บทที่ 15
ทำธุรกิจร่วมกับโรงเตี๊ยมตระกูลหาน
ตั้งแต่ที่ตงตง(คนใหม่)เปลี่ยนสูตรซาลาเปาเล็กๆ น้อยๆ ร้านของนางก็เริ่มกลับมาขายดี
พอยามเฉิน (07.00-09.00 น.) ลูกค้าก็เข้าร้านจนแน่นขนัด ตงตงกับจิ่งฝานช่วยกันขายซาลาเปาหน้าร้าน จางไคเฮ่อคอยเติมฟืนและยกน้ำชาเสิร์ฟให้กับลูกค้า
ทางด้านถังเหวิน ซานหลัวเฉินและหานเจียเอ๋อร์นั่งกินซาลาเปากันอย่างเอร็ดอร่อย
ไม่นานนัก ชายวัยกลางคนร่างท้วม เหงื่อท่วมตัว สวมอาภรณ์ที่ตัดเย็บจากผ้าแพรเนื้อดี เดินซับเหงื่อเข้ามาในร้าน พอเห็นตงตงปุบ ชายร่างท้วมก็ตรงปรี่เข้ามาปับ
ชายร่างท้วมเท้าสองมือลงกับโต๊ะ ยื่นหน้าเข้าไปถามเด็กสาวด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
“เจ้าพูดจริงหรือ ที่บอกว่าจะขายสูตรให้โรงเตี๊ยมของข้าน่ะ!”
ด้วยความตกใจ ตงตงถึงกับผงะถอยหนึ่งก้าว
“ท่านเป็นใครเจ้าคะ”
ชายวัยกลางคนร่างท้วมทำหน้ามึนงง “อ้าว ทำไมถึงจำข้าไม่ได้แล้วเล่า”
ตงตงกะพริบตาปริบๆ มองชายร่างท้วม สักครู่พลันร้อง อ๋อ…
คนคนนี้ก็คือ ‘หานป๋อเหล่ย’ บิดาของหานเจียเอ๋อร์ หรือก็คือเถ้าแก่หานแห่งโรงเตี๊ยมตระกูลหานรุ่นที่ 3 นั่นเอง
เมื่อกี้ จู่ๆ หานป๋อเหล่ยก็พุ่งเข้ามากะทันหัน ตงตงไม่ทันมองอีกฝ่ายให้ชัดก็เลยตกใจ
หานป๋อเหล่ยจ้องมองเด็กสาวตาไม่กะพริบ ถามซ้ำอีกครั้ง “เจียเอ๋อร์บอกว่าเจ้าจะขายสูตรซาลาเปาให้โรงเตี๊ยมตระกูลหาน สรุปแล้วพูดจริงหรือไม่”
“พูดจริงเจ้าค่ะ แต่ไม่เชิงว่าจะเป็นการขายสูตร”
“หมายความว่…”
หานป๋อเหล่ยยังถามไม่จบประโยค ลูกค้าคนหนึ่งเดินเข้ามาในร้านพร้อมกับตะโกนแทรก
“เถ้าแก่เนี้ยน้อย ซาลาเปาไส้ฟักทองหวาน 3 ลูก!”
