LOGINเมื่อรถม้าจอดพักบุรุษแซ่หานก็ลงจากรถม้าทันที ทำให้นางอดไม่ได้ที่จะเบ้ปากและทำท่าทางล้อเลียนตามหลัง
คนขับรถม้าและสาวใช้แผ้วถางทำที่นั่งเพื่อให้ผู้เป็นนายได้นั่งพักกินข้าว แต่ทว่าเมื่อนางทรุดกายลงนั่ง คนที่นั่งอยู่ก่อนก็รีบลุกขึ้นก่อนทำท่าจะเดินย้ายไปนั่งที่อื่น
‘โอ๊ย! พ่อบุรุษรูปงาม หวงตัวเสียด้วย’ นางนั่งห่างเกือบห้าฉื่อ[1]ยังรีบลุกหนี นี่เขาหวงตัวไม่ให้สตรีใกล้ หรือแท้จริงรักใคร่บุรุษรังเกียจสตรีกันแน่ถึงได้แสดงท่าทีมากถึงเพียงนี้
“ประเดี๋ยวก่อนเจ้าค่ะ” นางรีบเอ่ยปากรั้งเขาไว้
“มีอันใด” บุรุษรูปงามเอ่ยเสียงห้วน
“ข้าเตรียมข้าวมาเผื่อท่านด้วย หากไม่รังเกียจก็รับไปกินเถิดเจ้าค่ะ” เดิมทีก็ตั้งใจจะผูกมิตรจึงคิดเตรียมพร้อมไว้ ไม่คิดว่าสุดท้ายบุรุษที่นางหวังจะผูกมิตรจะเย่อหยิ่งจนน่ารำคาญเช่นนี้
“ไม่จำเป็น” เขากล่าวก่อนจะเดินจากไป ไม่แม้แต่จะปรายตามองห่อข้าวที่นางยื่นไปให้
‘เสียมารยาทยิ่งนัก ไม่กินก็ตามใจ ข้ากินเองก็ได้’ นางคิดค่อนขอดในใจก่อนจะทรุดกายนั่งลงเพื่อแกะห่อข้าวของตนและเลิกสนใจบุรุษเย่อหยิ่งที่ตนจำเป็นต้องพึ่งพา
แม้จะย้ายไปนั่งห่างออกไปไม่ไกลนักแต่ทว่ากลับไม่มีบทสนทนาใด ๆ หลุดออกจากปากของนางและเขา ต่างคนต่างนั่งกินข้าวและกวาดสายตาชมต้นไม้สีเขียวขจีที่อยู่รอบตัวอย่างเงียบ ๆ
พอรับข้าวกันเสร็จเรียบร้อยรถม้าก็ออกเดินทางต่อเพื่อจะได้หยุดนอนพักที่เขตแดนระหว่างเมืองรั่วซีและจิ้นฝาง
กว่าจะถึงโรงเตี๊ยมซึ่งเป็นที่นอนในค่ำคืนนี้ก็เข้าสู่ช่วงต้นยามซวี (19.00-20.59) หลังจากแยกย้ายกันไปอาบน้ำผลัดเปลี่ยนอาภรณ์แล้ว นางก็สั่งสาวใช้ให้ไปเชิญคุณชายหานมารับสำรับด้วยกัน
“เหตุใดผิงฟางถึงไปนานนัก” อาหารที่สั่งก็ถูกยกมาขึ้นโต๊ะหมดแล้ว แต่เหตุใดตัวคนถึงยังไม่มากันเล่า” สิ้นวาจา สาวใช้คนสนิทก็เดินกลับมาที่โต๊ะด้วยสีหน้าเจื่อนลง
“คุณชายหานกล่าวไม่ลำบากคุณหนูเจ้าค่ะ”
“อืม...ข้าคิดอยู่แล้วว่าเขาต้องปฏิเสธ ในเมื่อเขาไม่อยากมาร่วมโต๊ะกับเรา เช่นนั้นเจ้าก็นั่งลงเถิด ข้าหิวแล้ว” ที่ให้ไปเชิญก็เพียงแค่รักษาไมตรีไม่ให้ดูห่างเหินเกินไปเพียงเท่านั้น เมื่อถึงยามคับขันเขาจะได้ไม่ลังเลที่จะยืนมือช่วยเหลือนาง
“เจ้าค่ะคุณหนู” ผิงฟางที่เริ่มคุ้นชินกับการรับสำรับร่วมกับผู้เป็นนายแล้วรีบนั่งลงตามคำสั่ง
“รีบกินเถิด เราจะได้รีบขึ้นไปนอนพัก”
