พ่อค้าไก่เหล่านั้นถูกทรมานจนหน้าตาเปลี่ยนรูปไปหมดพวกเขาจึงสารภาพตามความจริง“ไว้ชีวิต...ไว้ชีวิตด้วย! พวกเราไม่รู้จริง ๆ ว่า การซื้อขายไก่เหล่านั้น มีจุดประสงค์ใด“มีคนเสนอราคาสูง ๆ ให้พวกเราทำเช่นนี้ พวกเราก็เลยทำ”เลี่ยอู๋ซินหาใช่ผู้ที่สังหารคนโดยไร้เหตุผล ในเมื่อพวกเขาบอกความจริงแล้ว เขาก็หยุดมือทันทีเขาจึงผลักประตูออกมา ก็เผชิญกับสายตาของเซียวจั๋วคนหลังยังคงรออยู่ด้านนอก และได้ยินคำพูดของพ่อค้าไก่เหล่านั้นที่อยู่ด้านในองครักษ์ลับที่ฮ่องเต้ส่งมาให้เขาเหล่านั้น ถึงแม้จะมีวิธีการบางอย่าง แต่ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้พ่อค้าไก่นั้นหวาดกลัวเลี่ยอู๋ซินกลับแตกต่าง เขาแค่ไปยืนตรงนั้น ก็ราวกับปีศาจคลานออกมาจากคุกอันโหดเหี้ยมเห็นชัดอยู่ว่าเป็นวันที่แสงแดดเจิดจ้า แต่ทำให้คนเหมือนย้อนกลับไปยังฤดูหนาวอันเยือกเย็นเซียวจั๋วยิ้มอย่างนุ่มนวลพลางเอ่ย“ชัดเจนแล้วว่า พวกเขาก็เป็นแค่เครื่องมือ”เลี่ยอู๋ซินก็เห็นด้วยกับการสันนิษฐานเช่นนี้เขาเช็ดคราบเลือดออกจากมือทั้งสองข้าง แล้วโยนผ้าเช็ดหน้านั้นทิ้งไปโดยไม่สนใจ “ที่จริงพวกเขาก็เป็นแค่กุ้งฝอย ถามไปก็ไม่ได้เบาะแสที่เป็นประโยชน์”ไม่รู้ว
เฟิ่งจิ่วเหยียนมั่นใจว่าที่ทำการหลักของกลุ่มค้ามนุษย์โอสถอยู่ในเมืองหลวง ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่คำพูดลอย ๆ นางหยิบแผนที่แคว้นหนานฉีขึ้นมา อธิบายให้เซียวอวี้ฟัง“ต้องถูกบีบจนมุม ถึงจะเห็นความผิดปกติเพคะ”“หลายเมืองที่เกิดเหตุ พิจารณาจากตำแหน่ง ระยะทาง สามารถคำนวณได้ว่า คำสั่งนั้นมาจากที่ใดเพคะ”บนแผนที่ ได้มีการทำเครื่องหมายจุดที่พบแหล่งค้ามนุษย์โอสถหลายแห่งอาศัยเส้นทาง เวลา รวมทั้งเส้นทางที่เปลี่ยนระหว่างทางที่ใช้ในการขนส่งมนุษย์โอสถ สามารถหาที่ตั้งของที่ทำการหลักได้นี่คือทักษะที่จำเป็นสำหรับแม่ทัพในสนามรบ ความเข้าใจในเวลาและระยะทางจะทำให้สามารถระบุตำแหน่งที่ตั้งกระโจมหลักของกองทัพศัตรูได้ชัดเจนจากนั้นจึงสามารถโจมตีกระโจมหลักได้เซียวอวี้ได้ยินที่นางพูดแล้วก็ขมวดคิ้ว“ที่แท้ก็อยู่ในเมืองหลวงหรือ”นั่นช่างเป็นการซ่อนภัยใกล้ตัว……ระหว่างเดินทางกลับเมืองหลวง ผ่านหมู่บ้านจู๋ซานฮ่องเต้ฮองเฮาแวะไปเยี่ยมเซียวจั๋วดวงตาทั้งคู่ของเซียวจั๋วได้รับบาดเจ็บ หลังจากหมอให้การรักษา อาการบาดเจ็บก็ไม่ดีขึ้น อาจถึงขั้นสูญเสียการมองเห็นได้เซียวอวี้ตัดสินใจ พาเขากลับเมืองหลวง ให้หมอหลวงรั
