ログインจันทร์รวีเหวี่ยงตุ๊กตาตัวโปรดลงกับพื้นอย่างแรง เสียงกระแทกดัง “ปัก!” ก้องอยู่ในห้องเช่าแคบ ๆ แววตาของเธอฉายชัดทั้งความหงุดหงิดและความเจ็บใจ
“เกือบแล้วเชียว...เกือบจะจับเจ้าเสี่ยอ้วนได้ง่าย ๆ อยู่แล้ว!” เธอพึมพำกับตัวเอง เสียงแผ่วแต่แฝงความเกรี้ยวกราด
“เสียดายที่เมียมันรู้เรื่องเร็วกว่าที่คิด...ถ้าช้าอีกสักสองสามวัน ไอ้เสี่ยอ้วนนั่นเสร็จกูแน่”
หญิงสาวเดินวนไปมาด้วยท่าทางกระวนกระวาย ใจไม่เป็นสุข
แผนที่วางไว้เป็นเดือนพังไม่เป็นท่า เพราะมีใครบางคนในบริษัทปากไว แอบไปฟ้องยัยเถ้าแก่เนี้ยนั่นเสียก่อน
“ซวยจริง ๆ เชียว!” จันทร์รวีสบถออกมาพร้อมกับคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาดูเงาสะท้อนในหน้าจออย่างหัวเสีย แก้มข้างหนึ่งบวมปูดขึ้นจนเห็นได้ชัด เธอยกมือแตะเบา ๆ แล้วร้อง “โอ๊ย!” ด้วยความเจ็บ
“โดนนังหมูตอนนั่นตบซะหน้าบวมเลย ดั้งกูเพิ่งทำมาใหม่ยังไม่ทันเข้าที่ดีเลย!” เธอบ่นพึมพำกระปอดกระแปดพลางหมุนตัวไปมาหน้ากระจก
“ไม่รู้จะกระเทือนโดนข้างในรึเปล่า เดี๋ยวต้องโทรหาหมอให้ดูหน่อยซะแล้ว...แบบนี้ไม่ได้เด็ดขาด!” เธอกดเบอร์คลินิกเสริมความงามเจ้าประจำทันที
น้ำเสียงที่เคยอ่อนหวานถูกแทนที่ด้วยความร้อนรน
“สวัสดีค่ะ...จะขอนัดหมออาร์ตด่วนหน่อยค่ะ ดั้งโดนกระแทกแรง...เอ่อ หมายถึงพอดีมีอุบัติเหตุนิดหน่อยค่ะ”
เมื่อปลายสายตอบกลับว่า หมอจะว่างพรุ่งนี้ช่วงบ่าย จันทร์รวีก็ถอนหายใจแรง ๆ
“ให้มันได้อย่างนี้สิ...นอกจากจะโดนตบหน้าเยินแล้ว ยังต้องมานั่งรักษาหน้าอีก!”
เธอพึมพำเสียงหงุดหงิด ก่อนเดินไปหยิบแผ่นเจลเย็นจากตู้เย็นมาวางบนแก้มอย่างทะนุถนอม
ไม่ใช่เพราะกลัวเจ็บ...แต่กลัว “ความสวยจะเสียทรง” มากกว่า
ระหว่างที่จันทร์รวีกำลังประคบหน้า มืออีกข้างก็เลื่อนดูข่าวในโทรศัพท์ไปอย่างไร้จุดหมาย ทั้งข่าวบันเทิง ข่าวสังคม และข่าวธุรกิจ เธอเลื่อนผ่านไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งสายตาหยุดนิ่งอยู่ที่ภาพของชายคนหนึ่ง ภาพในบทความที่เธออ่านซ้ำมาแล้วหลายรอบตลอดหลายวันที่ผ่านมา ด้วยความสนใจที่ไม่อาจอธิบายได้
“ภูวินทร์ ชนะวุฒิเดช”
นักธุรกิจหนุ่มไฟแรง เจ้าของบริษัทสตาร์ทอัพด้านไอที ที่เพิ่งติดอันดับ 1 ใน 10 บริษัทมาแรงประจำปี
