บทที่ 5
ลูกศิษย์คนแรกของจางไคเฮ่อ
อาจเพราะจิตวิญญาณของตงตงคนเก่ายังคงฝังอยู่ในร่างกายน้อยๆ นี้ ตงตงจึงรู้สึกผูกพันและมองว่าจางไคเฮ่อเป็นบิดาของนางอย่างแท้จริง
พออาบน้ำ โกนหนวดและทำผมเผ้าใหม่ จางไคเฮ่อก็ดูเป็นผู้เป็นคนขึ้น
ตอนที่จางไคเฮ่อออกมาจากห้อง ตงตงก็ทำกับข้าวและนึ่งซาลาเปาเสร็จพอดี
จางไคเฮ่อเดินไปเปิดฝาซึ้งนึ่ง ควันสีขาวลอยอบอวล กลิ่นหอมหวานของฟักทองผสมกับแป้งโชยแตะจมูก
เขามองซาลาเปาที่ดูนุ่มฟูด้วยความสงสัย
ซาลาเปาที่ขายกันทั่วไปแป้งค่อนข้างหยาบ ปล่อยข้ามวันก็จะแข็งกระด้าง แต่ซาลาเปาที่ลูกสาวของเขาเพิ่งนึ่งเสร็จใหม่ๆ กลับมีสีเหลืองอ่อนนวลๆ แค่มองก็รู้ว่าเนื้อสัมผัสเนียนนุ่มและต้องอร่อยมากแน่ๆ
“นี่คืออะไร” จางไคเฮ่อถามลูกสาวอย่างสงสัย
“ซาลาเปาไส้ฟักทอง รสหวาน ท่านพ่อลองชิมดูสิ” นางตอบฉะฉาน พร้อมกับยกถ้วยชามออกมาวางบนโต๊ะกินข้าว
ซาลาเปานึ่งร้อนๆ ถูกหยิบขึ้นมาจากซึ้ง จางไคเฮ่อแบ่งครึ่งซาลาเปา มองไส้ซาลาเปาเนื้อเนียนอย่างเงียบๆ ผ่านไปสักพัก เขาส่งซาลาเปาเข้าปาก ทันใดนั้น ดวงตาสีดำเข้มก็ฉายแววประหลาดใจ
“โอ้ อร่อยมาก ความหวานของไส้เข้ากับแป้งอย่างดีเลย ไม่คิดเลยว่าฟักทองจะเอามาทำแบบนี้ก็ได้”
ตงตงยิ้มเมื่อถูกบิดาชม
“ยังใช้อย่างอื่นทำไส้ซาลาเปาได้อีกนะ อย่างเช่น เผือก เกาลัด หมูตุ๋น ไก่สับ หน่อไม้…อะไรแบบนี้”
“คิดแล้วเชียว เจ้าเองก็มีพรสวรรค์เหมือนกับกุ้ยฉิน…”
จางไคเฮ่อหลุบตา ทำหน้าเศร้าหมองขึ้นมาทันควันหลังจากเผลอเอ่ยชื่อภรรยาออกมา
เด็กสาวไม่รู้จะปลอบใจบิดาอย่างไร นางจึงเม้มปาก มองถ้วยข้าวในมืออย่างเงียบๆ
สองพ่อลูกเงียบกันอยู่ชั่วครู่ จางไคเฮ่อก็พูดด้วยสีหน้าเชื่องซึม “พ่อขอโทษนะตงตง พ่อทำตัวไม่ได้เรื่องเอง”
ตั้งแต่สูญเสียภรรยา จางไคเฮ่อรู้สึกผิดและสิ้นหวัง ทั้งที่เขาใกล้ชิดภรรยาที่สุด แต่กลับไม่สังเกตเห็นว่านางกำลังป่วยหนัก มิหนำซ้ำ หลังจากภรรยาเสียไป เขาก็ทำให้โรงเตี๊ยมที่ภรรยาสร้างขึ้นกับมือขาดทุนย่อยยับจนต้องปิดกิจการลง
เขามันไม่ได้เรื่อง
เพราะอย่างนั้น ถึงขังตัวเองในห้องด้วยความสำนึกผิด แต่ก็กลายเป็นว่าสร้างภาระให้กับลูกสาว
ตงตงเข้าใจความรู้สึกของบิดา
อย่างที่บอก เพราะไม่รู้จะปลอบอย่างไร นางจึงพูดเพียงว่า “ท่านพ่อ ขอแค่ยังมีชีวิต คนเราเริ่มต้นใหม่ได้เสมอ”
ท่านพ่อเงียบคิดสักพัก ก่อนจะพยักหน้าทีหนึ่ง
“เจ้าพูดถูก”
