บทที่ 28
ตัวตนของเหยียนหลิ่ว
แม้ว่าสองพ่อลูกจะเห็นใจเหยียนหลิ่วมากแค่ไหน แต่ต้องอดกลั้น ทำได้เพียงมองเด็กหนุ่มถูกลากตัวไปอย่างเงียบๆ
เมื่อเสียงเอะอะสงบลง ตงตงแหงนหน้าถามจางไคเฮ่อ
“ท่านพ่อ ท่านรู้อยู่แล้วใช่หรือไม่ว่าพี่ชายหลิ่วไม่ใช่แค่บ่าว เขาเป็นใครหรือ”
แค่บ่าวธรรมดาคนหนึ่ง คงไม่ได้รับความใส่ใจจากคุณชายใหญ่ขนาดนี้
ใส่ใจถึงขั้นทารุณบ่าวอย่างรุนแรง
และที่สำคัญ!
การแสดงออกของกู้อวี้ชุนเหมือนชิงชังเหยียนหลิ่วเข้ากระดูกดำ แบบนี้ไม่ปกติแล้ว
จางไคเฮ่อจะไม่ตอบตงตงก็ได้
แต่พอคิดว่า ตงตงยื่นมือช่วยเหลือเหยียนหลิ่วคนแรก นางควรร้ความจริงและมีสิทธิ์ตัดสินใจเรื่องจากนี้เอง
หลังจากลังเลอยู่สักครู่ จางไคเฮ่อก็บอกตงตงให้เข้าบ้านก่อน แล้วจะเล่าทุกอย่างให้ฟัง
เมื่อสองพ่อลูกเดินเข้ามาในบ้าน จางไคเฮ่อก็เปิดปากพูดทันที
“เหยียนหลิ่วเป็นลูกนอกสมรสของแม่ทัพกู้”
ดวงตาของตงตงเบิกกว้างเหมือนได้ยินเรื่องเหลือเชื่อ
ต่อมา นางก็ย่นหัวคิ้ว เอียงหัวทำหน้าสงสัย
“ได้ยินว่าพวกขุนนางชอบเลี้ยงอนุไว้เต็มบ้าน ถ้าพี่ชายหลิ่วเป็นลูกนอกสมรส ทำไมเขาถึงถูกทารุณ และยังถูกทำเหมือนว่าเป็นแค่บ่าวรับใช้?”
ตอนตงตงเห็นเหยียนหลิ่วครั้งแรก ทั้งเสื้อผ้าทั้งร่างกายที่ผอมแห้ง ดูอย่างไรเหยียนหลิ่วก็ไม่ได้รับการปฏิบัติที่ดีนัก
อีกอย่างที่น่าสงสัยมากๆ
ยุคศักดินาแบบนี้ ผู้ชายที่แต่งงานมีภรรยาแล้ว สามารถรับอนุเข้าบ้านได้อีกเป็นโขยง
ถึงเป็นลูกนอกสมรส ก็เป็นลูกเหมือนกันไม่ใช่หรือยังไง
ทำไมคนเป็นพ่อถึงเพิกเฉย มองดูลูกคนโตทำร้ายลูกอีกคนได้ลงคอ
จางไคเฮ่อเข้าใจสิ่งที่ตงตงกำลังสงสัย จึงอธิบายแบบรวบรัด
“แม่ทัพกู้เหว่ยแต่งงานกับท่านหญิงหมิงซูเหยา…ท่านหญิงเป็นธิดาของอ๋องสิบ เชื้อพระวงศ์ย่อมเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง เดิมที ท่านหญิงมีจิตใจริษยา แม่ทัพกู้เหว่ยเองก็มีนิสัยเจ้าชู้ ถึงมีอนุเป็นสิบ แต่อนุพวกนั้นไม่มีใครตั้งครรภ์สักคนเดียว ยกเว้นก็แต่แม่ของเหยียนหลิ่วที่เป็นบ่าวในจวน”
“เพราะนางเป็นบ่าวเลยไม่ถูกท่านหญิงจับตามองใช่หรือไม่” ตงตงคาดเดา
“ถูกต้อง”
แม่ของเหยียนหลิ่วเป็นบ่าวตัวเล็กๆ ไม่ได้แต่งเข้ามาเป็นอนุ เลยไม่ถูกท่านหญิงจับตามอง หนำซ้ำ ไม่มีใครรู้ว่าในท้องของนางจะอุ้มลูกของแม่ทัพกู้
ทั้งหมดก็เป็นแบบนี้เอง!
