บทที่ 25
เป้าหมายของฉินเจี้ยนถิง
สถานที่ใหญ่โตนี้คือโรงเตี๊ยมตระกูลฉิน
ยามบ่ายเป็นเวลาดื่มชากินของว่าง
‘ฉินเจี้ยนถิง’ เถ้าแก่ใหญ่ของโรงเตี๊ยมตระกูลฉินกำลังนั่งดื่มชาในห้องรับรองกับลูกชายคนรอง
ทันทีที่เหอจ้าวเข้ามาในห้อง ฉินเจี้ยนถิงพลันถามว่า “รสชาติหม้อไฟหมาล่าเป็นยังไงบ้างล่ะ”
เหอจ้าวเหลือบมองสองพ่อลูก ก่อนจะตอบอย่างระมัดระวัง
“หม้อไฟของโรงเตี๊ยมตระกูลจางทำออกมาได้อร่อยขอรับน้ำซุปออกมา 2 รสชาติ หนึ่งเผ็ด หนึ่งกลมกล่อม แต่เข้ากันเป็นอย่างดี กินเท่าไรก็ไม่น่าเบื่อขอรับ”
ในฐานะหลงจู๊ (ผู้จัดการ) เหอจ้าวตอบตามความจริง
ทั้งนี้ เพื่อเปรียบเทียบข้อดีข้อเสียระหว่างโรงเตี๊ยมตระกูลฉินกับโรงเตี๊ยมคู่แข่ง การลำเอียงจะทำให้ร้านไม่พัฒนา
เถ้าแก่ใหญ่ฉินได้ยินแบบนั้นยังคงรักษาสีหน้าสุขุม
ขณะที่ลูกชายคนรอง ‘ฉินเฟยอวี่’ ขมวดคิ้วไม่พอใจ
“เท่าที่ฟังมามีแต่คำชม แล้ว…ไม่มีอะไรที่ผิดพลาดบ้างเลยหรือ” ฉินเฟยอวี่ถามด้วยบรรยากาศกดดัน
“ไม่มีขอรับ ทั้งการบริการและขั้นตอนเก็บเงิน จางตงตงทำได้อย่างรอบคอบ รวดเร็วและรัดกุมขอรับ”
“แปลกแหะ” ฉินเฟยอวี่พึมพำ
ได้ยินว่าจางตงตงเป็นเพียงเด็กสาวอายุ 15 ยังอ่อนประสบการณ์ แถมนิสัยขี้ขลาด
ก่อนหน้านั้นถูกหลงจู๊ของตัวเองโกงเงินไปทั้งหมด ทำให้โรงเตี๊ยมตระกูลจางต้องปิดกิจการ
ถึงอย่างนั้น…
2 เดือนให้หลัง จางตงตงกลับมาเปิดร้านขายซาลาเปา
ซาลาเปาของนางอร่อยมาก ขายหมดทุกวัน
ต่อมา นางทำโจ๊กและปาท่องโก๋ขาย ทั้งที่เป็นเมนูอาหารเช้าแสนธรรมดา แต่ลูกค้าที่อุดหนุนล้วนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ‘อร่อย’
สำคัญกว่านั้น เมนูอาหารเช้ายังขายหมดเกลี้ยงทุกวันเหมือนกับซาลาเปา และตอนนี้ นางหันมาขายหม้อไฟหมาล่า
เพียงไม่กี่วัน ลูกค้ามากมายต่างต่อแถวเพื่อกินหม้อไฟหมาล่าโรงเตี๊ยมตระกูลจาง
อยากรู้เสียจริง หม้อไฟหมาล่าอร่อยขนาดนั้นเชียวหรือ
“จุดผิดพลาดเล็กๆ ก็ไม่มีหรือ” เถ้าแก่ใหญ่ฉินเจี้ยนถิงถามเหอจ้าว
เหอจ้าวตอบตามความจริงเช่นเดิม
“ไม่มีขอรับ”
ฉินเจี้ยนถิงพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยขึ้น “ด้วยวัยเท่านาง ไหนจะทำอาหาร ไหนจะบริหารร้าน หากแม้แต่เจ้ายังชมว่านางเก่ง เช่นนั้นนางคงมีความสามารถจริงๆ”
