Share

บทที่ 22

Author: จูน
ระหว่างที่อวี่เหวินห่าวกลับจวน ยิ่งคิดก็ยิ่งผิดปกติ

เขาเห็นนางใช้เข็มฉีดยาฉีดเสด็จปู่ ไม่รู้ว่ากรอกอะไรเข้าไปข้างใน เป็นพิษหรือเป็นอย่างอื่น ไม่อาจรู้ได้

แม้ว่าอาการของเสด็จปู่จะค่อย ๆ ดีขึ้น แต่ว่าพิษนั่นสามารถทำให้พระองค์นั้นทรงเสียสติ และอาจมีผลข้างเคียงต่าง ๆ ตามมา ก่อให้เกิดผลกระทบต่อส่วนอื่น ยกตัวอย่างเช่นการสูญเสียการควบคุม

เดิมทีหยวนชิงหลิงก็ไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้ เว้นแต่ว่ามีใครคอยสอนนางอยู่เบื้องหลัง

หรืออาจจะเป็นบิดาของนาง หยวนปาหลง?

เขาไม่มีความกล้ามากพอ หยวนปาหลงก็เป็นคนมักใหญ่ใฝ่สูงคนหนึ่ง

อวี่เหวินห่าวตระหนักได้ถึงผลลัพธ์ที่ร้ายแรง หยวนชิงหลิงเป็นชายาของเขา สิ่งที่นางทำให้ไท่ซ่างหวงทั้งหมด หากถูกเปิดเผย เขาต้องกลายเป็นคนยุยงที่อยู่เบื้องหลัง จะไม่มีใครเชื่อว่าเขาไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้

ยิ่งเขาคิดก็ยิ่งไม่สบายใจ จึงมีรับสั่งให้ถังหยางเรียกตัว ลวี่หยาและแม่นมฉีมา

นางสองคนเป็นคนดูแลใกล้ชิดหยวนชิงหลิง หากนางมีท่าทีไม่ชอบมาพากล คงจะปิดไม่พ้นแม่นมฉี

ลวี่หยาเป็นคนที่เข้าวังมากับนาง แต่เมื่อออกจากวัง หยวนชิงหลิงกลับบอกว่าจะอยู่ที่

วังเฉียนคุนคอยรักษาอาการป่วย เมื่อกลับมาแจ้งให้แม่นมฉีทราบ แม่นมฉีก็ตกใจใหญ่โต

ได้ยินว่าท่านอ๋องเรียกพบ ทั้งสองจึงรีบไปอย่างรวดเร็ว

“ท่านอ๋อง!” เข้ามาภายในห้องหนังสือ ทั้งสองโค้งตัวคำนับ

อวี่เหวินห่าวมองแม่นมฉีครู่หนึ่ง คิดเรื่องหลานของนางขึ้นมาได้ จึงเอ่ยถาม “ฮั่วเกอเอ๋อร์เป็นอย่างไรบ้าง?”

“ขอบพระทัยท่านอ๋องที่เป็นห่วงเพคะ ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้วเพคะ”

อวี่เหวินห่าวคาดไม่ถึง “ดู ๆ แล้ว ฝีมือทางการแพทย์ของหมอลี่ใช้ได้ทีเดียว”

“เพ…เพคะ!” แม่นมฉีลังเลเล็กน้อย แล้วตอบไป

อวี่เหวินห่าวค้นลึกลงไปในจิตใจ มองนางนิ่ง ๆ “แม่นมฉีมีเรื่องอะไรปิดบังข้าหรือไม่”

แม่นมฉีตกใจ ตอบกลับไปทันควัน “มิบังอาจเพคะ!”

“เจ้าคอยอยู่ดูแลข้าตั้งแต่เด็ก ๆ ซื่อสัตย์และจงรักภักดีต่อข้า แน่นอนว่า เจ้าจะไม่ปิดบังข้าไม่ว่าเรื่องอะไร” อวี่เหวินห่าวน้ำเสียงเยือกเย็น ใบหน้าเย็นชาราวน้ำแข็ง

แม่นมฉีภายในใจสั่นสะท้าน ลงไปคุกเข่าทันที “หม่อมฉันมีความผิด หม่อมฉันไม่ได้จงใจจะปิดบังเพคะ”

อวี่เหวินห่าวตวัดหางตาขึ้นเล็กน้อย นัยน์ตาเป็นประกายเยือกเย็น “พูด!”