ตอนนี้เข้าใจแล้วว่าทำไมกู้อวี้ชุนถึงเกลียดเหยียนหลิ่วเข้ากระดูกดำ
จางไคเฮ่อเล่าต่อว่า “แต่โชคชะตามักเล่นตลกกับชีวิตคนเสมอ ยิ่งเหยียนหลิ่วเติบโต ใบหน้าของเขายิ่งคล้ายแม่ทัพกู้ เพราะอย่างนั้น วามลับที่เขาเป็นลูกชายลับๆ ถึงได้แดงขึ้นมา”
“แล้วไม่มีใครสนใจเลยหรือ”
จางไคเฮ่อส่ายหัวไปมา “ไม่มีใครกล้าพูดเรื่องที่เหยียนหลิ่วเป็นลูกนอกสมรสของแม่ทัพกู้ คนที่วิจารณ์เรื่องนี้ หากไม่ถูกไล่ออกก็หายตัวอย่างไร้ร่องรอย แม่ของเหยียนหลิ่ว จู่ๆ ก็หายตัวไปเหมือนกัน ที่เจ้าเด็กคนนั้นยังรอดมาได้เพราะแม่ทัพกู้ขอท่านหญิงเอาไว้”
“แต่เขาก็ถูกทำเหมือนว่าเป็นสวะอยู่ดี” ตงตงพูดเสริมพร้อมกับกำหมัด
จางไคเฮ่อส่งเสียง อืม เห็นด้วย
คนที่หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยคงถูกขายหรือไม่ก็ถูกฆ่า
ท่านหญิงอะไรนั่นจิตใจอำมหิตนัก
แม่ทัพกู้อะไรนั่นก็ด้วย ยังจะเรียกตัวเองว่า ‘พ่อ’ ได้อีกหรือ
เพิกเฉยแม้จะเห็นว่าลูกคนโตทารุณน้องชาย
ช่างน่ารังเกียจทั้งบ้านจริงๆ
ขณะที่ตงตงคิดด้วยความโกรธ มือใหญ่ของจางไคเฮ่อวางบนศีรษะเล็กของบุตรสาว
“ตอนนี้พวกเราทำอะไรไม่ได้ นอกจากใช้ชีวิตเหมือนเดิม เตรียมของไปโรงเตี๊ยมกันเถอะ เรื่องที่ว่าจะช่วยเหยียนหลิ่วยังไงค่อยๆ คิดกันดีกว่า”
ตงตงถอนหายใจเฮือกอย่างช่วยไม่ได้ ก่อนจะตอบเสียงอ่อยๆ
“เจ้าค่ะ”
…..
…..
อย่างที่บอก สิ่งที่จางไคเฮ่อกับตงตงทำได้ตอนนี้คือการวางเฉยแล้วรอโอกาส
เมื่อมาถึงโรงเตี๊ยม ตงตงดำเนินชีวิตอย่างปกติ
ขายอาหารเช้าหมด ก็เตรียมของทำหม้อไฟหมาล่าขายต่อทันที
ถึงใจจะกังวลเรื่องของเหยียนหลิ่ว หากก็ต้องมีสมาธิกับงานตรงหน้า
ในตอนบ่าย ลูกค้ายังคงเข้าเต็มร้าน
แต่มีลูกค้าโต๊ะมากันสองคน ค่อนข้างเรื่องมาก อยากให้ตงตงไปรับรอง
หลังจากจิ่งฝางเดินมาบอก และทันทีที่ตงตงเดินมาโต๊ะของลูกค้า ‘เรื่องมาก’ นางพลันตกตะลึง
ลูกค้าเรื่องมากสองคนนี้ไม่ใช่ใครอื่น ฉินเฟยอวี่กับกู้อวี้ชุนนั่นเอง!
