บทที่ 66
ครอบครัวเดียวกัน
หลายวันต่อมา
แผลตามร่างกายของเหยียนหลิ่วสมานตัวและไม่มีทีท่าว่าจะติดเชื้อ แพทย์ประจำสำนักราชองครักษ์หลวงเลยอนุญาตให้กลับบ้านได้
แต่เหยียนหลิ่วไม่มีบ้านให้กลับ สถานที่เดียวที่เขาไปได้มีแค่โรงเตี๊ยมตระกูลจาง
พอสอบถามยามเฝ้าประตูหน้าสำนักราชองครักษ์หลวง
ชายคนนั้นชี้ตรงไปที่ถนนแล้วบอก
“เดินตรงไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็เจอ โรงเตี๊ยมตระกูลจางตั้งอยู่กลางถนนสายนี้เอง”
“ขอบคุณพี่ชายขอรับ”
“เล็กน้อยน่ะ”
ตั้งแต่ถูกลอบโจมตี เหยียนหลิ่วต้องหนีหัวซุกหัวซุน สิ่งของที่ตงตงให้มา เขาต้องจำใจทิ้งไประหว่างทางทั้งหมด ของที่พกติดตัวตอนนี้จึงเหลือแค่จดหมายกับถุงเงินเท่านั้น
เด็กหนุ่มเดินไปบนท้องถนนอันกว้างขวาง สายตาคอยสังเกตหาโรงเตี๊ยมตระกูลจางไปด้วย
ทันใดนั้น เสียงคุ้นเคยของใครบางคนก็ตะโกนขึ้น
“น้องหลิ่ว ทางนี้ ทางนี้!”
เหยียนหลิ่วจำเสียงนั้นได้ ชายที่กำลังกระโดดด้วยท่าทางดีใจ พร้อมกับตะโกนเรียกเหยียนหลิ่วก็คือจิ่งฝาง เสี่ยวเอ้อประจำโรงเตี๊ยม เป็นคนที่ดีกับเขาอีกคนหนึ่ง
เด็กหนุ่มยิ้ม รีบก้าวยาวๆ ตรงเข้าไปหาจิ่งฝาง
“พี่จิ่งฝาง”
“ใช่ ข้าเอง ดีจริงๆ ที่เจ้าไม่บาดเจ็บจนเลอะเลือน” จิ่งฝางพูดแบบหยอกๆ
“จะเป็นแบบนั้นได้ยังไง”
“ฮะฮะฮะ ล้อเล่นๆ เข้าไปข้างในกันเถอะ”
หลังจากทั้งสองเข้ามาในโรงเตี๊ยม เหยียนหลิ่วพลันตกใจเนื่องจากในร้านลูกค้าแน่นขนัด
แม้สายตาของลูกค้าในร้านจะไม่ได้สนใจเหยียนหลิ่วแม้แต่น้อย หากเขาก็รู้สึกประหม่า เนื่องจากไม่ชินกับคนมากๆ
“ตกใจละสิ” จิ่งฝางบอกพลางบ่าเด็กหนุ่ม “เวลานี้ลูกค้าเข้าร้านเยอะ เจ้าเข้าไปหลังร้านก่อน ท่านอาจางอยู่หลังร้านพอดี ส่วนตงตง นางกำลังยุ่ง แล้วข้าจะบอกให้ว่าเจ้ามาแล้ว”
“รบกวนพี่จิ่งฝางแล้ว” เหยียนหลิ่วตอบรับด้วยสีหน้าเกรงใจ
จิ่งฝางโบกมือแล้วบอกไม่เป็นไร
พอเดินเข้ามาหลังร้าน เหยียนหลิ่วเห็นจางไคเฮ่อกำลังขนฟืนเอาไปวางตรงเตา
ส่วนลูกจ้างคนอื่นทำงานของตัวเองอย่างขมักเขม่น
เหยียนหลิ่วมองดูว่าเขาสามารถช่วยอะไรได้บ้าง จังหวะนั้น เด็กหญิงตัวน้อยกำลังยกตะกร้าใส่แป้งใบโต เดินตรงไปที่โต๊ะวางวัตถุดิบที่อยู่ตรงกลาง
โต๊ะตัวนั้นสูงเลยหัวนางเล็กน้อย
