เหล่าซือเฒ่าโอบอุ้มสตรีในดวงใจ กับเจ้าก้อนแป้งน้อยที่อยู่ในย่ามใหญ่กลับเรือนหลังเล็กด้วยใบหน้าฉาบสีแดงก่ำ จากบุรุษม่ายกลับกลายเป็นหัวหน้าครอบครัวใหญ่ที่มีทั้งฮูหยิน และเจ้าก้อนแป้งทั้งสองหน่อในชั่วข้ามคืน
เขาเฝ้าดูแลหลิวจิ่นอิงกับเด็กน้อยอาซูจนถึงเช้า กระทั่งนางฟื้นจากอาการเป็นลมด้วยกลิ่นหอมฉุยของโจ๊กปูฝีมือของเหล่าซือเฒ่า ด้านเจ้าหนูน้อยอาซูที่เคล้าคลออยู่ไม่ห่างจากมารดาก็ถูกเขาป้อนน้ำนมวัวจนหลับตาพริ้มอยู่บนเตียง “เจ้าฟื้นแล้วหรือจิ่นอิง ไม่สบายตรงไหนบ้างหรือไม่?” “ข้าหายดีแล้วเจ้าค่ะ ขอบคุณเหล่าซือที่ดูแลเราสองคนแม่ลูกนะเจ้าคะ” “เช่นนั้นข้าขอกลับสำนักก่อนนะ ยาบำรุงกับโจ๊กปู ข้าเคี่ยวไว้ในครัวแล้ว ถ้าเจ้าหิวก็ตักกินได้เลย ไม่ต้องเป็นห่วงอาซูนะ ข้าป้อนนมวัวให้เขาจนอิ่มแล้ว กว่าจะตื่นก็คงอีกหลายชั่วยาม” “ขอบคุณเจ้าค่ะ” หลิวจิ่นอิงมองตามหลังบุรุษเฒ่าด้วยความตื้นตัน คล้อยหลังจากเขาออกไปเพียงชั่วครู่ ลี่จือสหายคนสนิทของนางก็กึ่งเดินกึ่งวิ่ง มาที่เรือนหลังเล็กติดเชิงเขาเพื่อบอกเล่าข่าวลือของนางที่กระจายไปทั่วเมือง “จิ่นอิง เจ้ายังเห็นข้าเป็นสหายอยู่หรือไม่? เหตุใดจึงไม่ยอมบอกว่าเจ้าตบแต่งเป็นฮูหยินของเหล่าซือซุนเหว่ยแล้ว” “เจ้าพูดเรื่องอันใด?” ” ก็ข่าวลือของเจ้าที่ตลาดน่ะสิ คนงานที่โรงหมอบอกว่าเหล่าซือซุนเหว่ยพาฮูหยินที่กำลังตั้งครรภ์ไปหาหมอ ลักษณะของฮูหยินผู้นั้นก็เหมือนเจ้าไม่มีผิดเพี้ยน” “ข้ากำลังตั้งครรภ์หรือ??” หญิงสาวรีบผลุนผลันเข้าไปในครัว นางเปิดดูเทียบยาของหมอเทวดา ก็เข้าใจได้ในทันทีว่าเป็นยาบำรุงสำหรับสตรีที่กำลังตั้งครรภ์ ลี่จือประคองนางนั่งที่โต๊ะก่อนจะตักโจ๊กกับยาบำรุงที่ต้มแล้ว มาให้นางอย่างละถ้วย “เจ้าเองก็รีบกินเสีย!! ร่างกายจะได้แข็งแรง” “ลี่จือเหตุใดเจ้าต้องดีกับข้าถึงเพียงนี้?” “เพราะข้าเป็นสหายเจ้าน่ะสิ! เอาล่ะ! ดูแลตัวเองดีๆ นะ ข้าขายของเสร็จจะแวะมาเยี่ยมเจ้าใหม่” “...