ชาติก่อน ตงตงไม่เพียงทำงานอยู่ก้นครัว ฝึกฝนการเป็นแม่ครัว นางยังมีประสบการณ์รับรองลูกค้า เจอคนมาหลายประเภท
ดังนั้นตงตงรีบเก็บอาการตะลึง แล้วยิ้มให้ลูกค้าด้วยความเป็นมืออาชีพ
“คุณชายกู้ คุณชายฉิน ยินดีต้อนรับเจ้าค่ะ เมนูเขียนบนกระดานอยู่ทางนั้น พวกท่านจะรับอะไรดีเจ้าคะ”
ชายหนุ่มทั้งสองคนเหลือบมองป้ายกระดานเพียงแวบเดียว ก่อนหันมาสั่งว่าจะรับทั้งหมดนั้นอย่างละ 10 จาน
ตงตงยกของทั้งหมดมาเสิร์ฟด้วยความคล่องแคล่ว
เมื่อเสิร์ฟของครบแล้ว ตงตงขอตัวไปทำงานต่อ แต่ฉินเฟยอวี่กลับเรียกให้เด็กสาวนั่งลง
“นั่งลงคุยกันก่อนสิ เถ้าแก่เนี้ยน้อย”
ตงตงแอบสูดหายใจลึกๆ ด้วยความรำคาญ ก่อนจะตอบกลับอย่างอ่อนหวาน
“คุณชายฉิน ข้ายังไม่สะดวกคุยเจ้าค่ะ เชิญพวกท่านทานให้อร่อย”
ฉินเฟยอวี่คลี่ยิ้มบนมุมปากอย่างชั่วร้ายแล้วว่า “ไม่อยากช่วยเจ้านั่นหรือ”
ตงตงกะพริบตา ทำหน้าไร้เดียงสา
“เจ้านั่น? คุณชายฉินหมายถึงใครหรือ”
คำพูดของตงตงทำเอาคุณชายทั้งสองพ่นเสียงหัวเราะออกมา
“ฮะฮะ…ฮะๆๆ”
“หากวันนั้นข้าไม่ได้เห็นว่าเหยียนหลิ่วช่วยพ่อเจ้าขนของ ท่าทางของเจ้า คงทำให้ข้าเชื่อว่าเจ้าไม่รู้จักไอ้ตัวน่าสมเพชนั่นจริงๆ”
คนรู้จักถูกพูดจาดูถูก ตงตงย่อมโกรธ
หากกระนั้น นางยังคงแกล้งตีหน้าซื่อต่อไป
“คุณชายฉินหมายความว่ายังไงหรือ”
ฉินเฟยอวี่กุมท้องหัวร่อ
“โอ้ย…ท่าทางของเจ้าทำข้าขำไม่ไหวแล้ว”
“…”
“เห็นคนถูกทำร้ายปางตายต่อหน้า แต่กลับมีใจมาขายของต่อ เจ้าเองก็เป็นคนเลือดเย็นสินะเนี่ย” กู้อวี้ชุนบอก
ถึงแม้ตงตงจะเป็นคนเก็บอารมณ์เก่ง แต่พอถูกชายทั้งสองทำเหมือนนางเป็นตัวตลก ก็ใช่ว่าจะอดทนไหว
เด็กสาวเปลี่ยนจากตีหน้าไขสือเป็นปั้นหน้านิ่ง ถามฉินเฟยอวี่ด้วยโทนเสียงไร้อารมณ์
“เข้าเรื่องเถอะ คุณชายฉิน ท่านต้องการอะไรจากข้า”
ฉินเฟยอวี่คลี่ยิ้มมุมปากอย่างชั่วร้าย ก่อนจะถามเด็กสาว
“เจ้าคนน่าสมเพชเหยียนหลิ่ว เจ้าสนิทกับเขามากไม่ใช่หรือ อยากช่วยเขาหรือไม่”
“....”