จักรพรรดิทรงนั่งบนราชบัลลังก์ กวาดมองเหล่าขุนนาง ด้วยสายตาเฉียบคม“เราไปจากเมืองหลวงแค่ไม่กี่เดือน พวกเจ้ากลับยิ่งอยู่ยิ่งละหลวม!” เหล่าขุนนางหวาดหวั่น ไม่กล้าสบตาความน่าเกรงขามของจักรพรรดิเซียวอวี้ถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา“ราชสำนักมีคำสั่ง ให้ตรวจสอบคดีมนุษย์โอสถ ในทุกเมืองทุกพื้นที่“ตอนนี้ เราถามพวกเจ้า เกี่ยวกับคดีนี้ พวกเจ้ารู้เรื่องมากน้อยเพียงใด?”สีหน้าขุนนางส่วนใหญ่ตกตะลึง ต่างมองหน้ากันไปมา เรื่องสืบคดี ไม่ใช่หน้าที่ของขุนนางแต่ละพื้นที่หรือ?พวกเขาต่างควรทำหน้าที่ของตนเองไม่ใช่หรือ?แต่ก็มีขุนนางส่วนน้อยไม่กี่คน คำตอบของพวกเขาเป็นที่น่าพอใจพอสมควร“ฝ่าบาท ตามที่ข้าน้อยทราบ คดีมนุษย์โอสถนั้นเกี่ยวข้องกับพิษมนุษย์โอสถ พิษนี้ทำให้คนไร้สติ ไม่กลัวความเจ็บปวด ปีนั้นพรรคเทียนหลงก่อกบฏ ก็เคยมีกองทัพมนุษย์โอสถจำนวนหนึ่งปรากฏตัว การสืบสวนเรื่องนี้ต้องทำอย่างเข้มงวดพ่ะย่ะค่ะ!”“ฝ่าบาท ข้าน้อยได้ยินมาว่า แคว้นตงซานกำลังสร้างมนุษย์โอสถอยู่อย่างลับ ๆ ดูเหมือนกำลังพยายามขยายกองทัพมนุษย์โอสถ พิษมนุษย์โอสถนั้น อาจจะมาจากแคว้นตงซานพ่ะย่ะค่ะ!”เซียวอวี้มองเหล่าขุนนางที่ยังคงไม่รู้
เมื่อปีก่อน เฟิ่งจิ่วเหยียนไปเก็บดอกจื่อซวี่ แล้วประสบเหตุบนภูเขาหิมะเทียนฉือ ก็มีหมอเทวดาเหยียนที่ช่วยชีวิตนางไว้ภายหลังด้วยเหตุบังเอิญ ทำให้ทั้งสองคนได้พบกันอีกครั้ง ณ เวลานั้น หมอเทวดาเหยียนก็กำลังสืบค้นหาวิธีถอนพิษมนุษย์โอสถนางจึงตัดสินใจพาคนกลับมายังเมืองหลวงก่อนหน้านั้นหมอเทวดาเหยียนก็ได้คิดค้นยาถอนพิษขึ้นมาได้แล้ว แต่เมื่อใช้กับผู้ที่ถูกพิษ กลับไม่ได้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนตอนนี้ยาถอนพิษที่แท้จริงถูกคิดค้นขึ้นมาได้แล้ว ถือเป็นข่าวดีอย่างมาก!“ตามที่หมอเทวดาเหยียนบอก โชคดีที่มีหญ้าบัวแดง ช่วยให้เขาคิดออกถึงปมสำคัญต่าง ๆ จึงสามารถคิดค้นยาถอนพิษได้สำเร็จ เขาได้ให้ผู้ถูกพิษทานยาแล้ว และพิษก็ถูกขจัดออกไปจนหมดสิ้น รวมถึงมารดาของจางฉวนด้วย”จางฉวนเป็นเด็กชายคนหนึ่ง ตอนนั้นหลายแคว้นร่วมมือกันโจมตีแคว้นหนานฉี เฟิ่งจิ่วเหยียนได้ให้โอกาสพิเศษพาเขาไปด้วย ให้ทำหน้าที่ด่าทอข้าศึกมารดาของเขา ก็เพราะถูกพิษมนุษย์โอสถ ทำให้กลายเป็นคนที่ยังมีชีวิตแต่ไร้สติมาตลอดเมื่อมียาถอนพิษแล้ว ถือเป็นเรื่องดีอย่างไม่ต้องสงสัยทว่า สุขทุกข์มักเป็นสิ่งคู่กันเฟิ่งจิ่วเหยียนส่งสายตามองไป เซียวอวี้ก็เข้าใ