“หามิได้ขอรับ” เหอจ้าวตอบกลับอย่างนอบน้อม ทั้งยังพูดถึงเรื่องที่คุณชายต้วนเซียวออกหน้าปกป้องจางตงตง
ฉินเจี้ยนถิงหยุดคิดไปพักหนึ่ง ก่อนจะคลี่ยิ้มแล้วกล่าว “เห็นทีว่าโรงเตี๊ยมตระกูลฉินเราต้องรีบซื้อสูตรจากนาง ก่อนที่โรงเตี๊ยมตระกูลหานจะชิงตัดหน้า”
“เรื่องนี้ข้าน้อยเห็นด้วยขอรับ”
เมื่อปรึกษากันจบ เถ้าแก่ใหญ่ฉินมอบหมายให้หลงจู๊เหอไปเจรจากับจางตงตง
ฉินเจี้ยนถิงต้องการขายหม้อไฟหมาล่า ก่อนที่หานป๋อเหล่ยจะซื้อสูตรของนางไป
เหมือนกับซาลาเปาของจางตงตงที่หานป๋อเหล่ยได้สูตรของนางไปทำขายก่อนเขา
…..
…..
ย้อนกลับมา
ณ โรงเตี๊ยมตระกูลจาง
ระหว่างกำลังเก็บร้านในตอนเย็น จิ่งฝางมองตงตงด้วยท่าทีลังเล
ผ่านไปพักใหญ่ หลังจากที่ตัดสินใจแล้ว จิ่งฝางก็เดินเข้ามาถามเด็กสาวด้วยความกังวลใจ
“ตงตง เมื่อตอนบ่ายหลงจู๊จากโรงเตี๊ยมตระกูลฉิมาที่นี่ใช่หรือไม่ และยังทดสอบเจ้าอีก แบบนี้จะไม่มีปัญหาแน่หรือ”
คราวก่อนที่เหอจ้าวมากินซาลาเปาร้านตงตง วันต่อมา โรงเตี๊ยมตระกูลฉินก็ลอกเลียนแบบซาลาเปาไส้ฟักทองหวาน
คราวนี้เหอจ้าวมากินหม้อไฟหมาล่า อีกประเดี๋ยว คงมีข่าวว่าโรงเตี๊ยมตระกูลฉินเปิดขายหม้อไฟด้วยกระมัง
ตงตงยิ้มอย่างไม่ใส่ใจแล้วตอบ
“เขาทดสอบว่าข้าคิดเงินผิดหรือไม่”
“ตงตงเก่งขนาดนั้นจะคิดเงินผิดได้ยังไง!” จิ่งฝางโต้กลับจนคอขึ้นเอ็น
“ข้าไม่มีทางคิดผิดอยู่แล้ว”
“ใช่ไหมล่ะ”
“อีกอย่าง พวกเขาไม่มีทางเลียนแบบรสชาติหม้อไฟเหมือนของข้าหรอก พี่จิ่งฝางไม่ต้องเป็นห่วง” ตงตงพูดด้วยสีหน้ามั่นใจ
ความอร่อยของหมาล่าอยู่ที่น้ำซุปและซอสจิ้ม นอกจากต้องตวงเครื่องปรุงใส่อย่างเหมาะสม ควบคุมอุณหภูมิไฟ ความลับอีกอย่างก็คือเครื่องปรุงที่ใช้ ตงตงซื้อจากร้านค้าในระบบ อย่างพวกยี่หร่า พริกหอมและซอสสำเร็จ
จิ่งฝางเห็นสีหน้ามั่นใจของตงตง ความกังวลพลันผ่อนคลายลง
นั่นสินะ ขนาดซาลาเปาว่าทำง่าย มิหนำซ้ำโรงเตี๊ยมตระกูลฉินยังมีพ่อครัวฝีมือดี พวกเขายังทำออกมารสชาติไม่ได้ใกล้เคียงตงตงเลยสักนิด
สรุปคือไม่มีใครเลียนแบบรสชาติอาหารของตงตงได้นั่นเอง
ความกังวลของเขานับว่าสูญเปล่าแล้ว
…..