“เจ้าค่ะคุณหนู” ในขณะที่นางกำลังทอดสายตามองสาวใช้ของตนด้วยความเอ็นดูอยู่นั้น สายตาของนางก็บังเอิญไปสบเข้ากับผู้ร่วมเดินทางหนุ่มรูปงามที่เพิ่งลงมาจากชั้นบนของโรงเตี๊ยม
‘บุรุษแซ่หานผู้นี้เป็นใครกัน เหตุใดพี่ใหญ่จึงสามารถไหว้วานให้คนผู้นี้เดินทางกลับเมืองหลวงร่วมกับนางได้’ หรือว่าเพราะผลประโยชน์บางอย่างถึงทำให้เขายอมร่วมทางกับนางทั้งที่แสดงออกชัดเจนว่ารังเกียจสตรี
อ่า...จะว่าไปสหายคนสนิทของพระเอกผู้นั้นก็แซ่หานเหมือนกันและยังมีศักดิ์เป็นถึงกั๋วกง แต่คงไม่ใช่หรอกกระมัง ในเมืองหลวงคนที่ใช้แซ่เดียวกันแต่เขียนต่างกันมีมากมาย นางคงไม่ซวยทำให้สหายของพระเอกเกลียดตั้งแต่แรกกระมัง
ช่างเถิด...เอาชีวิตรอดเข้าประตูเมืองหลวงให้ได้ก่อน เรื่องอื่นค่อยคิดวางแผนกันต่อไป เมื่อคิดได้เช่นนั้นนางจึงรั้งสายตากลับมาไม่สนใจบุรุษที่กำลังเดินออกจากโรงเตี๊ยมไป
ด้านบุรุษรูปงามที่เดินจากไปด้วยท่าทางเย็นชากลับนึกเย้ยหยันน้องสาวผู้เป็นแก้วตาดวงใจของจางกุนซือ ที่แสดงออกชัดเจนว่าพึงใจในฐานะและความรูปงามของตน
‘สตรีไร้ยางอาย รู้ทั้งรู้ว่าเขาเป็นใครยังแสร้งถามชื่อเสียงเรียงนาม คงหวังจะชวนสนทนาเพื่อตีสนิทสินะ’ ในเมืองหลวงไม่มีใครบ้างไม่รู้จักบุรุษรูปงามอันดับหนึ่งของเมืองหลวงอย่างเขา
‘คิดว่าข้าจะเชื่อหรือว่าสตรีที่พยายามเข้าหาข้า จะเปลี่ยนใจล้มเลิกง่าย ๆ คงไม่แคล้วเป็นแผนถอยเพื่อรุก หึ! น่ารังเกียจยิ่งนัก’ สตรีที่หลงใหลรูปลักษณ์ ฐานะและอำนาจของเขาล้วนน่าชิงชัง
เมื่อถูกปฏิเสธอยู่หลายครั้ง วันนี้นางจึงไม่คิดจะส่งสาวใช้ไปเชิญเขามาร่วมรับสำรับอีก จางซีถิงเลือกจัดการตนเองให้เรียบร้อยแล้วไปรอเขาที่รถม้า แต่ทว่าพอเปิดม่านบังสายตาเข้าไปด้านในก็พบว่าบุรุษแซ่หานนั่งรออยู่แล้ว
“ขออภัยที่ทำให้ท่านรอนานเจ้าค่ะ” นางกล่าวก่อนจะล้มตัวลงนั่งตรงที่เดิม ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะที่นอนแข็งเกินไปหรือแปลกที่ ค่ำคืนที่ผ่านมานางถึงได้นอนไม่หลับ
มือเรียวหยิบหมอนที่วางอยู่ด้านข้างมากอดเอาไว้ก่อนจะเอนกายพิงผนังรถม้าแล้วหลับตาลงอย่างไม่คิดรักษาท่าที คนที่เอาแต่นั่งเงียบไม่พูดไม่จา มีเขานั่งอยู่ด้วยหรือไม่ ก็รู้สึกไม่ต่างกัน วันนี้นางจึงตั้งใจกินข้าวให้อิ่มท้องเพื่อจะหลับในรถม้าได้สบาย
‘สตรีผู้นี้ไร้ยางอายยิ่งนัก คงไม่ได้คิดจะแสร้งหลับแล้วละเมอยั่วยวนเขาหรอกนะ’ บุรุษรูปงามที่แสร้งอ่านตำราอยู่ลอบคิด
