คำพูดของเฟิ่งจิ่วเหยียน กระตุ้นให้มู่หรงจ่างจี๋เผยธาตุแท้ออกมาอย่างหมดเปลือก เขาจับกรงประตูคุก ราวกับอยากฉีกคนที่ยืนอยู่ข้างนอกออกเป็นสองท่อน “เจ้าคนต่ำช้า! กล้าสาปแช่งไท่จู่อย่างนั้นรึ!” “หากไม่ใช่เพราะปฐมจักรพรรดิต่อสู้ก่อตั้งแผ่นดินนี้ขึ้นมา พวกเจ้ายังจะมีวันนี้ได้หรือ? “โดยเฉพาะเจ้า! เจ้าเด็กสกุลเซียว! หากเจ้ายังอยากให้ไท่จู่มีชีวิตอยู่ ก็รีบปล่อยข้าไปเสีย!” สีหน้าเซียวอวี้เยือกเย็น แววตาสงบนิ่ง “ปฐมจักรพรรดิ ตอนนี้อยู่ที่ใด” มู่หรงจ่างจี๋ไม่เชื่อใจเขา “ปล่อยข้าออกไป! มิฉะนั้น เจ้าจะกลายเป็นคนทรยศต่อแผ่นดิน!” น้ำเสียงเซียวอวี้สงบใจเย็น อดกลั้นอารมณ์ขุ่นเคืองไว้“หากไท่จู่ยังมีชีวิตอยู่ ย่อมเป็นเรื่องดี ทว่า เจ้าต้องบอกเรา พระองค์อยู่ที่ใดกันแน่!” มู่หรงจ่างจี๋จ้องลึกเข้าไปในดวงตาของเซียวอวี้ เขาครุ่นคิดอยู่นาน ก่อนจะเอ่ยสถานที่ออกมาในที่สุด...ภูเขาลิ่วจื่อ ภูเขาลิ่วจื่อแห่งนี้ ตั้งอยู่ในเมืองหลวง เซียวอวี้รีบนำคนเดินทางไปด้วยตนเองทันที เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่วางใจ เกรงว่ามู่หรงจ่างจี๋จะวางกับดักหรือซ่อนกลไกไว้ในภูเขาลิ่วจื่อ ดังนั้น นางจึงตัดสินใจต
หลังจากหมอเทวดาเหยียนตรวจชีพจรให้มู่หรงจ่างจี๋ ก็พบว่าคนผู้นี้สุขภาพแข็งแรงกว่าคนแก่ทั่วไปมาก ไม่ได้มีป่วยร้ายแรงอะไร“ทูลฝ่าบาท ที่คนผู้นี้พูดเหลวไหลไปทั่ว น่าจะเพราะเป็นโรคความจำเสื่อม...”“ข้าไม่ได้บ้านะ! เจ้าต่างหากที่บ้า!” มู่หรงจ่างจี๋เถียงหมอเทวดาเหยียนกลับจากนั้นก็มุ่งไปหาเซียวอวี้“ไล่พวกเขาออกไปเร็วเข้า ข้าจะทำให้ปฐมจักรพรรดิฟื้นคืนชีพ! หากพลาดเวลาไป พวกเจ้าจะต้องถูกตัดหัว!”เซียวอวี้ไม่ได้สนใจมู่หรงจ่างจี๋ เพียงให้คนควบคุมตัวเขาเอาไว้ เขาจะได้ไม่วิ่งไปไหนมั่วซั่วหมอเทวดาเหยียนไม่ถือสาคนป่วยเขาพูดต่อ“โรคความจำเสื่อม เป็นโรคทางใจ“อาการป่วยประเภทนี้ ปกติแล้วสิ่งที่คิดจะส่งผลกระทบต่อสิ่งที่เห็นและได้ยิน อย่างเช่นเห็นภาพเพ้อฝันที่ไม่มีอยู่จริง หรือได้ยินเสียงที่ไม่มีอยู่จริง“สิ่งที่คนปกติเห็นคือกระดูกสีขาว เขากลับเห็นเป็นคนที่ยังมีชีวิตอยู่ แสดงให้เห็นว่าเขาถูกครอบงำด้วยความหมกมุ่นในใจของเขา อาการหนักจนรักษาไม่ได้แล้ว กระหม่อมจนปัญญา”หมอสามารถรักษาอาการบาดเจ็บภายนอกและภายในได้ ทว่าไม่อาจรักษาใจคนได้โดยเฉพาะความยึดติดที่มองไม่เห็น จับต้องไม่ได้เซียวอวี้มองไปย
