ตอนเช้า~
บรรยากาศยามเช้าภายในป่านั้นเป็นอะไรทีดีมาก ไม่ว่าจะเป็นอากาสที่สดชื่นเย็นสบาย ไม่มีกลิ่นควันรถหรือกลิ่นควันจากโรงงานอุตสาหกรรม ไม่มีเสียงรถวิ่งหรือเสียงเครื่องจักรดังมีเพียงเสียงนกเสียงสัตว์เล็กต่างที่ตื่นมาส่งเสียงร้อง เพื่อพากันออกหาอาหารแต่เช้าตรู่ เช่นเดียวกับพลอยใสที่ตื่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่างเนื่องจากเมื่อคืนทั้งร้อนทั้งเหนียวตัวนอนไม่ค่อยสบายตัวสักเท่าไหร่ แถมยังรู้สึกว่าร่างกายตัวเองแปลกๆ ไปยังไงไม่รู้จึงต้องรีบตื่นมาสูดอากาศยามเช้า “อ๊า! น้ำเย็นจัง” พลอยใสสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อเธอเดินมาที่ลำธารและเอาเท้าข้างขวาแตะลงไปในน้ำที่ใสแจ๋วแต่มันกับเย็นเหมือนน้ำที่ถูกแช่ในตู้เย็นซะงั้น ในมือเธอตอนนี้กำลังถือถุงสบู่ของตัวเองที่ค้นออกมาจากกระเป๋าไว้ เธอวางมันลงบนโขดหินขนาดใหญ่แล้วหยิบแปรงสีฟันกับยาสีฟันขึ้นมาเพื่อเตรียมล้างหน้าแปรงฟัน ตอนนี้เป็นเวลาเกือบเจ็ดโมงแล้ว แต่ภายในป่านั้นไม่ได้สว่างมากเหมือนนอกป่า แต่ก็ไม่ได้มืดมากเพราะดวงอาทิตย์ก็เริ่มส่องลงมาให้ความสว่างแล้ว “ตื่นเช้าจัง” ร่างสูงในร้อยแปดสิบหกเดินมายืนด้านหลังของพลอยใสที่นั่งยองอยู่ข้างลำธาร เธอจึงหันไปมองก็เห็นว่าเป็นตะโขงที่เดินถือตะกร้าสบู่และหยิบยาสีฟันแปรงสีฟันออกมา “ปกติพวกพี่เข้าห้องน้ำกันที่ไหนเหรอคะ?” เธอหยิบแปรงสีฟันที่อยู่ในปากออกมาแล้วเอ่ยถามเมื่อรู้สึกปวดท้องขึ้นมาแล้ว เนื่องจากเธอติดการเข้าห้องน้ำตอนเช้าเพื่อปล่อยถ่ายของเสียที่กินไปเมื่อวานทิ้งเป็นประจำ “เห็นทางเดินเล็กๆ นั่นมั้ย เดินไปนิดเดียวจะมีห้องน้ำอยู่” “ห้องน้ำคือห้องน้ำจริงๆ ใช่มั้ยคะ?” ที่ถามแบบนี้เพราะคิดว่าห้องน้ำที่เขาบอกนั้นไม่น่าจะเป็นห้องน้ำที่มีส้วมจริงๆ เพราะเธอคิดว่าในป่าแบบนี้คงไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกถึงขนาดนั้นหรอก “ห้องน้ำจริงๆ สิ” “จริงเหรอคะ?” “ฉันจะโกหกเธอทำไมล่ะ” “อ่อ หนูล้างหน้าแปรงฟันเสร็จ เข้าห้องน้ำเสร็จหนูอาบน้ำนะคะ” “ตามสบาย