ทว่าผ่านไปไม่ถึงเค่อคุณหนูจางที่เขาคิดว่ากำลังวางแผนยั่วยวนตนบัดนี้เข้าสู่ห้วงนิทราไปแล้ว
‘นี่นางกล้าหลับต่อหน้าข้าจริง ๆ หรือ’ ไม่เคยมีสตรีใดกล้าทำเช่นนี้มาก่อน โดยเฉพาะคุณหนูจากตระกูลขุนนางที่มักจะรักษาท่าทีและมีความเหนียมอายยามอยู่ต่อหน้าเขา
“คร่อก...ฟี้” เสียงกรนแผ่วเบาที่ดังลอยมายิ่งทำให้บุรุษแซ่หานตกตะลึง
‘เจ้ากรมขุนนางช่างละเลยการอบรมสั่งสอนบุตรสาว สตรีผู้นี้จึงไร้ยางอายและแสดงท่าทีไม่เหมาะสมเช่นนี้’
หลังจากนั้นนอกจากการจ้องมองตำราแล้ว การเหวี่ยงตัวไปมาตามการเคลื่อนไหวของรถม้าของจางซีถิงก็สามารถดึงดูดสายตาและรอยยิ้มขบขันของบุรุษรูปงามได้โดยที่เขาก็ไม่รู้ตัว
[1] ราวห้าสิบเซนติเมตร
ผ่านไปหนึ่งกระบวนท่าโจรป่าพวกนั้นถูกสังหารจนหมดสิ้นเหลือเพียงตัวหัวหน้าที่ได้รับบาดเจ็บหนักนอนหายใจรวยริน “เหตุใดถึงนอนนิ่งเช่นนั้นเล่า มิอยากชมเชยสตรีแล้วหรือ” “มะ ไม่แล้ว ท่านจอมยุทธ์ได้โปรดไว้ชีวิตข้า ข้าสัญญาจะไม่ทำเรื่องชั่วช้าอีก” “เรื่องนี้เจ้าควรไปบอกกับท่านเหยียนหลัวหวาง[1]ในปรโลก แล้วรอพี่น้องลูกเมียของเจ้าอยู่ที่นั่น ข้าสัญญาว่าจะต้องส่งพวกเขาไปหาเจ้าครบทุกคน” “มะ ไม่!” สิ้นเสียงร้องนั้น เขากดกระบี่ที่ปักอยู่บริเวณอกทำให้หัวหน้าโจรป่าสิ้นใจไปในทันที นัยน์ตาคมที่กวาดมองร่างของเหล่าโจรป่าฉายแววเย็นชา ก่อนที่เขาจะทรุดกายคุกเข่าลงบนพื้นดินอย่างหมดแรง แม้แผนการที่วางเอาไว้จะผิดพลาดไปแต่ทว่าสุดท้ายเขาก็สามารถเอาชีวิตรอดมาได้ ‘หึ! หนีรอดสายตาของพวกนั้นมาได้ถึงเมืองหลวงแล้ว แต่กลับเกือบตายเพราะผลประโยชน์ที่รับปากเอาไว้’ คิดจบเขาก็ปรายตามองต้นไม้ใหญ่ที่ซ่อนเร้นคุณหนูผู้นั้นเอาไว้ เขาฝืนร่างกายที่บาดเจ็บลุกขึ้นแล้วเดินไปที่ต้นไม้ต้นนั้น ก่อนจะส่งเสียงเรียกให้นางโผล่หน้าออกมา “คุ
เปรี๊ยะ! เสียงไม้ลั่นดังขึ้น พริบตาเดียวรถม้าคันที่นางนั่งอยู่ก็แตกกระจุยกระจายกันไปคนละทิศละทางทำให้เขาจำต้องโอบเอวนางแล้วใช้วิชาตัวเบาออกห่างจากรถม้า “ลูกพี่ มีสตรีจริง ๆ ด้วย นางงดงามยิ่งนัก” เจ้าโจรป่าที่เห็นว่านางออกมาจากรถม้าตะโกนบอกหัวหน้าของมัน “เออ...