หนิงเฟยดูเหมือนไม่รู้ตัวว่า ตนเองได้พูดสิ่งใดที่รุนแรงถึงเพียงนั้นนางมองเสียนเฟยอย่างยิ้มแย้ม“ในฐานะที่เป็นพี่น้องกัน ข้าอยากมาเตือนท่าน แทนที่จะถูกผู้อื่นฟ้องร้อง สู้สารภาพต่อฝ่าบาทก่อนจะดีกว่า“หากบริสุทธิ์ใจ ย่อมไม่ต้องหวาดกลัว“หญ้าบัวแดงไม่มีความผิด ผู้ที่เอามาทำเป็นยาพิษต่างหากที่ผิด“พี่สาวเป็นคนใจดีขนาดนี้ ต้องไม่มีเกี่ยวข้องกับกลุ่มค้ามนุษย์โอสถอย่างแน่นอน ใช่หรือไม่?”รอยยิ้มของหนิงเฟย ทำให้เสียนเฟยรู้สึกแสบตาสีหน้าเสียนเฟยซีดเผือด“น้องหนิงเฟย ข้าเข้าใจว่าเจ้าอาจจะสงสัย นั่นเป็นเรื่องปกติ แต่ข้าขอสาบานว่า ยาที่ข้าดื่มนั้น ไม่เกี่ยวข้องกับคดีมนุษย์โอสถแม้แต่น้อย”หนิงเฟยไม่ตอบ “ข้าเชื่อพี่สาวหรือไม่นั้น ไม่สำคัญ ที่สำคัญคือฝ่าบาทจะคิดอย่างไร”เสียนเฟยเก็บอารมณ์ พูดด้วยเสียงหนักแน่น“น้องสาวพูดถูก”“เอาล่ะ ที่ควรพูดก็พูดแล้ว ข้าจะไปตำหนักฉือหนิงไปสวดมนต์เป็นเพื่อนไทเฮา พี่สาว ไม่ต้องส่งนะ”หลังจากหนิงเฟยไปแล้ว สาวใช้ของเสียนเฟย ตงเซี่ยรู้สึกกังวลอย่างมาก“พระนาง เสียนเฟยพูดมีเหตุผล ฝ่าบาทกำลังสอบสวนคดมนุษย์โอสถอย่างเข้มงวด การใช้หญ้าบัวแดงเป็นเรื่องใหญ่หลวงมาก
เฟิ่งจิ่วเหยียนขมวดคิ้วอย่างสงสัย “เมืองหลวงก็มีหญ้าบัวแดงหรือ?” เซียวอวี้พูดอย่างจริงจัง“ตอนนี้ยังไม่ทราบอย่างแน่ชัด ว่าผู้ใดปลูกหญ้าบัวแดงในเขตชานเมืองตะวันตก และมีมากน้อยเพียงใด เราได้สั่งให้คนไปตรวจสอบแล้ว คงจะทราบผลในไม่ช้า” เฟิ่งจิ่วเหยียนพยักศีรษะ พร้อมนั่งครุ่นคิด เซียวอวี้ยื่นมือไปตักกับข้าวใส่ชามของนาง “ทานข้าวก่อน ดูเจ้าสิ ผอมหมดแล้ว ตอนนี้เจ้ากำลังตั้งครรภ์ ต้องทานให้มากขึ้น” เฟิ่งจิ่วเหยียนยังคงคิดอยู่อย่างเหม่อลอย “ยังไม่มีข่าวของเลี่ยอู๋ซินใช่หรือไม่เพคะ?” นางถาม เซียวอวี้ส่ายหน้าอย่างหนักใจ เกรงว่านางจะกงวลเกินไป เขาจึงพูดถึงเรื่องอื่นหลังจากพาเซียวจั๋วกลับเมืองหลวง เขาได้สั่งให้หมอหลวงรักษาแล้ว แต่บาดแผลเกิดที่ดวงตาทั้งคู่ของเซียวจั๋ว ไม่สามารถรักษาให้หายได้ง่าย ๆ ตอนนี้เขาไม่ต่างอะไรกับคนตาบอด การใช้ชีวิตตามลำพังไม่ใช่เรื่องง่ายจัดสาวใช้ให้เขา เขาก็ปฏิเสธ เฟิ่งจิ่วเหยียนถามด้วยสีหน้าสงบ “ตอนนี้ท่านได้จัดการให้เขาอยู่ที่ใด?” “เราได้หาบ้านหลังหนึ่ง ให้เขาอยู่ชั่วคราว และคอยปกป้องอยู่อย่างลับ ๆ ” เซียวอวี้เล่าเรื่องนี้ให้นางฟัง ไม่ใ
เฟิ่งจิ่วเหยียนเอาแผนที่ที่ได้วาดไว้ก่อนหน้านี้ออกมา ชี้ให้เซียวอวี้ดู “ใช้เมืองหลวงเป็นที่ทำการหลัก สั่งการไปยังทั้งสี่ทิศ นี่คือเส้นทางการสั่งการของกลุ่มค้ามนุษย์โอสถ “ตามแบบแผนการดำเนินการของพวกเขา ตอนนี้ถูกราชสำนักและกลุ่มชาวยุทธ์บีบคั้นจนหมดหนทาง พวกเขาต้องตัดทุกช่องทางการติดต่อ เพื่อปกป้องที่ทำการหลัก “ดังนั้น