อืมม!” หลังจากสหายสนิทลากลับไป นางก็เริ่มกินโจ๊กปูที่อยู่ในถ้วยอย่างเอร็ดอร่อย ที่แท้เหล่าซือเฒ่าที่อยู่ตรงหน้านางเป็นยอดฝีมือด้านการทำโจ๊กอย่างหาตัวจับยาก หญิงสาวครุ่นคิดเรื่องทำการค้าในขณะที่ดื่มยาบำรุงครรภ์จนหมดหม้อ ก่อนจะลุกไปเตรียมแป้งทำเซาปิ่งเพื่อทำขายในวันรุ่งขึ้น เมื่อถึงต้นยามโหว่ (17.00-19.00) เหล่าซือเฒ่าก็ลงจากยอดเขามารับอาหารที่เรือนหลังเล็กดังเช่นเคย หลังเปิดประตูบ้านก็พบกลิ่นหอมฉุยของอาหารนานาชนิด วางเรียงรายอยู่บนโต๊ะใหญ่ หญิงสาวหน้าตาแช่มช้อยเชื้อเชิญเขานั่งลงบนโต๊ะสำรับด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “เย็นนี้ข้าขอเลี้ยงเหล่าซือเพื่อตอบแทนบุญคุณ ที่เมื่อวานท่านช่วยเหลือข้ากับลูกนะเจ้าคะ” “อย่าคิดมากเลย วันนี้ก็นับเป็นบุญปากของข้าที่ได้มีโอกาสลิ้มรสอาหารฝีมือเจ้า” “ข้าอยากขอโทษที่ทำให้เหล่าซือเสื่อมเสียชื่อเสียง เรื่องที่พาข้าไปโรงหมอเมื่อเย็นวานเจ้าค่ะ พรุ่งนี้ข้าจะไปบอกกับท่านหมอว่าข้ามิใช่ฮูหยินของท่านดังที่เขาเข้าใจผิดเจ้าค่ะ” “อย่าลำบากเลย! เจ้าเองก็มิได้รอชายผู้นั้นให้รับเจ้าเข้าจวนมิใช่หรือ?” “ข้ามิเคยรอเขาเจ้าค่ะ!!” “เช่นนั้นก็ปล่อยให้ข้าเป็นบิดาของเด็กสองคนนี้เถิด! ข้าเองก็มิได้รังเกียจพวกเขาเลยแม้แต่น้อย!” “เหล่าซือช่างดีต่อข้ากับลูกยิ่งนัก! เช่นนั้นท่านช่วยถ่ายทอดเคล็ดลับการเคี่ยวโจ๊กปูให้ข้าได้หรือไม่เจ้าคะ? ข้าอยากตั้งแผงขายให้ศิษย์ของท่านในสำนักตอนเปิดเรียนเจ้าค่ะ?” “ย่อมได้ ข้าจะถ่ายทอดสอนเจ้าจนหมดสิ้น แต่เจ้าต้องตั้งแผงเพิ่มหลังจากคลอดบุตรแล้วเท่านั้น!! ค่าใช้จ่ายทั้งหมดจงมอบให้ข้าที่เป็นสามีเจ้าเป็นผู้ดูแล เข้าใจหรือไม่?” “เข้าใจเจ้าค่ะ!” แล้วทั้งสองก็เริ่มทานข้าวเย็นกันเงียบๆ ท่ามกลางความอบอุ่นที่กำลังแผ่นซ่านอยู่ในหัวใจของคนทั้งคู่ ในเวลาเดียวกันด้านหูฮูหยินเมื่อได้ยินข่าวลือเรื่องการตั้งครรภ์ของหลิวจิ่นอิง นางจึงตั้งใจมาสืบความจริง ว่าเด็กในครรภ์เป็นบุตรที่เกิดจากสามีของตนหรือไม่? เพื่อที่นางจะได้หาทางกำจัดสองแม่ลูกมิให้เกิดปัญหากับนางและบุตรสาวในภายหลัง รถม้าของจวนผู้ว่าเดินทางมาหยุดที่บ้านหลังเก่าของหลิวจิ่นอิง สตรีสูงศักดิ์เดินเข้าไปในบ้านเพื่อตามหาเด็กสาวแต่ก็พบกับความว่างเปล่า นางจึงเดินต่อไปยังทุ่งนาข้างบ้านที่เขียวขจี ตัดกับพระอาทิตย์ที่กำลังจะลับขอบฟ้าในยามเย็น จนพบกับบุรุษชาวนาวัยสี่สิบห้า ที่กำลังตื่นนอนบนกระท่อมหลังเล็กที่ถูกสร้างอยู่ปลายนา หลังจากรีบเร่งทำนาทั้งวันจนเสร็จสิ้นแล้ว หลิวเส้าเหิงก็งีบหลับลงในกระท่อมเล็กจนบ่ายคล้อย หลังจากกวงฮูหยินกลับบ้านไปเยี่ยมมารดาที่เมืองอื่นนานหลายวัน แก่นกลางกายเขาก็พลันประท้วงด้วยแรงกำหนัดที่สะสม มือสากใหญ่รูดลำลึงค์ไปมาพร้อมกับลมหายใจหอบถี่ ในขณะที่เขากำลังปรนเปรอตนเองจนจวนจะถึงฝั่งฝัน จู่ๆก็ได้ยินเสียงฝีเท้าบนยอดหญ้าใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เขาจึงหยุดให้ความสำราญบุตรชายเบื้องล่างแล้วออกมาสำรวจผู้มาเยือน สายตาเหยี่ยวทอดมองสตรีสูงศักดิ์ที่กำลังเดินตรงมายังกระท่อมกลางผืนนา เจ้าท่อนลำกลางกายที่แข็งตึงอยู่แล้วยิ่งคับแน่นใต้ร่มผ้าจนเขาเจ็บจุก หลิวเส้าเหิงกระโจนเข้าขวางทางสตรีเบื้องหน้า ก่อนจะเริ่มต้นเจรจาเพื่อเกี้ยวพานาง “ฮูหยินผู้ตรวจการ มิทราบว่าท่านเดินทางมาถึงที่นี่ มีธุระอันใดให้ข้ารับใช้หรือขอรับ?” “เจ้ารู้จักข้าด้วยหรือ?” “คนทั้งเฮยจิวจู่ล้วนแต่รู้จักสตรีงามล่มเมืองเช่นฮูหยินทั้งนั้นแหละขอรับ!” “งั้นดียิ่ง! ข้ามาสอบถามข่าวคราวของหลิวจิ่นอิง นางเคยเป็นแม่นมของจวนข้า ท่านพอรู้จักครอบครัวของนางหรือไม่?” “ท่านมาหาถูกคนแล้วขอรับ ข้าเป็นบิดาของนางเอง เช่นนั้นเชิญท่านมาพูดคุยในกระท่อมเถิดขอรับ” หูฮูหยินนั่งลงบนแคร่ไม้ในกระท่อมหลังเล็ก นางสอบถามหลิวเส้าเหิงถึงความสัมพันธ์ของหลิวจิ่นอิงกับเหล่าซือของสำนักศึกษา เขาพูดจาหว่านล้อมจนนางวางใจว่าบุตรในครรภ์ของหญิงสาวหาใช่สายเลือดของสามีตนไม่ ในขณะที่นางกำลังจะกลับ เท้าที่ก้าวลงคันดินกลับลื่นไถลลงผืนนา เอวคอดกิ่วถูกโอบกอดจากมือสากของบุรุษชาวนา ก่อนที่นางจะล้มลงทับเขาบนทุ่งข้าวฟ่างที่กำลังชูช่ออยู่เต็มพื้นที่ บั้นท้ายอวบของสตรีสูงศักดิ์สัมผัสได้ถึงความแข็งตึงของแก่นกายใหญ่ที่ดุนดันเข้าถูไถบั้นท้ายขาวผ่านร่มผ้า “เจ้าคิดจะทำอันใด? สามีข้าเป็นถึงผู้ตรวจการของเมืองนี้ เข้าใจหรือไม่!!?” “ฮูหยินขอรับ! แค่มองตา ข้าก็รู้ว่ากายท่านปรารถนาสิ่งใด เรื่องในวันนี้จะมิมีใครรู้เห็นนอกจากท่านกับข้า แล้วท่านไม่อยากลองเปลี่ยนรสชาติใหม่ๆ ดูบ้างหรือขอรับ!!?” “แต่ที่นี่!! มัน” “มันตื่นเต้นดีนะขอรับ!” หลิวเส้าเหิงบรรจงวางนางลงบนคันดินแล้วประคองคางเรียวเล็กมารับจูบแทนคำตอบ ลิ้นของนางกับเขาต่างเข้ารัดรึงกันอย่างไม่มีใครยอมใคร เขาใช้มือสากคว้ากางเกงในตัวบางจนหลุดติดมือ ก่อนจะมุดหน้าเข้าไปในกระโปรงไหมเพื่อมอบความสำราญให้กลีบกุหลาบฉ่ำน้ำของสตรีสูงศักดิ์ “อ๊าาส์!! เจ้าไม่กลัวคนอื่นมาพบหรือ?” “เขาไม่ยุ่งกับพวกเราหรอก นอกเสียจากท่านอยากให้เขาร่วมสำราญด้วยเท่านั้น!!” ชุดผ้าไหมราคาแพงถูกปลดเปลื้องออกจากร่างของสตรีสูงศักดิ์ เหลือเพียงร่างอวบอัดที่เนียนนุ่มน่ากัดกิน หลิวเส้าเหิงมองหญิงสาวใต้ร่างด้วยแววตาหื่นกระหาย นอกจากมารดาของหลิวจิ่นอิง ก็มีสตรีสูงศักดิ์ผู้นี้ที่ปลุกเร้าไฟกำหนัดของเขาให้ร้อนเร่าปานบุรุษหนุ่มวัยเยาว์ ลิ้นสากใหญ่เข้าดูดดึงปลายถันสีคล้ำจนชูชันและฉ่ำชื้น ท่อนขาเรียวเข้าเกาะเกี่ยวบนบ่าแข็งของบุรุษบนร่าง ก่อนที่แก่นกายใหญ่จะลุกล้ำเข้าในช่องทางแคบจนเต็มลำ เขากดร่างอ่อนนุ่มให้รองรับแรงตอกตรึงจากแก่นกายใหญ่ที่กระแทกเข้าชนจุดเสียวกระสันของนางครั้งแล้วครั้งเล่า ชาวนาร่างใหญ่โอบอุ้มเรือนกายเปล่าเปลือยขึ้นจากคันดินด้านล่าง โดยที่ท่อนล่างของนางกับเขายังสนิทแนบแน่น คนทั้งคู่ยืนอิงแอบแนบต้นไม้ใหญ่โดยที่แขนเรียวบางค้ำยันกับต้นไม้ด้านหน้าหน้าเพื่อรองรับแรงกระแทกของบุรุษชาวนาจากด้านหลัง จมูกคมสันสูดดมตามซอกคอขาว ในขณะที่มือหยาบใหญ่กำลังเคล้นคลึงเต้าอวบขาวของสตรีสูงศักดิ์ เสียงกระทบกันของบั้นท้ายอวบกับหน้าขาแกร่ง ดังสะท้านไปทั่วท้องทุ่งเคล้ากับเสียงครางกระเส่าของสตรีสูงศักดิ์ที่สุขสมจากการบรรเลงรักแบบดิบเถื่อน หลิวเส้าเหิงเกร็งกระตุกไปหนึ่งครั้งก่อนจะปลดปล่อยน้ำข้นเหนียวเข้าสู่กลางกายของฮูหยินผู้ตรวจการ ผนังเนื้อนุ่มตอดรัดแก่นกายใหญ่สั่นระริกราวกับเด็กสาวที่ยังไม่อิ่มในรสรัก เขากระซิบเบาๆ ที่ใบหูของหญิงสาวก่อนจะขบเม้มมันด้วยความเสียวกระสัน “ยังไม่อิ่มใช่ไหม?” “...