LOGIN“ข้ามิใช่เด็กแล้วนะขอรับท่านพ่อ ย่อมรู้สิ่งใดควรมิควร”
“เจ้าค่อยติดตามไปภายหลัง เอาเวลานี้สร้างฐานกำลังที่มั่นคงให้ฝาแฝดมิดีกว่าหรือ ที่เหลียงเจ้าอาจเหนือผู้อื่น แต่นี่แคว้นอู๋เป่ยถึงจะมีเงินมากแค่ไหน ก็ต้องรู้จักการถนอมชีวิต อย่าเร่งวิ่งเข้าไปตายให้เร็วนัก เราแค่นิ่งรอให้เหยื่อตายใจ แล้ววิ่งเข้ากับดักของเราเอง เจ้านี่นะ! พ่อสอนกี่ครั้งแล้วมิรู้จักจดจำ”
“ใครว่าข้าจะรีบวิ่งไปตายเล่าขอรับ ข้าแค่อยากให้หลาน ๆ เติบโตขึ้นมาในสายตาของข้าก็เท่านั้น”
“ยังจะเถียงอีก น้องสาวเจ้าได้สอนพวกเขามากพอแล้ว”
“อย่างไรขอรับ”
“ความอดทนอย่างไรเล่า นางแค่ทนรอให้ลูกของนางเติบโต เพื่อที่วันหนึ่งไร้นางหรือใคร ๆ เด็ก ๆ จะสามารถดูแลตัวเองได้ ถึงกระนั้นนางก็คือสตรีที่ถูกอบรมมาดี จึงยังยึดมั่นในคำสอนของชนรุ่นหลังอยู่”
“เช่นนั้นข้าจะไม่ยินยอมให้เหลียนฮวา ต้องเป็นอย่างฮุ้ยเหมยเด็ดขาด”
“หึ ๆ เจ้านี่น่า! จนป่านนี้ยังมองไม่ออกอีกหรือ ว่าหลานสาวของเจ้าจะแตกต่างกับแม่ของนาง คนละขั้วเลยทีเดียว”
จางหลี่ชางหัวเราะในลำคอ แม้ในจดหมายไม่ได้บอกถึงรายละเอียดอะไรมากมาย แต่จากที่เขาจับใจความได้นั้น สองแฝดต้องการที่จะเรียนวิชาการต่อสู้ ต่างจากลูกสาวของเขา ที่เป็นกุลสตรีทุกระเบียดนิ้ว
“ไม่รู้ล่ะ! อย่างไรเสีย ข้าจะบอกนางมิให้สนใจกับคำสอน ที่งมงายพวกนั้น”
จางหย่งสือตั้งใจอย่างแน่วแน่ ที่จะไม่ยินยอมให้หรงเหลียนฮวา หลานสาวเพียงคนเดียว จะต้องพบเจอเรื่องเจ็บปวด เช่นที่น้องสาวของเขาต้องประสบอยู่ในตอนนี้
"ฟง! เข้ามาหาข้าสักหน่อยได้หรือไม่"
สิ้นเสียงของหลี่ชาง ประตูเปิดออกในทันที ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง หน้าตาหล่อเหลาก้าวเข้ามาในห้อง เขาคือฟงเด็กกำพร้าที่ชายชราฟูมฟักเลี้ยงดูมาตั้งแต่อายุเพียงเจ็ดขวบ
เขารักชายหนุ่มเหมือนลูกชายอีกคน ฟงเป็นที่รักของทุกคนในบ้าน ตั้งแต่เล็กจนโต ชายหนุ่มเชื่อฟังและขยันเรียนรู้ทุกอย่าง ตอนนี้ฝีมือของชายหนุ่ม จัดได้ว่าอยู่ในขั้นสูงสุดในระดับพลังขั้นสีม่วง
แน่นอนว่าเขาก็คาดหวังที่จะเห็นหลาน ๆ แตกฉานด้านพลังแต่ละแขนงเช่นกัน การเดินทางของฟงในครั้งนี้ คงเต็มไปด้วยอันตรายและความท้าทายอีกมาก