แม่นมฉีได้แต่ตอบไปว่า “หมอลี่ไม่ใช่คนที่รักษาฮั่วเกอเอ๋อร์ให้หายดี เป็นพระชายาเองที่รักษา นางเอาแต่ย้ำแล้วย้ำอีกว่าไม่ให้บอกเรื่องนี้กับใคร”

ถังหยางที่อยู่ข้าง ๆ พูดด้วยความประหลาดใจ “พระชายา? พระชายาไปรู้เรื่องทางการแพทย์ตั้งแต่เมื่อไหร่? ตอนที่พระชายาได้ใช้มีดเป็นอุปกรณ์ในการรักษาให้กับฮั่วเกอเอ๋อร์ เลยถูกท่านอ๋องลงโทษ โบยสามสิบที”

แม่นมฉีเล่าเรื่องของฮั่วเกอเอ๋อร์ในคืนนั้น และสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากที่ฮั่วเกอเอ๋อร์อยู่ในอาการขั้นวิกฤต จากนั้นก็พูดไปอย่างละอายใจ “เป็นหม่อมฉันเองที่เข้าใจพระชายาผิดไป”

อวี่เหวินห่าวและถังหยางมองหน้ากันและกัน ภายในตาบ่งบอกถึงอาการตกใจ

“ข้าถามเจ้าหน่อย เจ้าเคยเห็นนางมีกล่องอยู่ใบหนึ่งหรือไม่? กล่องใบนั้น…”อยู่ ๆ อวี่เหวินห่าว ก็หยุดชะงัก ตอนที่เข้าไปในกระโจม นางไม่ได้พกกล่องเข้าไป แต่หลังจากที่เข้าไปไม่รู้ว่ากล่องใบนั้นมันมาจากไหน ภายหลังมาเจอนางข้างวัง กล่องใบนั้นก็ไม่ได้อยู่กับนางแล้ว

“มีกล่องอยู่หนึ่งใบ” ลวี่หยาตอบกลับทันที “ในกล่องใบนั้นใส่ยาเอาไว้ ยาพวกนั้น หม่อมฉันไม่เคยเห็นมันมาก่อน ส่วนกล่องใบนั้น ก่อนหน้านี้หม่อมฉันก็ไม่เคยเห็นมาก่อนเช่นกันเพคะ”

อวี่เหวินห่าวถามกลับไปอีกว่า “ช่วงนี้มีคนมาพบนาง? หรือนางออกไปพบใครหรือไม่?”

แม่นมฉีส่ายหน้า “ตั้งแต่ที่พระชายาอภิเษกสมรส แทบจะไม่มีคนมาเยี่ยม และช่วงไม่กี่เดือนมานี้ก็ไม่ได้กลับบ้านเลยเพคะ

ถังหยางก็ตอบกลับเช่นกัน “จริงพ่ะย่ะค่ะ พระชายาเข้าออก ที่ประตูห้องมีบันทึกตลอด พวกข้าทาสเห็นพระชายากลับบ้านก็เมื่อสามเดือนก่อน ไปแค่ครึ่งวันก็รีบกลับมาพ่ะย่ะค่ะ”

แม่นมฉีรู้สึกเหมือนว่าเมื่อสักครู่ได้ทรยศหยวนชิงหลิงในใจรู้สึกผิด พอคิดถึงเรื่องของนางขึ้นมาก็เป็นห่วงมาก จึงพูดไปว่า “ตั้งแต่ที่พระชายาถูกเฆี่ยน ก็ไม่ได้ออกจากห้องเลยเพคะ ท่านอ๋องมีรับสั่งไม่ให้พวกทาสเข้าไปยุ่งกับนาง เพราะอย่างนั้น แผลของนาง นางก็เป็นคนจัดการเองหมดเลยเพคะ ก่อนกินยาต้มจื่อจิน นางมีไข้สูง ตอนนี้ฤทธิ์ยาของยาต้มจื่อจินคงถดถอยแล้ว ไม่รู้ว่าตอนนางอยู่ในวัง จะประคับประคองอาการไปได้หรือไม่”

อวี่เหวินห่าวนึกถึงตอนที่นางป้อนข้าวต้มไท่ซ่างหวง ใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดทนต่อความเจ็บปวด ทั้งตัวสั่นเทา ตอนนั้นฤทธิ์ยาของยาต้มจื่อจินคงหมดแล้ว