ไทฮองไทเฮาอยากจะไปพบบรรพบุรุษที่คุกเทียนเหลา ทว่าฮ่องเต้ทรงมีคำสั่งว่า หากไม่ได้รับอนุญาตจากฮ่องเต้ ไม่ว่าใครก็เข้าเยี่ยมไม่ได้ด้วยเหตุนี้ ไทฮองไทเฮาจึงได้แต่ส่งคนเข้าไปรายงานในวังก่อนทว่าต่อให้ฮ่องเต้อนุญาต มู่หรงจ่างจี๋ผู้นั้นก็ไม่ยินดีจะพบคนอื่นเขาดึงดันที่จะเชื่อว่ายังมีหนทางช่วยปฐมจักรพรรดิได้ยามนี้ตนถูกขังไว้ที่คุกเทียนเหลา จึงร้อนใจยิ่ง“ฮ่องเต้น้อยอยู่ที่ไหน รีบเรียกเขามาพบข้า!”มู่หรงจ่างจี๋ไม่เห็นหัวเหล่าคนรุ่นหลังแม้แต่น้อยในสายตาของเขา แผ่นดินแคว้นหนานฉีนี้ เป็นเขาที่ช่วยปฐมจักรพรรดิรบชนะมา วีรบุรุษในใต้หล้านี้ เขายอมรับเพียงปฐมจักรพรรดิพระองค์เดียวเท่านั้นเด็กตระกูลเซียวนั่นนับเป็นตัวอะไร ถึงกับกล้าห้ามไม่ให้เขาช่วยปฐมจักรพรรดิ!มู่หรงจ่างจี๋ร้อนใจอยากรีบออกไป ทุกวันตะโกนว่าต้องการพบฝ่าบาทหารู้ไม่ว่าเพื่อที่จะให้มู่หรงจ่างจี๋ยอมรับความผิด เซียวอวี้จึงตั้งใจเมินเขาจนถึงวันที่ห้า ผู้คุมก็บอกมู่หรงจ่างจี๋ “ฝ่าบาทมีคำสั่ง หากเจ้าไม่สารภาพความผิดทั้งหมดออกมาพร้อมลงนาม เจ้าจะต้องอยู่ที่นี่ไปจนวันตาย!”มู่หรงจ่างจี๋โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ“เหิมเหริม! เหลวไหล! เขารู
เลี่ยอู๋ซินเองก็นับว่าสร้างผลงานแล้วหากไม่ใช่เขา คงจะมีคนถูกปล่อยเลือดจนแห้งตายอีกเขาจับนักฆ่าพวกนั้นกลับมาแล้ว ส่งไปที่คุกเทียนเหลา สอบปากคำด้วยตนเอง ไม่คิดจะพักแม้แต่น้อยตอนแรกนักฆ่าพวกนั้นไม่ยอมสารภาพต่อมาเมื่อรู้ว่ามู่หรงจ่างจี๋ถูกจับกุม พวกเขาสูญเสียความหวังจากนั้นพวกเขาถึงได้ยอมสารภาพความจริง “พวกเราล้วนปฏิบัติตามคำสั่ง...”ที่จับตัวเซียวจั๋วไป ก็เพื่อเลือดของเขาแม้กระทั่งเรื่องที่ว่าปฐมจักรพรรดิกลายเป็นโครงกระดูกไปเมื่อไหร่ พวกเขาก็ยังพูด“ไม่มีเรื่องอย่างการมีชีวิตอมตะ ปฐมจักรพรรดิเป็นโครงกระดูกองหนึ่งแต่แรกแล้ว!“สองร้อยปีก่อน หลังจากมู่หรงจ่างจี๋ขโมยโครงกระดูกออกมา ก็คิดว่าสามารถฟื้นคือชีพปฐมจักรพรรดิให้กลับมามีชีวิตได้ ที่จริงเป็นความคิดเพ้อเจ้อ!“นั่นมันก็คือคนที่ตายไปแล้ว!”น้ำเสียงที่พวกเขาใช้พูดถึงเรื่องนี้มีความเยาะหยันมู่หรงจ่างจี๋อยู่สองร้อยปีมาแล้วที่มู่หรงจ่างจี๋เอาแต่ทำเรื่องไร้ประโยชน์ในสายตาของพวกเขา คนผู้นี้ก็คือคนโง่ผู้หนึ่งเจ้าหน้าที่และเลี่ยอู๋ซินสอบปากคำพวกเขา “พวกเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าปฐมจักรพรรดิไม่มีพระชนม์ชีพมาก่อน? ถ้ามู่หรงจ่างจี๋
