลอด ในเรือนหลังเล็กท่ามกลางความเงียบสงบของเมืองเฮยจิวจู่ในเวลาไม่นาน บุตรีตัวอ้วนขาวก็คลอดออกมาทักทายมารดาของนางด้วยความปลอดภัย ท่ามกลางการลุ้นระทึกของเหล่าซือเฒ่า ที่ผุดลุกผุดนั่งที่หน้าห้องทำคลอด เขาโอบอุ้มบุตรีตัวอ้วนด้วยควา
เหล่าซือเฒ่าโอบอุ้มสตรีในดวงใจ กับเจ้าก้อนแป้งน้อยที่อยู่ในย่ามใหญ่กลับเรือนหลังเล็กด้วยใบหน้าฉาบสีแดงก่ำ จากบุรุษม่ายกลับกลายเป็นหัวหน้าครอบครัวใหญ่ที่มีทั้งฮูหยิน และเจ้าก้อนแป้งทั้งสองหน่อในชั่วข้ามคืน เขาเฝ้าดูแลหลิวจิ่นอิงกับเด็กน้อยอาซูจนถึงเช้า กระทั่งนางฟื้นจากอาการเป็นลมด้วยกลิ่นหอมฉุยของโจ๊กปูฝีมือของเหล่าซือเฒ่าด้านเจ้าหนูน้อยอาซูที่เคล้าคลออยู่ไม่ห่างจากมารดาก็ถูกเขาป้อนน้ำนมวัวจนหลับตาพริ้มอยู่บนเตียง “เจ้าฟื้นแล้วหรือจิ่นอิง ไม่สบายตรงไหนบ้างหรือไม่?” “ข้าหายดีแล้วเจ้าค่ะ ขอบคุณเหล่าซือที่ดูแลเราสองคนแม่ลูกนะเจ้าคะ” “เช่นนั้นข้าขอกลับสำนักก่อนนะ ยาบำรุงกับโจ๊กปู ข้าเคี่ยวไว้ในครัวแล้ว ถ้าเจ้าหิวก็ตักกินได้เลย ไม่ต้องเป็นห่วงอาซูนะ ข้าป้อนนมวัวให้เขาจนอิ่มแล้ว กว่าจะตื่นก็คงอีกหลายชั่วยาม” “ขอบคุณเจ้าค่ะ” หลิวจิ่นอิงมองตามหลังบุรุษเฒ่าด้วยความตื้นตัน คล้อยหลังจากเขาออกไปเพียงชั่วครู่ ลี่จือสหายคนสนิทของนางก็กึ่งเดินกึ่งวิ่ง มาที่เรือนหลังเล็กติดเชิงเขาเพื่อบอกเล่าข่าวลือของนางที่กระจายไปทั่วเมือง “จิ่นอิง เจ้ายังเห็นข้าเป็นสหายอยู่หรือไม่? เหตุใดจึงไม่ยอมบอกว่าเจ้
เมื่อหูฮูหยินเดินทางมาถึงโรงเก็บฟืนด้านหลังจวน นางตรงเข้าไปเรียกชายตัดฟืนคนใหม่ที่หน้าประตูห้องเด็กหนุ่มวัยสิบแปดที่มีรูปร่างสูงใหญ่ เปิดประตูออกมาท่ามกลางความมืดมิด เขาตกใจเมื่อเห็นฮูหยินของจวนมาเยือนบ่าวต้อยต่ำถึงที่นี่“ฮูหยินมีอันใดให้ข้ารับใช้หรือขอรับ!”“อาเฟิงเจ้าไปเลือกฟืนท่อนใหญ่ในโรงเก็บฟืนเป็นเพื่อนข้าหน่อย ข้าจะรีบเอาไปใช้คืนนี้!”“ได้ขอรับฮูหยิน เชิญตามบ่าวมาทางนี้ขอรับ”อาเฟิงเดินนำหูฮูหยินเข้าไปในโรงเก็บฟืนข้างเรือนพัก สตรีสูงศักดิ์ปิดล็อคประตูจากด้านในก่อนจะเดินไปประกบที่แผ่นหลังใหญ่ของบ่าวตัดฟืน“ท่อนนี้ดีไหมครับฮูหยิน ตัดจากไม้เนื้อหอม วงปีของมันนับสิบปี ยิ่งโดนไฟเผาจะยิ่งส่งกลิ่นหอมขอรับ“แต่ข้าว่าท่อนนี้ดีกว่า ดูหนุ่มแน่นน่าดูดชิมมากกว่าท่อนไหนเสียอีก!”มือเรียวเอื้อมไปลูบคลำท่อนฟืนใหญ่ที่หลับไหลอยู่ใต้ร่มผ้า ก่อนจะปลดชุดปะชุนของชายหนุ่มตรงหน้าออก เหลือเพียงฟืนท่อนใหญ่ ที่ชูชันท้าทายนายสาวอยู่เบื้องหน้า ลิ้นเรียวเล็กไล้เลียจากปลายหัวหยักไปจนถึงโคน จนฟืนทั้งท่อนเปียกชุ่มไปด้วยน้ำลายของนาง ก่อนจะกลืนกินฟืนท่อนใหญ่เข้าไปจนมิดลำ บ่าวตัดฟืนที่ยังหนุ่มยังแน่นถึงกับคราง