เขาเป็นห่วงหยวนชิงหลิงเกรงว่าจะไปทำตัวเสียมารยาทหน้าวัง ก่อให้เกิดความเสียหายที่จวนและต่อหน้าพระมารดา

ถังหยางนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อว่า “ท่านอ๋อง ความจริงแล้วถูกโบยถึงสามสิบที ออกจะรุนแรงไปสักหน่อย”

ชายหนุ่มธรรมดาทั่วไป โดนโบยเข้าไปสามสิบที ยังต้องพักอีกหลายวันถึงจะลุกขึ้นได้

หากเป็นทาสหญิงที่อ่อนแอสักหน่อย เกรงว่าจะไม่รอด

ท่านอ๋องเกลียดตระกูลหยวนมากจริง ๆ

อวี่เหวินห่าวพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เรื่องที่นางก่อขึ้น หากข้าจะเอาชีวิตนางก็ย่อมได้”

หากไม่กลัวว่าจะเกี่ยวข้องกับพระมารดา หรือทำให้หน้าตาของวงศ์ตระกูลเสื่อมเสีย เขาคงส่งหยวนชิงหลิงออกจากวังไปนานแล้ว

แม่นมฉีรวบรวมความกล้าพูดออกไปว่า “ท่านอ๋อง หม่อมฉันรู้สึกว่า พระชายาราวกับว่าเปลี่ยนไปเป็นอีกคน”

อวี่เหวินห่าวมองแม่นมฉี ภายในใจเต้นตุบ ๆ “ว่ายังไงนะ?”

แม่นมฉีตอบกลับ “เมื่อก่อนพระชายาเป็นคนร้ายกาจ เอาแต่ใจ แต่ที่ช่วยฮั่วเกอเอ๋อร์ในวันนั้น ท่าทีของนาง คำพูดคำจา…คิดไม่ถึงว่านางจะพูดขอโทษหม่อมฉัน หม่อนฉันที่เมื่อก่อนแค่คิดก็ไม่กล้าคิดเลยเพคะ”

คำพูดของแม่นมฉีจริง ๆ แล้วได้ยืนยันสิ่งที่อวี่เหวินห่าวเดาไว้ในใจ

นึกถึงเรื่องก่อนเข้าวัง นางเอาหัวมาโขกเขา ประโยคนั้นกระเด็นออกมาตั้งแต่ในซอกฟัน “ไม่มีอะไรที่หนักหนาเกินไป ท่านก็อย่าได้อย่ารังแกผู้อื่นจนเหลือทน ”

จากที่นางไม่เคยพูดเช่นนี้ เพราะนางรู้ตนเองว่าผิด เพราะงั้นตอนอยู่ที่จวน จึงกล้าที่จะแสดงท่าทีผยองและเผด็จการกับผู้คน ต่อหน้าเขาจากที่ไม่เคยกล้าต่อล้อต่อเถียงมาก่อน

แต่ว่าวันนี้ตอนที่นางพูดประโยคนั้น ราวกับว่าตนเองต้องแบกรับความทุกข์ใจเอาไว้

และไหนจะเรื่องที่ก่อกบฏข้าง ๆ วังอีก

ในสมองปรากฏใบหน้าที่เด็ดเดี่ยวและเฉียบขาดของนาง คำพูดของนางที่ข้างวังยังคงดังกึกก้อง

เขาต้องทำให้มันชัดเจนว่าสรุปแล้วมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่

ภายในวังหมิงเฝิงของฮองเฮา

หลังจากที่อ๋องฉีเข้ามาก็ทำความเคารพ จากนั้นไปเยี่ยมเยียนน้องชายคนที่แปดอวี่เหวินลู้

เหลือฉู่หมิงชุ่ยและฮองเฮาพูดคุยกันในวัง ฉู่หมิงชุ่ยเป็นหลานสาวของฮองเฮา พออ๋องฉีออกไป ฉู่หมิงชุ่ยก็ให้คนดูแลที่อยู่ในวังออกไปให้หมด

ฮองเฮาเห็นนางแบบนี้ รู้ว่าต้องมีเรื่องแน่ จึงนั่งเหยียดหลังตัวตรงพร้อมถามว่า “มีอะไร”

“ท่านป้า ไท่ซ่างหวงเรียกตัวหยวนชิงหลิงให้อยู่ดูแลที่วังเฉียนคุน เรื่องนี้ท่านรู้หรือไม่?”

