บทที่ 6
โน้มน้าวด้วยจำนวนจำกัด
ป่าท้ายเมือง
จางไคเฮ่อเลือกต้นไม้ที่ใช้งานได้ ก่อนจะสั่งให้เหยียนหลิ่วเป็นคนตัด
เหยียนหลิ่วกำด้ามขวานแน่น อาจเพราะอยู่ต่อหน้าอดีตนายทหาร เด็กหนุ่มจึงอยากทำให้จางไคเฮ่อเห็นความมุ่งมั่นของตน ทว่า…
“เจ้าต้องจับขวานให้มั่น ไม่ใช่กำไว้แน่น ทำแบบนั้นมีแต่จะทำให้มือของเจ้าเจ็บเปล่าๆ ถ้าอยู่ในสนามรบก็เหมือนกำลังฆ่าตัวตาย เอ้า…อย่าใช้แขนออกแรงเหวี่ยงอย่างเดียว ต้องใช้แรงจากต้นขากับสะโพกด้วย ยืนให้มั่นคง…ใช่ๆ แบบนั้นแหละ”
คำสอนของจางไคเฮ่อค่อนข้างเข้มงวด แต่พอทำตามคำชี้แนะ เหยียนหลิ่วรู้สึกว่าการตัดไม้ง่ายขึ้นมาทันที
เด็กหนุ่มทำตามโดยไม่ปริปากบ่นสักคำ และไม่ได้รู้สึกคลางแคลงในตัวจางไคเฮ่อด้วย
เขาโค่นต้นไม้ลงได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว
ระหว่างตัดไม้ต้นต่อไป จางไคเฮ่อลิดกิ่งไม้ต้นที่เขาโค่น พร้อมกับชี้แนะท่าฝึกอื่นให้อีกด้วย
“ท่าม้าย่องเป็นพื้นฐานของการฝึกท่าอื่นๆ เจ้าทำได้ดีแล้ว แต่ตอนที่เหวี่ยงขวาน เจ้าใช้แรงตรงหัวไหล่มากเกิน ขืนยังทำแบบนั้นต่อ อนาคตจะบาดเจ็บที่หัวไหล่จนไม่สามารถใช้อาวุธได้อีกเลย”
“แล้วข้าต้องทำยังไงหรือขอรับ” เด็กหนุ่มอย่างกระตือรือร้น
“เจ้าต้องงอข้อศอกเล็กน้อย ผ่อนแรงตรงหัวไล่ แล้วเหวี่ยงออกไป”
“ขอรับ”
เหยียนหลิ่วทำตามคำแนะนำ พอพยายามไม่เกร็งหัวไหล่ ไหล่ของเขาไม่ติดและไม่รู้สึกเจ็บ
การได้รับการสั่งสอนถูกจุดดีแบบนี้เองหรือ
เด็กหนุ่มมองชายร่างบึกบึนด้วยแววตาเลื่อมใส
ตอนนั้นเอง จางไคเฮ่อหยุดมือแล้วหันมาถามเด็กหนุ่ม
“เรื่องที่เจ้าอยากเป็นหทาร แม่ทัพกู้รู้หรือไม่”
เด็กหนุ่มเม้มปากไม่ตอบ มือก็ยังฟันต้นไม้ต่อไป
“รู้ใช่หรือไม่ แต่เขาไม่ยอมสนับสนุนเจ้า”
“....”
เด็กหนุ่มไม่พูดอะไรเหมือนเดิม
ถึงอย่างนั้นจางไคเฮ่อสัมผัสได้ถึงแรงเหวี่ยงขวานที่รุนแรงกว่าเดิม กำลังโมโหอยู่สินะ
“เข้าใจแล้ว ถ้าเจ้าไม่อยากพูด ต่อไปข้าจะไม่ถามอีก”
พอตัดไม้เสร็จ ทั้งสองแบกไม้กลับมาที่ลานหลังบ้านจาง
เช้านี้เหยียนหลิ่วหมดเวลาไปกับการตัดไม้ เลยไม่มีเวลาฝึกซ้อมอย่างอื่น เด็กหนุ่มกล่าวขอบคุณจางไคเฮ่อ ก่อนกระโดดข้ามกำแพงกลับบ้านกู้
จางไคเฮ่อส่ายหน้าเบาๆ จากนั้นนั่งลงเหลาไม้เพื่อทำหุ่นฝึก
…..
…..