สิ่งแรกที่พวกเขาต้องทำคือ กำจัดพวกพ้องของตนเอง “ภายในกลุ่มค้ามนุษย์โอสถในตอนนี้ คงเต็มไปด้วยความวุ่นวาย ง่ายต่อการเกิดความโกลาหลกันเอง” เซียวอวี้รับคำจากนาง “หมายความว่า พวกเราสามารถใช้โอกาสนี้ เริ่มบุกโจมตีจากสาขาของพวกมัน” เฟิ่งจิ่วเหยียนผงกศีรษะเห็นด้วย นางชี้ไปยังหลายจุด ที่ปรากฏบนแผนที่ “เหล่านี้คือแหล่งที่พวกเราค้นพบว่ามีการทำการของกลุ่มมนุษย์โอสถ “ส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในพื้นที่รกร้าง เช่นในถ้ำหมู่บ้านจู๋ซาน “ฝ่าบาทยังจำได้หรือไม่ ปีนั้นพวกเราเคยพบมนุษย์โอสถ ที่ข้างใต้วัดในเมืองหลวง” เซียวอวี้จำได้แน่นอนอยู่แล้วครั้งนั้นนางถูกกลุ่มมนุษย์โอสถทำร้าย เขาเป็นคนช่วยชีวิตนาง แบกนางออกมาจากข้างในนั้น สายตาเฟิ่งจิ่วเหยียนเยือกเย็น “ตอนนี้
การสืบเรื่องตระกูลมู่หรง ไม่มีความคืบหน้ามาตลอดเซียวอวี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย“ก่อนหน้านี้ที่ให้คนแอบสืบเรื่องตระกูลมู่หรง กลับไม่ได้ยินว่ามีเรื่องใดผิดปกติ เหตุใดจู่ ๆ จึงนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมา? หรือว่า...”เขาคาดเดาได้อย่างรู้ใจว่าเฟิ่งจิ่วเหยียนกำลังคิดอะไรอยู่นางกำลังสงสัย ว่าตระกูลมู่หรงมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีมนุษย์โอสถน้ำเสียงของเฟิ่งจิ่วเหยียนเคร่งขรึม“ตอนที่ศิษย์พี่สิงโจวสืบเรื่องคดีมนุษย์โอสถ เป็นช่วงเวลาหลังจากที่ท่านขึ้นครองราชย์ นั่นก็หมายความว่าก่อนที่อดีตฮ่องเต้จะสวรรคต ก็เกิดคดีมนุษย์โอสถขึ้นมานานแล้ว“ถ้าดูตามระยะเวลาแล้ว เป็นไปได้มากว่าอดีตฮ่องเต้จะทรงพบเบาะแสบางอย่าง“ดังนั้นหม่อมฉันจึงสงสัยว่าตระกูลมู่หรงอาจจะเกี่ยวข้องกับคดีมนุษย์โอสถ แน่นอนว่านี่เป็นเพียงการคาดเดาของหม่อมฉันเท่านั้น ไม่มีหลักฐานใดทั้งสิ้น”นางคิดว่าจำเป็นต้องสืบเรื่องตระกูลมู่หรงต่อไปเซียวอวี้ยังมีอารมณ์หยอกล้อนาง“เช่นนั้นก็เป็นการปรักปรำงั้นรึ?”ล้อเล่นก็ส่วนล้อเล่น ทว่าในใจของเขามีคำตอบแล้วคำสั่งเสียในตอนนั้นของอดีตฮ่องเต้ เห็นได้ชัดว่าตระกูลมู่หรงมีปัญหาทว่าที่ผ่านมาเหล่าองครักษ์ส
เฉินจี๋ได้รับการช่วยเหลือจากนายพรานผู้หนึ่ง ด้วยอาการบาดเจ็บรุนแรง กระทั่งตอนนี้ก็ยังหมดสติอยู่นี่จึงไม่น่าแปลกใจที่เขายังไม่ปรากฏตัว ที่แท้เป็นเพราะร่างกายไม่อาจเคลื่อนไหวได้นายพรานรู้ว่าเฟิ่งจิ่วเหยียนกับคณะรู้จักกับเฉินจี๋ จึงรู้สึกโล่งใจ“ข้าลำบากใจจริง ๆ เพราะคิดว่านี่คือชีวิตคนคนหนึ่ง จึงไม่อาจทอดทิ้งได้ ทว่าจะรักษาอาการบาดเจ็บของเขา ข้าก็ต้องใช้เงิน...”