เดี๋ยวฉันล้างหน้าแปรงฟันเสร็จจะไปทำอาหารให้” พูดแล้วตะโขงก็บีบยาสีฟันลงบนแปรงสีฟันจากนั้นก็แปรงฟันล้างหน้าจนเสร็จจึงเดินกลับไปที่กระท่อมโดยไม่ได้ถือตะกร้าสบู่กลับเนื่องจากห็นว่าตะเข้กำลังเดินมา “จะไปไหนเหรอ?” ตะเข้ถามเมื่อพอเขาเดินมาถึง พลอยใสก็รีบบ้วนปากตัวเองแล้วล้างปากทำท่าจะลุกออกไปทั้งที่เธอยังไม่ทันได้ล้างหน้าล้างตาเลยสักนิด หญิงสาวไม่ตอบคำถามของชายหนุ่มเพียงแต่รีบวิ่งไปยังทางที่ตะโขงบอก เมื่อมาถึงก็เห็นว่ามีห้องน้ำขนาดเล็กตั้งเด่นอยู่ เธอจึงเปิดประตูออกเผยให้เห็นว่ามันเป็นโถส้วมแบบนั่งยอง ด้านข้างมีกระป๋องที่บรรจุน้ำอยู่ด้านในด้วย สำรวจเพียงแค่นั้นเมื่อเห็นว่ามันพอที่จะปลดทุกข์ได้เธอก็รีบเข้าไปนั่งปลดทุกข์ทันที ภายในห้องน้ำนี้ถูกสร้างมาจากไม้ไผ่ทั้งหลัง ไม่ว่าจะเป็นเสา ผนัง หรือแม้แต่หลังคาถึงจะไม่ได้ดูหรูหราแต่สำหรับในป่าแบบนี้มีมันก็ถือว่าดีแล้ว มองสำรวจห้องน้ำไม้ไผ่หลังนี้และใช้เวลาปลดทุกข์ไปเกือบสิบกว่านาทีพลอยใสก็ออกมาจากห้องน้ำแล้วเดินไปที่กระท่อมเพื่อหยิบเสื้อผ้าจะไปอาบน้ำต่อ “ทำอะไรกินเหรอคะ?” เสียงหวานเอ่ยถามชายหนุ่มทั้งสองเมื่อเห็นว่าพวกเขากำลังสาละวนอยู่ในครัวเล็กๆ “หุงข้าวแล้วก็จะทอดไข่ กินได้มั้ยกับข้าวแค่นี้?” ตะโขงที่กำลังตอกไข่ใส่ถ้วยเอ่ยถามหญิงสาวตัวเล็กที่ยืนมองพวกเขาทั้งสองคนอยู่ “กินได้ค่ะ แค่ไม่เผ็ดกินได้ค่ะ” “อืม รีบไปอาบน้ำเดี๋ยวพวกพี่จะไปทำงานแล้ว” ตะเข้เอ่ยบอกหลังจากข้าวที่นึ่งไว้นั้นสุกแล้ว เขาจึงไปหยิบกระทะมาตั้งบนเตาเพื่อทำการทอดไข่ต่อ ส่วนพลอยใสก็พยักหน้ารับก่อนจะเดินไปที่ลำธารแล้วถอดเสื้อผ้าตัวเองออกอย่างไม่ได้สนใจว่ามีสายตาของคนที่กำลังอยู่ในครัวนั้นจ้องมองอยู่ “หันหลังให้ครั้งเดียวน้องมันคิดว่าเราจะหันหลังให้ตลอดไปเลยหรือไง” น้ำเสียงสั่นเครือของตะเข้บอกเมื่อได้เห็นเรือนร่างที่ขาวสวยสมบูรณ์ของพลอยใสอีกครั้งและมันชัดกว่าเมื่อคืนนี้อีก แถมดูเหมือนว่าเธอจะไม่ได้สนใจพวกเขาเลยด้วยซ้ำ ร่างเล็กนั่งลงบนโขดหินกลางน้ำแล้วยกขาตั้งขึ้นเพื่อจะถูขากับเท้า แต่หารู้ไม่ว่าท่านี้ของเธอทำให้สองหนุ่มเห็นกลีบดอกไม้งามๆ ได้ชัดขึ้นเพราะพลอยใสหันหน้ามาทางพวกเขาแต่เธอไม่ได้มองเพราะกำลังงมหาอะไรบางอย่างจากใต้น้ำอยู่ “อ่า เจอสักที..