บทพิเศษความลับของตระกูลจาง หนึ่งวันหลังเสร็จสิ้นงานแต่ง จางไคเฮ่อนำชื่อของเหยียนหลิ่วเข้าทะเบียนราษฎร์ของตระกูลจาง นับจากนี้เหยียนหลิ่วจะกลายเป็นคนตระกูลจางเต็มตัว กลายเป็น ‘จางเหยียนหลิ่ว’ ล่วงเข้าสู่วันที่ห้าหลังจากที่ทั้งสองกลายเป็นสามีภรรยากัน เหยียนหลิ่วก็ถูกตงตงจูงมือพาลงไปที่ห้องใต้ดินของโรงเตี๊ยม “ภรรยา…ห้องใต้ดินเป็นความลับของตระกูล เจ้าแน่ใจหรือว่าข้าลงไปที่นั่นได้” เหยียนหลิ่วถามเพื่อให้ตงตงไตร่ตรองอีกครั้ง เหยียนหลิ่วรู้แค่ว่า ภายในห้องใต้ดินเป็นสถานที่เก็บสินค้าและสมบัติของตระกูลจาง กุญแจมีเพียงสองดอกเท่านั้น ดอกหนึ่งจางไคเฮ่อเป็นคนเก็บ และดอกหนึ่งเป็นของตงตง กระนั้น ตงตงกลับหันมายิ้มให้กับเหยียนหลิ่วด้วยสีหน้าสบายๆ “ตอนนี้ท่านเองก็เป็นคนของตระกูลจางแล้ว” “ถึงจะอย่างนั้นก็เถอะ แต่…” “ในอนาคตท่านคิดจะหย่ากับข้าหรือ…หรือว่า…ท่านจะหักหลังตระกูลจาง?” “เรื่องนั้นจะไม่มีทางเกิดขึ้นเด็ดขาด!” เหยียนหลิ่วตอบกลับอย่างหนักแน่น หย่ากันหรือ
บทส่งท้าย ฤกษ์แต่งงานที่เร็วที่ก็คือต้นเดือนหน้า นับวันดูแล้ว พวกเขามีเวลาจัดเตรียมงานไม่ถึง 1 เดือนด้วยซ้ำ ตงตงกับเหยียนหลิ่วจึงต้องตัดชุดแต่งงานกันตั้งแต่เนิ่นๆ เขียนบัตรเชิญส่งให้แขก กำหนดเมนูอาหาร และเริ่มซื้อข้าวของมาตกแต่งสถานที่ พอยุ่งอยู่กับการเตรียมงาน เผลอแป๊บเดียวก็เหลือเวลาอีกแค่ 2 วันเท่านั้น “ตงตง!” เสียงหญิงสาวอันคุ้นเคยดังหน้าประตูโรงเตี๊ยม ตงตงกำลังตรวจความเรียบร้อย หลังจากที่จิ่งฝางกับพวกเสี่ยวกวางแขวนโคมแดงเสร็จ รีบหันมองตามเสียงเรียกนั้น หานเจียเอ๋อร์ยืนยิ้มให้กับตงตง ข้างๆ หานเจียเอ๋อร์คือถังเหวินที่กำลังอุ้มลูกชายวัย 2 ขวบ ทั้งคู่แต่งงานกันเมื่อ 3 ปีก่อน หลังพิธีวิวาห์ สองเดือนถัดมา หานเจียเอ๋อร์ก็ตั้งครรภ์ทันที ถัดจากถังเหวินก็คือซานหลัวเฉินกับภรรยาที่เพิ่งแต่ง ครั้นเห็นคนคุ้นเคย ตงตงก็เดินยิ้มเข้าไปหาทุกคน “พวกท่านมากันแล้ว เข้ามาก่อนเจ้าค่ะ…อาหลงตัวน้อย สบายดีไหมจ๊ะ” เด็กน้อยวัย 2 ขวบพยักหน้าตอบ “อื้อ”