ครั้งสุดท้ายที่ได้เข้าเฝ้าปฐมจักรพรรดิ เขาก็นอนป่วยหายใจรวยรินอยู่บนเตียงแล้ว——[จ่างจี๋...น้องรอง เจ้าเข้าใจเราดี เรายังมีเรื่องอีกมากมายที่ยังทำไม่สำเร็จ ยังไม่ได้จัดตั้งนโยบายบริหารบ้านเมืองใหม่ รัชทายาทก็ยังเด็กนัก...จ่างจี๋เอ๋ย เราเพียงแต่เกลียดที่สวรรค์ใจแคบ ไม่ยอมให้เราอยู่อีกซักสองสามปี ต่อให้เป็นแค่ปีเดียว ให้เราอยู่ต่ออีกซักปีก็ยังดี...อุทกภัยของทางใต้ ความแห้งแล้งของทางเหนือ แคว้นหนานฉีมีศัตรูรอบด้าน แคว้นเป่ยเยี่ยนข่มเหงแคว้นหนานฉี ภายในก็มีกบฏ...จะทำเช่นไรได้เล่า ในเมื่อพญายมต้องการชีวิตของเรา เรา...ก็ได้แต่วางมือ น้องรอง เรื่องในแคว้นเรามอบหมายให้เจ้า เจ้าจงช่วยสนับสนุนองค์รัชทายาท ด้านหนึ่งเจ้าเป็นท่านลุง ทั้งยังเป็นดุจบิดาของเขา น้องรอง เราเชื่อได้เพียงเจ้าเท่านั้น] ภาพของปฐมจักรพรรดิในความทรงจำ กับภาพที่เห็นตรงหน้าทับซ้อนกันมู่หรงจ่างจี๋ร้องไห้สะอึกสะอื้นเบา ๆ เงาแผ่นหลังผอมบาง“พี่ใหญ่! ทุกอย่างที่ท่านต้องการ ข้าทำให้ท่านสำเร็จแล้ว! ท่านจะเป็นอมตะ แคว้นหนานฉีภายใต้การปกครองของท่าน จะต้องเจริญรุ่งเรื่องยิ่งขึ้นไป ภายภาคหน้าจะต้องรวมใต้หล้าเป็นหนึ่ง สร้างคุณูปกา
โลกนี้มักจะมีเรื่องที่ไม่ตรงตามที่ตนเองคิด เลี่ยอู่ซินมาช้าไปก้าวหนึ่ง ตอนที่เขามาถึงคุกเทียนเหลา มู่หรงจ่างจี๋ก็ขาดใจตายไปแล้วครั้นมองศพของมู่หรงจ่างจี๋ หมัดของเลี่ยอู่ซินก็ทุบไปที่กำแพง แล้วตะโกนเสียงต่ำออกมาว่ากันว่าคนดีมักอายุสั้น คนชั่วกลับอยู่เป็นพันปี เป็นเช่นนั้นจริง ๆ !คนอย่างมู่หรงจ่างจี๋มีอายุถึงสองร้อยกว่าปี ทว่าคนอย่างมู่สิงโจว ยังไม่ทันถึงวัยสวมกวานก็ถูกฆ่าตายแล้วเมื่อคิดถึงตรงนี้ ความโกรธเกลียดของเลี่ยอู่ซินก็ทะยานขึ้นฟ้า ทว่ากลับไม่รู้เลยว่าจะระบายไปที่ผู้ใดได้!เนื่องจากอารมณ์ถูกกระตุ้นมากเกินไป เลี่ยอู่ซินที่เพิ่งจะเดินออกจากคุกเทียนเหลา จึงหมดสติไปภายใต้แสงแดดอันร้อนแรงณ วังหลวงเฟิ่งจิ่วเหยียนมาพักอยู่ในตำหนักจื้อเฉินชั่วคราวนางตั้งครรภ์ได้สามเดือนกว่าแล้ว ท้องค่อย ๆ นูนออกมาอย่างเห็นได้ชัด นี่ค่อยทำให้นางรู้สึกว่าที่นางตั้งครรภ์นั้นเป็นเรื่องจริง——ข้างในมีเด็กคนหนึ่งกำลังค่อย ๆ เติบโตจริง ๆเซียวอวี้จัดให้หมอหลวงมาตรวจชีพจรนางทุกวันช่วงนี้อาการครรภ์ของนางคงที่ดีแล้ว ไม่จำเป็นต้องดื่มยาบำรุงครรภ์อีก แค่พักผ่อนให้ดีก็พอเรื่องลูก เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่ไ