“ผัวพี่นิจหล่อขึ้นนะ แถมยังดูมาดดีอีก...น่าสนใจจริง ๆ” เธอพึมพำกับตัวเองเบา ๆ แววตาเป็นประกายวับด้วยความสนใจ จันทร์รวีเคยพบภูวินทร์มาก่อนแล้วครั้งหนึ่ง ในวันแต่งงานของเขากับคะนึงนิจ
“แถมยังเป็นเจ้าของบริษัทที่กำลังไปได้สวยอีกต่างหาก” รอยยิ้มบางผุดขึ้นบนมุมปาก ก่อนกลายเป็นรอยยิ้มเจือเลศนัย
“สาธุ...ขอให้พี่นิจช่วยพูดให้ได้งานในบริษัทผัวเธอด้วยเถอะ คราวนี้กูจะทำให้หลงจนโงหัวไม่ขึ้นเลยคอยดู ขอให้มีโอกาสสักครั้งเถอะ” เธอพูดพลางหัวเราะหึในลำคอ
“หล่อ ๆ แบบนี้ หายากจะตาย สมัยนี้ เจอแต่พวกรวยแต่เขือ หล่อแต่กินไม่ได้ ส่วนพวกรวยจริงก็อ้วนพุงยุ้ย มีเมียมีลูกเป็นโขยง” เธอสบถพลางถอนหายใจ
“ไอ้เสี่ยเม้งที่เคยเลี้ยงกูก็ดันไปติดกลิ่นใหม่อีก...ทีนี้จะเอาเงินที่ไหนไปอัปหน้า อัปนม กระเป๋า L ก็เพิ่งออกคอลเล็กชั่นใหม่อีกต่างหาก เฮ้อ...”
เธอวางโทรศัพท์ลง มองเงาตัวเองในกระจก...แววตาที่มุ่งมั่นและเย็นชาในคราวเดียวกันฉายชัดออกมา
“ถ้าชีวิตมันจะพลิก...คราวนี้ต้องให้มันพลิกกลับมาเข้าข้างกูบ้างแล้วล่ะ”
...
วันนี้ภูวินทร์กลับถึงบ้านตั้งแต่บ่ายสอง ทำเอาคะนึงนิจเผลอทำตัวไม่ถูกไปชั่วครู่ เพราะปกติแล้วเขามักจะกลับถึงบ้านตอนเย็น หรือไม่ก็ค่ำไปเลย ด้วยภาระงานที่บริษัท
ภูวินทร์เอื้อมมือรับลูกชายจากอ้อมแขนของคะนึงนิจเพื่อช่วยอุ้ม เจ้าหมูน้อยช่วงนี้น้ำหนักเพิ่มเอา ๆ เนื้ออวบแน่น แก้มกลมน่าฟัด เขาก้มลงระดมหอมทั่วพวงแก้มจนเจ้าตัวเล็กหัวเราะคิกคักเสียงใส
“นิจครับ พี่คัดประวัติพี่เลี้ยงกับแม่บ้านมาให้นิจลองดูไว้หกคน นิจช่วยเลือกดูหน่อย แต่ละคนมีประวัติดี ไม่มีคดีติดตัว พี่ให้วิทยาตรวจสอบอย่างละเอียดเรียบร้อยแล้ว เอกสารอยู่บนโต๊ะนั่นครับ”
ภูวินทร์พูดพร้อมส่งยิ้มอ่อนโยน เขาอุ้มลูกชายไว้แน่น ก่อนเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงอบอุ่น
“เดี๋ยวพี่ดูเจ้าหมูน้อยนี่เอง นิจไปดูเอกสารเถอะ ถ้าเลือกได้แล้ว พี่จะรีบทำสัญญาจ้าง จะได้ให้เขามาช่วยนิจเร็ว ๆ หน่อย เจ้าตัวเล็กนี่หนักขึ้นทุกวัน ขนาดอุ้มแป๊บเดียว พี่ยังเริ่มเมื่อยแขนเลย”
เขาพูดพลางแอบจิ้มแก้มกลมของลูกชายอย่างมันเขี้ยว
เจ้าหมูน้อยหัวเราะคิกคัก ยิ้มแป้นจนตาหยี เหมือนจะรู้ว่า “เจ้าหมูน้อย” ที่พ่อพูดถึงก็คือตัวเองนั่นแหละ
คะนึงนิจนั่งดูแฟ้มประวัติของผู้สมัครที่ภูวินทร์คัดมาให้ด้วยสีหน้าครุ่นคิด
เธอใช้เวลาอ่านอย่างละเอียด ไล่ดูทีละแผ่น ทีละบรรทัด จนในที่สุดก็สามารถคัดออกมาได้สองคนที่ดูเหมาะสมที่สุด