คุยกันมาถึงตรงนี้ตงตงก็ตั้งโต๊ะกินข้าวเสร็จพอดี
นางตักข้าวใส่ถ้วยแล้วยื่นให้บิดา
จางไคเฮ่อรับถ้วยข้าวมา คีบกับข้าวเข้าปาก จากนั้นพุ้ยข้าวคำโตตามหลัง
สองพ่อลูกนั่งกินข้าวกันอย่างเงียบเฉียบ ข้าวหมดไปครึ่งชาม จางไคเฮ่อถึงวางตะเกียบลงแล้วถามตงตง
“ว่าแต่ เจ้าหนุ่มคนนั้น เจ้าจะเลี้ยงดูเขาจริงหรือ”
“เลี้ยงดู?” ตงตงเอียงศีรษะ ทวนคำพูดของบิดา สักพักก็ร้อง “อ๋อ ท่านหมายถึงพี่ชายหลิ่วหรอกหรือ เลี้ยงดงเลี้ยงดูอะไร ท่านพูดเกินไปแล้ว”
ตงตงร่างนี้อายุ 15 เองนะ ท่านพ่อพูดอย่างกับว่า นางเป็นหญิงแก่ที่ชื่นชอบการเลี้ยงดูเด็กหนุ่มเอาไว้ดูเล่นอย่างนั้นแหละ!
“เขาตั้งใจจะเป็นทหารจริงๆ ใช่หรือไม่”
คราวนี้ท่านพ่อเปลี่ยนคำถามใหม่
นางพยักหน้าส่งเสียง “อืม”
จางไคเฮ่อกล่าวต่อ “ฝึกเยอะๆ มันก็ดีอยู่หรอก แต่สิ่งสำคัญคือความแม่นยำตอนออกกระบวนท่ายามเผชิญหน้ากับศัตรู”
พอจางไคเฮ่อแนะนำมาแบบนั้น ตงตงก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ นางวางตะเกียบลงข้างๆ ชามข้าว ถามบิดาด้วยความกระตือรือร้น
“ท่านพ่อเป็นอดีตทหารนี่นา ท่านสอนเขาหน่อยได้หรือไม่”
“ทำไมข้าต้องสอนเขาด้วย”
“ก็เขาอยากเป็นทหารนี่ แล้วท่านก็เคยเป็นทหารมาก่อน”
“เขาอยากเป็นทหารแล้วเกี่ยวอะไรกับข้า”
“ท่านพ่อ อย่าพูดจาขี้งกนักสิ ท่านช่วยสอนเขาหน่อยนะเจ้าคะ นะ น๊าาา”
ตงตงไม่เพียงขอร้องบิดา ดวงตากลมโตสุกใสยังกะพริบปริบๆ อย่างออดอ้อน
เห็นภายนอกจางไคเฮ่อเหมือนคนป่าเถื่อน แต่เนื้อแท้กลับรักภรรยาและลูกยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด
หลังจากครุ่นคิดสักครู่ จางไคเฮ่อก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
“ถ้าว่างก็บอกให้เขาไปหาไม้เนื้อแข็งมา ถ้าไม่รู้ว่าจะตัดจากไหน ลองเข้าป่าท้ายเมืองดู เอามาเยอะๆ หน่อย แล้วข้าจะทำหุ่นไม้ฝึกไว้ให้”
ได้ยินแบบนั้นตงตงพลันยิ้มแฉ่ง
จางไคเฮ่อพูดต่ออีกครั้ง “เห็นแกที่เขามาช่วยเจ้าผ่าฟืนหรอก”
“เจ้าค่ะ เจ้าค่ะ”
“ถ้าเขาได้เป็นทหารแล้ว เจ้าเองก็อย่าไปสนิทสนมกับเขามากนักล่ะ”
“ทำไมหรือ”
หนนี้ จางไคเฮ่อปิดปากเงียบไม่ยอมตอบ หยิบตะเกียบขึ้นมาพุ้ยข้าวเข้าปากเหมือนหิวโหย
พอสองพ่อลูกกินข้าวอิ่มแล้ว จางไคเฮ่อนำถ้วยชามไปล้าง ตงตงเช็ดโต๊ะ แต่ไม่วายย้อนคิดถึงคำพูดของบิดา
ถ้าเหยียนหลิ่วไปเป็นทหารแล้ว ทำไมนางถึงสนิทกับเขาต่อไม่ได้นะ?