หินแบบนี้ขัดผิวจะแสบมั้ยนะ?” หญิงสาวตัวเล็กรำพึงกับตัวเองเมื่อเธอเห็นก้อนหินเล็กๆ จึงอยากนำมันมาลองขัดผิวดูบ้าง “ซี้ดด เจ็บ..” แต่เมื่อถูมันไปที่เท้าก็รับรู้ถึงความแสบขึ้นมาทันที พลอยใสจึงโยนหินก้อนนั้นทิ้งลงไปในน้ำแล้วจัดการล้างหน้าอาบน้ำแทน “เย็นไว้ เย็นไว้…” “บอกตัวเองเหรอ?” ตะเข้หันไปถามตะโขงที่ยืนขบกรามตัวเองท่องอะไรงึมงำอยู่ ขณะที่สายตานั้นก็จ้องไปยังร่างเล็กอย่างไม่วางตา เขาจึงพยักหน้าให้แฝดน้องแล้วยื่นถ้วยไข่ที่ตีเข้ากันแล้วนั้นให้ตะเข้ทอดมันพร้อมกับสะบัดหน้าหนีจากเรือนร่างบางนั่น “เดี๋ยวมึงอยู่กับพลอยนะ กูไปที่โรงงานคนเดียวพรุ่งนี้มึงค่อยไปแล้วกูอยู่กับพลอย” “แล้วเอาไปที่โรงงานด้วยไม่ได้เหรอ?” “ที่โรงงานมีแต่ผู้ชายหื่น ขืนเอาน้องไปแล้วเดี๋ยวจะไม่ปลอดภัยเอา” “อืม โอเค” “อย่าเพิ่งทำอะไรน้องนะ รอทำพร้อมกู” “เออ กูรู้หรอกน่า” ตอบรับแฝดพี่แล้วก็จัดการถอดไข่รอสาวน้อยที่ตอนนี้ยังคงนั่งเล่นน้ำอยู่ ส่วนตะโขงเขาเดินไปหยิบเนื้อสัตว์จากถังแล้วเดินตรงไปที่พลอยใสด้วยสีหน้าที่แดงก่ำเหมือนกำลังกลั้นอารมณ์ความต้องการของตัวเองไว้อยู่ และเมื่อเขาเดินมาหยุดข้างลำธารพลอยใสก็ต้องยกมือขึ้นมาปิดหน้าอกกับของสงวนของตัวเองซึ่งมันไม่ได้ปิดมิดอะไรเลย “พี่โขง หนูอาบน้ำอยู่…” “ฉันเห็น แค่จะเอาอาหารมาให้ควอน” ตะโขงบอกด้วยน้ำเสียบเรียบๆ เขาพยายามจะไม่สนใจกับเรือนร่างของพลอยใสที่มันช่างขาวยั่วยวนสะดุดตานั่น ทว่าเจ้าตัวเล็กเมื่อได้ยินชื่อของสัตว์เลี้ยงก็รีบลุกขึ้นจากโขดหินแล้วเดินมายืนด้านหลังของตะโขงแทน “ขึ้นมาทำไมล่ะ ยังอาบน้ำไม่เสร็จไม่ใช่เหรอ?” แค่เธอนั่งมันก็ทำให้ใจเขาสั่นแล้ว แต่พอเธอลุกออกมายืนแบบนี้มันยิ่งทำให้เขาอยากจะจับเธอให้นอนบนพื้นดินแล้วกระแทกเธอให้ความต้องการของตัวเองหายไปซะ “อาบเสร็จแล้ว” พลอยใสตอบด้วยน้ำเสียงอ่อน แล้วเดินไปหยิบผ้าขนหนูมาพันตัวก่อนจะมายืนด้านหลังของตะโขงเหมือนเดิมเมื่อเห็นว่าสัตว์เลี้ยงของเขากำลังคลานย้อนสายน้ำขึ้นมาหาเขา “ยังไม่ได้ออกไปล่าสัตว์ เอาเนื้อเก่าไปก่อนนะ” ตะโขงพูดแล้วก็วางเนื้อสัตว์ที่โชกไปด้วยเลือดนั้นลงบนพื้น ควอนจึงขยับเข้ามากินมันอย่างเอร็ดอร่อยและหมดไปในเพียงเวลาไม่ถึงห้านาที “นี่พลอยใส นายต้องจำเธอไว้ให้ได้นะ” “พะ พี่โขงจะทำอะไร?” น้ำเสียงที่ตะกุกตะกักของพลอยใสเอ่ยบอกเมื่อเขาดึงแขนของเธอที่ยืนอยู่ด้านหลังนั้นให้มายืนด้านหน้าควอน ตะโขงไม่ตอบเพียงแต่พยามดันแผ่นหลังของพลอยใสให้ขยับเข้าไปทำความคุ้นเคยกับสัตว์เลี้ยงของเขา “อื้อ ยะ อย่าเข้ามานะ” ดวงตากลมปิดสนิททันทีเมื่อเจ้าควอนกำลังคลานเข้ามาหาเธอ และมันก็หยุดอยู่ที่เท้าเล็กๆ ของพลอยใสก่อนจะส่งเสียงออกมาเล็กน้อยแล้วหันหลังกลับลงไปในน้ำว่ายจากไปอย่างง่ายดาย “มันไปแล้ว รีบใส่เสื้อผ้าซะ” “เอ่อ ค่ะ” จากนั้นพลอยใสก็ใส่เสื้อผ้าแล้วเดินกลับไปที่กระท่อมก่อนจะนำเสื้อผ้าไปใส่ตะกร้าแล้วก็ปะแป้งเล็กน้อยก่อนจะเดินมานั่งที่เก้าอี้ในครัว ซึ่งบนโต๊ะนั้นมีจานข้าวเปล่าวางอยู่สามจาน จานไข่เจียวหนึ่งจานและแก้วน้ำเปล่าอีกคนละใบ “เดี๋ยวฉันจะไปทำงาน เธออยู่กับไอ้เข้นะ” “ไปทำงานที่ไหนคะ ทำงานอะไรในป่าแบบนี้มีงานทำด้วยเหรอคะ?” “ไม่ต้องรู้หรอก! รีบกินไปซะ!” “ทำไมพี่โขงดุจัง” ร่างบางเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา ถึงเขาจะไม่ได้แสดงท่าทีที่ดุออกมาแต่คำพูดที่น้อยๆ นิ่งๆ ของเขามันเลยทำให้เขาดูเป็นคนที่ดุสำหรับเธอยังไงไม่รู้ “ฉันไม่ได้ดุ!” “แต่การที่พี่ทำสีหน้านิ่งๆ พูดจาเย็นชาแบบนั้นทำให้พี่เป็นคนดุนะ” “ฉันพูดจาเย็นชา เหรอเข้?” เหมือนตะโขงจะไม่รู้ตัวว่าแสดงความเย็นชาใส่พลอยใสทางคำพูดและสีหน้าเขาจึงหันไปถามตะเข้ ซึ่งก็พยักหน้าให้ คือสำหรับผู้ชายด้วยกันมันอาจจะดูปกติแต่สำหรับผู้หญิง และโดยเฉพาะผู้หญิงแบบพลอยใสมันอาจจะดูเย็นชา ดูเป็นผู้ชายที่ดุแบบไม่ได้ตั้งใจทำ “ที่จริงมันเป็นแบบนี้อยู่แล้วอย่าไปถือสามันเลย” “อ่อ หนูอาจจะคิดมากไป แล้วหนูต้องอยู่ที่นี่ไปตลอดชีวิตเลยเหรอคะ?” “คนในเมืองในกรุงแบบเธอนี่ชอบคุยเวลากินข้าวเหรอ!?” เพราะนั่งกินข้าวทีไรแม่สาวน้อยนี่ก็ขุดคุ้ยสรรหาเรื่องมาถามทุกครั้ง หากไม่มีเธอนั่งอยู่ด้วยพวกเขาสองพี่น้องก็แค่ทอดไข่ราดข้าวนั่งกินไม่ถึงสามนาทีก็อิ่มกันแล้ว