คนแรกชื่อ “ฝน” เด็กสาวต่างจังหวัด จบเพียงชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น เพราะทางบ้านขัดสน พ่อแม่ทำอาชีพรับจ้างไม่มีเงินส่งเรียนต่อ ฝนตัดสินใจเข้ากรุงเทพฯ มาหางานทำ เคยเป็นผู้ช่วยเลี้ยงเด็กในโรงเรียนอนุบาลแห่งหนึ่ง มีใบรับรองงานจากทางโรงเรียนซึ่งระบุชัดถึงความขยันและรับผิดชอบ นอกจากนี้ เมื่อภูวินทร์ให้เลขาฯ ตรวจสอบประวัติย้อนหลัง ก็ไม่พบช่วงเวลาว่างงานหรือพฤติกรรมที่น่าสงสัยเลย
อีกคนชื่อ “พร” อายุ 50 ปี หญิงใจดีใบหน้าสุภาพ เคยทำงานเป็นแม่ครัวในร้านอาหารหลายแห่ง หลังสามีเสียชีวิตและลูก ๆ ต่างแยกย้ายไปทำงาน เธอตัดสินใจสมัครเป็นแม่บ้านเพื่อแบ่งเบาภาระของลูก และอยากใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์
คะนึงนิจยกแก้วน้ำขึ้นจิบเบา ๆ พลางทอดสายตามองเอกสารทั้งสองชุดอยู่ครู่หนึ่งก่อนบอกกล่าวแก่ภูวินทร์ถึงการตัดสินใจของตนเอง
ภูวินทร์เลือกที่จะให้อิสระแก่ภรรยาอย่างเต็มที่ในการตัดสินใจ เพราะลูกจ้างทั้งสองคนนี้จะต้องอยู่กับเธอตลอดทั้งวันในช่วงที่เขาไม่อยู่บ้าน และคนที่เขาคัดมาทั้งหมดก็ผ่านการตรวจสอบประวัติอย่างละเอียดจากเขาอีกชั้นหนึ่งแล้ว จึงมั่นใจได้ว่าไว้ใจได้แน่นอน
เขาหวังว่า การมีคนมาช่วยดูแลทั้งบ้านและลูก จะทำให้คะนึงนิจได้มีเวลาพักผ่อนมากขึ้น ไม่ต้องเหนื่อยกับลูกน้อยที่ยิ่งโตก็ยิ่งซน อยากรู้อยากเห็นไม่รู้จบ และไม่ต้องวุ่นวายกับการดูแลบ้านที่หนักหน่วงทุกวัน
แม้ที่ผ่านมาเขาจะเคยจ้างแม่บ้านชั่วคราวมาช่วยอยู่บ้าง แต่ก็ไม่เหมือนกับการมีแม่บ้านประจำที่อยู่กับบ้านและเข้าใจจังหวะชีวิตของครอบครัวจริง ๆ
เขาเพียงหวังว่า อย่างน้อยที่สุด คะนึงนิจจะได้หายเหนื่อย และมีรอยยิ้มกลับมาสดใสเหมือนเดิม
...
คะนึงนิจรีบกดรับสายทันทีที่เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นได้เพียงกริ๊งแรก โชคดีที่เป็นช่วงเวลาที่ภาคินทร์เพิ่งหลับกลางวันพอดี ไม่อย่างนั้นอาจจะกลายเป็นเรื่องยาวเลยทีเดียว
เพียงแค่ได้ยินเสียงของหนุ่ย น้องชายเพียงคนเดียวของเธอ...หัวใจของคะนึงนิจก็อุ่นวาบขึ้นมาอย่างประหลาด เธอรู้สึกเหมือนได้ย้อนเวลากลับไปยังช่วงชีวิตที่ยังมีน้องชายอยู่ข้าง ๆ ช่วงเวลาที่เสียงหัวเราะของเขาเคยทำให้บ้านทั้งหลังมีชีวิตชีวา
มันผ่านมานานเหลือเกิน...