…..
…..
วันต่อมา ฟ้ายังไม่สว่างดี เหยียนหลิ่วก็กระโดดข้ามกำแพงมาบ้านจาง
เด็กหนุ่มยังคงช่วยตงตงเตรียมข้าวของสำหรับไปขายเหมือนเดิม
“เหมือนของจะเยอะกว่าเดิมอีก หนักหรือไม่” เด็กหนุ่มถาม
ตงตงส่ายหน้า “ช่วงนี้ข้ากินเยอะ ของแค่นี้ไม่หนักสักนิด”
“นั่นสินะ ช่วงนี้ดูเจ้าเริ่มมีเนื้อมีหนังมากกว่าเมื่อก่อนอีก”
ตงตงยิ้มรับคำพูดของเหยียนหลิ่ว
เด็กสาวอายุ 15 ปี หากพูดไปแล้ว ควรจะมีเนื้อหนังมากกว่านี้ด้วยซ้ำ แต่ตงตงกลับผอมแห้ง ตัวเล็กเหมือนเด็กอายุ 13 แถมหน้าอกยังแบนเหมือนไข่ดาว
ทั้งที่ฐานะทางบ้านไม่ได้ยากจนถึงขั้นไม่มีกินแท้ๆ อีกอย่าง มารดาเป็นเจ้าของโรงเตี๊ยม นางควรจะมีกินถึงจะถูก
“แล้ววันนี้ทำไมขนของไปเยอะแยะ” เหยียนหลิ่วถาม
“เห็นของเยอะแบบนี้ เพราะข้าลองทำซาลาเปาไส้ฟักทองขาย แต่ก็นะ ไม่รู้จะขายได้หรือไม่ แหะๆ”
“ซาลาเปาของเจ้าอร่อยไม่หมือนใคร ยังไงก็ต้องขายหมดแน่”
ถึงจะเป็นเพียงคำพูดปลอบใจ แต่เด็กสาวก็ยิ้มรับคำชมนั้น
“ขอบคุณที่ให้กำลังใจนะ พี่ชายหลิ่ว”
“อีกไม่กี่วันคุณชายบ้านนั้นก็จะกลับเข้าสถานศึกษาแล้ว คราวนี้ข้าจะได้ช่วยเจ้าหิ้วของไปส่งที่ร้านและยังช่วยจัดร้านได้ด้วย”
“ท่านไม่ต้องฝืนก็ได้”
“ไม่ฝืนหรอก ข้าอยากทำน่ะ”
“อืม”
นางพยักหน้าให้เขาทีหนึ่ง
หลังจากเตรียมของเสร็จแล้ว เหยียนหลิ่วก็ไปที่ห้องเก็บฟืน ตั้งใจขนไม้ออกมาผ่า แต่กลับพบว่าไม้ถูกทำเป็นฟืนหมดแล้ว ซ้ำยังแบ่งไว้เป็นกองๆ อย่างมีระเบียบ
“เจ้าจ้างคนอื่นผ่าฟืนแล้วหรือ” เขาเดินกลับมาถามนาง สีหน้าเศร้านิดหน่อย หากไม่ได้ผ่าฟืน เขาก็ไม่มีประโยชน์สำหรับนางน่ะสิ
“อ๋อ เรื่องนั้น…”
“ข้าทำเอง”
ตงตงยังไม่ทันได้ตอบ จางไคเฮ่อเดินออกมาจากบ้านกล่าวแทรก
เหยียนหลิ่วมองไปทางเจ้าของเสียง พอเห็นชายร่างบึกบึนเดินมาหยุดตรงหน้า เด็กหนุ่มก็ตกใจ แต่ผ่านสักพัก เขาก็จำได้ว่าคนคนนี้คือบิดาของตงตง
