บทที่ 67
สอบคัดเลือก
ขั้นตอนสอบคัดเลือกเข้าสำนักราชองครัษ์หลวงเข้มงวดมาก
ผู้เข้าสอบต้องทำการทดสอบด้านอ่านเขียน ด้านปรัชญา และด้านวรยุทธ์ ใช้เวลาทั้งสิ้น ถึง 3 วัน และห้ามติดต่อกับคนนอก
เมื่อมาถึงวันสอบ จางไคเฮ่อกับตงตงเดินมาส่งเหยียนหลิ่วหน้าสำนักราชองครักษ์หลวง
จากตรงนี้ไป ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องไม่สามารถย่างเท้าเข้าไปได้
“พยายามเข้านะ พี่ชายหลิ่ว” ตงตงยกกำปั้นเพื่อให้กำลังใจ
“ข้าจะทำให้ได้ ต่อจากนี้จะได้ปกป้องเจ้าตลอดไป” เหยียนหลิ่วพูดพลางยิ้มอย่างอบอุ่น ในแววตาให้ความรู้สึกอื่นซ่อนเร้น
ตงตงนั้นไม่เข้าใจความแววตาที่เด็กหนุ่มสื่อออกมา
ตรงข้ามกับจางไคเฮ่อที่เข้าใจอย่างถ่องแท้
เพราะอย่างนั้น จางไคเฮ่อถึงถอนหายใจดังเฮ้อ! ก่อนจะผลักเหยียนหลิ่วให้เข้าไปในสนามสอบเสีย
“รีบไปได้แล้ว อย่ามัวชักช้า”
“ขอรับอาจารย์” เหยียนหลิ่วประสานมือโค้งศีรษะให้จางไคเฮ่อ จากนั้นหันมาลูบศีรษะของตงตงด้วยความเคยชิน “ข้าไปก่อนนะ ตงตง”
“ไปดีมาดีนะ”
พูดจบ เหยียนหลิ่วก็หมุนตัว เดินเข้าสนามสอบด้วยแผ่นหลังที่เปี่ยมไปด้วยความแน่วแน่
ตงตงมองแผ่นหลังที่มั่นใจของเด็กหนุ่ม
เหยียนหลิ่วตอนนี้ไม่เหมือนเด็กหนุ่มอายุ 17 แต่ราวกับว่าเขาได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว
ทันใดนั้น หัวใจของตงตงเต้นแรงเล็กน้อยอย่างไม่รู้ตัว
…..
…..
3 วันมานี้ ทุกคนที่โรงเตี๊ยมตระกูลจางต่างลุ้นกับการสอบของเหยียนหลิ่วจนแทบอยากบุกเข้าไปในสนามสอบ
ระหว่างต้อนรับลูกค้า จิตใจก็ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
เมื่อมาถึงวันที่ 3 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของการสอบและเป็นวันประกาศผล
ตงตงถึงกับปิดร้าน 1 วัน แน่ชัดว่าอยากลุ้นกับผลสอบอย่างเต็มที่ ทั้งยังอยากมีเวลาเตรียมของสำหรับงานเลี้ยงเย็นนี้ด้วย
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าผลสอบของเหยียนหลิ่วจะผ่านหรือไม่ ตงตงก็อยากจัดเลี้ยงให้กับความพยายามของเขา
ในยามเฉิน (07.00 - 08.59 น.) จิ่งฝางพาเสี่ยวกวางกับอาฉีมารอที่หน้าสำนักราชองครักษ์หลวงด้วยความตื่นเต้น
อีกอย่าง หากเหยียนหลิ่วออกมาพวกเขาจะได้รู้ผลก่อนใคร
ตอนนั้นเอง ผู้เข้าทดสอบจำนวนสิบๆ คนก็เริ่มทยอยกันออกมาแล้ว แต่พวกเขากลับไม่เห็นเงาของเหยียนหลิ่วเลย
“ไม่เห็นพี่หลิ่วออกมาเลย” เสี่ยวกวางเอ่ย พลางชะเง้อชะแง้มองหาเหยียนหลิ่วท่ามกลางกลุ่มคนที่เดินออกมา
“ข้าก็ไม่เห็นเหมือนกัน” อาฉีบอก
“คงไม่ได้เกิดเรื่องกับพี่หลิ่วหรอกกระมัง” เสี่ยวกวางพูดอย่างกังวล
อาการบาดเจ็บของเหยียนหลิ่วยังไม่หายดี
อีกอย่าง ตลอด 3 เดือนที่ผ่าน พวกเขาเห็นเหยียนหลิ่วฝึกซ้อมอย่างหนัก
เสี่ยวกวางเลยกลัวว่าการทดสอบจะทำให้เหยียนหลิ่วกลับมาบาดเจ็บอีกครั้ง เผลอๆ อาจถึงขั้นตาย!