อืมมม!?” บุรุษร่างใหญ่อุ้มสตรีสูงศักดิ์ตรงไปที่เรือนหลังเก่าของเขา ก่อนจะเริ่มบรรเลงรสรักอันเร่าร้อนของบุรุษบ้านป่าลงบนร่างนวลเนียนของฮูหยินผู้สูงศักดิ์ เสียงครางกระเส่าสลับกับเสียงเนื้อกระทบกันดังขึ้นในเรือนหลังเล็กของบุรุษชาวนาอีกครั้ง สะโพกขาวร่อนรับแก่นกายใหญ่ที่ตอกตรึงเข้ามาในกายนางอยู่หลายชั่วยาม จนน้ำข้นเหนียวที่ปลดปล่อยลงช่องทางแคบเลอะล้นลงต้นขาเรียวของฮูหยินสูงศักดิ์ หูฮูหยินก้าวขึ้นรถม้ากลับจวนผู้ตรวจการด้วยเรือนกายสั่นสะท้าน ในขณะที่หลิวเส้าเหิงกำลังยิ้มกริ่มด้วยความพึงใจ ที่วันนี้สวรรค์เปิดโอกาสให้ตนได้ลิ้มรสฮูหยินของผู้ตรวจการ เขามองรถม้าเคลื่อนจากไปด้วยสุขสมก่อนจะกลับเข้าเรือนอีกหลังเพื่อรอคอยกวงฮูหยินกลับมาในเช้าวันรุ่งขึ้นกว่าจะเสร็จสิ้นการสอนงานปั้นในชั้นเรียนก็กินเวลาถึงพลบค่ำ คนทั้งสองออกจากสำนักช่างฝีมือในต้นยามสวี่ (19.00-21.00) ในขณะที่ทั้งสองกำลังลัดเลาะบนถนนสายเล็ก ต่างปกคลุมไปด้วยป่าไผ่ที่กำลังสั่นไหวโอนเอน จู่ๆพายุฝนก็โหมกระหน่ำใส่คนทั้งคู่อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย หยางจิ่งถงพาหญิงสาวเข้าหลบฝนที่ใต้ร่มไม้ใหญ่ ก่อนจะมีเสียงฟ้าผ่าขึ้นในจุดที่ไม่ไกลจากคนทั้งคู่ หญิงสาวข้างกายกรีดร้องด้วยความหวาดกลัว เขาจึงตัดสินใจช้อนร่างอวบอิ่มที่กำลังสั่นเทาวิ่งฝ่าสายฝนเข้าไปหลบในอารามร้างที่อยู่ไม่ไกลนักจักรพรรดิ์หนุ่มบรรจงวางนางลงบนท่อนฟางนุ่มที่เขาเก็บรวบรวมในอารามร้าง ก่อนจะลุกออกไปนั่งที่มุมห้องอีกด้าน มือเรียวเล็กคว้าแขนท่อนใหญ่เอาไว้ได้ทัน ก่อนจะร้องเรียกเขาด้วยเสียงแผ่วเบา“อาถง อยู่ข้างๆข้าได้หรือไม่? ข้ากลัวเสียงฟ้าร้อง”“อืมม! ไม่ต้องกลัว ข้าอยู่นี่แล้ว”“เจ้าหิวหรือไม่? ข้ามีเซาปิ่งติดตัวมาด้วย เราแบ่งกันคนละชิ้นนะ”คนทั้งคู่นั่งกินเซาปิ่งเงียบๆ ท่ามกลางพายุฝนที่ไม่มีทีท่าว่าจะสงบลงแต่อย่างใด ชายหนุ่มกินเซาปิ่งในมือด้วยความเอร็ดอร่อยพลางเอ่ยถามหญิงสาวตรงหน้าด้วยความสนใจ“เซาปิ่งพวกนี้เจ้าทำเองหรือ? รส