“ได้เจ้าค่ะ” ตงตงหันไปยิ้มตอบรับลูกค้าคนนั้น ก่อนจะบอกให้เถ้าแก่หานขยับไปยืนข้างๆ ก่อน
พอขายให้คนหนึ่งเสร็จ ลูกค้าคนใหม่พลันทยอยเข้ามาซื้อซาลาเปาต่อ
ตงตงยุ่งกับการขายซาลาเปาจนไม่มีเวลาหันไปคุยกับเถ้าแก่หาน
ย้อนกลับมา
ตรงหน้าของหานป๋อเหล่ยคือเข่งนึ่งซาลาเปากรุ่นควันฉุย กลิ่นหอมของหมูสับและกลิ่นหวานละมุ่นของไส้ฟักทอง ทำเอากระเพาะของเขาส่งเสียงร้อง ‘จ๊อกกก….’ มิหนำซ้ำ เสียงยังดังไปถึงโต๊ะของหานเจียเอ๋อร์
“ดูท่าว่าท่านพ่อของเจ้าจะไม่ได้กินข้าวเช้ามากระมัง ไม่เรียกมานั่งกินซาลาเปาด้วยกันหรือ” ถังเหวินแซวหานเจียเอ๋อร์
ซานหลัวเฉินกลั้นขำจนไหล่สั่น
หานเจียเอ๋อร์นั้นอับจนคำพูด ทำได้เพียงยกมือขึ้นปิดหน้าด้วยความอาย
หานป๋อเหล่ยเป็นคนชอบกิน และมักเฟ้นหาของอร่อยมาเติมเต็มท้องอยู่เสมอ นอกจากนี้ เขายังพัฒนาและต่อยอดรสชาติความอร่อยให้กับโรงเตี๊ยมตระกูลหาน ผู้เฒ่าหานเห็นว่าลูกชายคนนี้มีแวว จึงมอบตำแหน่งเจ้าของโรงเตี๊ยมตระกูลหานรุ่นที่ 3 ให้กับเขา
ไม่มีอะไรที่หานป๋อเหล่ยไม่เคยกิน อย่างซาลาเปาไส้หมูของร้านตระกูลจางเมื่อก่อนก็กินออกจะบ่อย แต่ว่า…
สายตาของหานป๋อเหล่ยมองซาลาเปาที่นึ่งร้อนๆ ในซึ้ง พร้อมกับเสียงกระเพาะดังประท้วงไม่หยุด
จ๊อกกกก...จ๊อกกก...
ทั้งที่เป็นซาลาเปาไส้หมูธรรมดาและทำง่ายๆ แต่ทำไมรสมือของเด็กสาวคนนี้ทำให้คนติดใจจนลืมไม่ลง
ด้านหานเจียเอ๋อร์ทนอับอายไม่ไหว ลุกขึ้นมาคว้ามือบิดา ดึงให้มานั่งรอตงตงที่โต๊ะ
“ท่านพ่อ นั่งรอตงตงก่อนเจ้าค่ะ”
“เจียเอ๋อร์ก็อยู่ที่นี่ด้วยหรือ พ่อคิดว่าเจ้ากลับบ้านไปแล้ว”
“…”
หานเจียเอ๋อร์ไร้คำพูด ลากบิดามานั่งที่โต๊ะด้วยกัน
แม้ว่าถังเหวินไม่ได้ชอบหานเจียเอ๋อร์แบบคู่รัก เขาไม่เคยชอบใจเรื่องที่พวกผู้ใหญ่หมั้นหมายเขากับนาง แต่ถังเหวินก็ไม่ได้โกรธหรือเกลียดหานป๋อเหล่ย พอหานป๋อเหล่ยเดินมาทางนี้ ถังเหวินกับซานหลัวเฉินลุกขึ้นยืน ประสานมือคารวะผู้ใหญ่
“พวกเจ้าก็อยู่ที่นี่ด้วย?”
“ท่านลุงเชิญนั่งขอรับ”
“ขอบใจพวกเจ้ามาก มาๆ นั่งลงก่อน”
“ท่านลุง กินซาลาเปาด้วยกันสิขอรับ ยังร้อนอยู่เลย” ถังเหวินไม่พูดเปล่า ขยับเข่งซาลาเปาของตนไปตรงหน้าหานป๋อเหล่ย
“โอ้ ขอบใจมาก!”