ในชาติที่แล้ว เขาจากไปตั้งแต่อายุเพียงยี่สิบห้าปี ทิ้งความทรงจำความเศร้าเสียใจถาโถมในใจเธอ และวันนี้ การได้ยินเสียงของเขาอีกครั้งในโลกใหม่นี้...ก็เหมือนโชคชะตากำลังมอบของขวัญชิ้นล้ำค่าให้เธออีกครั้ง
“พี่นิจคร้าบบบบบ~ กำลังยุ่งอยู่หรือเปล่า”
เสียงของหนุ่ยดังสดใสปลายสาย
“ไม่ยุ่งเลยจ้ะ น้องคินเพิ่งหลับไปพอดี มีเวลาคุยกันยาว ๆ เลย” คะนึงนิจตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ก่อนจะถามต่อรัว ๆ อย่างคนคิดถึง
“หนุ่ยล่ะ เป็นยังไงบ้าง ช่วงนี้เรียนหนักมากไหม ได้กินข้าวครบทุกมื้อหรือเปล่า แล้วอากาศช่วงนี้ฝนตกบ่อย อย่าลืมพกร่มนะ ถ้าเห็นฝนตั้งเค้าอย่าเดินตากฝนเด็ดขาดนะ เดี๋ยวจะไม่สบาย”
หนุ่ยหัวเราะออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ เสียงหัวเราะสดใสจนคะนึงนิจพลอยยิ้มตาม
“โหย พี่นิจครับ ถามรัวเป็นเพลงแร็ปอย่างนี้ ผมตอบแทบไม่ทันเลย” หนุ่ยหัวเราะเสียงสดใส “ผมเพิ่งสอบไฟนอลเสร็จเมื่อสัปดาห์ที่แล้วครับ ช่วงนี้ปิดเทอม จะมีเวลาว่าง ๆ สักเดือนหนึ่ง กะว่าจะเล่นกับน้องคินให้หนำใจหลังย้ายเข้าไปอยู่ด้วย”
คะนึงนิจหัวเราะตามเบา ๆ เสียงของเธออบอุ่นจนปลายสายรู้สึกได้ แต่ในความอบอุ่นนั้นกลับแฝงไว้ด้วยร่องรอยของความคิดถึงที่ลึกเกินคำพูด
เธอลืมไปชั่วขณะ ว่านี่คือเสียงของน้องชายที่...ในอีกชาติหนึ่ง เธอไม่มีโอกาสได้ยินอีกแล้ว
หัวใจของเธอแผ่วสั่นเล็กน้อยเมื่อความทรงจำผุดขึ้นมา ความเสียใจที่ฝังอยู่ในใจเสมอ คือการจากไปของหนุ่ยที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันจนเธอไม่ทันตั้งตัว
เธอไม่มีโอกาสแม้แต่จะพบหน้าเขาเป็นครั้งสุดท้าย
หากวันนั้นเธอรู้ล่วงหน้า...เธอคงทำทุกอย่างเพื่อยื้อชีวิตน้องชายไว้
เสียงของหนุ่ยในปลายสายยังคงฟังดูร่าเริงเหมือนเดิม
แต่สำหรับคะนึงนิจ...ทุกถ้อยคำ ทุกเสียงหัวเราะ กลับกลายเป็นสิ่งมีค่าที่เธออยากจดจำไว้ให้ยาวนานที่สุด
“พี่ภูบอกแล้วใช่ไหมครับว่าป้าสร้อยกับผมจะย้ายไปอยู่ด้วย” เสียงของหนุ่ยฟังดูสดใสแต่แฝงความตื่นเต้นอยู่ในที
“ผมคุยกับป้าตั้งนานแน่ะ กว่าจะกล่อมให้ป้าเห็นด้วย หมดน้ำลายไปเป็นปี๊บ ๆ เลย”
คะนึงนิจหัวเราะเบา ๆ เมื่อได้ยินน้ำเสียงกึ่งบ่นกึ่งอารมณ์ดีของน้องชาย