เด็กหญิงจึงต้องเขย่งสุดปลายเท้าเพื่อวางตะกร้าใบนั้นบนโต๊ะ
เห็นแบบนั้นแล้ว เหยียนหลิ่วเลยเดินเข้าไปช่วย
“ให้พี่ชายช่วยเจ้านะ”
พูดจบ เขาก็รับยกตะกร้าจากมือน้อยๆ ของเด็กหญิงขึ้นมาวางบนโต๊ะ
เด็กหญิงเงยหน้ามองเหยียนหลิ่วตาใสแป๋ว
“พี่ชายเป็นใคร”
“เอ่อ…”
เหยียนหลิ่วเกาแก้ม เพราะไม่รู้จะเริ่มแนะนำตัวเองอย่างไร
ในตอนนี้เองที่จางไคเฮ่อเดินตรงมาทางนี้ พร้อมกับพูดว่า…
“เขาชื่อเหยียนหลิ่ว เขาเองก็เป็นคนของที่นี่ เป็นครอบครัวเดียวกับพวกเรา”
ได้ยินคำพูดนั้น ในอกของเหยียนหลิ่วพลันอุ่นวาบ
เด็กหญิงตัวน้อยตอบว่า “เจ้าค่ะ” ก่อนจะหันมายิ้มแล้วแนะนำตัวเอง “พี่เหยียนหลิ่ว ข้าชื่อเสี่ยวเยว่นะ”
เหยียนหลิ่วลูบศีรษะเล็กๆ ของเสี่ยวเยว่ด้วยความเอ็นดู
เด็กหญิงยิ้มแย้มแล้วบอกว่า “พี่เหยียนหลิ่ว ข้าไปทำงานต่อละ” จากนั้นนางก็วิ่งปรู๊ดไปช่วยงานตรงอื่นต่อ
“นี่ ไม่ต้องทำแล้ว ไปเล่นที่อื่นเถอะ” จางไคเฮ่อตะโกนตามหลังเด็กหญิง ก่อนจะถอนหายใจดัง เฮ้อ! เพราะว่านางไม่เชื่อฟังเขา
“นางขยันมากจริงๆ”
“ข้าอยากให้นางออกไปเล่นมากกว่า”
จางไคเฮ่อก็บอกว่าเสี่ยวเยว่คือลูกสาวของหยูฮูหยินที่แม่ครัวผู้ช่วยอีกคน นางมักจะวิ่งไปมาอยู่ในครัว แต่ไม่ทำตัวเกะกะ เลยไม่อยากตำหนินางมากนัก
ว่าจบ จางไคเฮ่อบอกให้เหยียนหลิ่วไปนั่งรอตรงโต๊ะ
แต่เหยียนหลิ่วไม่อยากแพ้เสี่ยวเยว่ เขาถลกแขนเสื้อขึ้น แล้วยืนกรานว่าจะช่วยงานทุกคน
จางไคเฮ่อส่ายหัวด้วยความอ่อนใจ ก่อนจะให้เขาไปนั่งเด็ดผักกับเสี่ยวเยว่
ระหว่างที่เหยียนหลิ่วนั่งเด็ดผัก สายตาก็มองตงตงที่วิ่งเข้าออกหลังร้านไปด้วย
นางดูยุ่งมาก ยังไม่รบกวนตอนนี้จะดีกว่า
ประมาณหนึ่งชั่วยามต่อมา ลูกค้าเริ่มซาลงแล้ว ตงตงจึงเข้ามาในครัว ยิ้มทักทายเหยียนหลิ่ว
จริงๆ นางเห็นเขาตั้งแต่เข้ามาในร้าน แต่เพิ่งมีจังหวะได้ทักทาย
เหยียนหลิ่วรินชาแล้วส่งให้ตงตง พอนางจิบชาหมด จางไคเฮ่อก็เดินเข้ามา ทิ้งตัวนั่งลงข้างๆ บุตรสาว
“น้ำชาขอรับ”
หนนี้เหยียนหลิ่วรินชาให้กับจางไคเฮ่อ
จางไคเฮ่อรับชามาดื่ม
เงียบกันอยู่สักครู่ เหยียนหลิ่วก็ลุกจากเก้าอี้ ลงไปคุกเข่าคารวะจางไคเฮ่อ
ลูกจ้างที่ทำงานหลังร้านต่างมองด้วยแววตาสงสัย
ตอนนั้นเอง เหยียนหลิ่วโพล่งออกมา