หลังจากที่หลิวจิ่นอิงพักผ่อนที่เรือนจนหายดี นางก็เข้าไปสอบถามข่าวคราวของลี่จือถึงในเรือน ก็ได้รับทราบว่า หลังจากพักฟื้นจากอาการบอบช้ำ สหายของนางก็ถูกบิดานำไปอยู่พักกับญาติที่เมืองหลวงชั่วคราวเพื่อหลบหนีจากเรื่องอับอายที่เกิดขึ้นสองเดือนให้หลัง หลังจากทัพใหญ่เคลื่อนย้ายออกไปจากหมู่บ้าน น้ำข้นรักที่แม่ทัพใหญ่ได้ฝากฝังไว้ก็เติบโตเป็นหน่อเนื้ออ่อนในครรภ์ของนาง เรื่องของหลิวจิ่งอิงกลายเป็นที่ติฉินนินทาจากคนทั้งหมู่บ้าน แต่ถึงกระนั้นนางก็ยอมอดทนอดกลั้นใช้เงินก้อนสุดท้ายที่ได้จากแม่ทัพใหญ่มาเลี้ยงดูตนกับบุตรในท้องจวบจนถึงวันคลอด ในขณะที่บิดาของนางก็ย้ายไปอยู่กับกวงฮูหยินที่เรือนข้างๆ โดยมิได้สนใจบุตรีเยี่ยงนางเลยแม้แต่น้อยบุตรชายตัวอ้วนขาวของหลิวจิ่นอิงคลอดออกมาอย่างปลอดภัยด้วยความโล่งใจของนางกับสหาย หลังจากลี่จือได้ข่าวว่าหลิวจิ่นอิงกำลังใกล้คลอด นางก็เดินทางออกจากบ้านญาติที่เมืองหลวงมาดูแลสหายกับบุตรชายของนางอยู่มาวันหนึ่ง บุตรชายตัวอ้วนของนางเกิดไม่สบายอย่างหนัก หลิวจิ่นอิงจึงโอบอุ้มเด็กชายขึ้นรถม้ารับจ้างเพื่อไปรักษาที่โรงหมอชื่อดังในตัวเมือง หลังรักษาเสร็จหมอเทวดาจึงคิดค่ารักษากับห
สตรีทั้งสองเดินลัดเลาะมาตามแม่น้ำจนมาถึงค่ายทหารที่ตั้งอยู่เต็มลานกว้างติดชายป่า พอพวกนางไปถึงก็พบกับพ่อค้าแม่ค้ามากหน้าหลายตา ที่ตั้งแถวรอนำของมาขายก่อนหน้าพวกนาง หญิงสาวทั้งสองเข้าไปต่อท้ายแถวเพื่อรอหัวหน้ากองเข้าตรวจสินค้า หากตกลงราคากันได้เรียบร้อยก็จะเข้าไปรับเงินที่นายกองจัดหาเสบียงที่กระโจมด้านข้างหลิวจิ่นอิงลอบสังเกตการณ์ด้วยความสงสัย หากเป็นพ่อค้าหรือแม่ค้าที่อยู่ในวัยแก่เฒ่าพวกเขามักขายเสบียงได้ในราคาไม่สูงนัก ยกเว้นแม่ค้าที่เป็นสตรีแรกรุ่นที่ขายเสบียงได้ราคามากกว่าคนกลุ่มแรกหลายเท่าตัวเมื่อถึงคิวของหญิงสาวทั้งสอง ลี่จือวางตระกร้าหมั่นโถวสองใบใหญ่ลงบนโต๊ะกลางตรวจสินค้า เหล่าทหารต่างเข้ามารุมล้อมดูสตรีขายหมั่นโถวที่มีเรือนกายอวบอิ่มด้วยความหื่นกระหาย อกอวบขาวของลี่จือล้นทะลักออกมานอกร่มผ้าในขณะที่หญิงสาวกำลังก้มนับหมั่นโถวเพื่อมอบให้กับหัวหน้านายกอง“เจ้าจะขายหมั่นโถวเท่าไหร่? ““ทั้งหมดห้าร้อยอีแปะเจ้าค่ะ”“ข้าให้เจ้าหนึ่งตำลึง แต่ต้องไปรับเงินที่กระโจมใหญ่ฝั่งนู้น เจ้ายินดีหรือไม่??”“ข้ายินดีเจ้าค่ะ!!!”ด้วยความดีใจที่ขายหมั่นโถวได้มากกว่าที่คิดไว้ตั้งหลายเท่า ลี่จือรีบ