พอคิดตามเสี่ยวกวาง พลันนั้น อาฉีก็ร้องขึ้นด้วยความตระหนกลนลาน
“พี่หลิ่วจะไม่…!!”
“เจ้าเด็กพวกนี้ คิดอะไรไม่เป็นมงคล นี่แหนะ!”
ว่าจบ จิ่งฝางก็เขกกระโหลกทั้งสองไปคนละที
เสี่ยวกวางกับอาฉีลูบหัวปอยๆ
“ท่านเหิงเจายืนยันว่า หากผู้เข้าสอบมีท่าทางไม่ไหว คนคุมสอบจะคัดออกทันที แต่น้องหลิ่วก็อดทนมาจนถึงวันที่สาม เขาไม่มีทางเป็นอะไรไปแน่นอน” จิ่งฝางกล่าวอย่างเชื่อมั่น ทั้งยังยืนกรานว่าให้รอต่ออีกหน่อย
เมื่อลูกพี่อย่างจิ่งฝางยืนกรานเช่นนี้ มีหรือที่ลูกน้องอย่างเสี่ยวกวางกับอาฉีจะหนีกลับก่อน
ทั้งสองคนตอบรับว่า “อืม” แล้วพวกเขาก็ตัดสินใจแล้วว่าจะรอต่อ
ทั้งสามคนนั่งลงบนบันไดหินที่หน้าสำนักราชองครักษ์หลวง เฝ้ารอเหยียนหลิ่วต่อไป
รอแล้วรอเล่า พระอาทิตย์ขึ้นตรงศีรษะ ก่อนเคลื่อนคล้อยไปทางทิศตะวันตก
ในตอนนี้เอง กระเพาะของทั้งสามเริ่มส่งร้องแข่งกัน
จ๊อก จ๊อก…
จ๊อกๆ
“บ่ายมากแล้ว ข้าหิวแล้วด้วย” อาฉีบ่นพลางลูบท้องตัวเองอย่างน่าสงสาร
“ข้าก็หิว” เสี่ยวกวางก็มีสภาพไม่ต่างกัน “พี่จิ่งฝาง พวกเรากลับกันก่อนเถอะ”
ทั้งสองคนหิวจนแสบกระเพาะหมดแล้ว ให้รอต่อคงไม่ไหว
จิ่งฝางลังเลเล็กน้อย ก่อนจะผงกศีรษะแล้วบอกอย่างเห็นด้วย
“ข้าก็หิว งั้นพวกเรากลับกันก่อนเถอะ”
เมื่อจิ่งฝางพูดจบ พวกเขาก็ลุกขึ้นจากบันไดหิน
พลันนั้น อาฉีกลับร้องขึ้นว่า “เดี๋ยวๆ คนเริ่มทยอยออกมากันอีกแล้ว!”