ย้อนกลับมาที่ตงตง
เช้านี้ซาลาเปาของตงตงขายได้เยอะมาก ตั้งแต่ลูกค้าเก่ากินซาลาเปาไส้หมูสูตรใหม่พวกเขาก็พูดปากต่อปากว่าอร่อยและคุ้มกับราคา จากนั้นก็เริ่มมีลูกค้าหน้าใหม่แวะเวียนเข้ามา
ส่วนซาลาเปาไส้ฟักทองยังเป็นสินค้าแปลกใหม่ ลูกบางคนยังไม่กล้าลองชิม จึงขายออกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
วันนี้ ถังเหวินกับซานหลัวเฉินก็มาที่ร้านของนางอีกแล้ว
ตงตงยิ้มแย้มอย่างมืออาชีพ แม้ลึกๆ ไม่ค่อยชอบเด็กเกเรพวกนี้เท่าไร
“พี่ชายทั้งสอง วันนี้ก็มาอุดหนุนของข้าอีกแล้วหรือ”
พอถูกทัก เด็กทั้งสองก็แสดงสีหน้าขัดเขินขึ้นมาทันควัน
“ข้า…เอาซาลาเปาไส้หมู 1 ลูก” ถังเหวินบอก
ตงตงเปิดฝาซึ้ง ควันขาวลอยฉุย หลังจากปัดมือไล่ควัน ถังเหวินกับซานหลัวเฉินก็เห็นว่าในซึ้งมีซาลาเปาสองสี สีขาวกับสีเหลืองนวล
เด็กหนุ่มทั้งสองมองด้วยความสนใจ
“วันนี้มีซาลาเปาหวานไส้ฟักทอง พี่ชายจะรับด้วยหรือไม่” ตงตงโฆษณาขายอย่างฉะฉาน
“ไส้ฟักทอง ไอ้ลูกสีเหลืองๆ นี้น่ะหรือ”
“ใช่แล้ว ข้างในทำจากฟักทองเนื้อเนียน รสชาติหวานกำลังดี มีจำนวนจำกัดด้วยนะ ท่านรับด้วยไหม”
จริงๆ แล้วแค่ทดลองทำขาย ตงตงปั้นมาเพียงแค่ 30 ลูก ไม่ได้ทำจำนวนจำกัดอะไรเลย ถ้าขายดีค่อยเพิ่มจำนวนในครั้งถัดไป
ยุคที่ตงตงจากมา ลูกค้ามากมายถูกโน้มน้าวด้วยคำว่าจำนวนจำกัด นางจึงใช้แผนนี้มาตีตลาด
เป็นอย่างที่คาดคิด ถังเหวินกับซานหลัวเฉินถูกตกด้วยแผนการตลาดจำนวนกำจัด
“งั้นก็…เอามาอย่างละลูกแล้วกัน” ถังเหวินทำทีเป็นชี้ส่งๆ ก่ นจะเดินไปนั่งที่โต๊ะ ท่าทางเหมือนไม่สนใจ แต่ลึกๆ กลับอยากลองกินซาลาเปาแบบใหม่ใจจะขาด
“ข้าก็ด้วย” ซานหลัวเฉินพูดจบปุบก็เดินไปนั่งที่โต๊ะเดียวกับลูกพี่ของเขาปับ
ตงตงยิ้มรับ แล้วคีบซาลาเปาไส้หมูกับไส้ฟักทองยกไปเสิร์ฟเด็กหนุ่มทั้งสอง
“กินให้อร่อยนะพี่ชาย”
เด็กหนุ่มทั้งสองกลืนน้ำลายลงคอขณะมองซาลาเปาบนจาน พวกเขาหยิบซาลาเปาไส้หมูขึ้นมากินก่อน
พอกัดกินเข้าไปคำโต บนใบหน้าของเด็กหนุ่มก็เต็มไปด้วยคำว่า ‘อร่อย’
ถึงพวกเขาจะหยิ่งเกินกว่าจะพูดออกมา แต่ตงตงก็อ่านสีหน้านั้นออก
ทั้งสองกินซาลาเปาไส้หมูหมด จากนั้นตามด้วยไส้ฟักทองหวาน
“โอ้ รสหวานกำลังดีเลย” ซานหลัวเฉินชื่นชม พร้อมทั้งหันไปมองถังเหวิน
ถังเหวินพยักหน้าทีหนึ่ง ปากก็เคี้ยวตุ้ยๆ
เด็กสาวเห็นแบบนั้นก็ยิ่งปลื้มกับฝีมือทำอาหารของตน
ไม่เสียแรงที่ชาติก่อนตั้งใจทำงาน พอมีเวลาว่าง พ่อครัวใหญ่ก็จะสอนวิธีปรุงอาหาร ทั้งยังบอกเคล็ดลับการทำอาหารให้อร่อยหลายอย่าง
นางเติมน้ำร้อนใส่กา ชงชาง่ายๆ เสร็จ ตั้งใจจะบริการให้เด็กหนุ่มทั้งสองแบบฟรีๆ
จู่ๆ เสียงแหลมแสบแก้วหูของใครบางคนก็ดังขึ้น
“นังตัวดี เมื่อไรพ่อเจ้าจะรีบๆ ขายโรงเตี๊ยมนี้สักที หา!!??”