…..
2-3 วันต่อมา
โรงเตี๊ยมตระกูลจางเปิดกิจการอย่างปกติ
มิหนำซ้ำ ช่วงนี้คนในเมืองอู่เฉิงให้ความสนใจโรงเตี๊ยมตระกูลจางเป็นอย่างมาก แค่ยามเซิน (15.00-16.59 น.) หม้อไฟหมาล่าก็ขายหมดแล้ว
เมื่อของขายหมดเร็ว ทุกคนก็ช่วยกันเก็บร้านและทำความสะอาด
ในขณะที่ทุกคนกำลังแยกย้ายกลับบ้าน หลงจู๊เหอก็มาขอพบตงตงพร้อมกับชายหนุ่มคนหนึ่ง
พอมองดูดีๆ ชายหนุ่มที่มากับเหอจ้าวคนนี้ไม่ใช่คนเดียวกับที่มากินหม้อไฟหมาล่าเมื่อหลายวันก่อน แถมเหอจ้าวยังเรียกฝ่ายนั้นว่า ‘คุณชายรอง’
“หลงจู๊เหอ วันนี้หม้อไฟหมาล่าร้านเราหมดแล้ว ท่านกับคุณชายท่านนี้มาเสียเที่ยวแล้วเจ้าค่ะ” ตงตงบอกด้วยท่าทางนอบน้อม จะมากจะน้อยอีกฝ่ายก็เป็นลูกค้า
หลงจู๊เหอรีบบอก “ไม่ใช่ๆ ข้ากับคุณชายรองมาที่นี่เพราะมีเรื่องอยากคุยกับเจ้า”
ตงตงเหลือบตามองคุณชายรอง จากนั้นผงกศีรษะให้ทีหนึ่ง
“สวัสดีเจ้าค่ะ”
“สวัสดี”
คุณชายรองฉินยิ้มกรุ่มกริ่มบนมุมปาก ขณะเดียวกันสายตาของเขากวาดมองมองหัวจรดเท้าเหมือนกำลังประเมิน
จังหวะที่คุณชายรองขยับปากเหมือนจะพูดบางอย่าง เสียงของจางไคเฮ่อดังขึ้น
“ตงตง!”
ทุกคนเบนความสนใจไปที่จางไคเฮ่อ
ไม่นาน จางไคเฮ่อก็เดินเข้ามายืนข้างลูกสาว “หลงจู๊เหอ คุณชายรองฉิน วันนี้ร้านเราขายของหมดเกลี้ยง พวกท่านคงต้องมาใหม่พรุ่งนี้แล้ว”
“เถ้าแก่ใหญ่มาพอดี พวกเรามีธุระสำคัญอยากคุยกับเถ้าแก่เนี้ยน้อย แต่ถ้าไม่มีผู้ใหญ่อยู่ด้วย ก็เหมือนเป็นการเอาเปรียบนาง”
“ธุระสำคัญหรือ?” จางไคเฮ่อถามซ้ำ
ตงตงเองก็กะพริบตาอย่างสงสัย
จังหวะที่เหอจ้าวกำลังอธิบายจุดประสงค์ที่มา
สายตาของของฉินอวี่เฟยเหลือบเห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งกำลังแบกกระสอบแป้งเดินผ่านประตูหลังร้านไปพอดี
หือ?
ทันใดนั้นเองสายตาของฉินเฟยอวี่ฉายแววเจ้าเล่ห์ ริมฝีปากฉีกยิ้มชั่วร้าย
ช่างบังเอิญเสียจริง ‘น้องชาย’ ต่างมารดาของกู้อวี้ชุนก็อยู่ที่นี่ด้วย!