ถึงจะกินข้าวเช้ามาแล้ว แต่ด้วยเป็นคนกินเก่ง หานป๋อเหล่ยจึงหิวขึ้นมาอีกแล้ว เขาหยิบซาลาเปาจากเข่งใบเล็กขึ้นมากินอย่างไม่เกรงใจ
ราวๆ ครึ่งชั่วยามต่อมา ลูกค้าในร้านเริ่มซาลง ตงตงถึงค่อยเดินมาที่โต๊ะของถังเหวิน
เด็กสาวประสานมือ โน้มศีรษะทักทายและขอโทษหานป๋อเหล่ยที่ต้องให้รอนาน
หานป๋อเหล่ยโบกมืออย่างใจกว้างบอกว่า ‘ไม่เป็นไร’ จากนั้นชวนให้ตงตงนั่งลง ทั้งยังกล่าวเข้าเรื่อง ว่าด้วยเรื่องสูตรซาลาเปา
ตงตงไม่อ้อมค้อม อธิบายเกี่ยวกับการทำธุรกิจแบบแฟรนไชส์โดยใช้ศัพท์ง่ายๆ ของโลกทางนี้
“ซาลาเปาของข้าตอนนี้ยังมีไส้หมูกับไส้ฟักทองหวาน แต่ต่อไป ข้าจะเพิ่มไส้อื่น อ้อ เพื่อให้ลูกค้าเห็นว่าซาลาเปาของร้านข้าและร้านท่านเป็นสูตรที่ทำจากเจ้าเดียวกัน พวกเราต้องปั้มตราบนหน้าซาลาเปาด้วย สัญลักษณ์นี้ใช้ได้เฉพาะร้านตระกูลจางกับร้านตระกูลหานเท่านั้น เรื่องตราปั้มทางข้าจะทำเอง ส่วนเรื่องสัญญา เถ้าแก่หานช่วยเขียนขึ้นมาได้หรือไม่”
ตงตงคิดว่าซื้อตราปั้มกับสีผสมอาหารจากในระบบร้านค้า นอกจากสะดวกและรวดเร็วกว่าแล้ว ยังประทับเงินกว่าจ้างช่างฝีมือในยุคนี้
อีกอย่าง ยิ่งขยายแฟรนไชส์ได้เร็ว ยิ่งการันตีว่าต้นตำรับมาจากร้านของตงตง
“ได้แน่นอน” หานป๋อเหล่ยรับปากทันที หนำซ้ำยังเอ่ยชมเด็กสาวว่าคิดวิธีการขายและใช้ตราปั้มบนผิวซาลาเปา ช่างเป็นวิธีที่แยบยลยิ่งนัก
ตงตงยิ้มรับคำชมจนเห็นฟันขาว
“แล้ว...ไส้ซาลาเปาใหม่ที่ว่า เป็นไส้อะไรหรือ” หานป๋อเหล่ยถามต่อ
“ไส้ผักรวมมิตรสำหรับคนกินเจ และไส้เผือกหวาน” ตงตงตอบฉะฉาน
ทว่า...พอทุกคนได้ยินว่าเป็นไส้เผือต่างก็ทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก
จากความทรงจำของตงตงคนเก่า ในยุคนี้เผือกไม่เป็นที่นิยม โดยเฉพาะกลุ่มคนที่มีอันจะกิน แทบจะไม่ทำเมนูเผือกขึ้นโต๊ะ นอกจากฝืดคอกินยาก ตอนปอกเปลือกยังทำให้คันมือ ถ้าไม่ลวกน้ำหลายๆ ครั้งก็จะทำให้คันคอเหมือนคนแพ้อาหาร นับเป็นพืชหัวที่ใช้ทำอาหารได้ยาก
ดังนั้นคนที่เก็บหัวมันหัวเผือกมากินส่วนใหญ่เป็นคนจรจัดไร้บ้าน พูดง่ายๆ คือ เผือกไม่เป็นที่นิยมสำหรับชาวเมืองนั่นเอง
หานป๋อเหล่ยยิ้มอย่างลำบากใจก่อนจะกล่าว “ข้าไม่ติดปัญหาเรื่องวิธีการขายของเจ้า แต่ใช้เผือกเนี่ย...จะไม่ทำให้พวกเราเสียลูกค้าหรอกหรือ”
ตงตงส่ายหน้า ตอบอย่างมั่นใจว่า “เถ้าแก่หานต้องลองชิมเผือกของข้าก่อนแล้วค่อยสรุป”
“ทำไมเจ้ามั่นใจว่าซาลาเปาไส้เผือกจะขายดี” หานเจียเอ๋อร์ถามตรงประเด็น
“เพราะข้ารู้วิธีทำเผือกให้อร่อย” ตงตงยังคงตอบอย่างมั่นอกมั่นใจ
ทุกคนได้ยินแบบนั้น คิดตรงกันว่า เช่นนั้นจะลองเชื่อนางดู!