ตงตงลูบใบหู ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองคนที่กำลังโวยวายอยู่หน้าร้าน พลันพบเด็กสาวหน้าตาสะสวย แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าสะอาดและใหม่เอี่ยมยืนเท้าสะเอว
ข้างหลังของเด็กสาวยังมีสาวใช้อีกสองคน
พวกนางถลึงตาใส่ตงตงอย่างมีเจตนาหาเรื่อง
ตรงข้าม ตงตงเอียงศีรษะ ค้นหาความทรงจำจากเจ้าของร่างเดิม เด็กสาวที่ทำตัวเหมือนเป็นนางร้ายคนนี้เป็นใครกัน ตัวละครใหม่หรือ?
บทพิเศษความลับของตระกูลจาง หนึ่งวันหลังเสร็จสิ้นงานแต่ง จางไคเฮ่อนำชื่อของเหยียนหลิ่วเข้าทะเบียนราษฎร์ของตระกูลจาง นับจากนี้เหยียนหลิ่วจะกลายเป็นคนตระกูลจางเต็มตัว กลายเป็น ‘จางเหยียนหลิ่ว’ ล่วงเข้าสู่วันที่ห้าหลังจากที่ทั้งสองกลายเป็นสามีภรรยากัน เหยียนหลิ่วก็ถูกตงตงจูงมือพาลงไปที่ห้องใต้ดินของโรงเตี๊ยม “ภรรยา…ห้องใต้ดินเป็นความลับของตระกูล เจ้าแน่ใจหรือว่าข้าลงไปที่นั่นได้” เหยียนหลิ่วถามเพื่อให้ตงตงไตร่ตรองอีกครั้ง เหยียนหลิ่วรู้แค่ว่า ภายในห้องใต้ดินเป็นสถานที่เก็บสินค้าและสมบัติของตระกูลจาง กุญแจมีเพียงสองดอกเท่านั้น ดอกหนึ่งจางไคเฮ่อเป็นคนเก็บ และดอกหนึ่งเป็นของตงตง กระนั้น ตงตงกลับหันมายิ้มให้กับเหยียนหลิ่วด้วยสีหน้าสบายๆ “ตอนนี้ท่านเองก็เป็นคนของตระกูลจางแล้ว” “ถึงจะอย่างนั้นก็เถอะ แต่…” “ในอนาคตท่านคิดจะหย่ากับข้าหรือ…หรือว่า…ท่านจะหักหลังตระกูลจาง?” “เรื่องนั้นจะไม่มีทางเกิดขึ้นเด็ดขาด!” เหยียนหลิ่วตอบกลับอย่างหนักแน่น หย่ากันหรือ
บทส่งท้าย ฤกษ์แต่งงานที่เร็วที่ก็คือต้นเดือนหน้า นับวันดูแล้ว พวกเขามีเวลาจัดเตรียมงานไม่ถึง 1 เดือนด้วยซ้ำ ตงตงกับเหยียนหลิ่วจึงต้องตัดชุดแต่งงานกันตั้งแต่เนิ่นๆ เขียนบัตรเชิญส่งให้แขก กำหนดเมนูอาหาร และเริ่มซื้อข้าวของมาตกแต่งสถานที่ พอยุ่งอยู่กับการเตรียมงาน เผลอแป๊บเดียวก็เหลือเวลาอีกแค่ 2 วันเท่านั้น “ตงตง!” เสียงหญิงสาวอันคุ้นเคยดังหน้าประตูโรงเตี๊ยม ตงตงกำลังตรวจความเรียบร้อย หลังจากที่จิ่งฝางกับพวกเสี่ยวกวางแขวนโคมแดงเสร็จ รีบหันมองตามเสียงเรียกนั้น หานเจียเอ๋อร์ยืนยิ้มให้กับตงตง ข้างๆ หานเจียเอ๋อร์คือถังเหวินที่กำลังอุ้มลูกชายวัย 2 ขวบ ทั้งคู่แต่งงานกันเมื่อ 3 ปีก่อน หลังพิธีวิวาห์ สองเดือนถัดมา หานเจียเอ๋อร์ก็ตั้งครรภ์ทันที ถัดจากถังเหวินก็คือซานหลัวเฉินกับภรรยาที่เพิ่งแต่ง ครั้นเห็นคนคุ้นเคย ตงตงก็เดินยิ้มเข้าไปหาทุกคน “พวกท่านมากันแล้ว เข้ามาก่อนเจ้าค่ะ…อาหลงตัวน้อย สบายดีไหมจ๊ะ” เด็กน้อยวัย 2 ขวบพยักหน้าตอบ “อื้อ”