“เอ๋? ยังมีคนสอบอีกหรือ” จิ่งฝางร้องด้วยความสงสัย
“น่าจะยังมีอีกนะ”
“งั้นรออีกหน่อย”
“อืม”
หนนี้ การรอคอยของทั้งสามก็บรรลุผล เหยียนหลิ่วเดินปะปนกับผู้เข้าสอบคนอื่นๆ ออกมา
“พี่หลิ่ว”
“น้องหลิ่ว ทางนี้”
ทั้งสามคนโบกมือหยอยๆ เรียกเหยียนหลิ่วไม่หยุด
เหยียนหลิ่วมองไปทางเสียงเรียก ก่อนมุมปากจะยกยิ้ม แม้สีหน้านั้นจะอิดโรยมากก็ตาม
“พวกเรามารับแล้ว”
“ผลสอบ เป็นอย่างไร”
“สอบผ่านหรือไม่”
ทั้งสามร้องถามด้วยความอยากรู้
เหยียนหลิ่วไม่เอ่ยคำพูด เพียงยิ้มเล็กน้อยเท่านั้น
จิ่งฝางจึงตีความจากสีหน้าว่า ‘คงสอบไม่ผ่าน’
ก็แหม นั่นสำนักราชองครักษ์หลวงเชียวนะ!
จิ่งฝางอาวุโสที่สุดในกลุ่มเด็กๆ เขากอดคอเหยียนหลิ่วแล้วพูดปลอบ “ไม่เป็นไร ครั้งนี้สอบไม่ผ่าน ก็ยังมีครั้งหน้า กลับบ้านกันก่อน”
“ใช่ๆ ท่านอย่าเสียใจไปเลย” เสี่ยวกวางบอก
“ทำงานกับพวกเราที่โรงเตี๊ยมก็ได้ พี่หลิ่ว” อาฉีพูดพลางลูบแผ่นหลังเหยียนหลิ่ว
ระหว่างฟังคำปลอบโยนของทั้งสามคน เหยียนหลิ่วได้แต่กะพริบตาปริบ
ไม่นานนัก เหยียนหลิ่วก็กลับมาถึงโรงเตี๊ยมตระกูลจางพร้อมกับสามหน่อที่เดินล้อมหน้าล้อมหลัง
ตอนนั้นเอง เสี่ยวซินวิ่งเข้ามาต้อนรับที่หน้าประตู พร้อมกับตะโกนว่า…
“กลับมากันแล้ว!”
ได้ยินเช่นนี้ ทุกคนต่างก็เข้ามาห้อมล้อมเหยียนหลิ่ว
ร่างกายและเสื้อผ้าของเหยียนหลิ่วเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ สีหน้าก็ดูอ่อนล้า แต่ดวงตากลับฉายแววมุ่งมั่นและสมหวัง
ตงตงกับจางไคเฮ่อเห็นแววตาของเด็กหนุ่มก็เข้าใจทันที
สองพ่อลูกหันมองหน้ากันพลางปรบมือดังแปะอย่างรู้กัน
สำเร็จแล้ว!
ทว่า…
คนอื่นๆ นั้นไม่เข้าใจจึงได้แต่ทำหน้างุนงงสงสัย
“ข้าได้ยินว่าผลสอบจะออกตอนเช้า ทำไมเจ้าถึงออกมาเสียบ่ายล่ะ” จิ่งฝางถาม
“เพราะหน่วยที่ข้าสอบเข้า ยังมีการทดสอบรอบสุดท้ายในตอนบ่ายขอรับ”
“อ๋อ อย่างนี้เอง”
“แล้วผลเป็นอย่างไร” หนนี้เป็นจางไคเฮ่อที่ถาม แม้รู้อยู่แล้วว่าเหยียนหลิ่วสอบผ่าน แต่ที่อยากรู้คือสอบเข้าหน่วยที่ต้องการได้หรือไม่
“ผ่านการทดสอบขอรับ ข้าได้เข้าหน่วยจู่โจม” เหยียนหลิ่วตอบ
จางไคเฮ่อพยักหน้ายิ้มๆ ด้วยความพึงพอใจ
ตงตงเองก็ยิ้มแฉ่ง รู้สึกดีใจไปด้วย
พวกจิ่งฝานทำหน้าเหลือเชื่อ เพราะตอนแรกคิดว่าเหยียนหลิ่วสอบไม่ผ่าน แต่เมื่อดึงสติกลับมา เขาก็กระโดดตบมือไม่หยุด
“เย่ ผ่านแล้ว ผ่านแล้ว!”