จากการสอบสวนของรุ่ยอ๋อง ลูกน้องของซุนโฉวผู้นั้นรับสารภาพความจริง“พวก…พวกข้าเป็นคนทำเอง“มู่หรงจ่างจี๋ต้องการโลหิตของท่านอ๋องผู้เฒ่า จึงมอบหมายให้ซุนโฉวไปจัดการ“แต่นั่นคือท่านอ๋อง ทั้งยังมีวิชายุทธ์ไร้เทียมทาน ซุนโฉวจึงใช้แผนการยุแยงตะแคงรั่ว ให้ฮ่องเต้องค์ก่อนสงสัยในตัวท่านอ๋องผู้เฒ่า จากนั้นก็แต่งเรื่องราวสร้างความผิดโทษฐานกบฏให้ท่านอ๋องผู้เฒ่า”เรื่องต่อจากนั้น รุ่ยอ๋องรู้ตั้งนานแล้วแม้นบิดาของเขาจะถูกใส่ความ แต่ก็ยังจงรักภักดีต่อราชสำนักหากกษัตริย์ต้องการให้ขุนนางตาย ขุนนางจำต้องตายอย่างเลี่ยงไม่ได้จนกระทั่งถูกเนรเทศ บิดาก็ไม่ได้รวบรวมกองทัพเพื่อช่วยเหลือตัวเองเขายังคงหวังว่า ฮ่องเต้องค์ก่อนจะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเองแต่สุดท้ายก็เดินหมากพลาดไป คาดการณ์ไม่ถึง ว่ากลุ่มค้ามนุษย์โอสถจะรีบร้อนอยากได้ชีวิตของเขา ด้วยการทำร้ายเขา ระหว่างทางที่เขาถูกเนรเทศเมื่อความจริงปรากฏ รุ่ยอ๋องเหมือนได้ปล่อยวางภาระอันหนักอึ้ง แต่ท้ายที่สุดคนตายไปแล้วก็ไม่อาจฟื้นคืนมาได้ ในใจจึงรู้สึกโศกเศร้าเสียใจอย่างยากที่จะหลีกเลี่ยงเขากลับมาถึงจวน ก็เห็นหร่วนฝูอวี้ยืนอยู่ใต้ต้นไม้ไกล ๆ เหมือ
ระหว่างคิ้วของเซียวอวี้ฉายด้วยความเบิกบาน“ภรรยาร้องสามีรับ จับมือปรองดองเพื่อความสันติ พระสวามีก็คือสามีเช่นกัน”เมื่อรุ่ยอ๋องได้ฟังคำตอบนี้ หัวใจที่แขวนลอยอยู่ด้วยพะว้าพะวง ในที่สุดก็ตกตายสนิทเขารีบประสานมือคารวะ ห้ามว่า“ฝ่าบาท ไม่ได้เด็ดขาดพ่ะย่ะค่ะ!“ท่านเป็นกษัตริย์ของแคว้น ไยต้องลดตัวไปอยู่ภายใต้อาณัติของสตรีด้วย?“หากคนรู้เข้า เกรงว่าคงหัวเราะเยาะเป็นแน่!”ในยามปกติรุ่ยอ๋องมีนิสัยอ่อนโยนนุ่มนวล แต่พอเป็นเรื่องที่เขาให้ความสำคัญ ก็กลายเป็นคนดื้อรั้นขึ้นมาทันทีเซียวอวี้พูดเสียงเข้ม“เราถึงได้บอก ว่าเรื่องนี้ ยิ่งคนรู้น้อยเท่าไรยิ่งดี”รุ่ยอ๋องบ่นงึมงำในใจที่แท้ฝ่าบาทก็อายเหมือนกัน“ฮองเฮายอมให้ท่านเป็นพระสวามีหรือ?”เซียวอวี้ขมวดคิ้ว “เหตุใดนางต้องไม่ยอม? หรือว่านางยังสามารถแต่งงานกับบุรุษอื่นได้อีก?”รุ่ยอ๋องเกือบพาตัวเองซวย“กระหม่อมไม่ได้หมายความเช่นนั้น เพียงอยากถามว่า ฮองเฮารู้หรือไม่ ว่าเรื่องนี้ไม่ส่งผลดีต่อฝ่าบาท…”“รุ่ยหลิน เราเห็นเจ้าเป็นสหาย ถึงได้บอกเรื่องนี้กับเจ้า เรื่องที่เราได้ตัดสินใจแล้ว ไม่มีผู้ใดสามารถเปลี่ยนแปลงได้ทั้งนั้น เจ้าแค่จัดการร
เฉินจี๋ได้รับการช่วยเหลือจากนายพรานผู้หนึ่ง ด้วยอาการบาดเจ็บรุนแรง กระทั่งตอนนี้ก็ยังหมดสติอยู่นี่จึงไม่น่าแปลกใจที่เขายังไม่ปรากฏตัว ที่แท้เป็นเพราะร่างกายไม่อาจเคลื่อนไหวได้นายพรานรู้ว่าเฟิ่งจิ่วเหยียนกับคณะรู้จักกับเฉินจี๋ จึงรู้สึกโล่งใจ“ข้าลำบากใจจริง ๆ เพราะคิดว่านี่คือชีวิตคนคนหนึ่ง จึงไม่อาจทอดทิ้งได้ ทว่าจะรักษาอาการบาดเจ็บของเขา ข้าก็ต้องใช้เงิน...”