เช้าวันต่อมา นักพรตหนุ่มเหลียงตั๋วลู่กับศิษย์น้องต่างเตรียมตัวเดินทางต่อ ก่อนออกเดินทางเขาจึงพานางมารับสำรับที่ลานกว้างใต้ร่มไม้ใหญ่ ชายหนุ่มลิ้มรสโจ๊กปูด้วยความเอร็ดอร่อยในขณะที่ศิษย์น้องฟ่านฟ่านกำลังกินเซาปิ่งหมดเป็นชิ้นที่สาม“สำรับอาหารที่นี่ช่างรสชาติดีกว่าสำนักของเราเป็นหลายร้อยเท่าเลยนะศิษย์พี่” “เช่นนั้น ข้าจะลองไปคุยกับแม่ครัว เผื่อจะชักชวนให้เขาไปทำอาหารที่สำนักของเราได้ เจ้าว่าดีไหม?”“ดีเจ้าค่ะ”เมื่อเดินไปในครัวเขาก็พบกับหญิงสาวหน้าตาพริ้มเพรากำลังเดินออกจากครัวเล็ก หลังจากที่เพิ่งทำสำรับเสร็จเขาตกตะลึงในความงดงามของหญิงสาวตรงหน้าก่อนจะรวบรวมสติสอบถามนางด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน“แม่นาง เจ้าเป็นคนทำสำรับเหล่านี้หรือ? เจ้าสนใจไปทำอาหารที่สำนักของอาจารย์ข้าหรือไม่ ข้าจะขอให้อาจารย์จ่ายให้เจ้าเป็นสองเท่าเลยนะ”“เห็นทีต้องทำให้คุณชายผิดหวังแล้วเจ้าค่ะ ข้าเป็นเจ้าของร้านที่นี่ มิอาจรับทำอาหารในสำนักคุณชายได้เจ้าค่ะ”“อ่า! ข้าขออภัยแม่นางเป็นอย่างยิ่ง ข้ามิได้ตั้งใจแย่งชิงแม่ครัวในร้านของเจ้า เพียงแต่ประทับใจในรสชาติอาหารเท่านั้น”“ขอบคุณเจ้าค่ะ เช่นนั้นข้าขอตัวก่อนนะเจ้าคะ”“ข้าช
หลังจากควบม้าผ่านท่าน้ำหน้าวังหลัง โอรสสวรรค์ชะงักงันเพียงชั่วครู่ก่อนจะหันไปสั่งการกับองค์รักษ์ที่คอยติดตามอยู่ด้านข้าง“พวกเจ้าล่วงหน้าไปรอเราที่สำนักศึกษาก่อนเถิด เราอยากเที่ยวเล่นในเมืองสักพัก ใกล้ถึงวันแข่งขันเราจะไปที่นั่นเอง”“แล้วความปลอดภัยของพระองค์เล่าพะย่ะค่ะ!”“ไม่ต่องห่วงอันใด พวกเจ้าลืมแล้วหรือว่ายังมีองครักษ์เงาอยู่กับเราทุกๆที่”“น้อมรับคำสั่งพะย่ะค่ะ”หยางจิ่งถงฝากม้าโลหิตไว้ที่โรงเลี้ยงม้าด้านข้าง ก่อนจะกระโดดขึ้นเรือรับจ้างที่มุ่งสู่จุดหมายปลายทาง เรือลำใหญ่ลัดเลาะตามลำน้ำอย่างอ้อยอิ่ง สายลมเย็นพัดโชยเอื่อยตลอดเส้นทางจนทำให้โอรสสวรรค์เผลอหลับไป