“ท่านอาจางกลับมาทำงานได้แล้วหรือ ต่อไปหน้าที่ผ่าฟืนข้าก็ไม่ต้องทำแล้วสิ”
ขณะเด็กหนุ่มถาม สีหน้าของเขาค่อนข้างหมองหม่น
“อยากผ่าฟืนต่อก็ทำไปสิ ใครห้ามเจ้า” จางไคเฮ่อบอก “แต่เจ้ามีเรื่องอื่นที่สำคัญกว่าผ่าฟืนไม่ใช่หรือ”
“เรื่องอื่นหรือขอรับ?” เหยียนหลิ่วย้อนถามอย่างไม่เข้าใจ
“ฝึกฝนตัวเองเพื่อไปเป็นทหาร”
ได้ยินแบบนั้นเหยียนลิ่วชะงัก
“ข้าเข้าใจผิดไปหรือ”
“ไม่ใช่ขอรับ ข้าอยากเป็นทหาร”
หนทางเดียวที่จะหลุดพ้นจากสถานะที่เป็นอยู่ คือการออกไปจากบ้านกู้ ยืนด้วยลำแข้งของตัวเอง
แต่เหยียนหลิ่วไม่มีความรู้ เขาไม่เคยได้รับการสอนสั่งอย่างจริงจัง นอกจากเรียนรู้ด้วยตัวเอง อย่างการจดจำตัวอักษร การฟันดาบ
อย่างไรก็แล้วแต่ สิ่งที่เหยียนหลิ่วทำได้ดีคือมีจิตใจที่มุ่งมั่นและเข้มแข็ง หากเป็นทหาร อนาคตน่าจะไปได้ไกล บ่าวในบ้านกู้ล้วนพูดเช่นนั้น
นั่นคือเหตุผลที่เหยียนหลิ่วมุ่งมั่นฝึกฝนเพื่อจะไปเป็นทหาร
ลานหลังบ้านเงียบเชียบ จางไคเฮ่อมองเด็กหนุ่มครั้งหนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้น
“เพราะอย่างนั้นข้าถึงได้บอก เจ้ามีสิ่งสำคัญกว่าการผ่าฟืนให้ลูกสาวข้า”
“แล้วข้าควรทำเช่นไรขอรับ ท่านอาจาง”
“ตอนนี้คนบ้านกู้ยังไม่มีใครตื่น เจ้าไปป่าท้ายเมืองกับข้า หาไม้เนื้อแข็งมาทำหุ่นไม้เอาไว้ซ้อมวิชา”
“ขอรับ”
เด็กหนุ่มพยักหน้าตอบอย่างหนักแน่น เขาเชื่อมั่นจางไคเฮ่อและไม่มีอะไรโต้แย้ง
จางไคเฮ่อเดินไปหยิบขวานกับตะกร้า เตรียมตัวเสร็จก็ตั้งท่าจะออกบ้าน
ตงตงโบกมือยิ้มให้กับชายต่างวัยทั้งสองคน “ท่านพ่อ พี่ชายหลิ่ว ข้าไปขายของก่อนนะ พวกท่านก็อย่าเถลไถลล่ะ”
เหยียนหลิ่วโบกมือตอบตงตง
จางไคเฮ่อขมวดคิ้ว พูดอย่างข่มขู่ “ลูกสาวข้า ข้าไม่ยกให้เจ้าหรอก”
“เอะ ขอรับ?”