"คารวะนายท่าน คุณชายใหญ่"
หลี่ชางมองดูชายหนุ่มที่เอาแต่ก้มหน้า แล้วได้แต่ทอดถอนใจ เขารู้ว่าฟงได้ยินทุกอย่าง และจากการหลบหน้าก้มต่ำในตอนนี้ คือชายหนุ่มกำลังควบคุมโทสะมิให้ระเบิดออกมา
ฟงรักและเคารพบุตรชายหญิงของเขายิ่งกว่าชีวิต แค่เพียงรอยแมวข่วนก็ทำให้ฟงเป็นเดือดเป็นร้อนแล้ว ชายหนุ่มมีนิสัยเช่นไร ไยเขาจะไม่รู้
"เจ้าคัดเลือกเงาสักแปดคน แล้วไปที่ชายป่าตะวันออกของเมืองชีเป่ย เพื่อพบกับหลานชายของเจ้า จำไว้ว่าอย่าให้พี่สาวของเจ้าเห็นหรือรู้ว่าเจ้าอยู่ที่นั่นเป็นอันขาด คุ้มครองและเป็นอาจารย์ของเขา ส่วนสิ่งของอื่นใดที่จำเป็น พี่ชายของเจ้าจะจัดเตรียมให้เอง พรุ่งนี้ออกเดินทางก่อนรุ่งสาง อีกเรื่องอย่าให้จางฮูหยินรู้เรื่องนี้"
หลี่ชางบอกถึงจุดประสงค์ที่เขาต้องการ ฟงเงยหน้าขึ้นสบตากับบิดาบุญธรรม ก่อนจะก้มต่ำอีกครั้ง ความรู้สึกของชายหนุ่มในตอนนี้ ยิ่งกว่าภูเขาไฟที่พร้อมจะระเบิดได้ทุกเวลา
“ข้าน้อยทราบแล้วขอรับ นายท่าน”
“เมื่อไหร่เจ้าจะเรียกข้าว่าพ่อ หืม!”
“นั่นสิ! ข้าไม่คู่ควรเป็นพี่ชายเจ้าหรืออย่างไร มันน่านักเจ้าน้องชายคนนี่”
จางหย่งสือ พยายามเปลี่ยนบรรยากาศให้ผ่อนคลายลง เขากลัวใจของน้องชายบุญธรรม ว่าจะทำอะไรที่เป็นอันตรายต่อตัวเอง หากจะว่าเขามุทะลุแล้ว ฟงนั้นมักจะไม่พูดแต่ลงมือทันที
“ข้าน้อยมิกล้าคิดเช่นนั้นขอรับ”
“เอาล่ะ! ข้าไม่อยากเถียงกับเจ้าเรื่องนี้แล้ว เจ้าออกไปคัดคนเถอะ เดียวข้าจะไปเตรียมของสำคัญให้ อ่อ! ให้มีผู้หญิงไปด้วยสักสองคน เผื่อจะได้ไม่ทำให้ฮวาเอ๋อร์รู้สึกกระดากใจ หากจะมีแต่ผู้ชายทั้งหมด”
“รับทราบขอรับ”
ฟงลุกขึ้นก่อนจะก้าวออกจากห้องไปเงียบ ๆ สองพ่อลูกหันมาสบตากัน ก่อนที่หย่งสือจะทันได้เอ่ยอะไรออกมา เสียงทหารด้านนอกเอ่ยชื่อของผู้ที่กำลังมาหาพวกเขาในตอนนี้ ทุกอย่างจึงเปลี่ยนไปในฉับพลัน เพื่อมิให้จางฮูหยิน ผู้เป็นใหญ่อย่างแท้จริงเกิดสงสัย
ก่อนรุ่งสาง สองพ่อลูกได้ออกมาส่งฟง และเงาทั้งแปดนอกจวนอย่างลับ ๆ
"หย่งสือ ตั๋วเงินและป้ายทองของร้านตระกูลจางครบหรือไม่"
หลี่ชางจะเป็นกองหนุนที่ดีของหลาน ๆ นอกจากส่งมือดีไปเป็นอาจารย์แก่ทั้งสามแล้ว แน่นอนว่าอำนาจและทรัพย์สินจะต้องมีพร้อมเช่นกัน