แต่นี่จะสิบนาทีอยู่แล้วข้าวในจานพวกเขายังไม่ลดลงเลย “ใช่ค่ะ หนูกับพ่อแม่ชอบคุยไปกินไปกับข้าวจะได้อร่อยด้วย” “เหรอ” “ค่ะ ว่าแต่ที่หนูถามไปตอบได้มั้ยคะ?” “ถ้าพลอยไม่อยู่ที่นี่กับพวกพี่แล้วจะไปอยู่ไหนล่ะ?” เป็นตะเข้ที่ถามกลับเพราะดูเหมือนว่าตะโขงจะเริ่มรำคาญกับความพูดมากของแม่สาวน้อยนี่แล้ว ถึงแฝดพี่ของเขาจะเป็นคนชอบเรื่องเซ็กส์ชอบกินผู้หญิงไม่ต่างจากเขา แต่ก็มักจะไม่ชอบคนที่พูดมากดังนั้นตะโขงจึงไม่ค่อยพูดมากกับใครนอกจากพ่อแม่และเขา “ก็ไปอยู่ที่หมู่บ้านกับคุณป้าคุณลุงไงคะ” “ในป่าแบบนี้ไม่มีคุณลุงคุณป้าหรอก” “หมายความว่าไงคะ?” “ก็ในป่านี่มีแต่พวกพี่สองคนนี่ไง” “อ๊า แล้วแบบนี้หนูจะได้กลับบ้านจะได้ออกจากป่ามั้ยคะ?” “ก็ต้องดูว่าพลอยเชื่อฟังพวกพี่มากน้อยแค่ไหน?” “แล้ว…” “กินข้าวเถอะ เดี๋ยวพาไปเดินเล่น” ตะเข้จึงต้องรีบตัดบทเมื่อพลอยใสกำลังจะถามต่อ ถึงแม้รูปร่างหน้าตาเธอดูจะเป็นผู้หญิงเรียบร้อย ดูใสๆ แต่กลับมีความพูดมากอยู่พอตัว หากปล่อยให้พูดเขาเชื่อว่าเธอน่าจะพูดมันได้ทั้งวันหลังจากวิลเลี่ยมถูกจับสองหนุ่มฝาแฝดก็ถูกจับไปพร้อมกับผู้ใหญ่ช้าง ชาวบ้านหรือครอบครัวต่างไม่มีใครคัดค้านหรืออะไรเพราะหลักฐานทั้งหมดมัดตัวพวกเขาไว้แน่นแล้ว ทุกคนจึงต้องหันไปดำเนินชีวิตของตัวเองตามปกติ เช่นเดียวกับพลอยใสที่ตอนนี้ย้ายกลับมาอยู่กรุงเทพได้เดือนกว่าแล้วเรื่องที่ธุรกิจของบ้านล้มละลายไปหมดนั้นคุณพลวัฒน์ก็กอบกู้คืนมาได้ทุกอย่างและตอนนี้พลอยใสก็กำลังอยู่ในช่วงเรียนรู้งานเพื่อบริหารงานต่อจากผู้เป็นพ่อที่ไปมีแฟนใหม่เป็นชาวต่างชาติที่คอยช่วยเหลือเขามาตลอดและตั้งใจจะปักหลักอยู่ที่นั่นเลยต้องสอนงานเธอไว้ส่วนแม่ของเธออย่างคุณญานีนนั้นล่าสุดเธอได้ข่าวว่าไปมีสามีเป็นชาวต่างชาติอีกแล้ว และก็เลิกกันจากนั้นก็เงียบหายไปสองสามวันจนเมื่อวานสร้อยฟ้าไปเห็นมาว่ากำลังคบกับเจ้าของร้านอาหารและทำงานอยู่ที่นั่น เธอไม่ได้ทิ้งเพียงแต่ไม่อยากใช้ชีวิตอยู่กับแม่ตัวเองแล้วแต่หากแม่ลำบากถ้าเธอช่วยได้ก็จะช่วยไม่ทิ้งแน่นอน“สร้อย แต่งตัวเสร็จยังจะสายแล้วนะ?”“เสร็จแล้วจ้า” เสียงหวานของเพื่อนสาวรุ่นน้องเดินออกมากห้องนอนในชุดนักศึกษา ทว่าสภาพผมนั้นชี้ฟูพันกันไปหมด ภายใต้กรอบแว่นสายตานั้นคล้ำเหมือนคนไม่ได้หลับ