ไม่รอให้นายพรานพูดจบ เฟิ่งจิ่วเหยียนก็ส่งสัญญาณให้อู๋ไป๋นำเงินให้อู๋ไป๋ถนัดการจัดการเรื่องต่าง ๆ สักพักก็เริ่มคุ้นเคยกับนายพราน และเอ่ยขอบคุณอย่างสนิทสนม“พี่ชาย ขอบคุณจริง ๆ ที่เจ้าช่วยสหายข้าไว้! เงินเล็กน้อยนี้ไม่พอจะทดแทนคำขอบคุณได้! ใช่แล้ว เจ้ายังจำได้หรือไม่ว่า เจอสหายข้าที่ใด แล้วเขาได้รับบาดเจ็บอย่างไร? และเจอคนที่น่าสงสัยคนอื่นหรือไม่?“เจ้าอย่าเพิ่งเข้าใจผิด ข้าเพียงแค่อยากรู้ให้ชัดเจน ว่าผู้ใดทำร้ายสหายข้า บาปมีคนก่อหนี้ย่อมมีเจ้าหนี้”คำพูดของอู๋ไป๋ ล้วนเป็นความรู้สึกตามธรรมชาติของคนนายพรานลองคิดทบทวนอย่างละเอียดรอบหนึ่ง“ข้าช่วยเขาตรงริมแม่น้ำ ตอนนั้นไม่พบผู้อื่น ขอโทษจริง ๆ ที่ข้าช่วยพวกท่านไม่ได้”“
ปลายเดือนสิบสอง ปีใหม่ใกล้เข้ามาเส้นทางมุ่งหน้าไปทางเหนือเต็มไปด้วยน้ำแข็ง การเดินทางนั้นยากลำบากเฟิ่งจิ่วเหยียนในช่วงอยู่ไฟมิได้พักฟื้นอย่างเต็มที่ ตอนนี้ยังต้องเดินทางท่ามกลางพายุหิมะอีก จึงมักจะปวดเมื่อยเอว และเหงื่อออกมากอยู่บ่อย ๆในช่วงกลางคืนเข้านอน ก็มักรู้สึกเย็นที่ไหล่ และหนาวอย่างรุนแรงอู๋ไป๋เห็นสีหน้าของนางไม่สู้ดีนัก จึงเตือนนาง“นายท่าน ไม่สู้ให้หมอมาตรวจดูบ้าง?”เฟิ่งจิ่วเหยียนรีบร้อนจะตามหาคน จึงไม่อยากล่าช้าครั้งนี้อู๋ไป๋ยืนหยัดอย่างเต็มที่“นายท่าน ต่อให้ท่านไม่คำนึงถึงตนเอง ก็ควรนึกถึงฝ่าบาท หากท่านเจ็บป่วย จะยิ่งไม่ล่าช้ามากกว่าหรอกหรือ?”เขาเอ่ยเช่นนี้ เฟิ่งจิ่วเหยียนจึงเริ่มลังเลก็จริงหากนางเจ็บป่วยจนลุกไม่ขึ้น ก็จะไม่คุ้มกับสิ่งที่เสียไปตรงชายแดนหนานฉี เฟิ่งจิ่วเหยียนได้ไปที่สำนักการแพทย์แห่งหนึ่งหลังจากหมอจับชีพจรของนาง ก็เอาแต่ส่ายหัว“ฮูหยินท่านนี้ ท่านมีภาวะร่างกายไม่สมดุลหลังคลอด จึงเป็นต้นเหตุเกิดโรคเรื้อรัง“อาการปวดตามข้อเป็นเรื่องปกติ โดยเฉพาะในระยะนี้ที่ฝนหิมะรุนแรง แน่นอนว่าย่อมไม่สบายตัว“ในยามปกติรู้สึกว่าไม่เป็นไร ทนหน่อยก็ผ่
บนบัลลังก์มังกร เซียวถงเต็มเปี่ยมด้วยจิตวิญญาณของจักรพรรดิ “เรารับพระราชโองการจากเสด็จอา มาทำหน้าที่รักษาการแทนตำแหน่งฮ่องเต้ชั่วคราว ทุกท่านมีเรื่องใดก็เสนอได้”เหล่าขุนนางในราชสำนักมองไปรอบ ๆ ด้วยความงุนงงบางคนถึงกับสงสัยว่าเซียวถงแย่งชิงบัลลังก์ทว่าคิดดูอีกที ฮองเฮาทรงมีทักษะเพียงนั้น ผู้ใดจะกล้าแย่งชิงบัลลังก์?ณ วังหลังเฟิ่งจิ่วเหยียนรู้สึกอาวรณ์อย่างยิ่งที่จะกล่าวอำลาต่อบุตรทั้งสองพวกเขายังคงนอนหลับอยู่ ใบหน้าขณะหลับดูสงบนิ่งเป็นพิเศษ นางจุมพิตบนหน้าผากของพวกเขา หัวใจราวกับถูกบีบเข้าหากันสาวใช้หว่านชิวรู้สึกเศร้าใจ “ฮองเฮา จักต้องเสด็จไปให้ได้หรือเพคะ?”