ในเมื่อหรงจิ่งหวังเพียงผลประโยชน์ เขาก็จะมอบทั้งหมดให้หลานชายเป็นผู้รับไปเสีย อยากรู้นักว่าวันที่สกุลหรง ไม่หลงเหลือเงินแม้แต่อีแปะเดียว มันจะเป็นเช่นไร
"มีหรือข้าจะลืม ฟงเจ้าบอกหลาน ๆ ของเราว่าใช้ให้เต็มที่ ส่วนเจ้าก็อย่าได้ตระหนี่จนไม่กินไม่ใช้นะ เจินจู! เรื่องการกินอยู่ของพวกเจ้าทั้งเก้าคน ข้าให้เจ้ารับผิดชอบ นี่ตั๋วเงินสำหรับการเดินทาง ถ้าเอาไว้ที่หัวหน้าของเจ้า คงได้กินแค่ข้าวต้มกับเกลือเป็นแน่ เห็นไหมว่าข้าไม่เคยตระหนี่แบบใคร ๆ ว่า จริงไหมขอรับท่านพ่อ"
จางหย่งสือมอบตั๋วเงินปึกใหญ่ให้กับหญิงสาว ที่เป็นหนึ่งในเงามือดีของสกุลจาง ก่อนจะหันไปยิ้มแต้ให้แก่บิดา พร้อมคำถามที่ทุกคนได้แต่นิ่งเงียบ จางหลี่ชางกระพริบตาปริบ ๆ เพราะคำว่าไม่ตระหนี่นั้น คงน้อยเกินไปกับคนเช่นหย่งสือ
ทะเลที่ว่าเค็มคงไม่สู้ความงกของบุตรชายเขาได้ ทำการค้าสำหรับจางหย่งสือ จะต้องไม่มีคำว่าขาดทุน หากคิดจะคดโกงเขาแม้เพียงอีแปะเดียว คนที่ทำคือดวงถึงฆาตแล้วจริง ๆ
แต่สำหรับคนในครอบครัว และผู้ติดตาม คนงานในร้าน หย่งสือจะไม่มีคำว่าหวงเงิน เขาจะทุ่มทุกอย่างให้แก่ทุกคนเต็มที่เสมอ การทำงานหนักย่อมต้องได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่า นั่นคือคติประจำตัวของจางหย่งสือ
“เช่นนั้นพวกข้าขอลานายท่าน กับคุณชายใหญ่นะขอรับ หากมีสิ่งใดคืบหน้าข้าจะรีบส่งข่าวทันทีขอรับ”
ทั้งเก้าคนทำความเคารพผู้เป็นนาย ก่อนจะพากันเหวี่ยงกายขึ้นบนหลังม้า ควบหายไปในความมืด ทิ้งให้คนด้านหลังมองตามด้วยความเป็นกังวลอยู่ลึก ๆ
จวนเสนาบดีฝ่ายขวา เจียงชูเหนียง ก้าวพรวดพราดเข้ามาในห้องหนังสือของสามี ด้วยท่าทางร้อนใจ หลังจากได้รับข่าวมาเรื่องลูกเลี้ยง ที่ปรากฏตัวอยู่ในร้านผ้าสกุลจาง “ท่านพี่ รู้ข่าวของพวกมันรึยังเจ้าคะ” ทว่าเมื่อเห็นสีหน้าของสามี นางก็รู้ได้ทันที ว่าเขาเองก็ต้องรู้เรื่องมาแล้วเช่นเดียวกัน “เจ้าจะเสียงดังไปทำไมกัน”ท่านเสนาบดีตวัดสายตามองภรรยา ด้วยอารมณ์ที่เต็มไปด้วยความขุ่นมัว มันมิใช่แค่บุตรสาวคนโตปรากฎตัวเท่านั้น แต่เรื่องที่เขาได้หย่ากับภรรยาเอก ดังกระฉ่อนไปทั่วทั้งเมืองหลวง ประหนึ่งไฟลาม “ท่านพี่ว่าข้ารึเจ้าคะ” ใบหน้าที่ยังคงมีความงาม