กลับมาที่ประเด็นหลัก วิธีแก้ปัญหาการลอกเลียนสูตรของตงตงถือว่าไม่เลว หานป๋อเหล่ยเองก็เห็นด้วย เหลือก็แค่ราคาสูตร
“ว่าแต่ เจ้าคิดราคาสูตรเท่าไร”
ตงตงคิดอยู่สักพัก ก่อนจะยกนิ้วชู 3 นิ้ว
“ทั้ง 4 สูตรเจ้าขายแค่ 3 ตำลึงเงินเองหรือ ถูกไปแล้ว!” หานป๋อเหล่ยเบิกตาโพล่งเสียงดังลั่น
ตงตงผงะ แก้ไขความเข้าใจผิด
“เอ่อ ข้าจะขายให้สูตรละ 3 ตำลึงทองต่างหาก”
“อ้อ...” หานป๋อเหลินพยักหน้าเหมือนเข้าใจ หากอึดใจต่อมา เขากลับโพล่งขึ้นอีกครั้ง “3 ตำลึงทอง!!”
แม้หานป๋อเหล่ยจะยอมรับว่าซาลาเปาของตงตงอร่อยมาก ทั้งที่เป็นสูตรธรรมดา แต่แป้งซาลาเปาของนางนุ่ม ตัวไส้หมูก็มีรสชาติเป็นเอกลักษณ์ มันหมูแทรกอยู่ในเนื้อทำให้ไส้ชุ่มฉ่ำ แต่ไม่เลี่ยน ไส้ฟักทองหวานกลมกล่อมละมุ่นลิ้น แต่ราคาสูตรละ 3 ตำลึงทอง ไม่แพงไปหน่อยหรือ?
อย่างไรก็ตาม หากในหนึ่งวันขายซาลาเปาได้วันละ 1-2 ตำลึงเงิน ไม่เกิน 1 ปีย่อมได้ค่าสูตรคืน!
มันก็คุ้มอยู่หรอก แต่...
หานป๋อเหล่ยอย่างลังเล
ด้านตงตงจิบชารอคอยด้วยความใจเย็น
ในที่สุด หานป๋อเหล่ยก็เอ่ยขึ้นว่า “ช่วยลดราคาค่าสูตร เป็นสูตรละ 2 ตำลึงทองแทนไม่ได้หรือ”
ตงตงได้ฟังแล้วพลันยิ้มแฉ่ง
คนผู้นี้ไม่เลวเลย ไม่ได้หน้ามืดตามัวอยากได้สูตรจนทำให้ตัวเองขาดทุน
อีกอย่าง ทั้งที่ตระกูลหานร่ำรวยกว่าตระกูลจางหลายเท่า แต่เขากลับไม่ได้กดดันตงตงให้ขายสูตร
เด็กสาวแสร้งทำหน้าเหมือนคิดหนัก
คนอื่นๆ เองก็มองนางอย่างใจจดใจจ่อ รอฟังอย่างตื่นเต้น
ผ่านไปสักครู่ ตงตงตอบหานป๋อเหล่ยว่า “ได้เจ้าค่ะ ราคาสูตรคือ 2 ตำลึงทอง!”