ไม่รอให้นายพรานพูดจบ เฟิ่งจิ่วเหยียนก็ส่งสัญญาณให้อู๋ไป๋นำเงินให้อู๋ไป๋ถนัดการจัดการเรื่องต่าง ๆ สักพักก็เริ่มคุ้นเคยกับนายพราน และเอ่ยขอบคุณอย่างสนิทสนม“พี่ชาย ขอบคุณจริง ๆ ที่เจ้าช่วยสหายข้าไว้! เงินเล็กน้อยนี้ไม่พอจะทดแทนคำขอบคุณได้! ใช่แล้ว เจ้ายังจำได้หรือไม่ว่า เจอสหายข้าที่ใด แล้วเขาได้รับบาดเจ็บอย่างไร? และเจอคนที่น่าสงสัยคนอื่นหรือไม่?“เจ้าอย่าเพิ่งเข้าใจผิด ข้าเพียงแค่อยากรู้ให้ชัดเจน ว่าผู้ใดทำร้ายสหายข้า บาปมีคนก่อหนี้ย่อมมีเจ้าหนี้”คำพูดของอู๋ไป๋ ล้วนเป็นความรู้สึกตามธรรมชาติของคนนายพรานลองคิดทบทวนอย่างละเอียดรอบหนึ่ง“ข้าช่วยเขาตรงริมแม่น้ำ ตอนนั้นไม่พบผู้อื่น ขอโทษจริง ๆ ที่ข้าช่วยพวกท่านไม่ได้”“
ปลายเดือนสิบสอง ปีใหม่ใกล้เข้ามาเส้นทางมุ่งหน้าไปทางเหนือเต็มไปด้วยน้ำแข็ง การเดินทางนั้นยากลำบากเฟิ่งจิ่วเหยียนในช่วงอยู่ไฟมิได้พักฟื้นอย่างเต็มที่ ตอนนี้ยังต้องเดินทางท่ามกลางพายุหิมะอีก จึงมักจะปวดเมื่อยเอว และเหงื่อออกมากอยู่บ่อย ๆในช่วงกลางคืนเข้านอน ก็มักรู้สึกเย็นที่ไหล่ และหนาวอย่างรุนแรงอู๋ไป๋เห็นสีหน้าของนางไม่สู้ดีนัก จึงเตือนนาง“นายท่าน ไม่สู้ให้หมอมาตรวจดูบ้าง?”เฟิ่งจิ่วเหยียนรีบร้อนจะตามหาคน จึงไม่อยากล่าช้าครั้งนี้อู๋ไป๋ยืนหยัดอย่างเต็มที่“นายท่าน ต่อให้ท่านไม่คำนึงถึงตนเอง ก็ควรนึกถึงฝ่าบาท หากท่านเจ็บป่วย จะยิ่งไม่ล่าช้ามากกว่าหรอกหรือ?”เขาเอ่ยเช่นนี้ เฟิ่งจิ่วเหยียนจึงเริ่มลังเลก็จริงหากนางเจ็บป่วยจนลุกไม่ขึ้น ก็จะไม่คุ้มกับสิ่งที่เสียไปตรงชายแดนหนานฉี เฟิ่งจิ่วเหยียนได้ไปที่สำนักการแพทย์แห่งหนึ่งหลังจากหมอจับชีพจรของนาง ก็เอาแต่ส่ายหัว“ฮูหยินท่านนี้ ท่านมีภาวะร่างกายไม่สมดุลหลังคลอด จึงเป็นต้นเหตุเกิดโรคเรื้อรัง“อาการปวดตามข้อเป็นเรื่องปกติ โดยเฉพาะในระยะนี้ที่ฝนหิมะรุนแรง แน่นอนว่าย่อมไม่สบายตัว“ในยามปกติรู้สึกว่าไม่เป็นไร ทนหน่อยก็ผ่
บนบัลลังก์มังกร เซียวถงเต็มเปี่ยมด้วยจิตวิญญาณของจักรพรรดิ “เรารับพระราชโองการจากเสด็จอา มาทำหน้าที่รักษาการแทนตำแหน่งฮ่องเต้ชั่วคราว ทุกท่านมีเรื่องใดก็เสนอได้”เหล่าขุนนางในราชสำนักมองไปรอบ ๆ ด้วยความงุนงงบางคนถึงกับสงสัยว่าเซียวถงแย่งชิงบัลลังก์ทว่าคิดดูอีกที ฮองเฮาทรงมีทักษะเพียงนั้น ผู้ใดจะกล้าแย่งชิงบัลลังก์?ณ วังหลังเฟิ่งจิ่วเหยียนรู้สึกอาวรณ์อย่างยิ่งที่จะกล่าวอำลาต่อบุตรทั้งสองพวกเขายังคงนอนหลับอยู่ ใบหน้าขณะหลับดูสงบนิ่งเป็นพิเศษ นางจุมพิตบนหน้าผากของพวกเขา หัวใจราวกับถูกบีบเข้าหากันสาวใช้หว่านชิวรู้สึกเศร้าใจ “ฮองเฮา จักต้องเสด็จไปให้ได้หรือเพคะ?”