งอง้ำในทันที ก่อนจะก้าวฉับๆ ไปนั่งลงเก้าอี้ข้างสามี “ข้ายิ่งมีเรื่องต้องให้คิด เจ้าอย่าได้มาทำตัวเหมือนสาวแรกรุ่นได้ไหม ประเดี๋ยวข้าจะไปพบท่านพ่อ เจ้าอย่าได้ออกไปก่อเรื่องเพิ่มให้ข้าอีกเข้าใจไหม” ท่านเสนาบดี หันไปสั่งภรรยา ด้วยรู้นิสัยของนางดี ว่าถ้ามีเรื่องให้ไม่พอใจ มักจะทำทุกสิ่งตามที่ต้องการ โดยไม่สนว่าจะมีผลกระทบใดตามมา ครั้งนี้สกุลจางได้ยืนคนละฝั่งกับเขาแล้ว ขุนนางหลายฝ่าย คงจ้องเล่น
จางเหลียนฮวา มองตามแผ่นหลังที่งองุ้ม ไม่เหยียดตรงเช่นที่พบเจอกันในคราแรก ของต้วนชิงชิง นางหาได้สาแก่ใจอันใด กับสิ่งที่อีกฝ่ายได้รับ แต่นี่คือสิ่งที่นางต้องเลือก และเป็นสิ่งที่ต้วนชิงชิงเลือกมันด้วยตนเอง ระหว่างเป็นผู้ถูกกระทำ หรือจะเป็นผู้กระทำ นางไม่ได้ลงมืออันใดให้มากมายแต่เป็นต้วนชิงชิงเอง ที่ก้าวล้ำเส้นมาก่อน คนที่คิดว่าตนเองเหนือกว่าทุกคน มักมีขุดอ่อนทางอารมณ์ ยั่วยุเพียงลมปาก คนประเภทนี้ก็กระโดดเข้าสู่กองเพลิง โดยไม่ไตร่ตรองให้ถี่ถ้วน นางไม่ได้อยากรื้อฟื้นหรือทำร้ายใครก่อน แต่ถ้าข้ามเส้นความอดทนของนางเมื่อใด จะใครหน้าไหน นางก็พร้อมชนทั้งนั้น “ฮวาเอ๋อร์ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ตกใจมากหรือไม่” เมื่อทุกอย่างกลับสู่ความสงบ บรรดาลูกค้าเริ่มเลือกชมสินค้าอีกครั้ง เพื่อรับส่วนลดพิเศษ ที่หลานสาวเจ้าของร้าน ประกาศไปก่อนเกิดเรื่องเมื่อครู่กันอย่างสำราญใจ คล้ายกับสิ่งที่เกิดขึ้น เป็นเพียงสายลมพัดผ่าน จ้าวฮูหยินจึงรีบเอ่ยถามว่าที่ลูกสะใภ้ ด้วยความห่วงใย ก่อนจะตวัดสายตาตำหนิบุตรชาย ที่โง่เขลามองคนไม่ออกมาตั้งหลายปี จนทำให้ว่าที่สะใภ้ของนาง ถูกทำร้ายจิตใจต่อหน้าผู้คน แม
“ฮึ! เรื่องเพียงเท่านี้ ก็ทำให้ท่านที่เป็นสามีของข้า เลือกตำหนิข้าต่อหน้าผู้คน ช่างแล้งน้ำใจนัก” แม้จะรู้ตัวแล้ว ว่าตนเองทำพลาด พูดไปโดยไม่คิด แต่จะให้นางยอมถูกสามีอยู่เหนือ ต่อหน้าผู้คนได้อย่างไรกัน “เท่านี้อย่างนั้นรึ! เจ้ากล้าพูดออกแบบนี้ได้อย่างไรกัน” ชูป๋อเจี้ยน ไม่อยากเชื่อ ว่าภรรยาจะมองคำพูดของนาง เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย นางทำให้เขาอับอายต่อหน้าอดีตคนรักของนาง