บทพิเศษความลับของตระกูลจาง หนึ่งวันหลังเสร็จสิ้นงานแต่ง จางไคเฮ่อนำชื่อของเหยียนหลิ่วเข้าทะเบียนราษฎร์ของตระกูลจาง นับจากนี้เหยียนหลิ่วจะกลายเป็นคนตระกูลจางเต็มตัว กลายเป็น ‘จางเหยียนหลิ่ว’ ล่วงเข้าสู่วันที่ห้าหลังจากที่ทั้งสองกลายเป็นสามีภรรยากัน เหยียนหลิ่วก็ถูกตงตงจูงมือพาลงไปที่ห้องใต้ดินของโรงเตี๊ยม “ภรรยา…ห้องใต้ดินเป็นความลับของตระกูล เจ้าแน่ใจหรือว่าข้าลงไปที่นั่นได้” เหยียนหลิ่วถามเพื่อให้ตงตงไตร่ตรองอีกครั้ง เหยียนหลิ่วรู้แค่ว่า ภายในห้องใต้ดินเป็นสถานที่เก็บสินค้าและสมบัติของตระกูลจาง กุญแจมีเพียงสองดอกเท่านั้น ดอกหนึ่งจางไคเฮ่อเป็นคนเก็บ และดอกหนึ่งเป็นของตงตง กระนั้น ตงตงกลับหันมายิ้มให้กับเหยียนหลิ่วด้วยสีหน้าสบายๆ “ตอนนี้ท่านเองก็เป็นคนของตระกูลจางแล้ว” “ถึงจะอย่างนั้นก็เถอะ แต่…” “ในอนาคตท่านคิดจะหย่ากับข้าหรือ…หรือว่า…ท่านจะหักหลังตระกูลจาง?” “เรื่องนั้นจะไม่มีทางเกิดขึ้นเด็ดขาด!” เหยียนหลิ่วตอบกลับอย่างหนักแน่น หย่ากันหรือ
บทส่งท้าย ฤกษ์แต่งงานที่เร็วที่ก็คือต้นเดือนหน้า นับวันดูแล้ว พวกเขามีเวลาจัดเตรียมงานไม่ถึง 1 เดือนด้วยซ้ำ ตงตงกับเหยียนหลิ่วจึงต้องตัดชุดแต่งงานกันตั้งแต่เนิ่นๆ เขียนบัตรเชิญส่งให้แขก กำหนดเมนูอาหาร และเริ่มซื้อข้าวของมาตกแต่งสถานที่ พอยุ่งอยู่กับการเตรียมงาน เผลอแป๊บเดียวก็เหลือเวลาอีกแค่ 2 วันเท่านั้น “ตงตง!” เสียงหญิงสาวอันคุ้นเคยดังหน้าประตูโรงเตี๊ยม ตงตงกำลังตรวจความเรียบร้อย หลังจากที่จิ่งฝางกับพวกเสี่ยวกวางแขวนโคมแดงเสร็จ รีบหันมองตามเสียงเรียกนั้น หานเจียเอ๋อร์ยืนยิ้มให้กับตงตง ข้างๆ หานเจียเอ๋อร์คือถังเหวินที่กำลังอุ้มลูกชายวัย 2 ขวบ ทั้งคู่แต่งงานกันเมื่อ 3 ปีก่อน หลังพิธีวิวาห์ สองเดือนถัดมา หานเจียเอ๋อร์ก็ตั้งครรภ์ทันที ถัดจากถังเหวินก็คือซานหลัวเฉินกับภรรยาที่เพิ่งแต่ง ครั้นเห็นคนคุ้นเคย ตงตงก็เดินยิ้มเข้าไปหาทุกคน “พวกท่านมากันแล้ว เข้ามาก่อนเจ้าค่ะ…อาหลงตัวน้อย สบายดีไหมจ๊ะ” เด็กน้อยวัย 2 ขวบพยักหน้าตอบ “อื้อ”