“น้องพลอย พ่อโทรมาหา” หลังจากสองหนุ่มเดินออกไปแล้วคุณใบไม้ก็เดินกลับเข้ามาพร้อมกับยื่นโทรศัพท์ของตนให้พลอยใสโดยที่หน้าจอนั้นแสดงการโทรระหว่างคุยแล้ว มือเล็กจึงรับมันมาด้วยรอยยิ้มอ่อนๆ“คุณพ่อขา…”(น้องพลอย เป็นไงบ้างใบโทรมาบอกว่าลูกเกือบโดนไทเกอร์ข่มขืน น้องพลอยเจ็บตรงไหนหรือเปล่า?) น้ำเสียงที่เป็นห่วงเป็นใยของพลวัฒน์เอ่ยถามบุตรสาวด้วยความกังวล“หนูไม่เป็นอะไรค่ะ พี่เกอร์ตายและพี่แฝดเขา…ถูกตำรวจจับไปแล้ว”(อ่า ใบบอกพ่อแล้ว ทำไงได้ล่ะหลักฐานมัดแน่นขนาดนั้น)“อืม หนูคิดถึงคุณพ่อที่สุดเลย คุณพ่อขาหนูเจอคุณแม่ที่หมู่บ้านเขาไม่ให้หนูเรียกเขาว่าแม่ด้วย หนูน้อยใจมากเลย” เสียงเจื้อยแจ้วของพลอยใสเอ่ยฟ้องผู้เป็นพ่อเหมือนกับเด็กน้อยไม่มีผิด สร้างรอยยิ้มให้กับคุณใบไม้ขึ้นมาได้บ้าง เธอเดินไปนั่งบนโซฟาปลายเตียงแล้วมองลูกสะใภ้ด้วยสายตาที่อ่อนโยน(น้องพลอย พ่อรักน้องพลอยนะน้องไม่ต้องไปสนใจแม่หรอกเขาก็เป็นแบบนั้นอยู่แล้ว รู้แค่ว่าพ่อรักน้องพลอยก็พอ)“หนูรู้ว่าพ่อรักหนู คุณพ่อขาถ้าคุณพ่ออยากมีแฟนใหม่หนูอนุญาตนะคะคุณพ่อมีได้เลย คุณพ่อจะได้ไม่เหงา”(พ่อยังไม่ได้สนใจเรื่องนั้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพ่อจะอ
@โรงพยาบาลภายในห้องพักฟื้นขนาดกลางร่างเล็กที่ลืมตาตื่นมานานนับหลายนาทีแล้วยังคงนอนมองเพดานอยู่แบบนั้น จนกระทั่งมีคนเปิดประตูเข้ามาเธอจึงหันไปมองก็เห็นว่าเป็นคุณใบไม้ที่เดินเข้ามาด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยดีนัก แต่พอเห็นคนบนเตียงฟื้นแล้วหล่อนก็ปรับสีหน้าให้เป็นยิ้มแย้มแทน“ฟื้นแล้วเหรอ นี่แม่ซื้อผลไม้มาฝากหลายอย่างเลยนะ” คุณใบไม้บอกพลางนำถุงผลไม้ที่ซื้อจากด้านล่างโรงพยาบาลวางไว้บนโต๊ะข้างหัวเตียง พลอยใสจึงหยัดกายลุกขึ้นนั่งแล้วยิ้มหวานให้คนตรงหน้า“ขอบคุณค่ะ แล้วพี่โขงพี่เข้ล่ะคะ?”