และชาวเมืองที่อยู่ภายในร้านผ้า“เจ้าเห็นรึยังหมิงเยี่ย ว่าเหตุใดแม่มิตามใจเจ้าเรื่องของนาง”ทุกสายตาหันไปมองยังด้านหน้าประตูร้าน เมื่อคำพูดที่แทรกการโต้เถียงของสามีภรรยาสกุลชู ดังขึ้นเรียกทุกความสนใจ สตรีผู้ที่ก้าวเข้ามา ด้วยท่วงท่าสูงสง่า จะเป็นใครไปไม่ได้ หากมิใช่จ้าวฮูหยิน มารดาของท่านแม่ทัพจ้าวหมิงเยี่ย สายตาที่จ้าวฮูหยิน มองไปที่ต้วนชิงชิง มิได้ปกปิดความรู้สึกแม้แต่น้อย“จ้าวฮูหยินไยท่านมองข้าด้วยสายตาเยี่ยงนี้ เป็นผู้ใหญ่ไยมิรู้เมตตาต่อผู้น้อยบ้างเจ้าคะ อีกอย่างถ้าตอนนั้น ท่านเอ็นดูต่อข้าบ้าง ทุกอย่างคงไม่มาถึงจุดนี้เป็นแน่”ต้วนชิงชิงเอ่ยถาม พร้อมกับตำหนิจ้าวฮูหยินอยู่ในที ความชิงชังที่มี
“ข้าไม่เชื่อ!”น้ำเสียงที่หวีดร้องขึ้นอย่างลืมตัว ของต้วนชิงชิง ทำลายบรรยากาศแสนหวาน ของแม่ทัพหนุ่มกับคู่หมั้น อีกทั้งยังทำให้ทุกคน ที่กำลังเคลิ้มไปกับคู่รักเกี้ยวพากัน ต้องพลอยเสียอารมณ์ไปด้วยเลย“หากเจ้ารักเขาอยู่ ไยยังต้องแต่งแก่ข้าด้วยเล่า ชิงชิง!”เป็นอีกครั้งที่ต้วนชิงชิง รู้สึกเย็นวาบตลอดสันหลัง เมื่อเสียงอันคุ้นเคย ดังขึ้นจากด้านหน้าประตูร้าน สามีของนางนั่นเอง...“ทะ...ท่านพี่ ท่านมาที่นี่ทำไมกันเจ้าคะ”ต้วนชิงชิง เอ่ยถามสามีด้วยเสียงตะกุกตะกัก ไม่ว่าอย่างไรตอนนี้ นางก็คือภรรยาของชูป๋อเจี้ยน ทั้งยังเป็นภรรยาเอกหนึ่งเดียว หากนางต้องถูกหย่าขาด ชีวิตหลังจากนี้คงยากจะมองหน้าผู้ใดได้“หากข้าไม่มา ก็คงตามืดบอดไปอีกนาน”ชูป๋อเจี้ยน เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่เจ็บร้าวยิ่งนัก ใช่ว่าเขาจะไม่รู้ว่าภรรยานั้นเคยชอบพอในตัวของแม่ทัพจ้าว แต่เขาและนางก็อยู่ร่วมกันมาหลายปี ทายาทร่วมกันก็มีแล้ว แต่เขาไม่คิดว่าวันนี้ จะได้เห็นนางยังคงมีเยื่อใยต่ออดีตคนรัก ทั้งที่ตลอดหลายปี นางแสดงความชัดเจนมาโดยตลอด ว่ามิได้รู้สึกสิ่งใดต่อจ้าวหมิงเยี่ยแล้ว“ท่านพี่หมายความว่าอย่างไรเจ้าคะ ดวงตามืดบอดเยี่ยงนั้นรึ! ตรง