“ผมลืมบอกพี่ภูไปครับว่า ป้าสร้อยมีข้อแม้นิดหน่อยว่า...ถ้าน้องคินเข้าเรียนประถมแล้ว อาจจะขอกลับไปอยู่บ้านสวนเหมือนเดิมอีกทีหนึ่ง” เขาพูดเสียงเรียบขึ้นในตอนท้าย ก่อนเสริมด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“แต่ป้าบอกว่า เรื่องนั้นไว้ค่อยคุยกันอีกทีตอนถึงเวลา”
คะนึงนิจรับฟังเรื่องที่หนุ่ยเล่าด้วยความสบายใจ
เมื่อคืนหลังจากทราบข่าวจากภูวินทร์ หญิงสาวก็รู้สึกประหลาดใจไม่น้อย เพราะภูวินทร์เป็นฝ่ายโทรไปขอให้ป้าสร้อยกับน้องชายย้ายมาอยู่ด้วยกันที่บ้าน
ในชาติก่อน...เหตุการณ์เช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นเลย
ภูวินทร์มัวแต่วุ่นอยู่กับงานสารพัด ส่วนเธอก็ทุ่มเทอยู่กับการดูแลลูกและพยายามทำหน้าที่ภรรยาและแม่ให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้
และชาติที่แล้วนั้น เต็มไปด้วยเรื่องราวอันขมขื่น
เธอสูญเสียน้องชายไป หลังจากหย่าขาดกับภูวินทร์ได้เพียงสามปี หนุ่ยถูกฆาตกรรมอย่างโหดเหี้ยม และคดีไม่สามารถดำเนินการใด ๆ ได้ เพราะเขากลายเป็นผู้กระทำผิดในข้อหาเป็นชู้และบุกรุกบ้านคนอื่น
ไม่กี่ปีต่อมา ป้าสร้อยก็ล้มป่วยลงด้วยโรคร้าย กว่าจะรู้ตัวว่าเป็นมะเร็ง ก็เข้าสู่ระยะสุดท้ายที่ไม่อาจรักษาได้อีกแล้ว
เธอติดค้างน้ำใจของคนทั้งสองนี้มากเหลือเกิน
หนุ่ยคือกำลังสำคัญที่คอยช่วยเหลือเรื่องเงินทองในวันที่เธอเริ่มต้นต่อสู้กลับมาทำงานอีกครั้ง
ส่วนป้าสร้อย...ก็เป็นเหมือนร่มเงาที่คอยเลี้ยงดูน้องคิน อย่างใกล้ชิด ทำให้เธอมีแรงใจและเวลาพอจะยืนหยัดต่อสู้ในเส้นทางอาชีพได้อย่างเต็มที่
เมื่อสูญเสียคนทั้งสองในเวลาไล่เลี่ยกัน...ชีวิตของเธอแทบจะพังทลายลงอีกครั้ง หากไม่นับรวมการหย่าร้างกับภูวินทร์แล้ว เหตุการณ์นี้คือบาดแผลที่หนักหนาที่สุดในชีวิตของเธอ
ภูวินทร์ลืมตาขึ้น เมื่อเสียงลมแรงพัดกระทบกระจกหน้าต่างดังแผ่ว ๆ ความคิดของเขาถูกดึงกลับจากอดีตอันขมขื่นสู่ปัจจุบัน เขานั่งนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจยาวราวกับอยากระบายบางสิ่งที่อัดแน่นอยู่ในอกให้หลุดออกไปกับลมหายใจนั้นชายหนุ่มลุกขึ้นเดินไปที่ห้องนอนของลูกเพื่อดูความเรียบร้อย แสงไฟจากโถงทางเดินลอดผ่านประตูแง้มเข้าไป เผยให้เห็นภาคินทร์นอนหลับสนิทอยู่บนเตียงเล็ก ใบหน้าไร้เดียงสาของลูกชายทำให้หัวใจที่หนักอึ้งของเขาอ่อนยวบลง“ฝันดีนะ...