ฝ่ายฮองเฮากลับมาก่อนเพราะฉะนั้นจึงไม่รู้เรื่องนี้ ฟังจากที่ฉู่หมิงชุ่ยพูดมาแล้ว นางประหลาดใจเล็กน้อย “พระชายาฉู่? คิดไม่ถึงจริง ๆ ว่าไท่ซ่างหวงจะให้นางดูแล?”

แต่ว่านางโบกมือทันที “ดูแลก็ดูแลไป สะดวกข้าไม่ต้องวิ่งวุ่น ช่วงนี้เหนื่อยจริง ๆ”

ฉู่หมิงชุ่ยอุทานออกมาคำหนึ่ง “ท่านป้า ใยไม่คิดให้ถี่ถ้วนสักหน่อย?”

ฮองเฮาหัวเราะ “ข้ารู้ว่าเจ้ากลัวอะไร หากแต่ไม่ต้องกังวลไป ไม่ว่าเจ้าห้าจะทำอะไรก็ไม่มีประโยชน์ ทุกวันนี้ไท่ซ่างหวงเกลียดมันจะตาย”

ฉู่หมิงชุ่ยพยักหน้าช้า ๆ “ท่านป้า ทุกวันนี้ที่ไท่ซ่างหวงฟื้นขึ้นมา ทุกอย่างก็ไม่เหมือนเดิม”

ฮองเฮาตกใจ สีหน้าเริ่มหนักอึ้งช้า ๆ

ความจริงแล้ว เรื่องขององค์รัชทายาทลี่ ฮ่องเต้ยังคงให้ความสำคัญกับความหมายของ

ไท่ซ่างหวง

แต่ไท่ซ่างหวงมักจะรักเจ้าห้า หากครั้งนี้หยวนชิงหลิงถือโอกาสตอนดูแล จะว่าไปเจ้าห้าคงยังมีโอกาส

หากแต่…

ฮองเฮาตวัดตาขึ้น “เจ้าห้า เกลียดชังหยวนชิงหลิงมิใช่หรือ?”

ฉู่หมิงชุ่ยค่อย ๆ หัวเราะขึ้น “ผู้ที่เราสามารถใช้ไปทำงานได้ ต่อให้จะเกลียดกันแล้วเกลียดกันอีก ก็ต้องทนให้ได้”

ฮองเฮาภายในใจหนักอึ้ง ตอบกลับทันควัน “ไทเฮาทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจเพื่ออาการเจ็บป่วยของไท่ซ่างหวง วันนี้เป็นลมไปหลายต่อหลายหน พระชายาฉีควรจะดูแลพระองค์ต่อหน้าไทเฮา เพื่อแสดงความกตัญญู”

ฉู่หมิงชุ่ยยืนขึ้นเหยียดตัวตรง “เพคะ”
Patuloy na basahin ang aklat na ito nang libre
I-scan ang code upang i-download ang App

Pinakabagong kabanata

  • ใต้หล้าสยบรัก   บทที่ 1015

    ซูยี่อยู่ในห้องของสุนัขป่าเช่นกัน เมื่อเห็นอวี่เหวินห่าวและหยวนชิงหลิงเข้ามา เขาพูดอย่างกังวล "องค์รัชทายาท พระชายา นายน้อยสุนัขป่าไม่กินอะไรเลย หาหมอหลวงดีไหมพ่ะย่ะค่ะ?"อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "เขารักษาอาการป่วยของสุนัขป่าไม่ได้ จะพาเขาไปทำไม?"เขาดูสุนัขป่าน้อยสามตัวนอนอยู่บนเตียงเล็ก ร่างเล็ก ๆ ของพวกมันเบียดเสียดกัน ดูเซื่องซึม บางทีอาจเป็นเพราะพวกมันไม่ได้กินอะไรจึงดูอ่อนแอและซูบผอมเป็นพิเศษ อวี่เหวินห่าวพูดด้วยความประหลาดใจว่า "ผอมลงมากขนาดนี้เลยรึ? สุนัขป่าคงหิวมากแน่ ๆ""สุนัขป่าที่โตเต็มวัย เวลาหิวนั้นกินอาหารหนึ่งมื้อสามารถอยู่ได้นานถึงครึ่งเดือน ตอนนี้พวกมันยังเด็กและต้องกินเนื้อ" ซูยี่เลี้ยงสุนัขป่า และได้ศึกษาการเลี้ยงมามากมายอวี่เหวินห่าวหยิบหนึ่งในนั้นขึ้นมา เห็นสุนัขป่าหิมะตัวน้อยนอนนิ่งอยู่ในมือของเขาเหมือนก้อนสำลีเบาหวิวไม่มีน้ำหนัก "ตัวนี้ของใครกัน?""ของเสี่ยวลั่วหมี่" หยวนชิงหลิงกล่าว "ตัวเล็กที่สุดคือของเสี่ยวลั่วหมี่ ท่านดูสิแยกออกได้เลยเห็นไหม ของ เปาจื่อปากจะแหลมมาก ของทังหยวนก็หน้ากลมกว่า มันแปลกที่จะบอกว่าสุนัขป่าพวกนี้ ทั้งลักษณะนิสัยหรือรูปร่างหน้าตา พว