ฮองเฮาทรงตัดใจจากเลือดเนื้อเชื้อไขของตนได้อย่างไร?เฟิ่งจิ่วเหยียนพยักหน้าอย่างหนักแน่นการไปของนางครั้งนี้ จะมีชีวิตอยู่หรือตายยังไม่แน่นอนการพาบุตรทั้งสองคนไปด้วย หนึ่งจะเป็นภาระให้กับนาง สองอาจจะนำภัยอันตรายถึงแก่ชีวิตมาให้พวกเขาการแยกจากบุตร ย่อมต้องทุกข์ใจอยู่แล้ว ทว่าหากให้นางกับลูกรออยู่ในวัง และทนทรมานกับการรอฟังข่าว นางยิ่งไม่ยินยอม“ฮองเฮา หนิงเฟยมาถึงแล้วเพคะ” เฟิ่งจิ่วเหยียนรีบปรับอารมณ์ทันที และเ
ที่ดินที่โซ่วอ๋องได้รับมอบไม่ถือว่าไกลจากเมืองหลวงมากนัก หลังจากได้รับคำสั่งจากฮองเฮา ซื่อจื่อเซียวถงก็ออกเดินทางภายในวันเดียวกันห้าวันต่อมา เซียวถงก็มาถึงพระราชวัง และตรงไปยังห้องทรงพระอักษรเพื่อเข้าเฝ้าครั้งล่าสุดที่เขามาเมืองหลวง ก็คือเมื่อสามปีก่อน ช่วงที่เกิดความวุ่นวายในวิหารบรรพบุรุษ เขาได้รับมอบหมายภารกิจสำคัญจากฮ่องเต้ ให้ขึ้นครองบัลลังก์ชั่วคราว เพื่อหลอกลวงพรรคเทียนหลงกับกองทัพศัตรูให้สับสนในตอนนั้นเขารู้สึกประหลาดใจอย่างมาก พระราชโองการพินัยกรรมของฝ่าบาท ได้แต่งตั้งให้เขาเป็นว่าที่จักรพรรดิครั้งนี้ฮองเฮาทรงเรียกเขามา ไม่รู้ว่ามาเพราะเรื่องใดทว่าก็รู้สึกอยู่ลึก ๆ ว่า น่าจะเกี่ยวข้องกับพระราชโองการพินัยกรรมก่อนที่เขาจะมาเมืองหลวง ท่านพ่อก็ยังเตือนเขาว่า ตอนนี้ฮองเฮาทรงประสูติองค์ชายแล้ว เช่นนั้นเขาที่เคยเป็นคนที่อ้างถึงในพระราชโองการพินัยกรรม ก็เท่ากับเป็นตัวขัดขวางขององค์ชายดังนั้น การมาเมืองหลวงครั้งนี้ ก็เสี่ยงอันตรายอย่างมากในใจของเซียวถงเต็มไปด้วยความสงสัยมากมาย ทว่าสีหน้ายังคงสงบนิ่ง ไม่ถือตัวไม่ถ่อมตนเกินพอดีแต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่เคยสนใจตำแหน่งฮ่องเต้ แล
วันต่อมา องค์หญิงเซี่ยนอี๋เสด็จมาพบองค์ชายสี่ด้วยพระองค์เององค์ชายสี่ทรงยิ้มแย้ม ทำเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น“แขนของน้องหญิงเป็นอย่างไรบ้าง?”องค์หญิงเซี่ยนอี๋โมโหจนเก็บอารมณ์ไม่อยู่“เหตุใดเสด็จพี่ต้องขัดขวางข้า!”รอยยิ้มขององค์ชายสี่เลือนหายไป และตอบอย่างมีเหตุมีผล“เซี่ยนอี๋ ข้าคิดว่าเจ้าแค่พาลไร้เหตุผล นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะโง่เขลาเพียงนี้ เจ้าคิดได้อย่างไรที่จะวางยาผู้อื่น แล้วบังคับขืนใจเขา?“หากเจ้าพลีกายให้กับฮ่องเต้ฉี แล้วจะให้ข้าทูลเสด็จพ่ออย่างไร?