“ท่านอาจารย์ ข้าทำให้ท่านผิดหวัง ขอโทษขอรับ”
จางไคเฮ่อทอดถอนใจเบาๆ ก่อนจะบอกให้เหยียนหลิ่วลุกข้นมานั่งดีๆ เพิ่งหายจากอาการบาดเจ็บแท้ๆ
เมื่อเด็กหนุ่มลุกขึ้นมานั่งเก้าอี้ดังเดิม จางไคเฮ่อก็กล่าวต่อ “ข้ารู้เรื่องทั้งหมดจากท่านเว่ยแล้ว เจ้าเก่งมาก เจ้าเอาชีวิตรอดจนไปถึงทางเหนือ การที่เจ้ามาอยู่ที่นี่นับเป็นโชคชะตา”
“ใช่ๆ ข้าอยากฟังเรื่องการเดินทางของพี่ชายหลิ่วมากกว่า เล่าให้ข้าฟังทีสิ” ตงตงเอ่อออไปกับบิดา จากนั้นก็ถามสารทุกข์สุขดิบ
เหยียนหลิ่วทำหน้าลำบากใจ “อันที่จริงก็ไม่มีอะไรน่าสนใจหรอก หลังจากคุณชายต้วนเซียวพาข้าลอบออกมาจากเมืองอู่เฉิง ข้าก็ควบม้าที่เขาเตรียมไว้ให้ขึ้นเหนือทันที จากนั้น...”
เหยียนหลิ่วเล่าว่า พอพ้นเขตเมืองอู่เฉิง ตอนแรกก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่พอควบม้ามาถึงชานเมืองเล็กๆ ที่อยู่ติดกัน เขาก็ถูกลอบโจมตี
ตอนแรกไม่เข้าใจว่าทำไม แต่ได้ยินกลุ่มคนปิดหน้าพวกนั้นคุยกัน กระทั่งพวกมันเผลอเอ่ยชื่อกู้อวี้ชุนออกมา เขาเลยตระหนักได้ว่ากู้อวี้ชุนอยากฆ่าเขานั่นเอง
เขาซ่อนตัวในป่า อาศัยอาหารแห้งที่ตงตงเตรียมไว้ให้ประทั่งชีวิต
ด้วยเพราะมีความอดทน เหยียนหลิ่วซ่อนตัวในป่านานหลายวัน จนพวกมันไม่สงสัยใดๆ เขาจึงค่อยออกจากป่าแล้วเดินทางต่อ
พอเดินทางขึ้นเหนือ บังเอิญเห็นรถม้าถูกโจมตี ทั้งยังมีคนบาดเจ็บและตาย
อาจเป็นการคิดเข้าข้างตัวเอง แต่เหยียนหลิ่วเข้าใจว่า พวกปิดหน้ากลุ่มนั้นคงคิดว่าเขาซ่อนอยู่ในรถม้าถึงได้โจมตี
เขาจะใช้จังหวะนี้หนีก็ได้ แต่ด้วยความรู้สึกผิด เขาเลยต้องปรากฏตัว ออกไปช่วยทุกคนโจมตีกลุ่มคนปิดหน้า…
พอเหยียนหลิ่วเล่ามาถึงตรงนี้ จางไคเฮ่อก็เข้าใจเรื่องราวทั้งหมด
“ผ่านอะไรมาเยอะจริงๆ ลำบากท่านแล้ว” ตงตงพูดด้วยสีหน้าเห็นใจ แต่เพียงครู่ แววตาของตงตงก็เปลี่ยนเป็นมุ่งมั่น “ตัดสินใจแล้ว จากนี้พี่ชายหลิ่วก็อยู่ด้วยกันที่นี่นั่นแหละ ไม่ต้องเดินทางขึ้นเหนือไปเป็นทหารแล้ว”
“แต่…ถ้าขาอยู่ที่นี่บ้านกู้จะมาละลานเจ้า”
“ไม่มาแล้ว ไม่สิ ต้องบอกว่าพวกเขาไม่กล้ามาละลานอย่างโจ่งแจ้งหรอก”
“เอ๊ะ!? แบบนั้นจะไม่แย่กว่าเดิมหรือ”
มาแบบเปิดเผยยังพอรับมือได้ แต่ถ้ามาแบบลับๆ ล่อๆ นั่นยิ่งอันตรายกว่าไม่ใช่หรือ?