บทที่ 78ขอแต่งงาน 10 วันต่อมา ณ สำนักราชองครักษ์หลวง ทันทีที่กลับมาถึงเมืองหลวง เหิงเจากับเหยียนหลิ่วเข้าพบเสนาธิการเว่ยจ้ง รายงานเรื่องราวทั้งหมดตอนอยู่ป้อมปราการตะวันออก เมื่อเสร็จธุระหมดแล้ว เหยียนหลิ่วขอตัวกลับทันที ชายหนุ่มเดินบนถนนด้วยฝีเท้าเร่งรีบ เมื่อมาถึงโรงเตี๊ยมตระกูลจาง เห็นหญิงสาวในดวงใจยืนต้อนรับลูกค้าอยู่หน้าร้านพอดี เหยียนหลิ่วส่งเสียงเรียกหญิงสาวด้วยความตื่นเต้น “ตงตง!” เสียงเรียกของชายหนุ่มไม่เพียงดึงดูดสายตาของตงตง ยังเรียกความสนใจจากคนรอบข้างอีกด้วย ทว่า… สองหนุ่มสาวหาได้สนใจคนอื่นแต่อย่างใด ในสายตาของทั้งคู่มีเพียงกันและกันเท่านั้น “พี่หลิ่วกลับมาแล้ว!” ตงตงยิ้มกว้าง ก้าวยาวๆ เข้าไปหาชายหนุ่ม เมื่อระยะห่างของทั้งคู่ร่นลงจนไม่เหลือช่องว่าง เหยียนหลิ่วตอบกลับหญิงสาวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ข้ากลับมาแล้ว” เหยียนหลิ่วไม่เพียงพูดเปล่าๆ สองมือใหญ่ยังโอบเอวบางของนาง แล้วยกร่างของนางขึ้นจากพื้นอ
บทที่ 77จู่โจมรวดเร็ว หลังจากหัวหน้าเผ่าฮุยรู้ข่าวเรื่องกองทัพสนับสนุนเดินทางมาถึงป้อมปราการตะวันออก พวกมันก็ไม่อยู่เฉย เคลื่อนทัพท่ามกลางความมืด รอจังหวะบุกโจมตีป้อมปราการตะวันออกอย่างไม่ให้แคว้นเฉียนรู้ตัว หากทว่า กลางดึกคืนเดียวกันนั้น ฟางอู่เซิงวางกองกำลังไว้ที่นอกป้อมปราการอย่างเงียบเฉียบ ทันทีที่แสงแรกมาเยือน หัวหน้าพลธนูที่ซ่อนตัวตั้งแต่กลางดึก ก็ได้ส่งสัญญาณมือให้โจมตี พลธนูที่ซุ่มบนต้นไม้นับสิบนายปล่อยศรพุ่งออกไป ฟิ้ว… “อึก!” “อั่ก!!” ทหารเผ่าฮุยที่ตั้งทัพเตรียมบุกป้อมปราการ ล้มกองบนพื้นทีละคนสองคนราวกับใบไม้ล่วงจากต้น เริ่มต้นสงคราม มองเผินๆ ฝ่ายที่ได้เปรียบอาจจะเป็นทางแม่ทัพฟางอู่เซิง แต่ทันทีที่เผ่าฮุยรู้สึกตัวว่าพวกมันถูกซุ่มโจมตี หัวหน้าเผ่าฮุยได้สั่งการและแบ่งออกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งให้หันกลับไปสังหารพลธนูของแคว้นเฉียน โดยใช้ศพของพวกเดียวกันเป็นเกาะกำบัง อีกฝ่ายหนึ่งทุ่มเทสุดกำลังทำลายป้อมปราการแล้วบุกเข้าไป “แทนที่จะล่าถอย แต่เลือกบุกต่