หากเจ้าอยากได้นางก็ต้องสังหารสามีนางเสียก่อน” คนเป็นหัวหน้ากล่าวก่อนจะพยายามเข้าโจมตีบุรุษชุดดำที่ไม่รู้โผล่มาจากที่ใด แต่ด้วยจำนวนคนที่มากกว่าจึงไม่ได้กังวลอันใดมาก “แม่นางคนงามรอข้าสังหารสามีเจ้าก่อน ประเดี๋ยวค่อยเชยชมเจ้า” วาจากักขฬะของโจรผู้นั้นทำให้สตรีที่อยู่ในอ้อมแขนของเขาตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว “หากไม่อยากฝันร้ายจงหลับตาเสีย” สิ้นเสียงกล่าวของเขา จางซีถิงรีบหลับตาอย่างว่าง่ายทันที เมื่อเห็นเช่นนั้นเขาจึงหันไปตอบโต้กับพวกคนชั่วช้า “ดูจากหน้าตาเจ้าคงไม่ได้มีวาสนานั้น” กล่าวจบคุณชายหานโอบกอดแม่นางน้อยเอาไว้ก่อนจะพุ่งตัวเข้าไปต่อสู้กับเจ้าโจรปากเน่าเหม็นผู้นั้น ยังไม่ถึงครึ่งกระบวนท่าด้วยซ้ำคนที่เอ่ยวาจากักขฬะอยากเชยชมสตรีที่ไม่เต็มใจก็ถูกกระบี
การเดินทางที่ล้วนเต็มไปด้วยความเงียบที่แฝงการเอื้อประโยชน์ต่อกันก็ดำเนินเข้าสู่วันสุดท้าย ซึ่งอีกครึ่งชั่วยามข้างหน้ารถม้าก็จะเคลื่อนเข้าสู่ประตูเมืองหลวง “เจ้าเข้าใจที่ข้าบอกใช่หรือไม่” เขาถามนางหลังจากเล่าแผนการที่เขาเตรียมไว้หากเกิดเรื่องซ้ำอีกครั้ง ซึ่งคนขับรถม้าและสาวใช้คนสนิทของนางก็รับทราบถึงแนวทางการเอาตัวรอดเรียบร้อยแล้ว “...” “คุณหนูจาง หากเจ้าไม่อยากตายก็รีบเปิดตาเปิดหูมาฟังข้าเสีย” ท่าทางที่เคลิ้มหลับของสตรีตรงหน้าทำให้เขานึกอยากจะใช้กำปั้นทุบหัวนางไปสักทีสองที เขาอุตส่าห์ยอมพูดยาวเหยียดเพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับเหตุการณ์เลวร้ายที่อาจจะเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อแต่นางกลับกล้าหลับต่อหน้าเขา “ขออภัยเจ้าค่ะ เชิญท่านพูดต่อได้” คุณหนูจางสะดุ้งตื่นก่อนจะนั่งหลังตรงอย่างตั้งใจเมื่อได้ยินเสียงก่นด่าของเขา ทว่าดวงตากลับไม่ยอมให้ความร่วมมือพาลจะปิดอยู่ร่ำไป “หากเจ้าไม่ยอมลืมตาขึ้น ข้าจะปล่อยเจ้าไว้กลางกลุ่มโจรป่า” สิ้นเสียงกล่าวเขา นางก็พยายามลืมตาขึ้นอย่างยากลำบาก “เชิญกล่าวมาเถิดเจ้าค่ะ” นางพยายามต่อสู้กับ
เมื่อรถม้าจอดพักบุรุษแซ่หานก็ลงจากรถม้าทันที ทำให้นางอดไม่ได้ที่จะเบ้ปากและทำท่าทางล้อเลียนตามหลัง คนขับรถม้าและสาวใช้แผ้วถางทำที่นั่งเพื่อให้ผู้เป็นนายได้นั่งพักกินข้าว แต่ทว่าเมื่อนางทรุดกายลงนั่ง คนที่นั่งอยู่ก่อนก็รีบลุกขึ้นก่อนทำท่าจะเดินย้ายไปนั่งที่อื่น ‘โอ๊ย! พ่อบุรุษรูปงาม หวงตัวเสียด้วย’ นางนั่งห่างเกือบห้าฉื่อ[1]ยังรีบลุกหนี นี่เขาหวงตัวไม่ให้สตรีใกล้ หรือแท้จริงรักใคร่บุรุษรังเกียจสตรีกันแน่ถึงได้แสดงท่าทีมากถึงเพียงนี้ “ประเดี๋ยวก่อนเจ้าค่ะ” นางรีบเอ่ยปากรั้งเขาไว้ “มีอันใด” บุรุษรูปงามเอ่ยเสียงห้วน “ข้าเตรียมข้าวมาเผื่อท่านด้วย