เห็นสีหน้ากังวลขอเหยียนหลิ่ว จางไคเฮ่อจึงเล่าเรื่องราวตอนที่ฉินเฟยอวี่มาหาเรื่องจนขึ้นโรงขึ้นศาล แต่ฝ่ายนั้นก็ถูกทางนี้สั่งสอนไป น่าจะเข็ดหลาบอีกนาน
อีกอย่าง
กู้อวี้ชุนที่เห็นฉินเฟยอวี่ถูกจัดการเป็นตัวอย่าง เชื่อว่าทางนั้นคงไม่กล้ามาหาเรื่องแน่นอน
ทันทีที่ฟังจบ แทนที่จะรู้สึกโล่งใจ เหยียนหลิ่วกลับรู้สึกผิดที่ตนเป็นต้นเหตุทำให้ทุกคนลำบาก
จางไคเฮ่อไม่อยากให้เหยียนหลิ่วคิดมาก ถึงอย่างไร เด็กหนุ่มก็เพิ่งผ่านความเป็นตายมา เขาจึงเปลี่ยนเรื่องคุย
“เจ้าพักรักษาตัวอยู่ที่นี่จนกว่าจะหาย เรื่องอื่นไม่ต้องห่วง เส้นทางของเจ้าต่อจากนี้ค่อยๆ คิดไปแล้วกัน”
“เอ่อ อันที่จริงท่านเว่ยบอกมาว่า...นอกจากเส้นทางทหาร ยังมีทางอื่นให้เลือกอีก”
แล้วเหยียนหลิ่วก็เล่าเรื่องที่คุยกับเว่ยจ้งให้ฟัง รวมถึงการสอบเข้าสำนักราชองครักษ์หลวงในต้นฤดูใบไม้ลิในปีหน้า
เว่ยจ้งยังแนะนำให้เขาสอบเข้าหน่วยจู่โจม
ได้ยินแบบนี้ จางไคเฮ่อรีบโพล่งว่า ดี!
ถึงอย่างนั้น เหยียนหลิ่วกลับรู้สึกว่าการที่เขาอยู่เมืองหลวง ไม่พ้นทำให้ทุกคนลำบาก
“ให้อยู่ที่เมืองหลวงต่อ ข้าคงทำให้…”
เหยียนหลิ่วเพิ่งจะพูดแค่นั้น ตงตงก็กล่าวแทรกแบบปุบปับ
“เรื่องอื่นไม่ต้องไปสนใจ คิดแค่เรื่องสอบให้ผ่านก็พอ ท่านเว่ยทาบทามพี่ชายหลิ่วทั้งที ข้าคิดว่าเขาต้องเห็นความสามารถของท่าน”
“ตงตงพูดถูก” จางไคเฮ่อกล่าวเสริม
เหยียนหล่วทำหน้าครุ่นคิดเพียงครู่ก็บอกว่าเข้าใจแล้ว
ตงตงพูดอีกครั้งว่า “ยังมีว่างเหลืออยู่ ท่านก็อยู่ที่นี่นั่นแหละนะ”
ตอนแรกเหยียนหลิ่วตั้งใจจะแย้ง แต่เมื่อคิดว่าหากมัวแต่ปฏิเสธ เขาก็ไม่ต่างจากคนร่ำไรรำคาญ เขาจึงเปลี่ยนมารับปากอย่างแน่วแน่ว่า “ตงตง ข้าจะสอบคัดเลือกให้ผ่าน จะนำความภาคภูมิใจมาให้เจ้า”
ตงตงยิ้มแล้วพยักหน้า
“อืม”
เหยียนหลิ่วยื่นถุงทั้งหมดให้ตงตง
“อะไรหรือ”
“เงินของเจ้า ข้าอยากคืนให้ก่อน”
ตงตงหยิบถุงเงินมานับเพราะเห็นว่าถุงเงินยังตุงอยู่
“ยังไม่ได้ใช้เลยหรือ”
เหยียนหลิ่วยิ้มแทนคำตอบ
ตงตงยื่นถุงเงินคืน “ท่านต้องใช้เงิน เก็บไว้เถอะ”
“ข้าไม่ได้เดินทางไปไหนแล้ว เงินนี้ข้าควรคืนให้เจ้า กลับกันแล้ว ข้าอยากให้เจ้าจ้างข้าทำงานได้หรือไม่”
“เข้าใจแล้ว ข้าจะจ้างพี่ชายหลิ่ว”
“ขอบใจเจ้ามาก”
…..