มิหนำซ้ำ ตงตงยังรับปากกับหานป๋อเหล่ยว่า นางจะไม่คิดค่าสูตรซาลาเปาตัวใหม่
หานป๋อเหล่ยยิ้มพอใจ นับว่าได้ประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่าย
เมื่อตกลงกันเรียบร้อย หานป๋อเหล่ยอุดหนุนซาลาเปาของตงตง ก่อนจะกลับไปที่โรงเตี๊ยมของตัวเอง
บทพิเศษความลับของตระกูลจาง หนึ่งวันหลังเสร็จสิ้นงานแต่ง จางไคเฮ่อนำชื่อของเหยียนหลิ่วเข้าทะเบียนราษฎร์ของตระกูลจาง นับจากนี้เหยียนหลิ่วจะกลายเป็นคนตระกูลจางเต็มตัว กลายเป็น ‘จางเหยียนหลิ่ว’ ล่วงเข้าสู่วันที่ห้าหลังจากที่ทั้งสองกลายเป็นสามีภรรยากัน เหยียนหลิ่วก็ถูกตงตงจูงมือพาลงไปที่ห้องใต้ดินของโรงเตี๊ยม “ภรรยา…ห้องใต้ดินเป็นความลับของตระกูล เจ้าแน่ใจหรือว่าข้าลงไปที่นั่นได้” เหยียนหลิ่วถามเพื่อให้ตงตงไตร่ตรองอีกครั้ง เหยียนหลิ่วรู้แค่ว่า ภายในห้องใต้ดินเป็นสถานที่เก็บสินค้าและสมบัติของตระกูลจาง กุญแจมีเพียงสองดอกเท่านั้น ดอกหนึ่งจางไคเฮ่อเป็นคนเก็บ และดอกหนึ่งเป็นของตงตง กระนั้น ตงตงกลับหันมายิ้มให้กับเหยียนหลิ่วด้วยสีหน้าสบายๆ “ตอนนี้ท่านเองก็เป็นคนของตระกูลจางแล้ว” “ถึงจะอย่างนั้นก็เถอะ แต่…” “ในอนาคตท่านคิดจะหย่ากับข้าหรือ…หรือว่า…ท่านจะหักหลังตระกูลจาง?” “เรื่องนั้นจะไม่มีทางเกิดขึ้นเด็ดขาด!” เหยียนหลิ่วตอบกลับอย่างหนักแน่น หย่ากันหรือ
บทส่งท้าย ฤกษ์แต่งงานที่เร็วที่ก็คือต้นเดือนหน้า นับวันดูแล้ว พวกเขามีเวลาจัดเตรียมงานไม่ถึง 1 เดือนด้วยซ้ำ ตงตงกับเหยียนหลิ่วจึงต้องตัดชุดแต่งงานกันตั้งแต่เนิ่นๆ เขียนบัตรเชิญส่งให้แขก กำหนดเมนูอาหาร และเริ่มซื้อข้าวของมาตกแต่งสถานที่ พอยุ่งอยู่กับการเตรียมงาน เผลอแป๊บเดียวก็เหลือเวลาอีกแค่ 2 วันเท่านั้น “ตงตง!” เสียงหญิงสาวอันคุ้นเคยดังหน้าประตูโรงเตี๊ยม ตงตงกำลังตรวจความเรียบร้อย หลังจากที่จิ่งฝางกับพวกเสี่ยวกวางแขวนโคมแดงเสร็จ รีบหันมองตามเสียงเรียกนั้น หานเจียเอ๋อร์ยืนยิ้มให้กับตงตง ข้างๆ หานเจียเอ๋อร์คือถังเหวินที่กำลังอุ้มลูกชายวัย 2 ขวบ ทั้งคู่แต่งงานกันเมื่อ 3 ปีก่อน หลังพิธีวิวาห์ สองเดือนถัดมา หานเจียเอ๋อร์ก็ตั้งครรภ์ทันที ถัดจากถังเหวินก็คือซานหลัวเฉินกับภรรยาที่เพิ่งแต่ง ครั้นเห็นคนคุ้นเคย ตงตงก็เดินยิ้มเข้าไปหาทุกคน “พวกท่านมากันแล้ว เข้ามาก่อนเจ้าค่ะ…อาหลงตัวน้อย สบายดีไหมจ๊ะ” เด็กน้อยวัย 2 ขวบพยักหน้าตอบ “อื้อ”