บทพิเศษความลับของตระกูลจาง หนึ่งวันหลังเสร็จสิ้นงานแต่ง จางไคเฮ่อนำชื่อของเหยียนหลิ่วเข้าทะเบียนราษฎร์ของตระกูลจาง นับจากนี้เหยียนหลิ่วจะกลายเป็นคนตระกูลจางเต็มตัว กลายเป็น ‘จางเหยียนหลิ่ว’ ล่วงเข้าสู่วันที่ห้าหลังจากที่ทั้งสองกลายเป็นสามีภรรยากัน เหยียนหลิ่วก็ถูกตงตงจูงมือพาลงไปที่ห้องใต้ดินของโรงเตี๊ยม “ภรรยา…ห้องใต้ดินเป็นความลับของตระกูล เจ้าแน่ใจหรือว่าข้าลงไปที่นั่นได้” เหยียนหลิ่วถามเพื่อให้ตงตงไตร่ตรองอีกครั้ง เหยียนหลิ่วรู้แค่ว่า ภายในห้องใต้ดินเป็นสถานที่เก็บสินค้าและสมบัติของตระกูลจาง กุญแจมีเพียงสองดอกเท่านั้น ดอกหนึ่งจางไคเฮ่อเป็นคนเก็บ และดอกหนึ่งเป็นของตงตง กระนั้น ตงตงกลับหันมายิ้มให้กับเหยียนหลิ่วด้วยสีหน้าสบายๆ “ตอนนี้ท่านเองก็เป็นคนของตระกูลจางแล้ว” “ถึงจะอย่างนั้นก็เถอะ แต่…” “ในอนาคตท่านคิดจะหย่ากับข้าหรือ…หรือว่า…ท่านจะหักหลังตระกูลจาง?” “เรื่องนั้นจะไม่มีทางเกิดขึ้นเด็ดขาด!” เหยียนหลิ่วตอบกลับอย่างหนักแน่น หย่ากันหรือ
บทส่งท้าย ฤกษ์แต่งงานที่เร็วที่ก็คือต้นเดือนหน้า นับวันดูแล้ว พวกเขามีเวลาจัดเตรียมงานไม่ถึง 1 เดือนด้วยซ้ำ ตงตงกับเหยียนหลิ่วจึงต้องตัดชุดแต่งงานกันตั้งแต่เนิ่นๆ เขียนบัตรเชิญส่งให้แขก กำหนดเมนูอาหาร และเริ่มซื้อข้าวของมาตกแต่งสถานที่ พอยุ่งอยู่กับการเตรียมงาน เผลอแป๊บเดียวก็เหลือเวลาอีกแค่ 2 วันเท่านั้น “ตงตง!” เสียงหญิงสาวอันคุ้นเคยดังหน้าประตูโรงเตี๊ยม ตงตงกำลังตรวจความเรียบร้อย หลังจากที่จิ่งฝางกับพวกเสี่ยวกวางแขวนโคมแดงเสร็จ รีบหันมองตามเสียงเรียกนั้น หานเจียเอ๋อร์ยืนยิ้มให้กับตงตง ข้างๆ หานเจียเอ๋อร์คือถังเหวินที่กำลังอุ้มลูกชายวัย 2 ขวบ ทั้งคู่แต่งงานกันเมื่อ 3 ปีก่อน หลังพิธีวิวาห์ สองเดือนถัดมา หานเจียเอ๋อร์ก็ตั้งครรภ์ทันที ถัดจากถังเหวินก็คือซานหลัวเฉินกับภรรยาที่เพิ่งแต่ง ครั้นเห็นคนคุ้นเคย ตงตงก็เดินยิ้มเข้าไปหาทุกคน “พวกท่านมากันแล้ว เข้ามาก่อนเจ้าค่ะ…อาหลงตัวน้อย สบายดีไหมจ๊ะ” เด็กน้อยวัย 2 ขวบพยักหน้าตอบ “อื้อ”