…..
3 เดือนต่อมา
เมื่อฤดูใบไม้ผลิมาเยือน การสอบเข้าสำนักราชองครักษ์หลวงก็จัดตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการ
บทพิเศษความลับของตระกูลจาง หนึ่งวันหลังเสร็จสิ้นงานแต่ง จางไคเฮ่อนำชื่อของเหยียนหลิ่วเข้าทะเบียนราษฎร์ของตระกูลจาง นับจากนี้เหยียนหลิ่วจะกลายเป็นคนตระกูลจางเต็มตัว กลายเป็น ‘จางเหยียนหลิ่ว’ ล่วงเข้าสู่วันที่ห้าหลังจากที่ทั้งสองกลายเป็นสามีภรรยากัน เหยียนหลิ่วก็ถูกตงตงจูงมือพาลงไปที่ห้องใต้ดินของโรงเตี๊ยม “ภรรยา…ห้องใต้ดินเป็นความลับของตระกูล เจ้าแน่ใจหรือว่าข้าลงไปที่นั่นได้” เหยียนหลิ่วถามเพื่อให้ตงตงไตร่ตรองอีกครั้ง เหยียนหลิ่วรู้แค่ว่า ภายในห้องใต้ดินเป็นสถานที่เก็บสินค้าและสมบัติของตระกูลจาง กุญแจมีเพียงสองดอกเท่านั้น ดอกหนึ่งจางไคเฮ่อเป็นคนเก็บ และดอกหนึ่งเป็นของตงตง กระนั้น ตงตงกลับหันมายิ้มให้กับเหยียนหลิ่วด้วยสีหน้าสบายๆ “ตอนนี้ท่านเองก็เป็นคนของตระกูลจางแล้ว” “ถึงจะอย่างนั้นก็เถอะ แต่…” “ในอนาคตท่านคิดจะหย่ากับข้าหรือ…หรือว่า…ท่านจะหักหลังตระกูลจาง?” “เรื่องนั้นจะไม่มีทางเกิดขึ้นเด็ดขาด!” เหยียนหลิ่วตอบกลับอย่างหนักแน่น หย่ากันหรือ
บทส่งท้าย ฤกษ์แต่งงานที่เร็วที่ก็คือต้นเดือนหน้า นับวันดูแล้ว พวกเขามีเวลาจัดเตรียมงานไม่ถึง 1 เดือนด้วยซ้ำ ตงตงกับเหยียนหลิ่วจึงต้องตัดชุดแต่งงานกันตั้งแต่เนิ่นๆ เขียนบัตรเชิญส่งให้แขก กำหนดเมนูอาหาร และเริ่มซื้อข้าวของมาตกแต่งสถานที่ พอยุ่งอยู่กับการเตรียมงาน เผลอแป๊บเดียวก็เหลือเวลาอีกแค่ 2 วันเท่านั้น “ตงตง!” เสียงหญิงสาวอันคุ้นเคยดังหน้าประตูโรงเตี๊ยม ตงตงกำลังตรวจความเรียบร้อย หลังจากที่จิ่งฝางกับพวกเสี่ยวกวางแขวนโคมแดงเสร็จ รีบหันมองตามเสียงเรียกนั้น หานเจียเอ๋อร์ยืนยิ้มให้กับตงตง ข้างๆ หานเจียเอ๋อร์คือถังเหวินที่กำลังอุ้มลูกชายวัย 2 ขวบ ทั้งคู่แต่งงานกันเมื่อ 3 ปีก่อน หลังพิธีวิวาห์ สองเดือนถัดมา หานเจียเอ๋อร์ก็ตั้งครรภ์ทันที ถัดจากถังเหวินก็คือซานหลัวเฉินกับภรรยาที่เพิ่งแต่ง ครั้นเห็นคนคุ้นเคย ตงตงก็เดินยิ้มเข้าไปหาทุกคน “พวกท่านมากันแล้ว เข้ามาก่อนเจ้าค่ะ…อาหลงตัวน้อย สบายดีไหมจ๊ะ” เด็กน้อยวัย 2 ขวบพยักหน้าตอบ “อื้อ”