บทที่ 78ขอแต่งงาน 10 วันต่อมา ณ สำนักราชองครักษ์หลวง ทันทีที่กลับมาถึงเมืองหลวง เหิงเจากับเหยียนหลิ่วเข้าพบเสนาธิการเว่ยจ้ง รายงานเรื่องราวทั้งหมดตอนอยู่ป้อมปราการตะวันออก เมื่อเสร็จธุระหมดแล้ว เหยียนหลิ่วขอตัวกลับทันที ชายหนุ่มเดินบนถนนด้วยฝีเท้าเร่งรีบ เมื่อมาถึงโรงเตี๊ยมตระกูลจาง เห็นหญิงสาวในดวงใจยืนต้อนรับลูกค้าอยู่หน้าร้านพอดี เหยียนหลิ่วส่งเสียงเรียกหญิงสาวด้วยความตื่นเต้น “ตงตง!” เสียงเรียกของชายหนุ่มไม่เพียงดึงดูดสายตาของตงตง ยังเรียกความสนใจจากคนรอบข้างอีกด้วย ทว่า… สองหนุ่มสาวหาได้สนใจคนอื่นแต่อย่างใด ในสายตาของทั้งคู่มีเพียงกันและกันเท่านั้น “พี่หลิ่วกลับมาแล้ว!” ตงตงยิ้มกว้าง ก้าวยาวๆ เข้าไปหาชายหนุ่ม เมื่อระยะห่างของทั้งคู่ร่นลงจนไม่เหลือช่องว่าง เหยียนหลิ่วตอบกลับหญิงสาวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ข้ากลับมาแล้ว” เหยียนหลิ่วไม่เพียงพูดเปล่าๆ สองมือใหญ่ยังโอบเอวบางของนาง แล้วยกร่างของนางขึ้นจากพื้นอ
บทที่ 77จู่โจมรวดเร็ว หลังจากหัวหน้าเผ่าฮุยรู้ข่าวเรื่องกองทัพสนับสนุนเดินทางมาถึงป้อมปราการตะวันออก พวกมันก็ไม่อยู่เฉย เคลื่อนทัพท่ามกลางความมืด รอจังหวะบุกโจมตีป้อมปราการตะวันออกอย่างไม่ให้แคว้นเฉียนรู้ตัว หากทว่า กลางดึกคืนเดียวกันนั้น ฟางอู่เซิงวางกองกำลังไว้ที่นอกป้อมปราการอย่างเงียบเฉียบ ทันทีที่แสงแรกมาเยือน หัวหน้าพลธนูที่ซ่อนตัวตั้งแต่กลางดึก ก็ได้ส่งสัญญาณมือให้โจมตี พลธนูที่ซุ่มบนต้นไม้นับสิบนายปล่อยศรพุ่งออกไป ฟิ้ว… “อึก!” “อั่ก!!” ทหารเผ่าฮุยที่ตั้งทัพเตรียมบุกป้อมปราการ ล้มกองบนพื้นทีละคนสองคนราวกับใบไม้ล่วงจากต้น เริ่มต้นสงคราม มองเผินๆ ฝ่ายที่ได้เปรียบอาจจะเป็นทางแม่ทัพฟางอู่เซิง แต่ทันทีที่เผ่าฮุยรู้สึกตัวว่าพวกมันถูกซุ่มโจมตี หัวหน้าเผ่าฮุยได้สั่งการและแบ่งออกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งให้หันกลับไปสังหารพลธนูของแคว้นเฉียน โดยใช้ศพของพวกเดียวกันเป็นเกาะกำบัง อีกฝ่ายหนึ่งทุ่มเทสุดกำลังทำลายป้อมปราการแล้วบุกเข้าไป “แทนที่จะล่าถอย แต่เลือกบุกต่