ลูกพ่อ” เขาพึมพำเสียงแผ่ว พลางดึงผ้าห่มขึ้นคลุมตัวลูกให้มิดชิด ก่อนจะปิดประตูห้องอย่างเบามือจากนั้น เดินกลับไปยังห้องนอนใหญ่ของตนกับคะนึงนิจ เสียงน้ำจากฝักบัวดังคลอเบา ๆ อยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเงียบลง ภูวินทร์เช็ดตัว ลูบผมให้แห้ง แล้วเอนกายลงบนเตียงอย่างแผ่วเบาคะนึงนิจนอนอยู่ด้านหนึ่งของเตียง แสงไฟสีอบอุ่นจากโคมหัวเตียงอีกฝั่งหนึ่งสะท้อนให้เห็นใบหน้าสงบนิ่งยามหลับสนิทของเธอบางส่วน เขามองภาพนั้นนิ่งก่อนจะดับไฟที่โคมหัวเตียงข้างตัว ขยับตัวเข้าใกล้ วาดแขนโอบรอบร่างของภรรยาอย่างแผ่วเบา เขาหลับตาลงช้า ๆคืนนี้ เขายังมีเธออยู่ตรงนี้ มีลูกน้อยที่รอการปกป้องอยู่
ตอนสายของวัน ภูวินทร์เดินเข้าบ้านอย่างเงียบเชียบ เสียงหัวเราะสดใสของภาคินทร์ดังแว่วออกมาจากมุมห้องนั่งเล่นคะนึงนิจนั่งอยู่บนโซฟา กำลังอ่านนิทานให้ลูกชายฟัง เมื่อเห็นสามีก้าวเข้ามา เธอเงยหน้าขึ้น ยิ้มอ่อนโยนตามเคย“พี่ภูกลับมาแล้วเหรอคะ นิจเป็นห่วงทั้งคืนเลย” เธอเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลภูวินทร์หลบสายตา ก่อนฝืนยิ้มตอบจาง ๆ “จ้ะ... เมื่อคืนขอโทษด้วยนะ พอดีดื่มมากไปหน่อย กลัวจะกลับมากวนทั้งนิจกับลูก พี่เลยนอนค้างที่ออฟฟิศ เพราะอยู่ใกล้กับที่จัดเลี้ยง มือถือพี่ก็ดันแบตหมด พี่ไม่ทันดูตอนเผลอหลับไปก่อนจะโทรบอกนิจ”น้ำเสียงของเขาเรียบเรื่อยเหมือนพยายามพูดให้เป็นเรื่องปกติ ทว่ามีบางอย่างในแววตาและท่าทางนั้น...ไม่เหมือนเดิม คล้ายคนที่กำลังปิดบังบางสิ่งไว้ใต้รอยยิ้มอ่อนล้าและคำแก้ตัวที่พยายามอธิบายอย่างเบี่ยงประเด็นเขาพูดพลางย่อตัวลงจูบหน้าผากลูกน้อยเบา ๆ ภาคินทร์ยิ้มกว้าง ก่อนจะโผเข้ากอดคอพ่อแน่นด้วยความดีใจ“นิจก็เป็นห่วงอยู่พอดี โชคดีที่พี่ภูบอกไว้ก่อนแล้วว่าจะมีงานเลี้ยง พี่ภูขึ้นไปอาบน้ำก่อนไหมคะ เดี๋ยวนิจเตรียมข้าวเช้าให้”“อืม...พี่ทานมาแล้ว พอดีวิทยามาออฟฟิศแต่เช้า เลย
ภูวินทร์นั่งอยู่บนโซฟาในห้องทำงาน ข้างกายมีขวดวิสกี้วางอยู่ เงาแสงจากโคมไฟสะท้อนบนแก้วที่เหลือวิสกี้อยู่ค่อนแก้ว ใบหน้าของเขาดูนิ่งสงบ แต่แววตาเหม่อลอยคล้ายคนหลงอยู่ในภวังค์เบื้องนอก หน้าต่างบานใหญ่เผยให้เห็นท้องฟ้ามืดสนิท ไร้แม้แต่แสงดาว มีเพียงแสงจันทร์ลอดผ่านผ้าม่านเข้ามาแต้มเงาบางบนพื้นห้องทั้งห้องเงียบสงัด