บทที่ 78ขอแต่งงาน 10 วันต่อมา ณ สำนักราชองครักษ์หลวง ทันทีที่กลับมาถึงเมืองหลวง เหิงเจากับเหยียนหลิ่วเข้าพบเสนาธิการเว่ยจ้ง รายงานเรื่องราวทั้งหมดตอนอยู่ป้อมปราการตะวันออก เมื่อเสร็จธุระหมดแล้ว เหยียนหลิ่วขอตัวกลับทันที ชายหนุ่มเดินบนถนนด้วยฝีเท้าเร่งรีบ เมื่อมาถึงโรงเตี๊ยมตระกูลจาง เห็นหญิงสาวในดวงใจยืนต้อนรับลูกค้าอยู่หน้าร้านพอดี เหยียนหลิ่วส่งเสียงเรียกหญิงสาวด้วยความตื่นเต้น “ตงตง!” เสียงเรียกของชายหนุ่มไม่เพียงดึงดูดสายตาของตงตง ยังเรียกความสนใจจากคนรอบข้างอีกด้วย ทว่า… สองหนุ่มสาวหาได้สนใจคนอื่นแต่อย่างใด ในสายตาของทั้งคู่มีเพียงกันและกันเท่านั้น “พี่หลิ่วกลับมาแล้ว!” ตงตงยิ้มกว้าง ก้าวยาวๆ เข้าไปหาชายหนุ่ม เมื่อระยะห่างของทั้งคู่ร่นลงจนไม่เหลือช่องว่าง เหยียนหลิ่วตอบกลับหญิงสาวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ข้ากลับมาแล้ว” เหยียนหลิ่วไม่เพียงพูดเปล่าๆ สองมือใหญ่ยังโอบเอวบางของนาง แล้วยกร่างของนางขึ้นจากพื้นอ
บทที่ 77จู่โจมรวดเร็ว หลังจากหัวหน้าเผ่าฮุยรู้ข่าวเรื่องกองทัพสนับสนุนเดินทางมาถึงป้อมปราการตะวันออก พวกมันก็ไม่อยู่เฉย เคลื่อนทัพท่ามกลางความมืด รอจังหวะบุกโจมตีป้อมปราการตะวันออกอย่างไม่ให้แคว้นเฉียนรู้ตัว หากทว่า กลางดึกคืนเดียวกันนั้น ฟางอู่เซิงวางกองกำลังไว้ที่นอกป้อมปราการอย่างเงียบเฉียบ ทันทีที่แสงแรกมาเยือน หัวหน้าพลธนูที่ซ่อนตัวตั้งแต่กลางดึก ก็ได้ส่งสัญญาณมือให้โจมตี พลธนูที่ซุ่มบนต้นไม้นับสิบนายปล่อยศรพุ่งออกไป ฟิ้ว… “อึก!” “อั่ก!!” ทหารเผ่าฮุยที่ตั้งทัพเตรียมบุกป้อมปราการ ล้มกองบนพื้นทีละคนสองคนราวกับใบไม้ล่วงจากต้น เริ่มต้นสงคราม มองเผินๆ ฝ่ายที่ได้เปรียบอาจจะเป็นทางแม่ทัพฟางอู่เซิง แต่ทันทีที่เผ่าฮุยรู้สึกตัวว่าพวกมันถูกซุ่มโจมตี หัวหน้าเผ่าฮุยได้สั่งการและแบ่งออกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งให้หันกลับไปสังหารพลธนูของแคว้นเฉียน โดยใช้ศพของพวกเดียวกันเป็นเกาะกำบัง อีกฝ่ายหนึ่งทุ่มเทสุดกำลังทำลายป้อมปราการแล้วบุกเข้าไป “แทนที่จะล่าถอย แต่เลือกบุกต่