“เอ่อ สองคนนั้น…ช่วยพ่อที่หมู่บ้านน่ะ ที่หนูบอกเขาไงว่าวิลเลี่ยมจะขโมยพระพุทธรูป เขาเลยต้องช่วยพ่อจัดการ”“เขาถูกตำรวจจับตัวไปแล้วเหรอคะ?” พลอยใสไม่ได้สนใจประโยคที่ไม่จริงของแม่สามีเพียงแต่ถามหล่อนกลับ ซึ่งมันก็ทำให้คุณใบไม้ถึงกลับเม้มปากตัวเองแน่นก่อนจะพยักหน้าให้เบาๆ“น้องพลอยจะไปไหน?” เธอรีบเดินไปกดตัวพลอบใสที่ตั้งท่าจะลงจากเตียงไว้“ไปหาเขา…”“ตอนนี้พ่อกับชาวบ้านช่วยเคลียร์เรื่องให้อยู่ที่โรงพัก หนูเพิ่งเย็บแผลเดี๋ยวแผลจะฉีก”“แต่พวกเขา…”“แม่น่ะ เคยเตือนพวกเขาแล้วว่าหากวันใดถูกตำรวจจับก็ต้องติดคุก เคยบ่นเคยพ
เช้าวันต่อมา“พลอยครับ เช้าแล้วนะ” ตะเข้เขย่าตัวของพลอยใสเบาๆ เมื่อตอนนี้แสงแดดเริ่มส่องแสงลงมาแล้ว พวกเขาตื่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่างแล้วก็ไปจัดการล้างหน้าแปรงฟันเรียบร้อยแล้ว ส่วนตอนนี้ก็มานั่งปลุกเจ้าตัวเล็กที่ยังนอนขลุกอยู่ใต้ผ้าห่ม“ปะ ปวดหัว…”“หื้ม เข้ดูน้องดิ๊ตัวร้อนมั้ย?” ตะโขงที่ยืนสูบบุหรี่อยู่หน้าประตูถามขึ้น ตะเข้จึงดึงผ้าห่มออกจากตัวของพลอยใสแล้วเอื้อมมือไปแตะที่หน้าผาก แล้วก็รีบชักกลับมาเมื่อตัวของพลอยใสร้อนจี๋“ตัวร้อน”“ไม่สบายอีกแล้ว รีบพากลับบ้านเถอะ”“ไม่มีรถด้วยนะ แล้วถ้าออกไปเจอตำรวจล่ะ?” น้ำเสียงที่กังวลของตะเข้เอ่ยถามแฝดพี่ ใจนึงก็เป็นห่วงพลอยใสอีกใจก็กลัวว่าตำรวจจะรอจับพวกเขาอยู่ด้านนอก“เจอก็แค่ถูกจับ…” มือหนาโยนบุหรี่ลงพื้นแล้วใช้เท้าขยี้มันจนแหลกแล้วหันไปบอกกับแฝดน้องที่มีสีหน้าดูกังวล หนีมาตั้งแต่เมื่อวานแล้วยังไงก็ต้องกลับบ้านและก็ต้องถูกจับอยู่ดี หนีต่อไปก็เท่านั้น…“มันหลายปีนะมึง”“แล้วจะทำยังไง กูกับมึงก็ช่วยกันทำกันอยู่สองคนมึงจะปฏิเสธว่าไม่ได้ทำเหรอ?”“กูไม่รู้ ถ้าเราโดนจับแล้วน้องพลอยล่ะ น้องไม่มีใครนะมึง”“กูก็ไม่รู้ ตอนนี้รีบพาออกไปที่บ้านเถอะ แผลก็
“มีใครอยู่ตรงนั้นหรือเปล่า?” เสียงทุ้มดังขึ้นพร้อมกับไฟฉายในมือหนาที่สาดส่องไปตามลำธาร เขาก้มมองสัตว์เลี้ยงตัวใหญ่ที่คืบคลานสวนกระแสสายน้ำขึ้นไปแล้วหันไปมองคนข้างกายแล้วเอ่ยถามขอความเห็น“ตามไปมั้ย?”