บทที่ 78ขอแต่งงาน 10 วันต่อมา ณ สำนักราชองครักษ์หลวง ทันทีที่กลับมาถึงเมืองหลวง เหิงเจากับเหยียนหลิ่วเข้าพบเสนาธิการเว่ยจ้ง รายงานเรื่องราวทั้งหมดตอนอยู่ป้อมปราการตะวันออก เมื่อเสร็จธุระหมดแล้ว เหยียนหลิ่วขอตัวกลับทันที ชายหนุ่มเดินบนถนนด้วยฝีเท้าเร่งรีบ เมื่อมาถึงโรงเตี๊ยมตระกูลจาง เห็นหญิงสาวในดวงใจยืนต้อนรับลูกค้าอยู่หน้าร้านพอดี เหยียนหลิ่วส่งเสียงเรียกหญิงสาวด้วยความตื่นเต้น “ตงตง!” เสียงเรียกของชายหนุ่มไม่เพียงดึงดูดสายตาของตงตง ยังเรียกความสนใจจากคนรอบข้างอีกด้วย ทว่า… สองหนุ่มสาวหาได้สนใจคนอื่นแต่อย่างใด ในสายตาของทั้งคู่มีเพียงกันและกันเท่านั้น “พี่หลิ่วกลับมาแล้ว!” ตงตงยิ้มกว้าง ก้าวยาวๆ เข้าไปหาชายหนุ่ม เมื่อระยะห่างของทั้งคู่ร่นลงจนไม่เหลือช่องว่าง เหยียนหลิ่วตอบกลับหญิงสาวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ข้ากลับมาแล้ว” เหยียนหลิ่วไม่เพียงพูดเปล่าๆ สองมือใหญ่ยังโอบเอวบางของนาง แล้วยกร่างของนางขึ้นจากพื้นอ
บทที่ 77จู่โจมรวดเร็ว หลังจากหัวหน้าเผ่าฮุยรู้ข่าวเรื่องกองทัพสนับสนุนเดินทางมาถึงป้อมปราการตะวันออก พวกมันก็ไม่อยู่เฉย เคลื่อนทัพท่ามกลางความมืด รอจังหวะบุกโจมตีป้อมปราการตะวันออกอย่างไม่ให้แคว้นเฉียนรู้ตัว หากทว่า กลางดึกคืนเดียวกันนั้น ฟางอู่เซิงวางกองกำลังไว้ที่นอกป้อมปราการอย่างเงียบเฉียบ ทันทีที่แสงแรกมาเยือน หัวหน้าพลธนูที่ซ่อนตัวตั้งแต่กลางดึก ก็ได้ส่งสัญญาณมือให้โจมตี พลธนูที่ซุ่มบนต้นไม้นับสิบนายปล่อยศรพุ่งออกไป ฟิ้ว… “อึก!” “อั่ก!!” ทหารเผ่าฮุยที่ตั้งทัพเตรียมบุกป้อมปราการ ล้มกองบนพื้นทีละคนสองคนราวกับใบไม้ล่วงจากต้น เริ่มต้นสงคราม มองเผินๆ ฝ่ายที่ได้เปรียบอาจจะเป็นทางแม่ทัพฟางอู่เซิง แต่ทันทีที่เผ่าฮุยรู้สึกตัวว่าพวกมันถูกซุ่มโจมตี หัวหน้าเผ่าฮุยได้สั่งการและแบ่งออกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งให้หันกลับไปสังหารพลธนูของแคว้นเฉียน โดยใช้ศพของพวกเดียวกันเป็นเกาะกำบัง อีกฝ่ายหนึ่งทุ่มเทสุดกำลังทำลายป้อมปราการแล้วบุกเข้าไป “แทนที่จะล่าถอย แต่เลือกบุกต่