“เย่ๆ”
“ดีจัง ดีงมาก”
ระหว่างที่ทุกคนแสดงความดีใจอยู่นั้น จู่ๆ เหยียนหลิ่วก็ลงไปคุกเข่ากับพื้น โขกศีรษะคำนับจางไคเฮ่อ
ที่เขามีวันนี้เพราะจางไคเฮ่อชี้แนะ
“ขอบคุณอาจารย์ ข้ามีวันนี้ได้เพราะท่าน แล้วก็…”
เหยียนหลิ่วเว้นคำพูด แล้วหันไปทางตงตง ทำท่าจะคารวะนางอีกคน
ตงตงรีบกระโดดหนีอย่างรู้ทัน
“ห้ามโขกศีรษะให้ข้านะ!”
“เจ้ามีบุญคุณกับข้า”
“แต่ข้าเด็กกว่าท่าน”
“ข้าไม่ถือ”
“ท่านไม่ถือ แต่ข้าถือ ลุกขึ้นเดี๋ยวนี้ ไม่อยากนั้นข้าโกรธท่านจริงๆ ด้วย”
เหยียนหลิ่วไม่อยากถูกตงตงโกรธ เขาเลยลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าจนใจ
“เช่นนั้น จากนี้ไปเงินเดือนข้าทั้งหมดจะยกให้เจ้า”
ไหงงั้น!?
ให้นางเก็บเงินเดือนของเขาทั้งหมดหรือ
แบบนี้เหมือนว่านางกับเขาเป็นคู่สามีภรรยากันเลยไม่ใช่หรือไง!
ตงตงอ้าปากเตรียมแย้ง แต่ยังไม่ทันได้ปฏิเสธ เหยียนหลิ่วก็ชิงบอกว่า “ขอบคุณนะตงตง”
เหยียนหลิ่วพูดด้วยรอยยิ้มอบอุ่น ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความรักและเทิดทูลตงตง
ตงตงพูดอะไรไม่ออก ได้แต่พยักหน้ายอมรับคำขอบคุณนั้นด้วยท่าทีเขินๆ
จางไคเฮ่อตบบ่าเหยียนหลิ่ว
“เอาละ เจ้าไปอาบน้ำเปลี่ยนชุด จะได้ลงมากินข้าวกัน”
ได้ยินว่าจะกินข้าว สามหน่อตัวแสบก็รีบร้องอย่างเห็นด้วย
“ใช่ๆ กินข้าว”
“จริงด้วย ข้าหิวจะแย่แล้ว”
“ข้าด้วย”
ทั้งสามคนพูดด้วยสีหน้าอดสู แต่ทุกคนเหนแล้วกลับหัวเราะฮ่าๆ
ใครใช้ให้พวกเราออกไปรอที่หน้าสำนักราชองครัก์หลวงจนอดกินมื้อเที่ยงกันเล่า
ทำตัวเองแท้ๆ
อย่างไรก็ตาม ความเด๋อด๋าของจิ่งฝาง เสี่ยวกวางและอาฉี ก็ทำให้บรรยากาศภายในโรงเตี๊ยมครื้นเครงอย่างยิ่ง
บทพิเศษความลับของตระกูลจาง หนึ่งวันหลังเสร็จสิ้นงานแต่ง จางไคเฮ่อนำชื่อของเหยียนหลิ่วเข้าทะเบียนราษฎร์ของตระกูลจาง นับจากนี้เหยียนหลิ่วจะกลายเป็นคนตระกูลจางเต็มตัว กลายเป็น ‘จางเหยียนหลิ่ว’ ล่วงเข้าสู่วันที่ห้าหลังจากที่ทั้งสองกลายเป็นสามีภรรยากัน เหยียนหลิ่วก็ถูกตงตงจูงมือพาลงไปที่ห้องใต้ดินของโรงเตี๊ยม “ภรรยา…ห้องใต้ดินเป็นความลับของตระกูล เจ้าแน่ใจหรือว่าข้าลงไปที่นั่นได้” เหยียนหลิ่วถามเพื่อให้ตงตงไตร่ตรองอีกครั้ง เหยียนหลิ่วรู้แค่ว่า ภายในห้องใต้ดินเป็นสถานที่เก็บสินค้าและสมบัติของตระกูลจาง กุญแจมีเพียงสองดอกเท่านั้น ดอกหนึ่งจางไคเฮ่อเป็นคนเก็บ และดอกหนึ่งเป็นของตงตง กระนั้น ตงตงกลับหันมายิ้มให้กับเหยียนหลิ่วด้วยสีหน้าสบายๆ “ตอนนี้ท่านเองก็เป็นคนของตระกูลจางแล้ว” “ถึงจะอย่างนั้นก็เถอะ แต่…” “ในอนาคตท่านคิดจะหย่ากับข้าหรือ…หรือว่า…ท่านจะหักหลังตระกูลจาง?” “เรื่องนั้นจะไม่มีทางเกิดขึ้นเด็ดขาด!” เหยียนหลิ่วตอบกลับอย่างหนักแน่น หย่ากันหรือ
บทส่งท้าย ฤกษ์แต่งงานที่เร็วที่ก็คือต้นเดือนหน้า นับวันดูแล้ว พวกเขามีเวลาจัดเตรียมงานไม่ถึง 1 เดือนด้วยซ้ำ ตงตงกับเหยียนหลิ่วจึงต้องตัดชุดแต่งงานกันตั้งแต่เนิ่นๆ เขียนบัตรเชิญส่งให้แขก กำหนดเมนูอาหาร และเริ่มซื้อข้าวของมาตกแต่งสถานที่ พอยุ่งอยู่กับการเตรียมงาน เผลอแป๊บเดียวก็เหลือเวลาอีกแค่ 2 วันเท่านั้น “ตงตง!” เสียงหญิงสาวอันคุ้นเคยดังหน้าประตูโรงเตี๊ยม ตงตงกำลังตรวจความเรียบร้อย หลังจากที่จิ่งฝางกับพวกเสี่ยวกวางแขวนโคมแดงเสร็จ รีบหันมองตามเสียงเรียกนั้น หานเจียเอ๋อร์ยืนยิ้มให้กับตงตง ข้างๆ หานเจียเอ๋อร์คือถังเหวินที่กำลังอุ้มลูกชายวัย 2 ขวบ ทั้งคู่แต่งงานกันเมื่อ 3 ปีก่อน หลังพิธีวิวาห์ สองเดือนถัดมา หานเจียเอ๋อร์ก็ตั้งครรภ์ทันที ถัดจากถังเหวินก็คือซานหลัวเฉินกับภรรยาที่เพิ่งแต่ง ครั้นเห็นคนคุ้นเคย ตงตงก็เดินยิ้มเข้าไปหาทุกคน “พวกท่านมากันแล้ว เข้ามาก่อนเจ้าค่ะ…อาหลงตัวน้อย สบายดีไหมจ๊ะ” เด็กน้อยวัย 2 ขวบพยักหน้าตอบ “อื้อ”
บทที่ 78ขอแต่งงาน 10 วันต่อมา ณ สำนักราชองครักษ์หลวง ทันทีที่กลับมาถึงเมืองหลวง เหิงเจากับเหยียนหลิ่วเข้าพบเสนาธิการเว่ยจ้ง รายงานเรื่องราวทั้งหมดตอนอยู่ป้อมปราการตะวันออก เมื่อเสร็จธุระหมดแล้ว เหยียนหลิ่วขอตัวกลับทันที ชายหนุ่มเดินบนถนนด้วยฝีเท้าเร่งรีบ เมื่อมาถึงโรงเตี๊ยมตระกูลจาง เห็นหญิงสาวในดวงใจยืนต้อนรับลูกค้าอยู่หน้าร้านพอดี เหยียนหลิ่วส่งเสียงเรียกหญิงสาวด้วยความตื่นเต้น “ตงตง!” เสียงเรียกของชายหนุ่มไม่เพียงดึงดูดสายตาของตงตง ยังเรียกความสนใจจากคนรอบข้างอีกด้วย ทว่า… สองหนุ่มสาวหาได้สนใจคนอื่นแต่อย่างใด ในสายตาของทั้งคู่มีเพียงกันและกันเท่านั้น “พี่หลิ่วกลับมาแล้ว!” ตงตงยิ้มกว้าง ก้าวยาวๆ เข้าไปหาชายหนุ่ม เมื่อระยะห่างของทั้งคู่ร่นลงจนไม่เหลือช่องว่าง เหยียนหลิ่วตอบกลับหญิงสาวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ข้ากลับมาแล้ว” เหยียนหลิ่วไม่เพียงพูดเปล่าๆ สองมือใหญ่ยังโอบเอวบางของนาง แล้วยกร่างของนางขึ้นจากพื้นอ
บทที่ 77จู่โจมรวดเร็ว หลังจากหัวหน้าเผ่าฮุยรู้ข่าวเรื่องกองทัพสนับสนุนเดินทางมาถึงป้อมปราการตะวันออก พวกมันก็ไม่อยู่เฉย เคลื่อนทัพท่ามกลางความมืด รอจังหวะบุกโจมตีป้อมปราการตะวันออกอย่างไม่ให้แคว้นเฉียนรู้ตัว หากทว่า กลางดึกคืนเดียวกันนั้น ฟางอู่เซิงวางกองกำลังไว้ที่นอกป้อมปราการอย่างเงียบเฉียบ ทันทีที่แสงแรกมาเยือน หัวหน้าพลธนูที่ซ่อนตัวตั้งแต่กลางดึก ก็ได้ส่งสัญญาณมือให้โจมตี พลธนูที่ซุ่มบนต้นไม้นับสิบนายปล่อยศรพุ่งออกไป ฟิ้ว… “อึก!” “อั่ก!!” ทหารเผ่าฮุยที่ตั้งทัพเตรียมบุกป้อมปราการ ล้มกองบนพื้นทีละคนสองคนราวกับใบไม้ล่วงจากต้น เริ่มต้นสงคราม มองเผินๆ ฝ่ายที่ได้เปรียบอาจจะเป็นทางแม่ทัพฟางอู่เซิง แต่ทันทีที่เผ่าฮุยรู้สึกตัวว่าพวกมันถูกซุ่มโจมตี หัวหน้าเผ่าฮุยได้สั่งการและแบ่งออกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งให้หันกลับไปสังหารพลธนูของแคว้นเฉียน โดยใช้ศพของพวกเดียวกันเป็นเกาะกำบัง อีกฝ่ายหนึ่งทุ่มเทสุดกำลังทำลายป้อมปราการแล้วบุกเข้าไป “แทนที่จะล่าถอย แต่เลือกบุกต่