มีเพียงเสียงนาฬิกาที่เดินเป็นจังหวะภูวินทร์เอนหลังลงบนโซฟา ปล่อยให้แอลกอฮอล์ไหลซึมเข้าสู่กระแสเลือดช้า ๆ ความอุ่นจากของเหลวในลำคอไม่ได้ทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายเลยแม้แต่น้อยเขานั่งนิ่งอยู่อย่างนั้น ความคิดค่อย ๆ ลอยย้อนกลับไปทีละน้อย ความทรงจำที่ผ่านไปเนิ่นนานเหลือเกินในความรู้สึก ค่อย ๆ ผุดขึ้นมาจากส่วนลึกของจิตใจในอดีตชาติ...“นิจ วันนี้พี่ได้รับรางวัล สตาร์ทอัพดาวรุ่งแห่งปี จากกระทรวงพาณิชย์ด้วยนะ นี่ไง...โล่รางวัลของพี่”ภูวินทร์ในชุดสูทดำเรียบหรูพอดีตัวเดินเข้ามาในบ้านด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ เขาชูโล่รางวัลขึ้นให้ภรรยาสาวดู ดวงตาเปล่งประกายด้วยความดีใจตลอดหลายปีที่ผ่านมา เขาล้มลุกคลุกคลานไม่น้อยกว่าจะพาบริษัทก้าวมาถึงจุดนี้ได้ วันที่ทุกอย่างเริ่มมั่นคง แล
ภาคินทร์หันซ้ายหันขวาอยู่ในอ้อมแขนของภูวินทร์ เด็กน้อยดูตื่นตาตื่นใจกับสิ่งรอบตัว สีสันสดใสจากร้านรวงและของตกแต่งดึงดูดสายตาเขาให้หันมองไม่หยุดภูวินทร์อาสาอุ้มลูกเอง เพราะไม่อยากให้ลูกน้อยนั่งรถเข็นอยู่ลำพังโดยมองไม่เห็นพ่อแม่ ถึงลูกจะเริ่มตัวโตและหนักขึ้น แต่ในอ้อมแขนของเขากลับรู้สึกเบาสบาย เขามีความสุขที่ได้อุ้มลูกไว้แนบอก คอยชี้ชวนให้ดูนั่นดูนี่ระหว่างเดินบางครั้ง ภาคินทร์ก็พูดเลียนเสียงพ่อออกมาสั้น ๆ หนึ่งหรือสองพยางค์ เสียงใส ๆ นั้นทำให้ภูวินทร์หัวเราะออกมาอย่างเอ็นดู หัวใจของเขาอิ่มเอมจนพองโตที่ได้ใกล้ชิดลูกในวันนี้“เฮ้ย ภู มาได้ยังไงเนี่ย ฉันก็นึกว่านายเข้าออฟฟิศซะอีก เลยฝากเอกสารไว้กับเลขาฯ นายไปแล้ว”เสียงของวุฒิดังขึ้นพร้อมรอยยิ้มกว้าง หญิงสาวที่เดินเคียงข้างมากับเขารีบปล่อยมือที่เกาะแขนชายหนุ่มไว้แทบจะทันที“อ้าว วุฒิ บังเอิญจริง” ภูวินทร์เอ่ยเรียบ ๆ พลางยกคิ้วเล็กน้อย “วันนี้พอดีมีธุระตอนเช้า ไม่แน่ใจว่าจะเสร็จกี่โมง ก็เลยบอกวิทยาไว้ก่อนว่าไม่เข้า เดี๋ยวพรุ่งนี้จะรีบดูเอกสารให้นะ”“สวัสดีครับ นิจ ไม่ได้เจอกันตั้งนานเลย” วุฒิหันมาทักคะนึงนิจด้วยน้ำเสียงเป็นกันเอง“สวัสดี