  • ใต้หล้าสยบรัก   บทที่ 1014

    อวี่เหวินห่าวไม่ได้อธิบายอะไรแทนจิ้งถิง เขาแค่พูดว่า "เขาจะอยู่ในจวนสักพัก ดังนั้นเจ้าควรเปิดตาของเจ้าดูสิว่าเขาจริงใจหรือเสเเสร้ง เจ้าฉลาดมากขนาดนี้ ย่อมต้องดูออกอยู่แล้ว”หยวนชิงหลิงได้ยินถึงความไม่พอใจในน้ำเสียงของเขา ดูเหมือนว่าเขาใส่ใจมิตรภาพนี้จริง ๆหยวนชิงหลิงลองคิดดูแล้ว หลังจากใช้เวลาร่วมกับจวิ้นจู่มาสองสามวัน จวิ้นจู่ก็เป็นคนตรงไปตรงมาและเปิดเผย ดังนั้นนางคงไม่หาสามีที่มีจิตใจล้ำลึกซับซ้อนหรอกนางจึงขอโทษเขา "ข้าคิดมากไป ในอนาคตข้าจะไม่พูดอะไรแบบนี้อีก"อวี่เหวินห่าวเอื้อมมือไปเชยคางนาง และมองหน้านาง "เหล่าหยวน ข้าเองก็เห็นว่านิสัยของเจ้าช่างเถรตรงจริง ๆ แม้ว่าบางครั้งเจ้าจะดุร้าย เผด็จการ และไม่มีเหตุผล แต่ถ้าเจ้าทำอะไรผิด เจ้าจะต้องขอโทษอย่างแน่นอน เกรงว่าแม้จะเป็นคนรับใช้ก็ยังกล่าวคำขอโทษได้ เจ้านี่นิสัยดี ใช้ได้จริง ๆ"“ข้าเป็นคนไร้เหตุผลตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” หยวนชิงหลิงหัวเราะ “ท่านจะชมข้าก็ชมสิ ทำไมต้องดุกันก่อน”อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "รางวัลและบทลงโทษต้องแยกให้ออกจากกันอย่างชัดเจน หากเจ้าทำสิ่งที่ถูกต้อง เจ้าควรได้รับคำชมเชย หากเจ้าทำอะไรผิด ก็ต้องบอกกล่าวตักเตือ