หากไม่รังเกียจก็รับไปกินเถิดเจ้าค่ะ” เดิมทีก็ตั้งใจจะผูกมิตรจึงคิดเตรียมพร้อมไว้ ไม่คิดว่าสุดท้ายบุรุษที่นางหวังจะผูกมิตรจะเย่อหยิ่งจนน่ารำคาญเช่นนี้ “ไม่จำเป็น” เขากล่าวก่อนจะเดินจากไป ไม่แม้แต่จะปรายตามองห่อข้าวที่นางยื่นไปให้ ‘เสียมารยาทยิ่งนัก ไม่กินก็ตามใจ ข้ากินเองก็ได้’ นางคิดค่อนขอดในใจก่อนจะทรุดกายนั่งลงเพื่อแกะห่อข้าวของตนและเลิกสนใจบุรุษเย่อ
1 ต่างคนต่างพึ่งพา เมื่อรถม้าเริ่มเคลื่อนตัว สตรีผู้มีดวงหน้างดงามหมดจดก็เอนกายลงนอนบนที่นั่งยาวคล้ายเหน็ดเหนื่อย แม้จะมาอยู่ที่นี่ได้สามสี่วันแล้วแต่ทว่านางก็ยังไม่คุ้นเคยจริง ๆ จากผู้สรรหาบทสู่ตัวประกอบไร้ค่าที่ช่วยทำให้บทนางเอกดูน่าสนใจยิ่งขึ้น เพราะหากไม่มีตัวประกอบและครอบครัวของตัวประกอบผู้นี้ นางเอกมีหรือจะสามารถเข้าใกล้พระเอกและพลิกสถานการณ์จากคุณหนูบุตรสาวเจ้าเมืองสู่บุตรสาวเจ้ากรมขุนนางคนใหม่โดยมีพระเอกคอยให้การช่วยเหลือได้ ‘คัดสรรนิยายมาเสนอหัวหน้าเพื่อสร้างซีรี่ส์ตั้งหลายเรื่องแต่ไม่คิดเลยว่าวันหนึ่งนางจะต้องกลายเป็นตัวละครเสียเอง ชีวิตมันช่างน่าเศร้าจริง ๆ’ แล้วก็จะโผล่มาในนิยายทั้งทีเหตุใดไม่โผล่ไปในเรื่องที่เป็นฮาเร็มเล่า ฮาเร็มที่มีหนุ่มหล่อมากมายคอยดูแลและปรนนิบัติสตรีเพียงคนเดียว เหตุใดต้องโผล่มาอยู่ในนิยายจีนโบราณที่มีผู้ชายเป็นใหญ่และมองว่าการมีสามภรรยาสี่อนุฯ เป็นเรื่องป
บทนำ “มิทราบว่าวันนี้รถม้าของคุณชายรองเซี่ยเสียอีกแล้วหรือเจ้าคะ” นางเอ่ยถามก่อนจะนั่งลงด้านข้าง “ข้าเพียงบังเอิญผ่านมาแล้วรู้สึกเหน็ดเหนื่อยจึงเข้ามานั่งพักในรถม้า ช่างบังเอิญเสียจริงที่เป็นรถม้าของคุณหนูจาง” คนบังคับรถม้าก็เป็นองครักษ์เงาของเขาที่บัดนี้กลายเป็นผู้คุ้มกันอยู่ในจวนตระกูลจาง ดังนั้นทุกอย่างย่อมอยู่ในการควบคุมของเขา ‘หึ! ความบังเอิญช่างน่ากลัวเสียจริง’ นางลอบคิด “ได้ยินว่าคุณหนูจางได้เครื่องรางมา ไม่ทราบว่ามีของข้าด้วยหรือไม่” “ไม่มีเจ้าค่ะ” “เหตุใดถึงไม่มี” ‘แล้วข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าท่านจะมาขอเครื่องรางจากข้า’ “ขออภัยเจ้าค่ะ ข้าไม่รู้ว่าท่านอยากได้ จึงขอมาให้เพียงคนในครอบครัวของข้า” สิ้นเสียงกล่าวของนาง เขาเคลื่อนกายเข้ามาใกล้ ร่างกายของเขาแนบชิดตัวนางแล้วดันแผ่นหลังของนางให้กดลงกับผนังของรถม้า “เช่นนั้นเจ้ายิ่งควรต้องมอบให้ข้า” เขาโน้มใบหน้าเข้าใกล้หูนางก่อนจะกระซิบเสียงเบา