บทที่ 76กำลังเต็มร้อยด้วยอาหารอัดแท่ง วันต่อมา กองทัพของแม่ทัพฟาง หน่วยคุ้มกันเสบียงของเหิงเจา และหน่วยลอบโจมตีของเหยียนหลิ่ว เคลื่อนตัวออกจากเมืองหลวง เสบียงที่ทหารทุกนายพกติดตัวนั้น ส่วนใหญ่มาจากโรงเตี๊ยมตระกูลจาง นอกจากจะเป็นของแห้งที่เก็บไว้ได้นาน น้ำหนักเบา สารอาหารยังครบถ้วน ไม่เปลืองแรงเวลาต้องหอบหิ้วเวลาที่ต้องเดินทางไกลๆ แถมรสชาติยังอร่อย กินเท่าไรก็ไม่เบื่อ และต้องขอบคุณเสบียงจากโรงเตี๊ยมตระกูลจางเช่นกัน ทำให้การเดินทางมาถึงชายแดนตะวันออกเร็วกว่ากำหนดหลายวัน แม้ระหว่างทาง รถขนเสบียงจะถูกดักปล้น แต่ทหารทุกคนที่ได้กินธัญพืชอัดแท่งที่มีพลังงานสูง พวกเขาจึงปกป้องเสบียงหลวงเอาไว้ได้ โดยที่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ ในขณะเดินทางไกล เลี่ยงไม่ได้ท่ีจะมีล้มป่วยด้วยพิษไข้ แต่ด้วยยาเม็ดจากโรงเตี๊ยมตระกูลจาง กินเพียงสองเม็ด ไข้หวัดเล็กน้อยพลันบรรเทาลง พร้อมออกเดินทางต่อได้ทันที ไม่ต้องทิ้งใครไว้ข้างหลัง ด้วยเหตุนี้เอง ตอนมาถึงป้อมปราการตะวันออก เรี่ยวแรงของทหารทุกนายจึงยังล้นเหลือ พร้อมออกรบได้ทันที
บทที่ 75คุณหนูสามแห่งจวนเจ้ากรมพิธีการ ครั้นพอได้ยินเสียงคุ้นๆ สองหนุ่มสาวที่พลอดรักกันอยู่หน้าบ้าน มองผู้มาเยือนที่ไม่ได้รับเชิญด้วยสายตาเอือมระอา “เข้าบ้านคนอื่นก่อนได้รับอนุญาต ใครกันแน่ที่หน้าไม่อาย” เหยียนหลิ่วบอกด้วยเสียงเย็นชา “แม้ว่าเป็นข้าอย่างนั้นหรือ พี่เหยียนหลิ่ว” เสียงหวานกังวานใสดังขึ้นที่หน้าประตู จากนั้นหญิงสาววัยสิบแปดรูปร่างหน้าตาสะสวย สวมใส่อาภรณ์หรูหราก็ก้าวเข้ามาในบ้าน สาวรับใช้ที่ยืนเท้าสะเอว ทำหน้ายักษ์มองมาที่ตงตง รีบกลับไปยืนข้างหลังหญิงสาวผู้มาใหม่ พร้อมเรียกฝ่ายนั้นว่า “คุณหนู” เหยียนหลิ่วขมวดคิ้ว ก่อนจะพูดด้วยความรู้สึกไม่ชอบใจนัก “ถึงจะเป็นคุณหนูสามจากจวนเจ้ากรมพิธีการ ก็ควรเรียนรู้มารยาทสักหน่อย” ถูกชายหนุ่มที่ตัวเองชอบสั่งสอน ซูหลันหลัน…คุณหนูสามแห่งจวนเจ้ากรมพิธีการรู้สึกเสียหน้าเป็นอย่างมาก หันไปขึงตาใส่ตงตงที่นั่งเงียบ เหยียนหลิ่วลุกขึ้น ใช้ร่างใหญ่โตของตนยืนบังตงตงหมายปกป้องหญิงคนรัก แม้จะรู้ว่าคุณหนูสามซูคนนี้จะไม่กล้าแตะต้องตงตงก็ตาม