  • ใต้หล้าสยบรัก   บทที่ 1013

    เขากลับมาที่จวนอย่างไม่สบอารมณ์ หยวนชิงหลิงเห็นว่าเขาขมวดคิ้ว นางรู้ว่าเป็นเพราะเรื่องลงนามพันธมิตรอีกเป็นแน่ ดังนั้นนางจึงปลอบเขาอวี่เหวินห่าวพูดด้วยความโกรธ "เสด็จพ่อจงใจทำให้ข้าลำบาก จูกั๋วกงเห็นด้วยหรือไม่นั้นเป็นเรื่องสำคัญขนาดนั้นเลยรึอย่างไร?"หยวนชิงหลิงหัวเราะ "ท่านอยู่ในเกมและกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้มากเกินไป จึงไม่เข้าใจความหมายของเสด็จพ่อ เสด็จพ่อต้องการให้ท่านเอาแรงสนับสนุนจากจูกั๋วกงมาให้ได้ ไม่ใช่แค่แรงสนับสนุนเรื่องนี้เท่านั้น แต่มันจะเป็นแรงสนับสนุนงานในอนาคตทั้งหมดของท่าน เพราะตอนนี้เขาเป็นคนที่สามารถปราบปรามตี้เว่ยหมิงอย่างออกหน้าได้ นั้นก็คือตัวเขาที่เป็นพ่อตา”อวี่เหวินห่าวตกตะลึงไปครู่หนึ่ง "เจ้าหมายความว่า เสด็จพ่อก็มองตี้เว่ยหมิงออกด้วยหรือ?"หยวนชิงหลิงยืนพิงเขา "เสด็จพ่อย่อมต้องรู้มากกว่าท่านอยู่แล้ว เหมือนที่ท่านเคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ว่าพระองค์ลำเอียงเข้าข้างพี่ใหญ่เสมอ จริง ๆ แล้วพระองค์ทรงรู้อยู่แก่ใจ พระองค์แค่ให้โอกาสพี่ใหญ่เสมอ แต่เมื่อเจอโอกาสที่เหมาะสม ก็ควรจัดการไม่ใช่หรอกหรือ? ความคิดของพระองค์ชัดเจนอยู่แล้ว ดังนั้นจงทำตามที่พระองค์ต้องการเถอะ จัดก

  • ใต้หล้าสยบรัก   บทที่ 1012

    พระชายาจี้พูดจบก็กลับไปนั่งลงบนเก้าอี้เก้าอี้ที่นางนั่งนั้นใหญ่มาก แต่นางผอมมากเนื่องจากป่วยมาเป็นเวลานาน เก้าอี้นั้นยังมีพื้นที่เหลืออีกมาก ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนนั้นนั่งบนเก้าอี้กว้างตัวใหญ่ประจัญหน้ากับพวกขุนนางกว่าสิบคนที่อยู่ตรงนั้นแม่ทัพซุยไม่กล้าพูดอะไรอีกต่อไป ความโกรธบนใบหน้าของเขาก็ค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัวคนที่เหลือก็เงียบและก้มหน้าเช่นกันพระชายาจี้รออยู่สักพัก ก่อนที่จะกล่าวอย่างใจเย็นว่า "องค์รัชทายาทคือผู้กำหนดชะตา ถ้าเจ้าปฏิบัติตามให้ดี เจ้าจะมีชีวิตอยู่อย่างมั่งคั่งและมั่งคั่งในภายภาคหน้า วันนี้ข้าพูดได้เพียงเท่านี้ ทุกคนไปเถอะ รักษาตัวด้วย"หลังจากพูดจบ นางก็ยืนขึ้น และเดินออกไปโดยเอามือไพล่หลัง แผ่นหลังบาง ๆ ของนางตั้งตรงดูยิ่งใหญ่ราวกับว่าสามารถแบกท้องฟ้าได้ครึ่งหนึ่งแรงสนับสนุนของอวี่เหวินห่าวสูงขึ้นเรื่อย ๆอย่างไรก็ตาม มีคน ๆ ​​หนึ่งที่มีความคิดเห็นเป็นปฏิปักษ์อยู่เสมอ ถึงกับตำหนิเขาตรง ๆ ต่อหน้าท้องพระโรงทำให้บรรยากาศของวันนั้นแย่เป็นอย่างยิ่ง แม้แต่จักรพรรดิหมิงหยวนก็ยังกริ้วจนหน้าดำจูกั๋วกงคนนี้คือ จูหรูเพ่ย เป็นพ่อตาของตี้เว่ยหมิงเมื่อก่อน