ฮองเฮาทรงตัดใจจากเลือดเนื้อเชื้อไขของตนได้อย่างไร?เฟิ่งจิ่วเหยียนพยักหน้าอย่างหนักแน่นการไปของนางครั้งนี้ จะมีชีวิตอยู่หรือตายยังไม่แน่นอนการพาบุตรทั้งสองคนไปด้วย หนึ่งจะเป็นภาระให้กับนาง สองอาจจะนำภัยอันตรายถึงแก่ชีวิตมาให้พวกเขาการแยกจากบุตร ย่อมต้องทุกข์ใจอยู่แล้ว ทว่าหากให้นางกับลูกรออยู่ในวัง และทนทรมานกับการรอฟังข่าว นางยิ่งไม่ยินยอม“ฮองเฮา หนิงเฟยมาถึงแล้วเพคะ” เฟิ่งจิ่วเหยียนรีบปรับอารมณ์ทันที และเ
ที่ดินที่โซ่วอ๋องได้รับมอบไม่ถือว่าไกลจากเมืองหลวงมากนัก หลังจากได้รับคำสั่งจากฮองเฮา ซื่อจื่อเซียวถงก็ออกเดินทางภายในวันเดียวกันห้าวันต่อมา เซียวถงก็มาถึงพระราชวัง และตรงไปยังห้องทรงพระอักษรเพื่อเข้าเฝ้าครั้งล่าสุดที่เขามาเมืองหลวง ก็คือเมื่อสามปีก่อน ช่วงที่เกิดความวุ่นวายในวิหารบรรพบุรุษ เขาได้รับมอบหมายภารกิจสำคัญจากฮ่องเต้ ให้ขึ้นครองบัลลังก์ชั่วคราว เพื่อหลอกลวงพรรคเทียนหลงกับกองทัพศัตรูให้สับสนในตอนนั้นเขารู้สึกประหลาดใจอย่างมาก พระราชโองการพินัยกรรมของฝ่าบาท ได้แต่งตั้งให้เขาเป็นว่าที่จักรพรรดิครั้งนี้ฮองเฮาทรงเรียกเขามา ไม่รู้ว่ามาเพราะเรื่องใดทว่าก็รู้สึกอยู่ลึก ๆ ว่า น่าจะเกี่ยวข้องกับพระราชโองการพินัยกรรมก่อนที่เขาจะมาเมืองหลวง ท่านพ่อก็ยังเตือนเขาว่า ตอนนี้ฮองเฮาทรงประสูติองค์ชายแล้ว เช่นนั้นเขาที่เคยเป็นคนที่อ้างถึงในพระราชโองการพินัยกรรม ก็เท่ากับเป็นตัวขัดขวางขององค์ชายดังนั้น การมาเมืองหลวงครั้งนี้ ก็เสี่ยงอันตรายอย่างมากในใจของเซียวถงเต็มไปด้วยความสงสัยมากมาย ทว่าสีหน้ายังคงสงบนิ่ง ไม่ถือตัวไม่ถ่อมตนเกินพอดีแต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่เคยสนใจตำแหน่งฮ่องเต้ แล
วันต่อมา องค์หญิงเซี่ยนอี๋เสด็จมาพบองค์ชายสี่ด้วยพระองค์เององค์ชายสี่ทรงยิ้มแย้ม ทำเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น“แขนของน้องหญิงเป็นอย่างไรบ้าง?”องค์หญิงเซี่ยนอี๋โมโหจนเก็บอารมณ์ไม่อยู่“เหตุใดเสด็จพี่ต้องขัดขวางข้า!”รอยยิ้มขององค์ชายสี่เลือนหายไป และตอบอย่างมีเหตุมีผล“เซี่ยนอี๋ ข้าคิดว่าเจ้าแค่พาลไร้เหตุผล นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะโง่เขลาเพียงนี้ เจ้าคิดได้อย่างไรที่จะวางยาผู้อื่น แล้วบังคับขืนใจเขา?“หากเจ้าพลีกายให้กับฮ่องเต้ฉี แล้วจะให้ข้าทูลเสด็จพ่ออย่างไร?