บทที่ 78ขอแต่งงาน 10 วันต่อมา ณ สำนักราชองครักษ์หลวง ทันทีที่กลับมาถึงเมืองหลวง เหิงเจากับเหยียนหลิ่วเข้าพบเสนาธิการเว่ยจ้ง รายงานเรื่องราวทั้งหมดตอนอยู่ป้อมปราการตะวันออก เมื่อเสร็จธุระหมดแล้ว เหยียนหลิ่วขอตัวกลับทันที ชายหนุ่มเดินบนถนนด้วยฝีเท้าเร่งรีบ เมื่อมาถึงโรงเตี๊ยมตระกูลจาง เห็นหญิงสาวในดวงใจยืนต้อนรับลูกค้าอยู่หน้าร้านพอดี เหยียนหลิ่วส่งเสียงเรียกหญิงสาวด้วยความตื่นเต้น “ตงตง!” เสียงเรียกของชายหนุ่มไม่เพียงดึงดูดสายตาของตงตง ยังเรียกความสนใจจากคนรอบข้างอีกด้วย ทว่า… สองหนุ่มสาวหาได้สนใจคนอื่นแต่อย่างใด ในสายตาของทั้งคู่มีเพียงกันและกันเท่านั้น “พี่หลิ่วกลับมาแล้ว!” ตงตงยิ้มกว้าง ก้าวยาวๆ เข้าไปหาชายหนุ่ม เมื่อระยะห่างของทั้งคู่ร่นลงจนไม่เหลือช่องว่าง เหยียนหลิ่วตอบกลับหญิงสาวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ข้ากลับมาแล้ว” เหยียนหลิ่วไม่เพียงพูดเปล่าๆ สองมือใหญ่ยังโอบเอวบางของนาง แล้วยกร่างของนางขึ้นจากพื้นอ
บทที่ 77จู่โจมรวดเร็ว หลังจากหัวหน้าเผ่าฮุยรู้ข่าวเรื่องกองทัพสนับสนุนเดินทางมาถึงป้อมปราการตะวันออก พวกมันก็ไม่อยู่เฉย เคลื่อนทัพท่ามกลางความมืด รอจังหวะบุกโจมตีป้อมปราการตะวันออกอย่างไม่ให้แคว้นเฉียนรู้ตัว หากทว่า กลางดึกคืนเดียวกันนั้น ฟางอู่เซิงวางกองกำลังไว้ที่นอกป้อมปราการอย่างเงียบเฉียบ ทันทีที่แสงแรกมาเยือน หัวหน้าพลธนูที่ซ่อนตัวตั้งแต่กลางดึก ก็ได้ส่งสัญญาณมือให้โจมตี พลธนูที่ซุ่มบนต้นไม้นับสิบนายปล่อยศรพุ่งออกไป ฟิ้ว… “อึก!” “อั่ก!!” ทหารเผ่าฮุยที่ตั้งทัพเตรียมบุกป้อมปราการ ล้มกองบนพื้นทีละคนสองคนราวกับใบไม้ล่วงจากต้น เริ่มต้นสงคราม มองเผินๆ ฝ่ายที่ได้เปรียบอาจจะเป็นทางแม่ทัพฟางอู่เซิง แต่ทันทีที่เผ่าฮุยรู้สึกตัวว่าพวกมันถูกซุ่มโจมตี หัวหน้าเผ่าฮุยได้สั่งการและแบ่งออกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งให้หันกลับไปสังหารพลธนูของแคว้นเฉียน โดยใช้ศพของพวกเดียวกันเป็นเกาะกำบัง อีกฝ่ายหนึ่งทุ่มเทสุดกำลังทำลายป้อมปราการแล้วบุกเข้าไป “แทนที่จะล่าถอย แต่เลือกบุกต่