“คืนก่อนเจ้าเกือบจะแขนหักไปข้างหนึ่ง ก็น่าจะจำเป็นบทเรียนได้แล้วกระมัง”เซี่ยนอี๋รู้ตัวว่าทำผิดทว่าเรื่องที่นางยังทำไม่เสร็จสิ้น จะไม่ยอมแพ้และเลิกล้มเช่นนี้“หากข้าได้เป็นฮองเฮาของหนานฉี หนานฉีก็จะไม่เล่นงานเป่ยเยี่ยนอีก นี่ไม่ดีหรอกหรือ?”องค์ชายสี่แย้มพระสรวล“เซี่ยนอี๋ หากเสด็จพ่อได้ยินคำพูดนี้ของเจ้า เกรงว่าจะต้องถูกลงโทษสถานหนัก“การเกี่ยวดองของสองแคว้น เดิมทีไม่อาจหยุดยั้งความโหดเหี้ยมของหนานฉีได้“เจ้าจะทำให้ตนเองเสียหายโดยเปล่าประโยชน์ และถูกผู้อื่นหัวเราะเยาะ“บุรุษดี ๆ ในเป่ยเยี่ยนของเรามีมากมาย เหตุใดเจ้าต
ช่วงหลายวันที่เซียวอวี้ถูกขังอยู่ในคุกลับ หาได้นั่งนิ่งรอความตายไม่ จากการสังเกตของเขา องค์ชายสี่แห่งเป่ยเยี่ยนมิได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้เยี่ยน แต่กลับเป็นหินที่ไว้ปูทางเดิน เพื่อผลักดันความทะเยอะทะยานให้องค์ชายเจ็ด หากสามารถโน้มน้าวใจองค์ชายสี่ได้ เขาก็จะหนีออกจากที่นี่ได้ กระนั้น องค์ชายสี่ของเป่ยเยี่ยนไม่โง่ ทันทีที่เขาได้ยินคำพูดของเซียวอวี้ ก็รู้ว่าอีกฝ่ายต้องการชนะใจตน เพื่อยุแยงเขากับเจ้าเจ็ด รวมถึงตัวเขาและเสด็จพ่อด้วย “ฮ่องเต้ฉี ยิ่งพูดยิ่งพลาด ท่านตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ ควรพูดให้น้อยลงจะดีกว่า” องค์ชายสี่พูดจบก็คิดจะเดินจากไป จู่ ๆ เซียวอวี้หัวเราะเยือกเย็นขึ้นมา “ในเวลาหนึ่งเดือน ฮ่องเต้เยี่ยนจะแต่งตั้งองค์ชายเจ็ดเป็นองค์รัชทายาท” องค์ชายสี่หยุดชะงัก ฮ่องเต้ฉีมั่นใจขนาดนั้นเชียวหรือ? ตำแหน่งองค์รัชทายาทนั้นเย้ายวนใจนัก องค์ชายสี่ต้องหันกลับมา พิจารณาเซียวอวี้อีกครั้ง เขาหาได้รุกถามใด ๆ ไม่ เพียงรอให้เซียวอวี้พูดต่ออย่างเงียบ ๆ เซียวอวี้ไม่ทำให้ผิดหวัง เอ่ยอย่างไม่รีบร้อน “กองทัพเยี่ยนเดินทัพลงใต้ เพื่อพิชิตแ
ในคุกลับ เซียวอวี้กินอาหารตามปกติ ไม่นานก็รู้สึกถึงความผิดปกติในร่างกาย เขาตระหนักได้ทันที มันเป็นฤทธิ์ยาปลุกกำหนัด! ดวงตาเย็นชาของเขามืดลง ความโกรธพลุ่งพล่านขึ้นมา ไม่ต้องคิดก็รู้ว่า เป็นฝีมือของผู้ใด จริงตามคาด เพียงไม่นาน องค์หญิงเซี่ยนอี๋ก็มาที่คุกลับ คืนนี้นางแต่งกายอย่างพิถีพิถัน สวมอาภรณ์สีสันสดใส ประทินโฉมประณีตงดงาม สายตาเต็มไปด้วยความทะเยอทะยานและความต้องการครอบครอง นางมองใบหน้าที่แดงเพราะฤทธิ์ยาของเซียวอวี้ รู้สึกปรีดาบนความทุกข์ของผู้อื่น “สิ่งใดที่ข้าอยากได้ ไม่มีคำว่าไม่ได้!” เซียวอวี้พยายามสงบจิตใจอย่างหนัก เพื่อไม่ให้ถูกควบคุมโดยฤทธิ์ยา เขาไม่กล้าคิด หากสัมผัสผู้หญิงคนอื่นแล้ว เขาจะเผชิญหน้ากับจิ่วเหยียยอย่างไรในอนาคต ให้ตาย! เขาอยากจะฆ่าคน ทว่ากลับสูญเสียกำลังภายในทั้งหมด แม้คุกลับจะคุมขังผู้คนไว้มากมาย แต่ห้องขังของเซียวอวี้อยู่ในจุดที่ลับตาคน และเป็นเอกเทศ องค์หญิงเซี่ยนอี๋จึงไม่กลัวที่จะมีคนมารบกวน นางปลดอาภรณ์ชั้นนอกของตนออก หัวเราะอย่างหยาบคาย “ฮ่องเต้ฉี ข้ารอให้เจ้าขอร้องข้าอยู่” ถูกฤ