“คืนก่อนเจ้าเกือบจะแขนหักไปข้างหนึ่ง ก็น่าจะจำเป็นบทเรียนได้แล้วกระมัง”เซี่ยนอี๋รู้ตัวว่าทำผิดทว่าเรื่องที่นางยังทำไม่เสร็จสิ้น จะไม่ยอมแพ้และเลิกล้มเช่นนี้“หากข้าได้เป็นฮองเฮาของหนานฉี หนานฉีก็จะไม่เล่นงานเป่ยเยี่ยนอีก นี่ไม่ดีหรอกหรือ?”องค์ชายสี่แย้มพระสรวล“เซี่ยนอี๋ หากเสด็จพ่อได้ยินคำพูดนี้ของเจ้า เกรงว่าจะต้องถูกลงโทษสถานหนัก“การเกี่ยวดองของสองแคว้น เดิมทีไม่อาจหยุดยั้งความโหดเหี้ยมของหนานฉีได้“เจ้าจะทำให้ตนเองเสียหายโดยเปล่าประโยชน์ และถูกผู้อื่นหัวเราะเยาะ“บุรุษดี ๆ ในเป่ยเยี่ยนของเรามีมากมาย เหตุใดเจ้าต
ช่วงหลายวันที่เซียวอวี้ถูกขังอยู่ในคุกลับ หาได้นั่งนิ่งรอความตายไม่ จากการสังเกตของเขา องค์ชายสี่แห่งเป่ยเยี่ยนมิได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้เยี่ยน แต่กลับเป็นหินที่ไว้ปูทางเดิน เพื่อผลักดันความทะเยอะทะยานให้องค์ชายเจ็ด หากสามารถโน้มน้าวใจองค์ชายสี่ได้ เขาก็จะหนีออกจากที่นี่ได้ กระนั้น องค์ชายสี่ของเป่ยเยี่ยนไม่โง่ ทันทีที่เขาได้ยินคำพูดของเซียวอวี้ ก็รู้ว่าอีกฝ่ายต้องการชนะใจตน เพื่อยุแยงเขากับเจ้าเจ็ด รวมถึงตัวเขาและเสด็จพ่อด้วย “ฮ่องเต้ฉี ยิ่งพูดยิ่งพลาด ท่านตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ ควรพูดให้น้อยลงจะดีกว่า” องค์ชายสี่พูดจบก็คิดจะเดินจากไป จู่ ๆ เซียวอวี้หัวเราะเยือกเย็นขึ้นมา “ในเวลาหนึ่งเดือน ฮ่องเต้เยี่ยนจะแต่งตั้งองค์ชายเจ็ดเป็นองค์รัชทายาท” องค์ชายสี่หยุดชะงัก ฮ่องเต้ฉีมั่นใจขนาดนั้นเชียวหรือ? ตำแหน่งองค์รัชทายาทนั้นเย้ายวนใจนัก องค์ชายสี่ต้องหันกลับมา พิจารณาเซียวอวี้อีกครั้ง เขาหาได้รุกถามใด ๆ ไม่ เพียงรอให้เซียวอวี้พูดต่ออย่างเงียบ ๆ เซียวอวี้ไม่ทำให้ผิดหวัง เอ่ยอย่างไม่รีบร้อน “กองทัพเยี่ยนเดินทัพลงใต้ เพื่อพิชิตแ
ในคุกลับ เซียวอวี้กินอาหารตามปกติ ไม่นานก็รู้สึกถึงความผิดปกติในร่างกาย เขาตระหนักได้ทันที มันเป็นฤทธิ์ยาปลุกกำหนัด! ดวงตาเย็นชาของเขามืดลง ความโกรธพลุ่งพล่านขึ้นมา ไม่ต้องคิดก็รู้ว่า เป็นฝีมือของผู้ใด จริงตามคาด เพียงไม่นาน องค์หญิงเซี่ยนอี๋ก็มาที่คุกลับ คืนนี้นางแต่งกายอย่างพิถีพิถัน สวมอาภรณ์สีสันสดใส ประทินโฉมประณีตงดงาม สายตาเต็มไปด้วยความทะเยอทะยานและความต้องการครอบครอง นางมองใบหน้าที่แดงเพราะฤทธิ์ยาของเซียวอวี้ รู้สึกปรีดาบนความทุกข์ของผู้อื่น “สิ่งใดที่ข้าอยากได้ ไม่มีคำว่าไม่ได้!” เซียวอวี้พยายามสงบจิตใจอย่างหนัก เพื่อไม่ให้ถูกควบคุมโดยฤทธิ์ยา เขาไม่กล้าคิด หากสัมผัสผู้หญิงคนอื่นแล้ว เขาจะเผชิญหน้ากับจิ่วเหยียยอย่างไรในอนาคต ให้ตาย! เขาอยากจะฆ่าคน ทว่ากลับสูญเสียกำลังภายในทั้งหมด แม้คุกลับจะคุมขังผู้คนไว้มากมาย แต่ห้องขังของเซียวอวี้อยู่ในจุดที่ลับตาคน และเป็นเอกเทศ องค์หญิงเซี่ยนอี๋จึงไม่กลัวที่จะมีคนมารบกวน นางปลดอาภรณ์ชั้นนอกของตนออก หัวเราะอย่างหยาบคาย “ฮ่องเต้ฉี ข้ารอให้เจ้าขอร้องข้าอยู่” ถูกฤ