ระหว่างทางเรือลำใหญ่จอดรับนักเดินทางที่ท่าเรือกลางตลาดในเมืองเฮยจิวจู่ ด้วยความแออัดของนักเดินทางที่เต็มลำเรือ ข้างกายโอรสสวรรค์ปรากฏร่างหญิงสาวใบหน้างามล่มเมืองในชุดแต่งกายสีเรียบ ที่เพิ่งกลับจากงานสอนเครื่องปั้นในสำนักช่างฝีมือ ชายหนุ่มสูงศักดิ์ตื่นขึ้นมาสบตากับสตรีด้านข้างที่มีใบหน้าพริ้มเพราด้วยความตะลึงงัน หลังจากถูกบุรุษแปลกหน้าจดจ้องเป็นนานสองนาน ซุนซูหลินจึงเอ่ยขึ้นเพื่อทำลายความเงียบ“ใบหน้าข้ามีอันใดติดอยู่หรื
หยางจิ่งถง โอรสองค์เดียวของชินอ๋อง (หรือที่เหล่าชาวเมืองต่างขนานนามว่า องค์ชายห้า)ที่เกิดกับจางฮองเฮา เขามีน้องสาวต่างมารดาที่เกิดจากหลิวกุ้ยเฟยอยู่คนหนึ่ง นางมีนามว่าองค์หญิงหยางจิงฮวา จักรพรรดิ์หยางจิ่งถงขึ้นครองราชย์แทนบิดาที่สละราชสมบัติเพื่อท่องเที่ยวยุทธภพพร้อมกับมารดาตั้งแต่ตอนที่เขาอายุได้สิบแปดปี บุรุษสูงศักดิ์เติบโตขึ้นเป็นบุรุษรูปร่างสูงใหญ่ที่ถอดเค้าโครงหน้ามาจากบิดาไม่มีผิดเพี้ยน ความรูปงามของโอรสสวรรค์ล้วนเป็นที่เลื่องลือออกไปต่างแคว้น จนบรรดาแคว้นเล็กแคว้นน้อยต่างมอบบุตรีให้เป็นสตรีวังหลังของจักรพรรดิ์หนุ่มถึงแม้จะมีสตรีวังหลังอยู่มากมาย แต่เขามิอาจแต่งตั้งผู้ใดขึ้นเป็นฮองเฮาคู่ใจได้ เพราะในวัยเยาว์เขาได้หมั้นหมายกับบุตรีของเสนาบดีฝ่ายซ้ายผู้กุมความลับของราชวงศ์เอาไว้อย่างแน่นหนาเช้าวันครบรอบของการครองราชสมบัติครบปีที่สอง เสนาบดีฝ่ายซ้ายหูจวี่ได้ยื่นฎีกาในท้องพระโรง เพื่อขอพระราชทานสมรสและแต่งตั้งบุตรีของเขาขึ้นเป็นฮองเฮา หลังจากที่จักรพรรดิ์หยางจิ่งถงมีอายุครบยี่สิบปีบริบูรณ์เหมาะแก่การมีคู่บารมี เพื่อให้กำเนิดองค์รัชทายาทเพื่อความมั่นคงของราชสำนัก ท่ามกลางการส
สิบแปดปีผ่านไป ร้านเซาปิ่งอันเลื่องชื่อกลับมาครึกครื้นไปด้วยลูกค้ามากหน้าหลายตาอีกครั้ง หลังจากที่ฮูหยินเจ้าของเรือนล้มป่วยจากไปปรโลกเมื่อสามปีก่อน ทั้งโรงเตี๊ยมริมน้ำและร้านเซาปิ่งแห่งนี้ก็ปิดตัวลงอย่างกะทันหันเมื่อจัดการงานศพไว้ทุกข์ให้กับมารดาเป็นที่เรียบร้อย