“ตามไปดิ มันคงไม่พาเราไปหาตำรวจหรอกมั้ง” ตะโขงตอบเรียบๆ แล้วเดินตามควอนไปเรื่อยๆ ไฟฉายในมือก็สาดส่องไปรอบๆ เพื่อดูว่าสิ่งที่ควอนอยากให้พวกเขาไปดูนั้นคืออะไร จนมาหยุดอยู่ที่จุดหนึ่งซึ่งตรงนั้นลึกอยู่พอสมควรและควอนก็ดูเหมือนจะหาอะไรสักอย่างด้วยความตื่นกลัว มันว่ายวนไปบริเวณนั้นจนน้ำกระเพื่อมเสียดัง“ควอนนายไม่ต้องหาแล้ว” ตะเข้ที่ใช้ไฟฉายส่องด้านข้างลำธารเอ่ยขึ้นเมื่อไฟฉายของเขาไปกระทบกับร่างเล็กที่นอนพิงต้นไม้ใหญ่อยู่ พวกเขาไม่รอช้ารีบเดินเข้าไปหาคนตัวเล็กทันที ตะโขงยื่นไฟฉายในมือให้ตะเข้ส่วนตัวเขาก็ประคองตัวพลอยใสไว้“พลอย! พลอยตื่น! พลอย!”“น้องมาอยู่ที่นี่ได้ไง รีบพาไปที่พักเถอะ” แล้วตะโขงก็อุ้มพลอยใสก่อนจะพาเดินลุยน้ำกลับไปที่พักของเขาซึ่งเป็นกระท่อมขนาดเล็กที่ไว้นอนเพียงอย่างเดียว ใช้เวลากว่าห้านาทีพวกเขาก็มาถึงกระท่อม“พลอยครับ พลอย!…มึงหัวน้องแตก มือด้วย เข่ากับข้อศอกอีกนั่น!” ตะเข้
ร่างเล็กเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นเมื่อได้ยินเสียงคนวิ่งตามหลังมา เธอไม่หันหลังไปมองคนพวกนั้นเลยสักนิดเพราะหากหันไปแล้วเจอคนพวกนั้นเธอคงหมดแรงวิ่งอย่างแน่นอน และที่เธอเลือกวิ่งเข้าป่ามากว่าวิ่งไปตามทางเพราะหากวิ่งไปตามทางไทเกอร์กับลูกน้องก็คงขับรถตามเธอและจับเธอได้เร็วกว่า“แฮ่กๆ เหนื่อยจัง..” มือเล็กยกขึ้นมาปาดเหงื่อบนใบหน้าของตัวเองขณะที่ฝีเท้ายังคงวิ่งอยู่ตลอดเวลา ตอนนี้เธอไม่รู้ว่าตัวเองวิ่งเข้ามาลึกแค่ไหนแล้วเพราะมองไปทางไหนก็มีแต่ป่า” พะ พลอย ยอมมากับพี่ดีๆ แฮ่กๆ อย่าให้พี่ใช้ความรุนแรงเลยนะ!!” เสียงของไทเกอร์ตะโกนลั่นป่า น้ำเสียงที่กระท่อนกระแท่นของเขานั้นบ่งบอกถึงความเหนื่อยได้ไม่ต่างจากคนตัวเล็กเลยสักนิดซ่า! แต่แล้วฝนเม็ดใหญ่ก็ตกลงมาสู่พื้นหลังจากที่ฟ้ามืดครึ้มอยู่นาน พลอยใสหยุดวิ่งแล้วขยับไปยืนแอบอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ ทั้งที่เมื่อครู่ฟ้ายังสว่างอยู่แต่พอฝนลงเม็ดมาเท่านั้นอยู่ๆ ฟ้าก็มืดจนทำให้ภายในป่าก็มืดตามไปด้วย“พวกมึงหาทางออกจากป่าดิ๊” ไทเกอร์บอกกับลูกน้องเมื่อมองไปรอบตัวแล้วเริ่มสับสนกับทางออกเพราะวิ่งเลี้ยวไปมาจนมันงงไปหมดแล้ว ลูกน้องของไทเกอร์ที่ได้รับคำสั่งก็แยกย้ายกันเดิน