บทที่ 76กำลังเต็มร้อยด้วยอาหารอัดแท่ง วันต่อมา กองทัพของแม่ทัพฟาง หน่วยคุ้มกันเสบียงของเหิงเจา และหน่วยลอบโจมตีของเหยียนหลิ่ว เคลื่อนตัวออกจากเมืองหลวง เสบียงที่ทหารทุกนายพกติดตัวนั้น ส่วนใหญ่มาจากโรงเตี๊ยมตระกูลจาง นอกจากจะเป็นของแห้งที่เก็บไว้ได้นาน น้ำหนักเบา สารอาหารยังครบถ้วน ไม่เปลืองแรงเวลาต้องหอบหิ้วเวลาที่ต้องเดินทางไกลๆ แถมรสชาติยังอร่อย กินเท่าไรก็ไม่เบื่อ และต้องขอบคุณเสบียงจากโรงเตี๊ยมตระกูลจางเช่นกัน ทำให้การเดินทางมาถึงชายแดนตะวันออกเร็วกว่ากำหนดหลายวัน แม้ระหว่างทาง รถขนเสบียงจะถูกดักปล้น แต่ทหารทุกคนที่ได้กินธัญพืชอัดแท่งที่มีพลังงานสูง พวกเขาจึงปกป้องเสบียงหลวงเอาไว้ได้ โดยที่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ ในขณะเดินทางไกล เลี่ยงไม่ได้ท่ีจะมีล้มป่วยด้วยพิษไข้ แต่ด้วยยาเม็ดจากโรงเตี๊ยมตระกูลจาง กินเพียงสองเม็ด ไข้หวัดเล็กน้อยพลันบรรเทาลง พร้อมออกเดินทางต่อได้ทันที ไม่ต้องทิ้งใครไว้ข้างหลัง ด้วยเหตุนี้เอง ตอนมาถึงป้อมปราการตะวันออก เรี่ยวแรงของทหารทุกนายจึงยังล้นเหลือ พร้อมออกรบได้ทันที
บทที่ 75คุณหนูสามแห่งจวนเจ้ากรมพิธีการ ครั้นพอได้ยินเสียงคุ้นๆ สองหนุ่มสาวที่พลอดรักกันอยู่หน้าบ้าน มองผู้มาเยือนที่ไม่ได้รับเชิญด้วยสายตาเอือมระอา “เข้าบ้านคนอื่นก่อนได้รับอนุญาต ใครกันแน่ที่หน้าไม่อาย” เหยียนหลิ่วบอกด้วยเสียงเย็นชา “แม้ว่าเป็นข้าอย่างนั้นหรือ พี่เหยียนหลิ่ว” เสียงหวานกังวานใสดังขึ้นที่หน้าประตู จากนั้นหญิงสาววัยสิบแปดรูปร่างหน้าตาสะสวย สวมใส่อาภรณ์หรูหราก็ก้าวเข้ามาในบ้าน สาวรับใช้ที่ยืนเท้าสะเอว ทำหน้ายักษ์มองมาที่ตงตง รีบกลับไปยืนข้างหลังหญิงสาวผู้มาใหม่ พร้อมเรียกฝ่ายนั้นว่า “คุณหนู” เหยียนหลิ่วขมวดคิ้ว ก่อนจะพูดด้วยความรู้สึกไม่ชอบใจนัก “ถึงจะเป็นคุณหนูสามจากจวนเจ้ากรมพิธีการ ก็ควรเรียนรู้มารยาทสักหน่อย” ถูกชายหนุ่มที่ตัวเองชอบสั่งสอน ซูหลันหลัน…คุณหนูสามแห่งจวนเจ้ากรมพิธีการรู้สึกเสียหน้าเป็นอย่างมาก หันไปขึงตาใส่ตงตงที่นั่งเงียบ เหยียนหลิ่วลุกขึ้น ใช้ร่างใหญ่โตของตนยืนบังตงตงหมายปกป้องหญิงคนรัก แม้จะรู้ว่าคุณหนูสามซูคนนี้จะไม่กล้าแตะต้องตงตงก็ตาม