ตำหนักหย่งเหอ เมื่อไทเฮาและหนิงเฟยมาถึง กลับไม่เห็นฮองเฮา เด็กทารกน้อยร้องไห้ระงมราวกับหัวใจจะแตก แม้พวกนางได้ยินแล้วยังรู้สึกปวดใจนัก หมอหลวงกำลังถวายโอสถให้องค์ชายน้อย ปริมาณยาทำให้คนเห็นแล้วอกสั่นขวัญแขวน หนิงเฟยขมวดคิ้ว อดไม่ได้ที่จะเตือน “พวกเจ้าระวังหน่อย! อย่าทำให้เด็กสำลัก!” ไทเฮาอดไม่ได้ที่จะตำหนิ “ฮองเฮาอยู่ที่ใด? นี่คือลูกชายแท้ ๆ ของนาง กลับทิ้งไว้แบบนี้รึ?” สาวใช้หว่านชิวตอบ “มีรายงานด่วนจากชายแดนเพคะ ฮองเฮาประทับที่ห้องทรงพระอักษร เพื่อหารือกับเหล่าแม่ทัพ...” ไทเฮาทนไม่ไหวอีกแล้ว น้ำเสียงจริงจังขึ้น “หารือตลอดทั้งวัน นางคิดถึงลูกชายทั้งสองบ้างหรือไม่? “คนหนึ่งถูกนางใช้เป็นเครื่องมือว่าราชการหลังม่าน อีกคนถูกนางทิ้งให้โดดเดี่ยวในวังหลัง นางทนได้อย่างไร!” ไทเฮาทราบดีว่าฮองเอามีราชกิจรัดตัว ทว่าเห็นเด็กน้อยที่น่าสงสารเช่นนี้ ก็อดจะทุกข์ใจมิได้ หว่านชิวไม่กล้าโต้แย้ง หนิงเฟยเกลี้ยกล่อม “ท่านป้าเพคะ ฮองเฮาต้องเห็นราชกิจสำคัญที่สุด ส่วนองค์ชายมีหมอหลวงถวายการดูแล เขาจะปลอดภัยแน่นอนเพคะ” ไทเฮามองทารกด้วยค
หลังจากที่ฮ่องเต้เยี่ยนได้ฟังคำขอของพระธิดา ก็หาได้ปฏิเสธทันทีไม่ ฮองเฮาของเซียวอวี้——เฟิ่งจิ่วเหยียน มิใช่สตรีธรรมดา สาเหตุที่เป่ยเยี่ยนพ่ายแพ้ต่อหนานฉีหลายครั้ง ล้วนมีฝีมือของสตรีคนนี้อยู่ในนั้น ถึงแม้เซี่ยนอี๋ไม่เอ่ย เขาก็ต้องการกำจัดเฟิ่งจิ่วเหยียนอยู่แล้ว “ได้ พ่อรับปากเจ้า” องค์หญิงเซี่ยนอี๋รู้สึกพอใจมาก “ขอบพระทัยเสด็จพ่อ!” สิ่งใดที่นางไม่ได้ครอบครอง คนอื่นก็อย่าหวังจะได้ ทว่า ฮ่องเต้เยี่ยนยังไม่หายแคลงใจ เขาถาม “เรื่องในคุกลับนั้น ผู้ใดบอกเจ้า” องค์หญิงเซี่ยนอี๋ยังมีจิตสำนึกอยู่ หาได้ทรยศองค์ชายสี่ไม่ “เป็น...เสด็จพี่เจ็ดเพคะ” สีหน้าของฮ่องเต้เยี่ยนพลันมืดลง เจ้าเจ็ดนี่ เลอะเลือนเกินไปแล้ว! องค์หญิงเซี่ยนอี๋ขอร้อง “เสด็จพ่อ เสด็จพี่เจ็ดก็ถูกหม่อมฉันบังคับ ท่านอย่าตำหนิเขาเลย และอย่าบอกเขาด้วยว่า หม่อมฉันพูด มิฉะนั้นต่อจากนี้เขาคงไม่รักเอ็นดูหม่อมฉันอีกเพคะ” ใบหน้าของฮ่องเต้เยี่ยนแสดงความอดกลั้นไม่ใส่ใจ “ได้ เราเข้าใจแล้ว”…… เมื่อองค์หญิงเซี่ยนอี๋ออกจากวังหลวง ก็ตรงไปที่คุกลับอีกครั้ง ครั้