ประตูเรือนหลังเล็กท้ายหมู่บ้านถูกเปิดขึ้นในยามพระอาทิตย์อัสดง หลิวจิ่นอิงสตรีวัยสิบแปดกลับจากขายเซาปิ่งในตลาดด้วยความสภาพร่างกายเปียกปอนจากสายฝนโปรยปราย ในขณะที่นางกำลังขายดีเป็นเทน้ำเทท่า เมฆฝนก็ตั้งเค้ามาแต่ไกล จนนางต้องตัดใจเก็บเซาปิ่งกลับบ้าน หญิงกวาดตามองหาบิดาที่ออกไปทำนาตั้งแต่เช้า มาบัดนี้ยังไม่พบแม้แต่เงาของผู้อาวุโสทันใดนั้นก็มีมีเสียงชายหญิงคู่หนึ่งครางกระเส่ามาจากกำแพงทางด้านหลังบ้าน หลิวจิ่นอิงจึงเดินไปดูด้วยความระคนสงสัย นางมองลอดผ่านรูกำแพงติดกับเรือนหลังเล็กของครอบครัวสกุลกวง ที่บัดนี้เหลือเพียงกวงฮูหยินที่กลายเป็นม่ายสาวอยู่เฝ้าเรือนเพียงลำพังกับแม่สามีตาบอด เพราะสามีนางที่เป็นมือปราบได้จากไปปรโลกเมื่อครึ่งปีก่อนมือของม่ายสาววัยสามสิบกำลังจับที่ขอบบ่อบาดาลอย่างแน่นหนา เพื่อรองรับแรงกระแทกจากบุรุษเฒ่าวัยสี่สิบห้า บั้นท้ายขาวร่อนรับแก่นกายยักษ์ด้วยความระริกระรี้ ในขณะที่เต้าอวบใหญ่ถูกเขาบีบเคล้นอย่างเต็มไม้เต็มมือ ด้วยแรงกำหนัดที่เปี่ยมล้น เสียงต้นขาแกร่งกระทบบั้นท้ายขาวเคล้าคลอกับเสียงครางกระเส่าของหญิงม่ายดังระงมไปทั่วสวนหลังบ้าน“อร๊างงค์!! พี่เส้าเหิง เบาๆ หน่อย
เมื่อเข้าสู่ยามพระอาทิตย์อัสดง พระสนมหวงสตรีงามล่มเมืองแห่งวังหลังกำลังถูกเหล่าขันทีห่อหุ้มร่างเปลือยเปล่าด้วยผ้าหนานุ่ม ก่อนจะโอบอุ้มร่างอวบอิ่มเข้าสู่ตำหนักเฉียนชิงอันเป็นที่ประทับของโอรสสวรรค์วัยยี่สิบห้าปี พระนามว่าหยางจิ่งถง หูฮองเฮามองผ่านขบวนของขันทีที่โอบอุ้มอนุภรรยาเข้าหาสามีในนามของตนด้วยความเฉยเมย นับตั้งแต่ที่นางเข้าพิธีแต่งงานกับหยางจิ่งถงมาได้นับห้าปี บุรุษใจแข็งผู้นี้ก็มิเคยร่วมหลับนอนกับนางเยี่ยงสามีภรรยาทั่วไป ในแต่ละวันเขาได้แต่เลือกป้ายของสนมนางในคนอื่นๆ โดยมองข้ามตำหนักคุนหนิงของนางจนหญิงสาวชินชา แม้นางจะรู้ว่าโอรสสวรรค์ใช้การแต่งงานครั้งนี้เพื่อกุมอำนาจฝ่ายบุ๋นบู๊ให้เป็นปึกแผ่น หาใช่รักใคร่ชอบพอนางไม่ แต่หญิงสาวก็มิอาจตัดใจจากผู้ชายคนแรกที่นางหลงรักได้ หูอี้หลงจึงเร่งเร้าบิดาเพื่อให้ได้แต่งงาน เป็นฮองเฮาเคียงคู่กับเขา แต่สุดท้ายนางก็รู้ว่าตนเองใช้ความพยายามในทางที่ผิด บุรุษสูงศักดิ์ผู้นั้นมิเคยเหลียวแลนางแม้แต่น้อย ชีวิตในวังหลังของนางมีเพียงนักพรตเหลียวตั๋วลู่ผู้เป็นขุนนางในกรมพิธีการ ที่คอยปลอบโยนนาง หูฮองเฮาทอดสายตามองกระถางกำยานที่ทำจากกระเบื้องเคลือบ