ซุนซูหลินก็กลับมาเปิดร้านเซาปิ่งและโรงเตี๊ยมริมน้ำของมารดาดังเช่นกาลก่อน โรงเตี๊ยมที่เคยตกแต่งอย่างเรียบง่ายถูกเพิ่มเติมด้วยเครื่องปั้นงานศิลปะที่หญิงสาวเชี่ยวชาญในขณะทิวทัศน์ด้านหลังของโรงเตี๊ยมถูกโอบล้อมด้วยทุ่งข้าวฟ่างกับไร่ถั่วเหลืองนับร้อยหมู่ที่ชูช่อสีเหลืองทองเป็นทิวแถว จนทำให้เหล่าบัณฑิตและเหล่ากวีเอกต่างเข้าจับจองที่พักในฤดูการเก็บเกี่ยวเพื่อชื่นชมความงามที่ถูกรังสรรค์ขึ้นจากธรรมชาติร้านเซาปิ่งหน้าเรือนหลังเล็กถูกมารดานางต่อเติมพื้นที่เรือนให้ใหญ่โตกว้างขวาง ระแนงไม้ข้างบ้านต่างรายล้อมไปด้วยดอกไม้นานาพรรณ หลังจากที่มารดาของนางจากไปปรโลกเมื่อสามปีก่อน บิดาได้แต่เก็บตัวเงียบอยู่ในสำนักศึกษา วันนี้หลังจากนางกลับมาจากงานสอนช่างฝีมือเครื่องปั้น ซุนซูหลินจึงเข้าครัวตั้งใจเตรียมข้าวห่อใบบัวกับน้ำแกงไก่ป่าซึ่งเป็นของโปรดข
วันเวลาล่วงเลยไปนานแปดเดือนเศษ ร้านขายเซาปิ่งของหลิวจิ่นอิงนับวันจะขายดีขึ้นเรื่อยๆ หญิงสาวเจรจาให้ลี่จือสหายคนสนิทนำหมั่นโถวกับซาลาเปามาเปิดแผงเพิ่มที่ร้านของนาง ทำให้เหล่านักเดินทางที่ลงเรือที่ท่าน้ำ กับบรรดาศิษย์ของสำนักศึกษาที่อยู่บนเขา ต่างแวะเวียนมานั่งพักรับความสำราญอยู่ที่นี่เป็นประจำก่อนหน้านี้เหล่าซือเฒ่ากว้านซื้อที่ดินบริเวณรอบเรือนเล็กเพื่อให้หลิวจิ่นอิงได้ต่อเติมกิจการร้านค้า นางจึงรวบรวมเงินที่ได้จากน้ำพักน้ำแรงมาสร้างโรงเตี๊ยมขนาดเล็กขึ้นที่ริมแม่น้ำด้านข้าง ขนาดห้องพักมีรูปแบบเรียบง่าย เข้ากับบรรยากาศริมแม่น้ำกับทุ่งข้าวฟ่างที่กำลังชูช่อสีเหลืองทองอยู่เต็มผืนดิน และแล้วโรงเตี๊ยมก็สร้างเสร็จทันกำหนดคลอดของหลิวจิ่นอิงเมื่อเข้าสู่ยามเหม่า (5.00-7.00) ของเช้าวันหนึ่ง รถม้าจากสำนักศึกษาได้พาหมอเทวดามาทำคลอดฮูหยินของเหล่าซือเฒ่าที่กำลังเจ็บท้องใกล้คลอด ในเรือนหลังเล็กท่ามกลางความเงียบสงบของเมืองเฮยจิวจู่ในเวลาไม่นาน บุตรีตัวอ้วนขาวก็คลอดออกมาทักทายมารดาของนางด้วยความปลอดภัย ท่ามกลางการลุ้นระทึกของเหล่าซือเฒ่า ที่ผุดลุกผุดนั่งที่หน้าห้องทำคลอด เขาโอบอุ้มบุตรีตัวอ้วนด้วยควา