บทที่ 76กำลังเต็มร้อยด้วยอาหารอัดแท่ง วันต่อมา กองทัพของแม่ทัพฟาง หน่วยคุ้มกันเสบียงของเหิงเจา และหน่วยลอบโจมตีของเหยียนหลิ่ว เคลื่อนตัวออกจากเมืองหลวง เสบียงที่ทหารทุกนายพกติดตัวนั้น ส่วนใหญ่มาจากโรงเตี๊ยมตระกูลจาง นอกจากจะเป็นของแห้งที่เก็บไว้ได้นาน น้ำหนักเบา สารอาหารยังครบถ้วน ไม่เปลืองแรงเวลาต้องหอบหิ้วเวลาที่ต้องเดินทางไกลๆ แถมรสชาติยังอร่อย กินเท่าไรก็ไม่เบื่อ และต้องขอบคุณเสบียงจากโรงเตี๊ยมตระกูลจางเช่นกัน ทำให้การเดินทางมาถึงชายแดนตะวันออกเร็วกว่ากำหนดหลายวัน แม้ระหว่างทาง รถขนเสบียงจะถูกดักปล้น แต่ทหารทุกคนที่ได้กินธัญพืชอัดแท่งที่มีพลังงานสูง พวกเขาจึงปกป้องเสบียงหลวงเอาไว้ได้ โดยที่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ ในขณะเดินทางไกล เลี่ยงไม่ได้ท่ีจะมีล้มป่วยด้วยพิษไข้ แต่ด้วยยาเม็ดจากโรงเตี๊ยมตระกูลจาง กินเพียงสองเม็ด ไข้หวัดเล็กน้อยพลันบรรเทาลง พร้อมออกเดินทางต่อได้ทันที ไม่ต้องทิ้งใครไว้ข้างหลัง ด้วยเหตุนี้เอง ตอนมาถึงป้อมปราการตะวันออก เรี่ยวแรงของทหารทุกนายจึงยังล้นเหลือ พร้อมออกรบได้ทันที
บทที่ 75คุณหนูสามแห่งจวนเจ้ากรมพิธีการ ครั้นพอได้ยินเสียงคุ้นๆ สองหนุ่มสาวที่พลอดรักกันอยู่หน้าบ้าน มองผู้มาเยือนที่ไม่ได้รับเชิญด้วยสายตาเอือมระอา “เข้าบ้านคนอื่นก่อนได้รับอนุญาต ใครกันแน่ที่หน้าไม่อาย” เหยียนหลิ่วบอกด้วยเสียงเย็นชา “แม้ว่าเป็นข้าอย่างนั้นหรือ พี่เหยียนหลิ่ว” เสียงหวานกังวานใสดังขึ้นที่หน้าประตู จากนั้นหญิงสาววัยสิบแปดรูปร่างหน้าตาสะสวย สวมใส่อาภรณ์หรูหราก็ก้าวเข้ามาในบ้าน สาวรับใช้ที่ยืนเท้าสะเอว ทำหน้ายักษ์มองมาที่ตงตง รีบกลับไปยืนข้างหลังหญิงสาวผู้มาใหม่ พร้อมเรียกฝ่ายนั้นว่า “คุณหนู” เหยียนหลิ่วขมวดคิ้ว ก่อนจะพูดด้วยความรู้สึกไม่ชอบใจนัก “ถึงจะเป็นคุณหนูสามจากจวนเจ้ากรมพิธีการ ก็ควรเรียนรู้มารยาทสักหน่อย” ถูกชายหนุ่มที่ตัวเองชอบสั่งสอน ซูหลันหลัน…คุณหนูสามแห่งจวนเจ้ากรมพิธีการรู้สึกเสียหน้าเป็นอย่างมาก หันไปขึงตาใส่ตงตงที่นั่งเงียบ เหยียนหลิ่วลุกขึ้น ใช้ร่างใหญ่โตของตนยืนบังตงตงหมายปกป้องหญิงคนรัก แม้จะรู้ว่าคุณหนูสามซูคนนี้จะไม่กล้าแตะต้องตงตงก็ตาม