บทที่ 78ขอแต่งงาน 10 วันต่อมา ณ สำนักราชองครักษ์หลวง ทันทีที่กลับมาถึงเมืองหลวง เหิงเจากับเหยียนหลิ่วเข้าพบเสนาธิการเว่ยจ้ง รายงานเรื่องราวทั้งหมดตอนอยู่ป้อมปราการตะวันออก เมื่อเสร็จธุระหมดแล้ว เหยียนหลิ่วขอตัวกลับทันที ชายหนุ่มเดินบนถนนด้วยฝีเท้าเร่งรีบ เมื่อมาถึงโรงเตี๊ยมตระกูลจาง เห็นหญิงสาวในดวงใจยืนต้อนรับลูกค้าอยู่หน้าร้านพอดี เหยียนหลิ่วส่งเสียงเรียกหญิงสาวด้วยความตื่นเต้น “ตงตง!” เสียงเรียกของชายหนุ่มไม่เพียงดึงดูดสายตาของตงตง ยังเรียกความสนใจจากคนรอบข้างอีกด้วย ทว่า… สองหนุ่มสาวหาได้สนใจคนอื่นแต่อย่างใด ในสายตาของทั้งคู่มีเพียงกันและกันเท่านั้น “พี่หลิ่วกลับมาแล้ว!” ตงตงยิ้มกว้าง ก้าวยาวๆ เข้าไปหาชายหนุ่ม เมื่อระยะห่างของทั้งคู่ร่นลงจนไม่เหลือช่องว่าง เหยียนหลิ่วตอบกลับหญิงสาวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ข้ากลับมาแล้ว” เหยียนหลิ่วไม่เพียงพูดเปล่าๆ สองมือใหญ่ยังโอบเอวบางของนาง แล้วยกร่างของนางขึ้นจากพื้นอ
บทที่ 77จู่โจมรวดเร็ว หลังจากหัวหน้าเผ่าฮุยรู้ข่าวเรื่องกองทัพสนับสนุนเดินทางมาถึงป้อมปราการตะวันออก พวกมันก็ไม่อยู่เฉย เคลื่อนทัพท่ามกลางความมืด รอจังหวะบุกโจมตีป้อมปราการตะวันออกอย่างไม่ให้แคว้นเฉียนรู้ตัว หากทว่า กลางดึกคืนเดียวกันนั้น ฟางอู่เซิงวางกองกำลังไว้ที่นอกป้อมปราการอย่างเงียบเฉียบ ทันทีที่แสงแรกมาเยือน หัวหน้าพลธนูที่ซ่อนตัวตั้งแต่กลางดึก ก็ได้ส่งสัญญาณมือให้โจมตี พลธนูที่ซุ่มบนต้นไม้นับสิบนายปล่อยศรพุ่งออกไป ฟิ้ว… “อึก!” “อั่ก!!” ทหารเผ่าฮุยที่ตั้งทัพเตรียมบุกป้อมปราการ ล้มกองบนพื้นทีละคนสองคนราวกับใบไม้ล่วงจากต้น เริ่มต้นสงคราม มองเผินๆ ฝ่ายที่ได้เปรียบอาจจะเป็นทางแม่ทัพฟางอู่เซิง แต่ทันทีที่เผ่าฮุยรู้สึกตัวว่าพวกมันถูกซุ่มโจมตี หัวหน้าเผ่าฮุยได้สั่งการและแบ่งออกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งให้หันกลับไปสังหารพลธนูของแคว้นเฉียน โดยใช้ศพของพวกเดียวกันเป็นเกาะกำบัง อีกฝ่ายหนึ่งทุ่มเทสุดกำลังทำลายป้อมปราการแล้วบุกเข้าไป “แทนที่จะล่าถอย แต่เลือกบุกต่