  • ใต้หล้าสยบรัก   บทที่ 1011

    มีแม่ทัพแซ่ซุยอยู่ที่นี่ ซึ่งเคยอยู่กับตี้เว่ยหมิงมาก่อน และตี้เว่ยหมิงได้ติดต่อเขาแล้ว เมื่อได้ยินสิ่งที่พระชายาจี้พูด เขาพูดอย่างเฉยเมยว่า "ข้อเสนอขององค์รัชทายาทที่จะจัดตั้งพันธมิตรกับต้าโจว ไม่ต่างอะไรไปกว่าการกระทำของคนขี้ขลาด คิดว่าด้วยการสนับสนุนของต้าโจว เป่ยถังของเราจะสามารถดำรงอยู่ได้อย่างสงบสุขรึ และเช่นกันด้วยวิธีนี้ เป่ยถังของเราจะต้องมองสีหน้าท่าทีของต้าโจวในทุก ๆ เรื่องงั้นหรือ? นี่คิดว่ามันคงไม่เหมาะกระมั่ง”พระชายาจี้มองเขา น้ำเสียงของนางเย็นชาเล็กน้อย “แม่ทัพซุย แม้ว่าข้าจะเป็นผู้หญิง แต่ข้าก็รู้ด้วยว่าสิ่งที่องค์รัชทายาทเสนอเป็นพันธมิตร มิใช่การยอมจำนน ทำไมเจ้าต้องสังเกตสีหน้าท่าทางต้าโจวทุกอย่างด้วย?”แม่ทัพซุยพูดอย่างแข็งกร้าว "พระชายาคงไม่เข้าใจสินะ? เมื่อพันธมิตรถูกจัดตั้งขึ้น ก็จะมีข้อจำกัดซึ่งกันและกัน ข้อจำกัดทางทหารไม่ใช่เรื่องที่ดี"พระชายาจี้ถึงกับขำ แววตาของนางดูเย็นชาขึ้นมา "จริงหรือ? แล้วทำไมข้าถึงได้ยินว่าสนธิสัญญานี้หมายถึงการไม่รุกรานกัน? หรือว่าแม่ทัพซุยมีความคิดที่จะรุกรานแคว้นอื่น"แม่ทัพซุยตกตะลึง "นี่...ข้าย่อมไม่มีอยู่แล้ว"“ในเมื่อไม่มี เจ

  • ใต้หล้าสยบรัก   บทที่ 1010

    หยวนชิงหลิงไม่สบายใจ อย่างไรก็ตาม เสี่ยวลั่วหมี่ยังมีไข้อยู่นางยิ้มและพูดว่า "เสด็จย่า พวกเขาอาจจะงอแง เกรงว่าจะทำให้พระองค์ทรงเหนื่อยได้เพคะ"ไทเฮาทรงมีสีพระพักตร์นิ่งเฉย และตรัสอย่างไม่พอใจว่า “เกรงว่าคนแก่อย่างข้าจะอ่อนล้า หรือไม่วางใจให้ข้าดูแลพวกเขากัน? กลัวว่าพวกเขาอยู่กับข้าแล้วจะดูแลไม่ดี ไม่มีนมให้กินอย่างนั้นรึ” หยวนชิงหลิงยิ้มและพูดว่า "ดูพระองค์พูดสิเพคะ พระองค์จะปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างเลวร้ายได้อย่างไร? พระองค์ออกจะรักเหมือนเป็นหัวแก้วหัวแหวน... "“บุ้ย ๆ ๆ หัวแก้วหัวแหวนอะไรกัน ไม่ใช่ลูกสาวสักหน่อย แต่เป็นทองคำต่างหาก ทองคำของข้า” ไทเฮาทรงตรัสแปลก ๆ ขณะอุ้มเสี่ยวลั่วหมี่ไว้นางเงยหน้าขึ้นและมองไปที่หยวนชิงหลิงและพูดอย่างเย็นชาว่า "อย่าพูดไร้สาระ แค่อยู่ในวังสักสองสามวัน ไว้หายดีแล้วค่อยให้เจ้ามารับไป หากยังกังวลใจ ให้ไปหาไท่ซ่างหวงให้รับรองให้เจ้าเถอะ”หยวนชิงหลิงได้ยินว่านางถึงกับยกไท่ซ่างหวงออกมาแบบนี้ นางจะกล้าปฏิเสธได้อย่างไร นางจึงจำใจต้องส่งลูกที่เพิ่งครบเดือนให้ห่างอกนางเท่านั้นอย่างไรก็ตาม เมื่อนึกถึงเรื่องการจัดตั้งโรงเรียนแพทย์ ทุกวันนี้นางก็แทบไม่มีเวลา

Higit pang Kabanata
Galugarin at basahin ang magagandang nobela
Libreng basahin ang magagandang nobela sa GoodNovel app. I-download ang mga librong gusto mo at basahin kahit saan at anumang oras.
Libreng basahin ang mga aklat sa app
I-scan ang code para mabasa sa App
DMCA.com Protection Status