ตำหนักหย่งเหอ เมื่อไทเฮาและหนิงเฟยมาถึง กลับไม่เห็นฮองเฮา เด็กทารกน้อยร้องไห้ระงมราวกับหัวใจจะแตก แม้พวกนางได้ยินแล้วยังรู้สึกปวดใจนัก หมอหลวงกำลังถวายโอสถให้องค์ชายน้อย ปริมาณยาทำให้คนเห็นแล้วอกสั่นขวัญแขวน หนิงเฟยขมวดคิ้ว อดไม่ได้ที่จะเตือน “พวกเจ้าระวังหน่อย! อย่าทำให้เด็กสำลัก!” ไทเฮาอดไม่ได้ที่จะตำหนิ “ฮองเฮาอยู่ที่ใด? นี่คือลูกชายแท้ ๆ ของนาง กลับทิ้งไว้แบบนี้รึ?” สาวใช้หว่านชิวตอบ “มีรายงานด่วนจากชายแดนเพคะ ฮองเฮาประทับที่ห้องทรงพระอักษร เพื่อหารือกับเหล่าแม่ทัพ...” ไทเฮาทนไม่ไหวอีกแล้ว น้ำเสียงจริงจังขึ้น “หารือตลอดทั้งวัน นางคิดถึงลูกชายทั้งสองบ้างหรือไม่? “คนหนึ่งถูกนางใช้เป็นเครื่องมือว่าราชการหลังม่าน อีกคนถูกนางทิ้งให้โดดเดี่ยวในวังหลัง นางทนได้อย่างไร!” ไทเฮาทราบดีว่าฮองเอามีราชกิจรัดตัว ทว่าเห็นเด็กน้อยที่น่าสงสารเช่นนี้ ก็อดจะทุกข์ใจมิได้ หว่านชิวไม่กล้าโต้แย้ง หนิงเฟยเกลี้ยกล่อม “ท่านป้าเพคะ ฮองเฮาต้องเห็นราชกิจสำคัญที่สุด ส่วนองค์ชายมีหมอหลวงถวายการดูแล เขาจะปลอดภัยแน่นอนเพคะ” ไทเฮามองทารกด้วยค
หลังจากที่ฮ่องเต้เยี่ยนได้ฟังคำขอของพระธิดา ก็หาได้ปฏิเสธทันทีไม่ ฮองเฮาของเซียวอวี้——เฟิ่งจิ่วเหยียน มิใช่สตรีธรรมดา สาเหตุที่เป่ยเยี่ยนพ่ายแพ้ต่อหนานฉีหลายครั้ง ล้วนมีฝีมือของสตรีคนนี้อยู่ในนั้น ถึงแม้เซี่ยนอี๋ไม่เอ่ย เขาก็ต้องการกำจัดเฟิ่งจิ่วเหยียนอยู่แล้ว “ได้ พ่อรับปากเจ้า” องค์หญิงเซี่ยนอี๋รู้สึกพอใจมาก “ขอบพระทัยเสด็จพ่อ!” สิ่งใดที่นางไม่ได้ครอบครอง คนอื่นก็อย่าหวังจะได้ ทว่า ฮ่องเต้เยี่ยนยังไม่หายแคลงใจ เขาถาม “เรื่องในคุกลับนั้น ผู้ใดบอกเจ้า” องค์หญิงเซี่ยนอี๋ยังมีจิตสำนึกอยู่ หาได้ทรยศองค์ชายสี่ไม่ “เป็น...เสด็จพี่เจ็ดเพคะ” สีหน้าของฮ่องเต้เยี่ยนพลันมืดลง เจ้าเจ็ดนี่ เลอะเลือนเกินไปแล้ว! องค์หญิงเซี่ยนอี๋ขอร้อง “เสด็จพ่อ เสด็จพี่เจ็ดก็ถูกหม่อมฉันบังคับ ท่านอย่าตำหนิเขาเลย และอย่าบอกเขาด้วยว่า หม่อมฉันพูด มิฉะนั้นต่อจากนี้เขาคงไม่รักเอ็นดูหม่อมฉันอีกเพคะ” ใบหน้าของฮ่องเต้เยี่ยนแสดงความอดกลั้นไม่ใส่ใจ “ได้ เราเข้าใจแล้ว”…… เมื่อองค์หญิงเซี่ยนอี๋ออกจากวังหลวง ก็ตรงไปที่คุกลับอีกครั้ง ครั้