บทที่ 76กำลังเต็มร้อยด้วยอาหารอัดแท่ง วันต่อมา กองทัพของแม่ทัพฟาง หน่วยคุ้มกันเสบียงของเหิงเจา และหน่วยลอบโจมตีของเหยียนหลิ่ว เคลื่อนตัวออกจากเมืองหลวง เสบียงที่ทหารทุกนายพกติดตัวนั้น ส่วนใหญ่มาจากโรงเตี๊ยมตระกูลจาง นอกจากจะเป็นของแห้งที่เก็บไว้ได้นาน น้ำหนักเบา สารอาหารยังครบถ้วน ไม่เปลืองแรงเวลาต้องหอบหิ้วเวลาที่ต้องเดินทางไกลๆ แถมรสชาติยังอร่อย กินเท่าไรก็ไม่เบื่อ และต้องขอบคุณเสบียงจากโรงเตี๊ยมตระกูลจางเช่นกัน ทำให้การเดินทางมาถึงชายแดนตะวันออกเร็วกว่ากำหนดหลายวัน แม้ระหว่างทาง รถขนเสบียงจะถูกดักปล้น แต่ทหารทุกคนที่ได้กินธัญพืชอัดแท่งที่มีพลังงานสูง พวกเขาจึงปกป้องเสบียงหลวงเอาไว้ได้ โดยที่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ ในขณะเดินทางไกล เลี่ยงไม่ได้ท่ีจะมีล้มป่วยด้วยพิษไข้ แต่ด้วยยาเม็ดจากโรงเตี๊ยมตระกูลจาง กินเพียงสองเม็ด ไข้หวัดเล็กน้อยพลันบรรเทาลง พร้อมออกเดินทางต่อได้ทันที ไม่ต้องทิ้งใครไว้ข้างหลัง ด้วยเหตุนี้เอง ตอนมาถึงป้อมปราการตะวันออก เรี่ยวแรงของทหารทุกนายจึงยังล้นเหลือ พร้อมออกรบได้ทันที
บทที่ 75คุณหนูสามแห่งจวนเจ้ากรมพิธีการ ครั้นพอได้ยินเสียงคุ้นๆ สองหนุ่มสาวที่พลอดรักกันอยู่หน้าบ้าน มองผู้มาเยือนที่ไม่ได้รับเชิญด้วยสายตาเอือมระอา “เข้าบ้านคนอื่นก่อนได้รับอนุญาต ใครกันแน่ที่หน้าไม่อาย” เหยียนหลิ่วบอกด้วยเสียงเย็นชา “แม้ว่าเป็นข้าอย่างนั้นหรือ พี่เหยียนหลิ่ว” เสียงหวานกังวานใสดังขึ้นที่หน้าประตู จากนั้นหญิงสาววัยสิบแปดรูปร่างหน้าตาสะสวย สวมใส่อาภรณ์หรูหราก็ก้าวเข้ามาในบ้าน สาวรับใช้ที่ยืนเท้าสะเอว ทำหน้ายักษ์มองมาที่ตงตง รีบกลับไปยืนข้างหลังหญิงสาวผู้มาใหม่ พร้อมเรียกฝ่ายนั้นว่า “คุณหนู” เหยียนหลิ่วขมวดคิ้ว ก่อนจะพูดด้วยความรู้สึกไม่ชอบใจนัก “ถึงจะเป็นคุณหนูสามจากจวนเจ้ากรมพิธีการ ก็ควรเรียนรู้มารยาทสักหน่อย” ถูกชายหนุ่มที่ตัวเองชอบสั่งสอน ซูหลันหลัน…คุณหนูสามแห่งจวนเจ้ากรมพิธีการรู้สึกเสียหน้าเป็นอย่างมาก หันไปขึงตาใส่ตงตงที่นั่งเงียบ เหยียนหลิ่วลุกขึ้น ใช้ร่างใหญ่โตของตนยืนบังตงตงหมายปกป้องหญิงคนรัก แม้จะรู้ว่าคุณหนูสามซูคนนี้จะไม่กล้าแตะต้องตงตงก็ตาม