บทที่ 76กำลังเต็มร้อยด้วยอาหารอัดแท่ง วันต่อมา กองทัพของแม่ทัพฟาง หน่วยคุ้มกันเสบียงของเหิงเจา และหน่วยลอบโจมตีของเหยียนหลิ่ว เคลื่อนตัวออกจากเมืองหลวง เสบียงที่ทหารทุกนายพกติดตัวนั้น ส่วนใหญ่มาจากโรงเตี๊ยมตระกูลจาง นอกจากจะเป็นของแห้งที่เก็บไว้ได้นาน น้ำหนักเบา สารอาหารยังครบถ้วน ไม่เปลืองแรงเวลาต้องหอบหิ้วเวลาที่ต้องเดินทางไกลๆ แถมรสชาติยังอร่อย กินเท่าไรก็ไม่เบื่อ และต้องขอบคุณเสบียงจากโรงเตี๊ยมตระกูลจางเช่นกัน ทำให้การเดินทางมาถึงชายแดนตะวันออกเร็วกว่ากำหนดหลายวัน แม้ระหว่างทาง รถขนเสบียงจะถูกดักปล้น แต่ทหารทุกคนที่ได้กินธัญพืชอัดแท่งที่มีพลังงานสูง พวกเขาจึงปกป้องเสบียงหลวงเอาไว้ได้ โดยที่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ ในขณะเดินทางไกล เลี่ยงไม่ได้ท่ีจะมีล้มป่วยด้วยพิษไข้ แต่ด้วยยาเม็ดจากโรงเตี๊ยมตระกูลจาง กินเพียงสองเม็ด ไข้หวัดเล็กน้อยพลันบรรเทาลง พร้อมออกเดินทางต่อได้ทันที ไม่ต้องทิ้งใครไว้ข้างหลัง ด้วยเหตุนี้เอง ตอนมาถึงป้อมปราการตะวันออก เรี่ยวแรงของทหารทุกนายจึงยังล้นเหลือ พร้อมออกรบได้ทันที
บทที่ 75คุณหนูสามแห่งจวนเจ้ากรมพิธีการ ครั้นพอได้ยินเสียงคุ้นๆ สองหนุ่มสาวที่พลอดรักกันอยู่หน้าบ้าน มองผู้มาเยือนที่ไม่ได้รับเชิญด้วยสายตาเอือมระอา “เข้าบ้านคนอื่นก่อนได้รับอนุญาต ใครกันแน่ที่หน้าไม่อาย” เหยียนหลิ่วบอกด้วยเสียงเย็นชา “แม้ว่าเป็นข้าอย่างนั้นหรือ พี่เหยียนหลิ่ว” เสียงหวานกังวานใสดังขึ้นที่หน้าประตู จากนั้นหญิงสาววัยสิบแปดรูปร่างหน้าตาสะสวย สวมใส่อาภรณ์หรูหราก็ก้าวเข้ามาในบ้าน สาวรับใช้ที่ยืนเท้าสะเอว ทำหน้ายักษ์มองมาที่ตงตง รีบกลับไปยืนข้างหลังหญิงสาวผู้มาใหม่ พร้อมเรียกฝ่ายนั้นว่า “คุณหนู” เหยียนหลิ่วขมวดคิ้ว ก่อนจะพูดด้วยความรู้สึกไม่ชอบใจนัก “ถึงจะเป็นคุณหนูสามจากจวนเจ้ากรมพิธีการ ก็ควรเรียนรู้มารยาทสักหน่อย” ถูกชายหนุ่มที่ตัวเองชอบสั่งสอน ซูหลันหลัน…คุณหนูสามแห่งจวนเจ้ากรมพิธีการรู้สึกเสียหน้าเป็นอย่างมาก หันไปขึงตาใส่ตงตงที่นั่งเงียบ เหยียนหลิ่วลุกขึ้น ใช้ร่างใหญ่โตของตนยืนบังตงตงหมายปกป้องหญิงคนรัก แม้จะรู้ว่าคุณหนูสามซูคนนี้จะไม่กล้าแตะต้องตงตงก็ตาม