บทที่ 76กำลังเต็มร้อยด้วยอาหารอัดแท่ง วันต่อมา กองทัพของแม่ทัพฟาง หน่วยคุ้มกันเสบียงของเหิงเจา และหน่วยลอบโจมตีของเหยียนหลิ่ว เคลื่อนตัวออกจากเมืองหลวง เสบียงที่ทหารทุกนายพกติดตัวนั้น ส่วนใหญ่มาจากโรงเตี๊ยมตระกูลจาง นอกจากจะเป็นของแห้งที่เก็บไว้ได้นาน น้ำหนักเบา สารอาหารยังครบถ้วน ไม่เปลืองแรงเวลาต้องหอบหิ้วเวลาที่ต้องเดินทางไกลๆ แถมรสชาติยังอร่อย กินเท่าไรก็ไม่เบื่อ และต้องขอบคุณเสบียงจากโรงเตี๊ยมตระกูลจางเช่นกัน ทำให้การเดินทางมาถึงชายแดนตะวันออกเร็วกว่ากำหนดหลายวัน แม้ระหว่างทาง รถขนเสบียงจะถูกดักปล้น แต่ทหารทุกคนที่ได้กินธัญพืชอัดแท่งที่มีพลังงานสูง พวกเขาจึงปกป้องเสบียงหลวงเอาไว้ได้ โดยที่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ ในขณะเดินทางไกล เลี่ยงไม่ได้ท่ีจะมีล้มป่วยด้วยพิษไข้ แต่ด้วยยาเม็ดจากโรงเตี๊ยมตระกูลจาง กินเพียงสองเม็ด ไข้หวัดเล็กน้อยพลันบรรเทาลง พร้อมออกเดินทางต่อได้ทันที ไม่ต้องทิ้งใครไว้ข้างหลัง ด้วยเหตุนี้เอง ตอนมาถึงป้อมปราการตะวันออก เรี่ยวแรงของทหารทุกนายจึงยังล้นเหลือ พร้อมออกรบได้ทันที
บทที่ 75คุณหนูสามแห่งจวนเจ้ากรมพิธีการ ครั้นพอได้ยินเสียงคุ้นๆ สองหนุ่มสาวที่พลอดรักกันอยู่หน้าบ้าน มองผู้มาเยือนที่ไม่ได้รับเชิญด้วยสายตาเอือมระอา “เข้าบ้านคนอื่นก่อนได้รับอนุญาต ใครกันแน่ที่หน้าไม่อาย” เหยียนหลิ่วบอกด้วยเสียงเย็นชา “แม้ว่าเป็นข้าอย่างนั้นหรือ พี่เหยียนหลิ่ว” เสียงหวานกังวานใสดังขึ้นที่หน้าประตู จากนั้นหญิงสาววัยสิบแปดรูปร่างหน้าตาสะสวย สวมใส่อาภรณ์หรูหราก็ก้าวเข้ามาในบ้าน สาวรับใช้ที่ยืนเท้าสะเอว ทำหน้ายักษ์มองมาที่ตงตง รีบกลับไปยืนข้างหลังหญิงสาวผู้มาใหม่ พร้อมเรียกฝ่ายนั้นว่า “คุณหนู” เหยียนหลิ่วขมวดคิ้ว ก่อนจะพูดด้วยความรู้สึกไม่ชอบใจนัก “ถึงจะเป็นคุณหนูสามจากจวนเจ้ากรมพิธีการ ก็ควรเรียนรู้มารยาทสักหน่อย” ถูกชายหนุ่มที่ตัวเองชอบสั่งสอน ซูหลันหลัน…คุณหนูสามแห่งจวนเจ้ากรมพิธีการรู้สึกเสียหน้าเป็นอย่างมาก หันไปขึงตาใส่ตงตงที่นั่งเงียบ เหยียนหลิ่วลุกขึ้น ใช้ร่างใหญ่โตของตนยืนบังตงตงหมายปกป้องหญิงคนรัก แม้จะรู้ว่าคุณหนูสามซูคนนี้จะไม่กล้าแตะต้องตงตงก็ตาม