“ชูฮูหยิน เราไม่ได้โง่จนเชื่อในคำของเจ้าหรอกนะ เพราะพวกเราที่นี่ เข้าใจความหมายของคุณหนูหรงดี แต่เป็นเจ้าที่พยายามดึงดัน ให้เป็นความเกินเลย เจ้าควรกลับไปทบทวนตนเองให้ดี ว่าสมควรแล้วหรือ ที่คิดหักหน้าผู้อื่นอย่างไรมารยาทเยี่ยงนี้” เป็นหนึ่งในฮูหยินขุนนางชั้นผู้ใหญ่ ที่เอ่ยขึ้นหลังจากจบคำพูดของท่านแม่ทัพจ้าวหมิงเยี่ย นางที่อยู่ในเหตุการณ์ตั้งแต่ต้น ไม่ได้แทรกแซง เพราะอยากรู้ว่าคุณหนูใหญ่สกุลหรง ที่มีข่าวลือไม่ดีมาก่อน จะแกไขสถานการณ์อย่างไร และดูเหมือนจะเหนือความคาดหมายไปมาก คุณหนูใหญ่หรงเหลียนฮวา นอกจากจะลากคนเยี่ยงต้วนชิงชิง ออกมาตบต่อหน้าทุกคน ด้วยคำพูดของผู้ได้รับการอบรมมาดี และความเยือกเย็นที่แสดงออก ล้วนไม่มีความหวั่นเกรงแฝงอยู่ นี่คือวิสัยของผู้นำทั้งสิ้น แต่น่าเสียดายแทนสกุลหรง ที่ไม่รักษาหยกเนื้อดีชิ้นนี้เอาไว้ กลับหย่าขาดภรรยา ทำให้บุตรชายหญิง จากอดีตภรรยาเอก กลายเป็นทายาทสกุลจาง ที่มากด้วยทรัพย์และอำนาจ แม้ข่าวเรื่องนี้ยังไม่แพร่ออกไป แต่มิเกินครึ่งวัน เรื่องที่ท่านเสนาบดีหรง หย่าภรรยาเอกก็คงสะพัดไปทั่วเมืองหลวง “ไยเจียงฮูหยิน จึงได้เห็นงามกับคำของหญิง ที่มีข่าวลือเสียหา
ต้วนชิงชิง ถึงกับใบหน้าชาหนึบ เมื่อถูกอีกฝ่ายตอบโต้ด้วยวาจาที่ฉะฉาน และไม่แสดงท่าทีเยี่ยงสตรีร้านตลาด เช่นที่นางทำไปเมื่อครู่เพราะความขุ่นเคือง ยิ่งเห็นสายตามากมาย มองนางอย่างตำหนิ มันยิ่งทำให้นางรู้สึกอับอาย เพราะนั่นเท่ากับว่านาง กำลังคิดช่วงชิงแม่ทัพจ้าว ทั้งที่ตนเองแต่งงานมีสามีแล้ว และหากขึ้นศาลจริง นางมีหรือจะมีชัย ที่สำคัญมันอาจส่งผลให้ชีวิตแต่งงานของนางระส่ำระสายได้เลย “เหลวไหล! ข้าไม่เคยทำเรื่องต่ำช้าเลย” ด้วยความสับสนและร้อนรนอยู่ภายในใจ ต้วนชิงชิงจึงปฏิเสธไป โดยมิได้ไตร่ตรองให้ดี ว่าความหมายในคำพูดของนางนั้น มันกำลังสื่อไปในทิศทางใด “เรื่องอะไรรึ! ที่เจ้าว่า...ต่ำช้า” จางเหลียนฮวาเลิกคิ้วสูง พร้อมถามกลับคล้ายไม่เข้าใจ ว่าอีกฝ่ายหมายความว่าอย่างไร ทั้งที่นางเป็นตั้งใจปั่นให้ต้วนชิงชิง สับสนทั้งในความคิดและคำพูด “ขะ...ข้าไม่เคยทำตัวเยี่ยงสตรีแพศยา เหมือนเจ้า! ที่เป็นตอนอยู่บ้านนอกนั่น” “ข้าพูดแล้วรึ! ว่าเจ้าเป็นเช่นนั้น ไยข้าไม่เห็นรู้ ว่ากล่าวให้ร้ายเจ้าเช่นนั้นออกไป” จางเหลียนฮวา ย้อนถามกลับอีกครั้ง ด้วยแววตาใสซื่อราวกับนาง มิค่อยจะเข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายสื่อ เหอะ! หาก