บทที่ 76กำลังเต็มร้อยด้วยอาหารอัดแท่ง วันต่อมา กองทัพของแม่ทัพฟาง หน่วยคุ้มกันเสบียงของเหิงเจา และหน่วยลอบโจมตีของเหยียนหลิ่ว เคลื่อนตัวออกจากเมืองหลวง เสบียงที่ทหารทุกนายพกติดตัวนั้น ส่วนใหญ่มาจากโรงเตี๊ยมตระกูลจาง นอกจากจะเป็นของแห้งที่เก็บไว้ได้นาน น้ำหนักเบา สารอาหารยังครบถ้วน ไม่เปลืองแรงเวลาต้องหอบหิ้วเวลาที่ต้องเดินทางไกลๆ แถมรสชาติยังอร่อย กินเท่าไรก็ไม่เบื่อ และต้องขอบคุณเสบียงจากโรงเตี๊ยมตระกูลจางเช่นกัน ทำให้การเดินทางมาถึงชายแดนตะวันออกเร็วกว่ากำหนดหลายวัน แม้ระหว่างทาง รถขนเสบียงจะถูกดักปล้น แต่ทหารทุกคนที่ได้กินธัญพืชอัดแท่งที่มีพลังงานสูง พวกเขาจึงปกป้องเสบียงหลวงเอาไว้ได้ โดยที่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ ในขณะเดินทางไกล เลี่ยงไม่ได้ท่ีจะมีล้มป่วยด้วยพิษไข้ แต่ด้วยยาเม็ดจากโรงเตี๊ยมตระกูลจาง กินเพียงสองเม็ด ไข้หวัดเล็กน้อยพลันบรรเทาลง พร้อมออกเดินทางต่อได้ทันที ไม่ต้องทิ้งใครไว้ข้างหลัง ด้วยเหตุนี้เอง ตอนมาถึงป้อมปราการตะวันออก เรี่ยวแรงของทหารทุกนายจึงยังล้นเหลือ พร้อมออกรบได้ทันที
บทที่ 75คุณหนูสามแห่งจวนเจ้ากรมพิธีการ ครั้นพอได้ยินเสียงคุ้นๆ สองหนุ่มสาวที่พลอดรักกันอยู่หน้าบ้าน มองผู้มาเยือนที่ไม่ได้รับเชิญด้วยสายตาเอือมระอา “เข้าบ้านคนอื่นก่อนได้รับอนุญาต ใครกันแน่ที่หน้าไม่อาย” เหยียนหลิ่วบอกด้วยเสียงเย็นชา “แม้ว่าเป็นข้าอย่างนั้นหรือ พี่เหยียนหลิ่ว” เสียงหวานกังวานใสดังขึ้นที่หน้าประตู จากนั้นหญิงสาววัยสิบแปดรูปร่างหน้าตาสะสวย สวมใส่อาภรณ์หรูหราก็ก้าวเข้ามาในบ้าน สาวรับใช้ที่ยืนเท้าสะเอว ทำหน้ายักษ์มองมาที่ตงตง รีบกลับไปยืนข้างหลังหญิงสาวผู้มาใหม่ พร้อมเรียกฝ่ายนั้นว่า “คุณหนู” เหยียนหลิ่วขมวดคิ้ว ก่อนจะพูดด้วยความรู้สึกไม่ชอบใจนัก “ถึงจะเป็นคุณหนูสามจากจวนเจ้ากรมพิธีการ ก็ควรเรียนรู้มารยาทสักหน่อย” ถูกชายหนุ่มที่ตัวเองชอบสั่งสอน ซูหลันหลัน…คุณหนูสามแห่งจวนเจ้ากรมพิธีการรู้สึกเสียหน้าเป็นอย่างมาก หันไปขึงตาใส่ตงตงที่นั่งเงียบ เหยียนหลิ่วลุกขึ้น ใช้ร่างใหญ่โตของตนยืนบังตงตงหมายปกป้องหญิงคนรัก แม้จะรู้ว่าคุณหนูสามซูคนนี้จะไม่กล้าแตะต้องตงตงก็ตาม