“แล้วก็...ป้าลืมบอกนิจไป พรุ่งนี้ป้าจะไปโรงพยาบาลกับภูนะ”ป้าสร้อยพูดขึ้นพลางตักข้าวเข้าปาก “ภูคุยกับป้าเมื่อวานซืน ว่าอยากให้ป้าไปตรวจสุขภาพบ้าง ป้าว่าก็ดีเหมือนกันเลยตกลงไป ช่วงนี้ไม่รู้เป็นอะไร ท้องอืดบ่อย แล้วก็มีอาการท้องเสียถี่ ๆ ด้วย ป้าเลยว่าจะให้หมอตรวจดูให้แน่ใจ”“แล้วมีอาการอื่นที่ผิดปกติอีกไหมคะป้า”คะนึงนิจถามพลางวางช้อนในมือลง เสียงของเธอสั่นเล็กน้อยด้วยความตกใจและเป็นห่วงเธอรู้สึกตื่นตระหนก หัวใจเหมือนถูกบีบรัดทันทีที่ได้ยินคำว่า ท้องอืดบ่อย...ท้องเสียถี่ความทรงจำจากชาติที่แล้วแล่นวาบเข้ามาในหัว ครั้งนั้น กว่าที่จะรู้ว่าป้าสร้อยป่วยเป็นมะเร็งลำไส้ ก็สายเกินกว่าที่จะรักษาไปแล้ว ระยะสุดท้าย...หมอก็บอกได้เพียงให้เตรียมใจในชาติก่อน เธอวุ่นวายอยู่กับงานจนไม่มีเวลาแม้แต่จะหันมามองคนใกล้ตัวด้วยงานที่หนักและวุ่นวาย จนเวลาทั้งหมดทุ่มเทให้กับการทำงาน คะนึงนิจผลักภาระการดูแลลูกให้ป้าสร้อยแทบทั้งหมด โดยไม่รู้เลยว่าคนที่เธอรักมากที่สุด...กำลังเจ็บป่วยอยู่เงียบ ๆและในชาตินี้ เธอกลับกำลังทำสิ่งเดิมซ้ำอีกครั้งความรู้สึกผิดแล่นวูบขึ้นในใจ คะนึงนิจเม้มริมฝีปากแน่น ก่อนเอ่ยด้วยเสียง
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา จันทร์รวีเริ่มเฝ้าสังเกตพฤติกรรมของภูวินทร์อย่างเงียบ ๆเธอศึกษาทุกอย่าง ตั้งแต่เวลาที่เขาเข้าหรือออกจากสำนักงาน ช่วงที่เขาออกไปประชุม หรือแม้กระทั่งนิสัยส่วนตัวเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่มณีรัตน์ เลขาฯ หน้าห้องมักเผลอหลุดปากเล่าให้ฟังระหว่างพักกลางวัน“คุณภูเป็นคนตรงเวลาเป๊ะเลยค่ะ ขนาดประชุมที่ว่าด่วนแค่ไหน ก็ไม่เคยให้ลูกน้องรอนาน” มณีรัตน์เคยพูดอย่างชื่นชมจันทร์รวีเพียงยิ้มบาง “แหม ผู้ชายแบบนี้สิคะ ที่น่าชื่นชม”ในขณะที่มือเรียวกำลังถือแก้วกาแฟ เธอแอบสังเกตสายตาของเลขาฯ สาวที่พูดถึงเจ้านายด้วยน้ำเสียงชื่นชอบเกินกว่าความเคารพตามหน้าที่มณีรัตน์เองก็คงชอบเขาอยู่สินะ...แต่เธอไม่ทันฉันหรอก จันทร์รวีคิดพลางยกแก้วจิบเบา ๆเธอเริ่มวางแผนอย่างเป็นขั้นตอนเริ่มจากการปรากฏตัว “โดยบังเอิญ” ตามจุดต่าง ๆ ที่เขาผ่าน เช่น ล็อบบี้บริษัท ห้องอาหารชั้นล่าง หรือแม้แต่ลิฟต์โดยสารที่เธอคำนวณเวลาไว้ล่วงหน้าเขาแทบไม่มองเธอเลย แต่เธอก็ไม่เร่งรีบ จันทร์รวีรู้ดีว่า ผู้ชายอย่างเขา...ต้องการเวลาและช่องว่างที่พอดีให้ความสนใจค่อย ๆ เติบโตจนกระทั่งวันหนึ่ง ระหว่างที่ภูวินทร์กำลังรอรถอยู่หน้าตึก เ







